มนตรากระดังงา
นางพริมา กีรติอนันต์ พัฒนภิรมย์ กับ นายภัทร์ พัฒนภิรมย์ คู่สามีภรรยาที่ครองรักกันมากว่า 6 ปี และมีพยานรักเป็นเด็กชายน่ารัก 2 คน ต้องจบชีวิตคู่ที่เริ่มจากรั้วมหาวิทยาลัยลงเพราะฝ่ายชายไปมีเมียน้อยซึ่งกำลังจะมีลูกสาวด้วยกัน หญิงสาวยอมหย่าให้และยอมเป็นแม่หม้ายในวัยเพียง 30 ปี ชีวิตคู่ที่พังทลายกลับสร้างพริมาคนใหม่ให้แกร่งกว่าเดิม เธอเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยวขึ้น กระดังงาลนไฟดอกนี้จึงกลายเป็นที่หมายปองของชายหนุ่มทั้งหลาย รวมทั้งภัทร์ พัฒนภิรมย์ ที่เพิ่งสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของอดีตภรรยา จนทำให้ความรักที่เขาคิดว่าได้มอดเชื้อไปแล้วนั้นปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
รักครั้งใหม่กับคนเดิมจะสมหวังได้หรือไม่ เพราะฝ่ายชายก็มีครอบครัวใหม่แล้ว ส่วนฝ่ายหญิงก็มีชายหนุ่มมากมายมาเข้าแถวให้เลือก อานุภาพของความรักจะประสานรอยร้าวของหัวใจสองดวงให้กลับมาหลอมเป็นหนึ่งเดียวได้อีกครั้งหรือไม่ โปรดติดตาม......อาทิตา

Tags: รักร้าว มีเมียน้อย คืนดี

ตอน: ตอนที่ 3

ตอนที่ 3



“น้องปริมเหนื่อยไหมครับ” ภัทร์เอ่ยถามพริมาเมื่อออกรถมาได้สักพัก วันนี้ชายหนุ่มใช้รถสปอร์ตสีแดงเพลิงราคาหลายล้านซึ่งเขาเพิ่งได้รับเป็นของขวัญวันเกิดจากผู้เป็นพ่อเมื่อปีที่ผ่านมา รถที่แม่น้องสาวตัวดีชอบค่อนขอดว่าเป็น ‘รถเห็นแก่ตัว’ เพราะนั่งได้เพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ขนาด ‘มินิ’ ของเธอที่เล็กกว่ายังนั่งได้ตั้ง 4 คน ภัทราได้นั่งรถสปอร์ตสุดหรูของพี่ชายเพียงไม่กี่ครั้งระหว่างที่รอรถของเธอตกแต่งให้เสร็จอยู่ เพราะรถของภัทร์นั้นคนที่ได้นั่งข้างคนขับก็มักจะเป็น ‘ตุ๊กตา’ ทั้งหลาย ผิดที่วันนี้ ‘ตุ๊กตา’ หน้ารถอย่างพริมาไม่ได้สวยเซ็กซี่เหมือนคนอื่น ๆ หญิงสาว ‘หมดสภาพ’ เพราะยังอยู่ในชุดกีฬา ‘แฝดสยาม’ ซึ่งมีทั้งกลิ่นอาหารปิ้งย่างผสมปนเปมากับกลิ่นเหงื่อจากการแข่งขันกีฬา ยังดีที่ว่าชายหนุ่มคนขับต่างก็มีกลิ่นอาหารแบบเดียวกันนั้นติดตัวมาด้วย เลย ‘เหม็น’ เสมอภาพกันไป

“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่แบดมินตันเป็นกีฬาที่ปริมชอบเล่น ก็เลยสนุกมากกว่าค่ะ” พริมาหันหน้ามาตอบพร้อมรอยยิ้มกระจ่างทั่วใบหน้า

“เล่นมานานแล้วเหรอครับ” ภัทร์ชวนคุยต่อ

“ก็ตั้งแต่เด็กน่ะค่ะ คุณพ่อชอบเล่นก็เลยจับลูก ๆ มาหัด ท่านจะได้มีคู่ซ้อมด้วย” พริมาอธิบายต่อ “แต่ตอนนี้พอลูก ๆ มาเรียนกรุงเทพฯกันหมด คุณพ่อเลยต้องไปเล่นที่สโมสรแทนเพราะคุณแม่เล่นไม่เก่งน่ะค่ะ”

“สู้ลูกสาวไม่ได้ใช่ไหมครับ” ภัทร์แกล้งเย้าหญิงสาว พริมาได้แต่อมยิ้มแทนคำตอบ

“พี่ขอถามอะไรน้องปริมหน่อยสิ” ภัทร์วกเข้าแผนทันทีที่รถจอดติดไฟแดง

“เรื่องอะไรเหรอคะ” พริมาตั้งใจฟังคำตอบ

“เป็นเรื่องส่วนตัวนะ แต่ที่พี่ต้องถามเพราะไม่อยากให้เกิดความเข้าใจผิดกัน” ภัทร์เริ่มเดินหมาก

“เรื่องอะไรคะพี่โป๊ป” พริมาถามด้วยความอยากรู้และระคนสงสัย

“น้องปริมเป็นแฟนกับเอเหรอ” ภัทร์แกล้งถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“เปล่านะคะ! ปริมไม่ได้เป็นแฟนกับพี่เอนะคะ” พริมาตอบคำถามด้วยสีหน้างง ๆ

“เอ่อ.....แล้วทำไมพี่โป๊ปถามอย่างนี้ล่ะคะ” พริมาถามกลับเพราะคิดไปเองว่าตัวเองคงทำกิริยาหรือแสดงความสนิทสนมกับพี่เอมากไปจึงทำให้ภัทร์คิดเอาเองอย่างนั้น

“ไม่มีอะไรหรอกครับ พอดีพี่สังเกตเห็นว่าเอเขาดูแลเทคแคร์น้องปริมเป็นพิเศษ และพอพี่บอกว่าจะมาส่งน้องปริมเอง ก็ดูเอเขาจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร” ภัทร์อธิบายด้วยน้ำเสียงปกติ ก่อนที่จะหันมาจ้องหน้าหญิงสาวแล้วพูดต่อว่า

“น้องปริมอาจไม่รู้ตัว แต่ผู้ชายด้วยกันเขาดูออกน่ะครับ เอเขาคงชอบน้องปริม พี่ก็เลยไม่อยากผิดใจกับเขา” ภัทร์แสดงบทพระเอกได้อย่างแนบเนียน ชายหนุ่มจ้องหน้าหญิงสาวเพื่อฟังคำตอบที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว

“ปริมไม่ทราบหรอกค่ะว่าพี่เอเขาคิดยังไงกับปริม เพราะเขาไม่เคยบอกปริม แต่ที่แน่ ๆ เราไม่ได้เป็นแฟนกันค่ะ ปริมไม่ได้คิดอะไรกับพี่เอเขาเลย” พริมาอธิบายอย่างละเอียด ภัทร์เลยไม่ต้องถามคำถามที่อยากรู้เพราะเจ้าตัวรีบตอบออกมาหมดแล้ว

‘แล้วน้องปริมคิดยังไงกับเขาล่ะครับ’

“สำหรับปริมพี่เอเป็นเพียงรุ่นพี่ร่วมคณะ เป็นเพียงหัวหน้าทีมแบดมินตันเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” พริมาตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะที่ผินหน้ากลับไปยังท้องถนน

“เฮ้อ! ถ้าเป็นอย่างนี้ก็โล่งอกไปครับ” ภัทร์พูดขึ้นด้วยท่าทางดีใจ จนพริมาต้องหันหน้ากลับมามองอีกครั้งพร้อมส่งยิ้มให้

“พี่โป๊ปโล่งอกได้เลยค่ะ ไม่ต้องกลัวผิดใจกับพี่เอน่ะคะ เพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกันค่ะ” พริมาสรุปเพราะหวังว่าจะช่วยให้คนฟังคลายความวิตกกังวลลงได้

“ไม่ใช่ครับ! ที่พี่โล่งอกไม่ใช่เพราะกลัวผิดใจกับเอเขา แต่ที่พี่โล่งอกเพราะดีใจที่น้องปริมยังโสดต่างหากล่ะครับ” ภัทร์ตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ และเน้นน้ำเสียงที่คำว่า ‘โสด’ อย่างจงใจ แล้วจึงพูดต่อว่า

“เพราะฉะนั้นพี่ก็ยังมีสิทธิ์ ใช่ไหมครับ” ภัทร์มัดมือชกรุ่นน้องร่วมมหา’ลัยหน้าตาเฉย และทำเอาคนฟังถึงกับหน้าตาตื่น แต่พอรวบรวมสติหลังจากทำความเข้าใจกับสิ่งที่ได้ยินได้ถูกต้องแล้วว่าพี่ชายของเพื่อนต้องการจะสื่ออะไรถึงเธอ พริมาก็บอกออกไปว่า

“จะมีสิทธิ์หรือเปล่าปริมคงตอบไม่ได้ ทางที่ดีพี่โป๊ปคงต้องไปถามสาวรัฐศาสตร์ปี 3 คนนั้นน่าจะดีกว่านะคะ” ภัทร์ถึงกับสะอึกเมื่อเจอพริมาย้อนกลับมาได้อย่างรู้ทัน คำพูดของน้องสาวที่เพิ่งบอกเล่าเก้าสิบถึงนิสัยของพริมาย้อนมาทวนความทรงจำของชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

‘....ดูหงิม ๆ แบบนั้นนะชีมีมุกเพียบ ฮากระจาย บางทีปริมยังตอกกลับจนนังปรัชญ์ต้องยอมสงบปากสงบคำไปเลยนะพี่’

อาการนิ่งของภัทร์ทำให้พริมาแน่ใจว่าข่าวที่ภัทราเอามาเม้าท์มอยให้พวกเธอฟังนั้น เป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์

‘ตอนนี้พี่ภัทร์กำลังคบกับเด็กรัฐศาสตร์ ปี 3 เหมือนกัน ขาว สวย หมวย เอ็กซ์ ครบเซ็ทเลย คนนี้เคยเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะเมื่อตอนปี 1 ด้วยนะ แต่ไม่รู้ว่าจะคบกันได้สักกี่น้ำ ฝ่ายหญิงก็ไม่เบา ส่วนฝ่ายชายก็รู้ ๆ กันอยู่ ไม่จริงจังกับใครหรอก’

พริมาไม่เหมือนผู้หญิงอื่น ๆ ที่ภัทร์ได้ผ่านพบมาเลย เธอไม่มีอาการเขินอายเมื่อรู้ว่าเขากำลังจีบแต่เธอกลับตอบโต้เขาได้อย่างทันเกม.....ยิ่งไม่ชอบ ยิ่งท้าทาย ยิ่งได้มายาก ยิ่งรู้สึกคุ้มค่า...... ภัทร์ที่เรียกสติคืนกลับมาได้จึงรีบแก้ตัวออกไป เขาหันหน้ามาบอกกับพริมาว่า

“เพื่อน ๆ กันทั้งนั้นล่ะครับน้องปริม ไม่มีอะไรในกอไผ่ครับ” ชายหนุ่มบอกพลางนึกแค้นแม่น้องสาวปากสว่างอยู่ในใจ พริมาที่ได้ฟังคำแก้ตัวของผู้ชายจอมเจ้าชู้ที่ไม่ยอมจนมุมง่าย ๆ หญิงสาวเลยโต้ตอบกลับไปว่า

“ปริมก็ยังไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนนี่คะ อย่ากินปูนร้อนท้องสิคะพี่โป๊ป” ดวงตาพราวระยับเพราะพยายามกลั้นหัวเราะของพริมากับเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ที่พี่ชายเพื่อนสนิทยกมาอ้างทำให้ภัทร์ถึงกับยิ้มฝืด ๆ ‘คืนนี้เราคงจะชวด 3 แต้มแล้วล่ะ ปั๊ปนะปั๊ปไม่น่าเอาเรื่องพี่เรื่องเชื้อมาพูดเลย’ ภัทร์จึงรีบงัดกลยุทธ์ออกมาเพื่อปรับแผนการรุกใหม่

“อ้อ! พี่ได้ข่าวว่างานลอยกระทงเดือนหน้านี่ ปริมกะปั๊ปต้องมาช่วยงานที่ซุ้มของคณะด้วยเหรอ” ภัทร์เปลี่ยนประเด็นสนทนา

“ค่ะ พอดีช่วงนี้เรามาซ้อมกีฬา เลยไม่ได้ซ้อมรำซ้อมเดินขบวนกับคนอื่น ๆ เขา เราเลยต้องมาช่วยงานที่ซุ้มแทน” พริมาอธิบายถึงกฎของคณะที่น้องปี 1 ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมในกิจกรรมสำคัญของคณะ หนึ่งในนั้นก็คืองานลอยกระทง

“ทำไมไม่สมัครประกวดนางนพมาศล่ะครับ” ภัทร์ถามกึ่งเย้า

“ที่บ้านไม่ให้ค่ะ” พริมาตอบกลับทันควัน แต่เมื่อเห็นอาการเหวอของอีกฝ่ายจึงเฉลยว่า

“ปริมพูดเล่นอ่ะค่ะ ฮิ ๆๆ พี่โป๊ปต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“ไม่ใช่ครับ ที่พี่ตกใจตอนแรกน่ะเพราะไม่คิดว่าน้องปริมจะตอบแบบนี้ คำพูดของน้องปริมมันดูเหมือนน้องปริมอยากทำ แต่ที่ทำไม่ได้เพราะที่บ้านห้ามน่ะ” ภัทร์บอกกับพริมา

“ปริมไม่ชอบหรอกค่ะพวกประก่งประกวดอะไรทั้งหลายน่ะ ปริมว่ามันไม่สนุกอะค่ะ ต้องไปยืนนิ่ง ๆ ทำหน้าทำผมสวย ๆ เพื่อให้คนเขาดู ต้องตอบคำถามให้ถูกใจคนฟัง แต่อาจจะไม่ตรงกับใจเรา ที่สำคัญปริมไม่สวยขนาดนั้นหรอกค่ะ” พริมาชี้แจง

“ใครว่าล่ะ น้องปริมสวยมากต่างหากล่ะครับ ประกวดนางนพมาศได้สบายเลยนะ” ภัทร์บอกด้วยความจริงใจ

“จริง ๆ น่ะครับพี่ไม่ได้โกหก”

“ประกวดได้สบายแต่จะได้รางวัลหรือไม่เป็นอีกเรื่องใช่ไหมคะ” พริมาพูดเล่นอย่างอารมณ์ดี แล้วพูดต่อว่า

“ที่สำคัญปริมมีงานอื่นต้องทำแล้วค่ะ” พริมาบอก

“ต้องทำอะไรเหรอครับ” ภัทร์ถาม

“บอกไม่ได้ค่ะ เป็นความลับของคณะ” พริมาหันมายิ้มให้ผู้ฟังประหนึ่งว่ากำลังกำความลับเรื่องใหญ่โตอยู่

“บอกหน่อยน้า” ภัทร์แกล้งตื้อ

“บอกไม่ได้จริง ๆ ค่ะ ถ้าอยากรู้วันลอยกระทงพี่โป๊ปก็ต้องมาอุดหนุนซุ้มของปริมสิคะ” พริมาพยายามทำการประชาสัมพันธ์และการตลาดไปในตัว

“ได้ครับ พี่มาแน่ ปีนี้จะมาลอยกระทงที่คณะอักษรฯสักหน่อย ถ้าโชคดีคงได้ลอยกับสาวอักษรฯด้วย” ภัทร์ไม่วายหยอดคำหวานเพื่อทำคะแนน

“ยินดีค่ะ มาลอยที่บึงคณะเราสิคะ เด็กอักษรฯยินดีต้อนรับเด็กเศรษฐศาสตร์อยู่แล้วค่ะ จะมาลอยกับเด็กอักษรฯอย่างปั๊ปหรือจะพาเด็กรัฐศาสตร์มาลอยด้วย พวกเราก็ยินดีต้อนรับเสมอค่ะ” ทันทีที่พูดจบพริมาก็หัวเราะคิกที่ตัวเองสามารถรับมุกไก่แจ้อย่างภัทร์ได้ทันท่วงที และพอได้เห็นหน้าตาของผู้ร่วมสนทนาที่ทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเข้าไปอีก เธอจึงยิ่งขำเข้าไปใหญ่

“ฮ่า ๆๆๆ” ภัทร์แกล้งหัวเราะกลบเกลื่อนที่ถูกสาวน้อยหน้าใสมาลูบคมคาสโนว่าอย่างเขาได้ พริมาไม่เหมือนใครจริง ๆ เขาได้แอบหวังลึก ๆ ว่าสักวันหนึ่งจะปราบสาวน้อยหน้าหวานตรงหน้าได้

“งั้นพบกันวันลอยกระทงนะครับ” ภัทร์ให้สัญญาด้วยน้ำเสียงเว้าวอนอ่อนหวาน

“ค่ะ พบกันวันลอยกระทงนะคะพี่โป๊ป” พริมาไม่ได้ตกหลุมบ่วงเสน่ห์ของภัทร์แต่อย่างใดเพราะเชื่อในคำพูดของภัทราที่เคยบอกไว้ว่า

“นั่นน่ะ คาสโนว่าตัวพ่อเชียวนะยะ มารยาหลายร้อยเล่มเกวียนเชียวล่ะพี่ชายฉันน่ะ”

“ปริมก็อยากเห็นเหมือนกันว่าสาวรัฐศาสตร์คนนั้นจะสวยขนาดไหน ขอบคุณนะคะที่มาส่ง” พริมายกมือไหว้ขอบคุณก่อนที่จะก้าวลงจากรถ ทิ้งให้คนในรถได้แต่กรุ่นโกรธแม่น้องสาวปากสว่างอยู่ในใจก่อนที่จะค่อย ๆ ขับรถสปอร์ตคันงามออกจากหน้าคอนโดของพริมาไป



************************



“แม่โทรมา 2 – 3 ครั้งแล้วนะปริม” เปรม กีรติอนันต์บอกกับน้องสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องนอน พริมาอาบน้ำและใส่ชุดนอนกระโปรงยาวระเข่าเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวเดินออกมาพลางเช็ดผมที่ยังเปียกหมาด ๆ ไปด้วย

“เหรอคะ งั้นเดี๋ยวปริมโทรกลับหาแม่เลย” พริมาเดินตรงไปที่เครื่องโทรศัพท์ เพราะกฎเหล็กของมารดา คือ จะติดต่อพวกเธอผ่านเครื่องโทรศัพท์บ้านเท่านั้น ไม่โทรสายตรงเข้ามือถือ เพราะคุณนายเปมิกาต้องการรู้เวลาที่ลูก ๆ กลับถึงคอนโด พริมาและเปรมจึงไม่มีทางที่จะโกหกแม่ได้หากไม่อยู่ที่คอนโด

“แล้วเมื่อกี้ใครมาส่งล่ะ” พี่ชายถามน้องสาว เพราะเขานั่งอยู่ที่ระเบียงตอนที่พริมากลับมาพอดีจึงได้เห็นน้องสาวกำลังลงจากรถสปอร์ตสีแดงเพลิงคันนั้น ดูจากรถว่าที่คุณหมอก็พอจะเดาลักษณะนิสัยของเจ้าของรถได้ไม่ยาก ‘ลูกคนรวย และน่าจะเป็นเพลย์บอยซะด้วย’

“พี่ชายของปั๊ปน่ะค่ะ” พริมาบอกตามความจริง

“อ้าว! แล้วปั๊ปไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาส่งเราล่ะ” เปรมถามเพราะอยากรู้

“ปั๊ปเอารถมาอีกคันน่ะค่ะ แล้ววันนี้เขาก็ต้องกลับบ้านแลยไปส่งเพื่อนอีกคนหนึ่งแทน ส่งอัณณ์น่ะค่ะ” พริมาบอกพี่ชาย และเอ่ยชื่อเพื่อนที่ถูกกล่าวถึงเพราะเธอเคยเล่าเรื่องของเพื่อน ๆ ให้เปรมฟังอยู่บ่อย ๆ เมื่อเห็นพี่ชายพยักหน้าว่าเข้าใจและไม่ซักถามอะไรอีก พริมาก็ยกหูโทรศัพท์เพื่อรายงานตัวกับมารดา หลังจากพูดคุยออดอ้อนและเล่าผลการแข่งขันกีฬาให้แม่ฟังได้สักพักแล้ว หญิงสาวก็วางหูเพื่อที่จะเข้านอน

“ปริม เราน่ะโตแล้วนะ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ เพราะฉะนั้นต้องระวังและรู้จักดูแลตัวเองให้มาก ๆ นะ อย่าไว้ใจใครง่าย ๆ” เปรมอบรมน้องสาว

“พี่เปรมหมายความว่ายังไงคะ” พริมายังงง ๆ กับคำเตือนของพี่ชาย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคุยอะไรค้างกันไว้ เธอจึงบอกต่อว่า

“นั่นน่ะพี่ชายของปั๊ปเพื่อนสนิทปริมนะคะ”

“พี่ชายปั๊ปน่ะใช่ แต่ไม่ใช่พี่ชายปริมนะ” เปรมย้อนกลับทันควัน

“สมัยนี้แม้แต่พ่อหรือพี่ชายแท้ ๆ มันยังรังแกลูกในไส้น้องในไส้กันได้เลย จะไปนับประสาอะไรกับพี่ชายเพื่อน”

“ค่ะพี่เปรม ปริมจะระวังตัวมากขึ้น” น้องสาวไม่เถียงเพราะรู้ว่าพี่ชายตักเตือนด้วยความหวังดี

“ปริม จำเอาไว้นะ ก็เพราะไอ้ความไว้ใจนั่นแหละที่ทำให้ต้องมาเสียใจในภายหลังกันน่ะ” ว่าที่คุณหมอพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะหันไปสนใจรายการโทรทัศน์ต่อ พริมาเก็บคำพูดของพี่ชายมาคิด และเมื่อผ่านไปหลายปีเธอจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ‘ความไว้ใจ’ ที่มีให้กับภัทร์นั้นได้ทำให้เธอต้องเสียใจจริง ๆ ถึงแม้จะเสียใจในคนละเรื่องกับที่เปรมหมายถึงก็ตาม



************************



“คุณแม่ร้องไห้ทำไมครับ” ด.ช. ภัทรดนัย พัฒนภิรมย์ หรือน้องป๊อป เด็กน้อยวัยอายุ 5 ขวบเศษลูกชายคนโตของเธอและภัทร์ถามด้วยความสงสัย

“ใครทำคุณแม่ครับ” เด็กน้อยถามต่อหลังจากปีนขึ้นมานั่งบนตักมารดาได้แล้ว ด.ช. ภัทรดนัย หรือน้องป๊อปเป็นเด็กที่รักและหวงแม่มาก เมื่อไรที่พ่อแกล้งทำให้แม่เจ็บ ด.ช. ภัทรดนัย จะรีบพุ่งปรี่เข้าไปช่วยผู้เป็นแม่ทันทีพร้อมทั้งต่อว่าผู้เป็นพ่อที่ต้องแอบกลั้นหัวเราะเมื่อโดนลูกเล่นงาน

‘คุณพ่อเป็นผู้ชาย อย่ารังแกผู้หญิงสิครับ ไม่ดีรู้ไหมครับ คุณครูบอกว่าผู้ชายต้องปกป้องผู้หญิง’

“ไม่มีอะไรครับ ไม่มีใครทำคุณแม่ด้วย ถ้ามี.....ก็คงเป็นตัวคุณแม่เองที่ทำตัวเอง” พริมารำพึงเบา ๆ

“งั้นคุณแม่ร้องไห้ทำไมล่ะครับ” ด.ช. ภัทรดนัยเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้เป็นแม่ ดวงตาใสแจ๋วเปล่งประกายไปด้วยความอยากรู้แต่ก็แสดงอาการเป็นห่วงมารดาผ่านมือน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ ซับน้ำตาบนใบหน้าให้กับผู้เป็นแม่

“พอดีคุณแม่นึกถึงเรื่องเศร้า ๆ ก็เลยร้องไห้น่ะครับ” พริมาตอบเลี่ยง ๆ เพราะไม่สามารถปิดเรื่องน้ำตาได้เนื่องจากลูกชายได้เห็นแล้ว หญิงสาวรวบมือเล็กนุ่มมาหอมแทนคำขอบคุณ

“คุณแม่ก็อย่าไปนึกถึงเรื่องเศร้า ๆ สิครับ คิดถึงแต่เรื่องสนุก ๆ ดีกว่า เรื่องสนุกไม่ทำให้เราร้องไห้หรอกครับ” ด.ช. ภัทรดนัยสอนปรัชญาชีวิตให้กับผู้เป็นแม่อย่างไม่รู้ตัว

“จริงสิครับ คุณแม่นี่ซื่อบื้อจริง ๆ ไปคิดถึงเรื่องแต่เศร้า ๆ ทำไมก็ไม่รู้นะ ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องสนุก ๆ ให้คิดตั้งเยอะแยะ” ไม่น่าเชื่อว่าคำแนะนำของเด็กเพียง 5 ขวบเศษจะชี้ทางสว่างให้กับพริมาได้....

‘จะเศร้าไปเพื่ออะไร ในเมื่อเศร้าไปร้องไห้ไปก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว’

“เอ....แล้วพี่ป๊อปกับน้องปิ๊ปทานข้าวเย็นหรือยังครับ” พริมาเอ่ยถามลูกชายคนโต

“พี่ป๊อปทานแล้วครับ วันนี้พี่ป๊อปทานข้าวเยอะด้วยนะครับ เพราะป้าดาทำหมูทอดกับแกงจืดสาหร่ายที่พี่ป๊อปชอบ อร้อย อร่อย” ด.ช. ภัทรดนัยคุยฟุ้ง

“แล้วน้องปิ๊ปล่ะครับ ทานข้าวหรือยัง” ผู้เป็นแม่ถาม

“น้องปิ๊ปยังทานไม่เสร็จเลยครับคุณแม่ น้องปิ๊ปกินข้าวช้าเพราะมัวแต่เล่นของเล่นอยู่ พี่บัวบอกว่า น้องปิ๊ปไม่เก่งเหมือนพี่ป๊อป” เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงภูมิใจจนดวงตาเปล่งประกายสดใส

“แล้วพี่ป๊อปมาหาคุณแม่มีอะไรหรือเปล่าครับ” พริมาก้มลงหอมแก้มลูกชายฟอดใหญ่ด้วยความรัก

“พี่ป๊อปได้ยินป้าดากับพี่บัวเขาคุยกัน เขาบอกว่าคุณแม่จะไม่อยู่บ้านหลังนี้แล้ว จริงเหรอครับ”

ผู้เป็นแม่นั่งนิ่งงันเพราะยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะตอบคำถามเหล่านี้กับลูกน้อย คำถามที่จะตามมาอีกมากมาย คำถามที่จะทำให้ทั้งคนถามและคนตอบต้องปวดใจกับความจริง

“คุณแม่จะไปอยู่ที่ไหน ถ้าคุณแม่ไป คุณแม่ต้องพาพี่ป๊อปกับน้องปิ๊ปไปด้วยนะครับ อย่าทิ้งพวกเรานะครับ” ประโยคหลังที่ทำเอาผู้เป็นแม่ถึงกับน้ำตาคลอ

“โถ...ลูกแม่ แม่ไม่ทิ้งหรอกครับ แม่ไม่มีวันทิ้งพวกหนู ไม่มีวัน” พริมาพยายามกลั้นเสียงสะอื้นอย่างสุดตวามสามารถ

“แล้วคุณพ่อล่ะครับจะไปด้วยไหม” พริมานิ่งแทนคำตอบ

“แล้วคุณปู่ คุณย่า อาปั๊ปกะอาอเล็กซ์จะไปด้วยไหมครับ” ด.ช. ภัทรดนัยเริ่มไล่ชื่อสมาชิกของคนในครอบครัว

“แล้วป้าดากับพี่บัวกับลุงชัยจะไปกับเราด้วยไหมครับ” เด็กน้อยยังคงยิงคำถามออกมาเป็นชุด ในที่สุดผู้เป็นมารดาจึงตอบออกไปว่า

“คุณแม่จะย้ายไปที่อยู่คอนโดน่ะครับ แล้วพี่ป๊อปกับน้องปิ๊ปก็จะไปกับคุณแม่ด้วย แต่พอวันศุกร์คุณพ่อก็จะไปรับพวกหนูกลับมานอนที่บ้านนี้ พี่ป๊อปกับน้องปิ๊ปก็จะได้กลับมาหาคุณปู่คุณย่าไงครับ พอวันอาทิตย์ก็กลับไปนอนที่คอนโดกับคุณแม่อีก แม่อาจให้พี่บัวไปอยู่กับเราที่คอนโดด้วย แต่ป้าดาคงไปไม่ได้เพราะป้าดาต้องทำกับข้าวให้คุณพ่อทานที่นี่” พริมาพยายามอธิบายอย่างง่าย ๆ เพื่อให้เด็กน้อยวัย 5 ขวบเศษค่อย ๆ ทำความเข้าใจตามไปด้วย

คอนโดที่เธอหมายถึง คือ คอนโดเพ้นท์เฮ้าส์หรูที่ นายพัฒน พัฒนภิรมย์ มอบเป็นของขวัญให้กับเธอในฐานะลูกสะใภ้ของตระกูลพัฒนภิรมย์ในวันแต่งงาน เมื่อ 6 ปีที่แล้ว คอนโดที่เธอและภัทร์ตกลงใช้เป็นรังรักในการเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน รังรักที่อบอวลไปด้วยความรักของคู่ข้าวใหม่ปลามัน ภัทร์ตกลงใจเริ่มต้นชีวิตแต่งงานของทั้งคู่ที่นั่น เพราะสะดวกในการเดินทางทั้งสำหรับตัวเขาเองและพริมาที่ทำงานเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินต่างประเทศแห่งหนึ่ง คอนโดหรูแห่งนี้อยู่ไม่ไกลนักจากสนามบินสุวรรณภูมิและสำนักงานใหญ่ของธนาคารพัฒนทรัพย์ ที่สำคัญพวกเขาสามารถใช้ชีวิตคู่ได้ตามลำพังและเป็นอิสระ

พริมาและภัทร์ย้ายออกจากคอนโดมาอยู่บ้านหลังใหญ่ภายในรั้วเดียวกันกับคฤหาสน์ พัฒนภิรมย์ เมื่อพริมาเริ่มตั้งท้องลูกคนแรกได้อ่อน ๆ ซึ่งก็เกิดขึ้นหลังจากการแต่งงานได้ไม่นาน....เพียง 5 เดือนเท่านั้นเองสำหรับการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ทั้งสองได้ใช้ชีวิตคู่ตามลำพังในการปรับตัวเข้าหากันได้เพียง 5 เดือนเท่านั้นเอง

แต่คู่รักคู่ใหม่ก็พยายามที่จะหาเวลากลับไปที่คอนโดแห่งนั้น เพื่อใช้เวลาโรแมนติคแบบส่วนตั้วส่วนตัวด้วยกันตามลำพังอยู่เรื่อย ๆ จากที่แรก ๆ เมื่อลูกชายคลอดได้ประมาณ 3 – 4 เดือน ทั้งคู่เคยแวะไปค้างครั้งละ 2 – 3 คืนทุกสองสัปดาห์ เพราะภัทร์ต้องการให้พริมาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากที่เห็นเธอไม่ยอมให้กายห่างจากลูกน้อยเลย ต่อมาก็ค่อย ๆ ลดลงเหลือเพียงหนึ่งคืนเพราะใจของแม่ที่ไม่เป็นสุขเมื่อต้องอยู่ห่างลูก พริมาคอยแต่ห่วงหาลูกน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้ไม่นาน จนในที่สุดก็ต้องลดลงเหลือเพียงแค่แวะไป ‘รำลึกความหลัง’ โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง ทั้งคู่มาทิ้งห่างรังรักแห่งนั้นโดยไม่ได้แวะมาดูแลเลยก็ตอนที่มีลูกชายคนที่ 2 แล้วนี่เอง

เมื่อตั้งครรภ์แรกพริมาในวัย 25 ปีก็ต้องลาออกจากอาชีพที่เธอรักด้วยคำขอร้องแกมบังคับของ นายพัฒน พัฒนภิรมย์ เพราะต้องการให้เธอออกมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงดูหลานปู่คนแรกของท่านอย่างเต็มที่ ซึ่งพริมาก็ยอมลาออกด้วยความเต็มใจเพราะคิดว่าหน้าที่เลี้ยงลูกนั้นไม่มีใครจะทำได้ดีไปกว่าผู้เป็นแม่ หญิงสาวทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้กับสองหนุ่มน้อย ด.ช. ภัทรดนัย พัฒนภิรมย์ หรือน้องป๊อป และ ด.ช. พัทธดนย์ พัฒนภิรมย์ หรือน้องปิ๊ป ถึงแม้จะมีทั้งแม่บ้านและพี่เลี้ยงคอยเป็นลูกมือให้ก็ตาม พริมาก็มักจะลงมือทำทุกอย่างให้ลูกน้อยทั้งสองด้วยตัวเธอเอง และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอมีเวลาให้กับสามีลดน้อยลง ยิ่งลูกชายทั้งสองโตขึ้น เธอก็ยิ่งสรรหากิจกรรมต่าง ๆ มาให้ลูกได้ทำเพื่อความสนุกสนานและเพื่อสร้างพัฒนาการในทุก ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน บางกิจกรรมก็มีผู้เป็นพ่อมาร่วมสนุกด้ว ยแต่เพราะภาระงานในฐานะประธานกรรมการธนาคารพัฒนทรัพย์จึงทำให้ภัทร์ไม่สามารถร่วมสนุกได้ทุกกิจกรรม....ช่องว่างเล็ก ๆ จึงค่อย ๆ ขยายวงกว้างขึ้นทีละนิด ๆ จนเป็นวงใหญ่ที่ใคร ๆ ก็คาดไม่ถึง พริมาที่คิดมาตลอดว่าความรักของคนทั้งคู่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างเหล่านั้นให้ค่อย ๆ เล็กลงและในที่สุดก็จะประสานรอยร้าวให้แน่นสนิทได้ดั่งเดิม......มาในวันนี้พริมารู้แล้วว่าเธอคิดผิด ความรักเพียงตัวเดียวไม่สามารถช่วยเธอและภัทร์ประคับ ประคองชีวิตคู่ให้ผ่านคลื่นลมมรสุมลูกนี้ไปได้.....เธอคิดได้ในวันที่สายเกินไปเสียแล้ว

“งั้นพี่ป๊อปกะน้องปิ๊ปก็จะมีบ้าน 2 บ้านสิครับ” เสียงใสของลูกชายปลุกคุณแม่ให้ตื่นจากภวังค์ เด็กชายตัวน้อยถามด้วยความไร้เดียงสาระคนดีใจ ‘บ้าน 2 บ้าน’ ความหมายที่เด็กน้อยคิดนั้นช่างแตกต่างกับความเป็นจริง ‘บ้าน 2 บ้าน’ ในความหมายที่ใสซื่อของหนูน้อย นั่นคือ มีที่ให้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้เปลี่ยนที่นอน ที่เล่น และที่กิน แต่ทว่าในความเป็นจริง ‘บ้าน 2 บ้าน’ กลับหมายถึง บ้านหลังใหญ่ที่มีพ่ออยู่แต่ไม่มีแม่ และคอนโดหรูที่มีแม่อยู่แต่ไม่มีพ่อ ถ้ามีพ่อก็ไม่มีแม่และถ้ามีแม่ก็ไม่มีพ่อ หัวใจของผู้เป็นแม่รู้สึกเจ็บช้ำและสงสารชะตากรรมของลูกน้อยยิ่งนัก พริมาจึงปล่อยให้ลูกชายตัวน้อยยังคงวาดภาพฝันอันสวยงามเหล่านั้นไว้ในหัวสมองแทนที่จะอธิบายความจริงให้ลูกรับรู้มากไปกว่านี้ เด็ก ๆ คงจะเข้าใจมากขึ้นทีละเล็กทีละน้อย......จากความเป็นจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมทั้งความเป็นจริงอีกเรื่องที่ว่า ลูกของเธออาจมีบ้านหลังที่ 3......หลังที่พ่อจะแนะนำให้ลูกรู้จักกับแม่ใหม่!!!



************************


ขอคอมเม้นต์ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ



อาทิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 มิ.ย. 2555, 22:56:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 มิ.ย. 2555, 22:56:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2013





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 (ครบ 100% แล้วค่ะ) >>
zilvermoon 11 มิ.ย. 2555, 16:31:05 น.
ชอบที่ปริมเข้มแข็งไม่ฟูมฟาย เริ่มต้นใหม่ให้ดีแล้วอย่าเก็บผู้ชายห่วยๆ มักมากที่พอใจแค่เนื้อหนังภายนอกไม่ใช่ความรักความผูกพันธ์มารกหูรกตารกสมองอีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account