กามเทพปีกหัก
เขานำความสูญเสียและโชคร้ายสู่ชีวิตเธอทุกครั้งที่พบ
กามเทพควรจะอุ้มสมรัก..แต่เมื่อกามเทพปีกหักรักของเขาและเธอจึงกลับตาลปัตรกว่าจะลงเอย
กามเทพควรจะอุ้มสมรัก..แต่เมื่อกามเทพปีกหักรักของเขาและเธอจึงกลับตาลปัตรกว่าจะลงเอย
Tags: กามเทพ
ตอน: ตอนที่ 5
ตอนที่ 5
“ ยู้ฮู...ไอ ดีใจจังที่ได้พบเธอ” มากิโกะ เพื่อนสาวชาวญี่ปุนตะโกนร้องเรียกไอลดาที่กำลังขี่จักรยานลงมาจากเนิน
“สวัสดีจ้ะ มากิโกะ เธอมาทำอะไรแถวนี้ตั้งแต่เช้าจ๊ะ” ไอลดาถามเพื่อนสาวด้วยความสงสัย เพราะมากิโกะอาศัยอยู่ที่ย่านอื่น
“ฉันจะแวะมาซื้อหนังสือนะจ๊ะ ว่าแต่เธอพอจะมีเวลาหรือเปล่า อีกยี่สิบนาทีกว่าร้านหนังสือจะเปิด อยากชวนเธอไปนั่งจิบชา เผื่อจะได้นั่งคุยกัน”
“อืม ได้จ้ะ ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะปรึกษาเธออยู่เหมือนกัน” โชคดีที่วันนี้ไอลดาส่งหนังสือพิมพ์และนมเสร็จแล้วจึงพอมีเวลาเหลืออยู่เล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปทำขนม
ในฐานะเจ้าถิ่นย่านกินซ่า ไอลดาจึงพามากิโกะไปยังร้านชาญี่ปุ่นเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นห้องแถวเล็กๆ ขนาดสามชั้น ชั้นล่างสุดคือร้านขายชาซึ่งเป็นร้านขายปลีกและมีทางเดินแคบขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นส่วนบริการชาให้ดื่ม ร้านชาแห่งนี้มีบรรยากาศสบายๆ ตกแต่งแบบร่วมสมัย แต่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอยู่ เพราะมีที่นั่งเป็นไม้และมีเบาะผ้าวางอยู่ ระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟชา ไอลดากับมากิโกะจึงคุยกันไปพลางๆ
“ไอ เรื่องงานเป็นยังไงบ้าง ทำไหวใช่ไหมจ๊ะ ดูเธอสิ ตอนนี้ตัวซูบผอมเล็กนิดเดียว” มากิโกะเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
“เรื่องงานน่ะ หนักแค่ไหนก็ทำได้ แต่ปัญหาก็คือมันยังไม่พอค่าใช้จ่ายน่ะสิ ค่าเรียนและค่ารักษาอาการออทิสติกของริวนั้นแพงมากจริงๆ ฉันกลุ้มใจมากเพราะอยากจะหางานทำเพิ่มอีก แต่ตอนนี้ตารางงานก็แน่นเอี้ยดตั้งแต่เช้าจนถึงดึกทุกวัน ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปหางานทำเพิ่มได้อีกตอนไหน บางทีฉันอาจจะต้องหางานที่ได้เงินมากกว่าเดิม ถึงจะเป็นงานชั่วคราวก็ยังดีเพราะจะต้องจ่ายค่าเรียนให้ริวเร็วๆ นี้แล้ว” ไอลดาพูดด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
“ฉันก็กำลังจะบอกเธอเรื่องงานอยู่นี่แหละ ว่าฉันเห็นป้ายประกาศติดอยู่ที่มหาวิทยาลัย ว่ากำลังมีกองถ่ายละครจากเมืองไทยจะมาถ่ายทำที่ญี่ปุ่นหนึ่งเดือน เขาก็เลยต้องการนักศึกษาญี่ปุ่นที่พูดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้คล่องเพื่อช่วยประสานงาน รู้สึกค่าจ้างจะตกราวๆ สองแสนเยนเลยทีเดียว น่าจะมากกว่าค่าส่งนม หนังสือพิมพ์และราเมนสองเดือนรวมกันเสียอีก ฉันว่าเธอน่าจะลองไปสมัครดูนะ” มากิโกะพูดพลางยื่นเศษกระดาษที่จดสถานที่และเวลาในการสัมภาษณ์ให้กับไอลดา
“ขอบใจเธอมากนะจ๊ะที่คอยเป็นห่วงหางานให้ฉันอยู่เรื่อย ถ้าไม่ได้เธอช่วย ฉันกับน้องก็คงจะแย่ งานนี้น่าสนใจมาก คงมีนักศึกษาคนไทยไปสมัครเยอะ ไม่รู้ว่าฉันจะได้หรือเปล่า ที่สำคัญช่วงสายๆ ถึงเย็น ฉันต้องช่วยงานเบเกอรีของน้า ส่วนตอนเย็นถึงดึกก็ต้องไปทำงานที่ร้านราเมน ฉันเองเพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่กี่วัน หากลาออก เธอก็เสียเครดิตคนแนะนำพอดี”
“เธอไม่ต้องกังวลเรื่องงานที่ราเมนหรอก ฉันว่าลุงคงจะเข้าใจ หากเธอบอกเหตุผลว่าต้องลาออกเพราะได้งานที่รายได้สูงกว่า ท่านจะดีใจกับเธอด้วยซ้ำ แล้วพนักงานเสิร์ฟก็หาได้ไม่ยาก เพราะมีคนหารายได้พิเศษงานพาร์ตไทม์กันเยอะ อืม ส่วนเรื่องงานเบเกอรี ถ้าเดือนนั้นหากเธอต้องทำงานประสานงานจริงๆ เธอก็จ่ายค่ากินอยู่ให้น้าไปเสียสิ เงินค่าจ้างนั่นน่าจะพอใช้จ่ายได้สบายนะ”
“แต่งานกองละครนี้ก็เป็นงานแค่เดือนเดียว พอหมดจ็อบนี้ฉันก็ต้องหางานใหม่อีกน่ะสิ เกิดหางานไม่ได้ แล้วเงินช็อต ฉันต้องแย่แน่ๆ” ไอลดายังคงหวั่นวิตกไม่หาย ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะไม่ใช่เพียงแค่เธอต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง เธอยังต้องรับผิดชอบชีวิตของน้องชายอีกด้วย
สองสาวเงียบงันกันไปพักนึง พนักงานเสิร์ฟสาวในชุดกิโมโนก็ยกกาน้ำชาพร้อมถ้วยสองใบมาวางเสิร์ฟให้พร้อมกับขนมหวานอย่างวากาชิ (Wagashi) ซึ่งมีหน้าตาและสีสันสวยงามจนแทบไม่มีใครกล้าหยิบรับประทาน
“ดื่มชาร้อนๆ เสียหน่อย เผื่อจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น” มากิโกะบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ไอลดาจึงยกแก้วชาที่มากิโกะรินให้ขึ้นจิบ ความร้อนและความหวานอมฝาดแผ่ซ่านในลำคอทำให้ไอลดาคลายความกังวลและความรุ่มร้อนใจไปได้มาก
“ขอโทษที่ฉันตีตนไปก่อนไข้ เอาเป็นว่าฉันควรลองไปสมัครงานกองถ่ายก่อน ถ้าได้งานนั่นจริงๆระหว่างที่ทำงานฉันก็สมัครงานอื่นไปพลางๆ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาจริงไหม” ไอลดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอายๆ ที่เมื่อกี้เธอตีโพยตีพายเกินกว่าเหตุ
“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็คงกังวลร้อยแปดเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอกังวลใจจนเกินไป ถึงแม้ปัญหาของเธอจะหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ แต่ถ้าค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ปัญหา ฉันก็เชื่อมั่นว่าเธอจะต้องผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างแน่นอน” มากิโกะพูดอย่างให้กำลังใจ
สองสาวดื่มชาอีกครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไป ไอลดากลับมาเริ่มงานสายสิบนาที เนื่องจากลืมเวลาเพราะมัวแต่คุยเพลิน ดรุณีเหน็บแนมเธอทันทีที่มาถึง
“มัวไปเอ้อระเหยอยู่ไหน ถึงได้ปล่อยให้น้าเตรียมข้าวของอยู่คนเดียว นี่ยังไม่ทันไรก็เหลวเสียแล้ว”
“ขอโทษค่ะน้าณี พอดีว่าวันนี้หนูต้องขี่จักรยานไปส่งนมกับหนังสือพิมพ์อีกย่านหนึ่งก็เลยกลับมาสาย หนูรับรองค่ะว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว”
“เธอก็แก้ตัวอยู่เรื่อย คราวที่แล้วก็ทำครัวเลอะเทอะไปหมด คราวนี้ก็มาสายอีก แล้วคราวหน้าเธอจะสร้างความเดือดร้อนอะไรอีก เธอเนี่ยเกิดมาเพื่อสร้างความวุ่นวายให้ฉันเสียจริง” ดรุณีบ่นไม่ยอมหยุด แต่ไอลดาพยายามไม่เอาคำบ่นว่าของดรุณีมาเป็นอารมณ์ ทางที่ดีที่สุดคือต้องปล่อยให้ดรุณีบ่นจนพอใจ ส่วนเธอก็รีบกระวีกระวาดลงมือทำขนมอย่างไม่มีปากเสียง
หลังจากอบขนมช่วงเช้าเสร็จไปส่วนหนึ่ง ก่อนจะเปิดร้านไอลดาก็รีบเตรียมอาหารเช้าให้แก่ริวอย่างง่ายๆ คือไข่ดาว ไส้กรอก และขนมปังปิ้ง ช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะเป็นโอกาสที่เธอได้พูดคุยและดูแลริว ก่อนจะลงไปช่วยดรุณีทำกาแฟและขายขนมจนถึงช่วงบ่ายโมง
“ริว รีบกินข้าวเช้าเสียสิ อย่ามัวแต่วาดรูปอยู่” ไอลดาร้องเรียกริวที่ง่วนอยู่กับการวาดภาพอย่างมีสมาธิ
“ผมยังไม่หิวครับ” ริวโยเยไม่ยอมกินข้าว
“ไม่ได้จ้ะ ริวต้องกินข้าวก่อน ไม่อย่างนั้นพี่จะไม่ยอมให้ริววาดรูป” ไอลดาตั้งท่าจะริบแท่งสีเทียนที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะ ริวจึงทำหน้าจ๋อยๆ ก่อนจะยอมรับประทานแต่โดยดี
ไอลดารู้สึกเป็นห่วงริวมาก นับตั้งแต่การจากไปของพ่อและแม่ ริวก็ดูหงอยเหงา ร่างกายดูซูบผอมผิดหูผิดตา ถึงเด็กชายจะไม่ร้องไห้โยเย แต่อาการนิ่งเงียบ ไม่พูด ไม่ตอบสนอง และจมอยู่กับตัวเอง ทำให้ไอลดากังวลใจยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเป็นสัญญาณที่แสดงให้รู้ว่าอาการของริวย่ำแย่ลงมาก
ทั้งที่รู้ว่าอาการของริวแย่ลง ไอลดาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ เด็กออทิสติกอย่างริวไม่ได้ต้องการเพียงแค่การรักษาจากแพทย์เท่านั้น แต่สำคัญที่ต้องการการได้รับความรักและเอาใจใส่จากครอบครัวด้วย ไอลดาอยากจะมีเวลาดูแลริวให้มากกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเธอมีภาระเรื่องงานที่ไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย จะหวังอะไรกับดรุณีก็ไม่ได้ เพราะน้าสาวของเธอออกปากอย่างชัดเจนว่าจะไม่รับผิดชอบหรือช่วยดูแลริว ดังนั้นเด็กชายจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียวตามลำพัง และผลของการที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวก็ทำให้อาการของริวเลวร้ายลงเรื่อยๆ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อาการอาจจะรุนแรงจนยากเกินเยียวยา
“ถ้าริวว่าง่าย กินอาหารตรงตามเวลา และไม่โยเย พี่จะพาริวไปโรงเรียนเร็วๆ นี้” ไอลดายื่นข้อเสนอที่ทำให้ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างยินดี สิ่งเดียวที่ไอลดาพอจะทำให้น้องชายได้คือการจุดประกายความหวังให้กับเด็กน้อย
“ริว อยากไปโรงเรียน ริวเหงา อยากเล่นกับเพื่อนๆ” น้ำเสียงของริวแสดงออกถึงความยินดีอย่างเหลือล้น “ริวจะกินอาหารให้หมดจะได้ไปโรงเรียน” พูดจบริวก็ลงมือรับประทานอาหารจนหมดเกลี้ยง จนทำให้ไอลดายิ้มออก แต่ในขณะเดียวกันความหนักใจก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ริวเป็นคนที่จดจำคำสัญญาได้อย่างแม่นยำ เธอคงจะหลอกให้ความหวังน้องชายไปวันๆ คงไม่ได้
ดังนั้นหลังจากที่จัดการเรื่องอาหารการกินให้ริวเรียบร้อยแล้ว ไอลดาจึงหยิบแผ่นกระดาษของมากิโกะที่จดวัน เวลา และสถานที่ในการสัมภาษณ์งานกองถ่ายมาดู เมื่ออ่านโดยละเอียดก็พบว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสัมภาษณ์งานนี้แล้ว ช่วงเวลาในการสัมภาษณ์คือบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ที่ตึกแห่งหนึ่งในย่านชิบูย่า (Shibuya) กว่างานที่ร้านเบเกอรีจะเสร็จก็สี่โมงครึ่ง คงจะไปไม่ทันสัมภาษณ์แน่ๆ หนทางเดียวที่จะเธอจะออกไปสัมภาษณ์งานได้คือต้องโกหกว่าออกไปส่งกาแฟและขนมให้กับพนักงานออฟฟิซที่ทำงานอยู่ที่ตึกใกล้ๆ
เมื่อใกล้เวลาสี่โมงเย็น ไอลดาก็จัดขนมใส่กล่องพร้อมกาแฟร้อนอีกสี่ถ้วย เพื่อสร้างสถานการณ์ว่ามีคนโทรศัพท์มาสั่งขนมและกาแฟจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอก็เพิ่งเคยทำอะไรแผลงๆ ก็ตอนนี้แหละ แถมเป็นการโกหกที่ต้องมีการลงทุนเสียด้วย เพราะสนนราคาของทั้งหมดก็หลายเยนเลยทีเดียว เพราะเธอต้องจ่ายค่าขนมกับกาแฟเหล่านี้เอง แต่เพื่อโอกาสในการสัมภาษณ์ ไอลดาก็ยอมเสี่ยง
“น้าณีคะ พอดีลูกค้าโทร. มาสั่งกาแฟกับขนม หนูขอออกไปส่งของนะคะ” ไอลดาพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น เธอกลัวเหลือเกินว่าดรุณีจะจับพิรุธได้
“ลูกค้าโทร. มาสั่งของตอนไหน ทำไมน้าไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์” ดรุณีเปรยขึ้นมาอย่างสงสัย
“มีคนโทร. มาสั่งขนมตอนน้าณีเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ เอ่อ หนูต้องรีบแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวกาแฟจะเย็นหมด” ไอลดารีบตัดบทและผลุนผลันเดินออกจากร้านทันที
ไอลดาถือถุงที่บรรจุถ้วยกาแฟและกล่องขนมฝ่าฝูงชนไปอย่างเร่งรีบราวกับกลัวว่าดรุณีจะจับได้ว่าเธอโกหกแล้ววิ่งตามเธอมา ในขณะที่ไอลดากำลังก้มหน้าก้มตาเดินมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดินก็เกิดชนกับหญิงสาวคนหนึ่ง กาแฟร้อนๆ ที่ถืออยู่จึงหกรดชุดเดรสผ้าไหมสุดหรูของหญิงสาวผู้นั้น ยังไม่ทันที่ไอลดาจะเอ่ยปากขอโทษ หญิงสาวผู้นั้นก็กรีดร้องลั่นจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาวงแตก ฝูงชนบางส่วนพากันมุงดูเหตุการณ์ ไม่ใช่เพียงคนไทยหรอกที่สนใจความเป็นไปของคนอื่น ลองมาอยู่ในเหตุการณ์นี้ก็จะได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นมุงเป็นอย่างไร
“ยายบ้า เธอรู้มั้ยว่าชุดผ้าไหมของฉันตัวนี้ราคาเท่าไหร่ ดูซิ เป็นคราบกาแฟเลอะไปหมด ซักแห้งยังไงก็ไม่หาย แล้วยังจะแขนฉันที่ถูกลวกนี่อีก เธอจะรับผิดชอบยังไง” หญิงสาวผู้นั้นเดินก้าวเข้ามาหาเรื่องอย่างโมโหจัด เสียงตวาดเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างตะกุกตะกักอย่างคนที่เพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นมาได้ไม่นาน เสื้อผ้าชุดสวยของเจ้าหล่อนเป็นด่างดวงจนไอลดาหน้าเสีย มันคงซักแห้ง ไม่ได้จริงๆ อย่างที่หญิงสาวผู้นั้นว่า ค่าเสียหายคงแพงระยับ อาจจะเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของเธอเสียกระมัง
ไอลดากวาดตามองหญิงสาวหน้าตาถมึงทึงที่ยืนประจันหน้าเธออยู่ในเวลานี้ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างประเมิน เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเจ้าหล่อนเป็นคนสวย และไม่ได้สวยธรรมดาเสียด้วย แต่สวยอย่างโดดเด่นมีออร่าเปล่งประกาย รูปร่างสูงเพรียว เอวคอดสะโพกผายได้รูป แต่จุดเด่นคือใบหน้าที่สวยหวาน ดวงตากลมโต จมูกรั้นนิดๆ ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปสวย บวกกับการแต่งตัวที่มีรสนิยมก็ยิ่งเสริมให้เธอดูแตกต่างจากผู้คนที่เดินสัญจรตามท้องถนนทั่วไป ถุงร้านค้าแบรนด์เนมที่เจ้าหล่อนหอบหิ้วมาตกกระจายเต็มพื้นเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่
เมื่อเหลือบมองชื่อยี่ห้อที่ปรากฏอยู่ที่ถุงกระดาษเหล่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าสาวสวยผู้นี้จะต้องเป็นคนฐานะดี และคงจะเป็นคุณหนูไฮโซที่มาเที่ยวชอปปิงเป็นแน่ ไอลดาดูไม่ออกว่าเจ้าหล่อนเป็นคนชาติไหนกันแน่ จะว่าเป็นจีนก็ได้ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นเกาหลีก็คงไม่ผิดนัก แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่คนญี่ปุ่นเพราะสำเนียงพูดฟังดูแปร่งๆ เหมือนคนต่างชาติ
“ขอโทษนะคะ แล้วฉันจะจ่ายค่าเสียหายให้ ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ได้ไหมคะ ฉันกำลังรีบจริงๆ เพราะต้องไปสมัครงาน” ไอลดาเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ก็เกือบสี่โมงครึ่งแล้ว หากมัวแต่ทะเลาะกันอยู่แบบนี้คงจะไปสมัครงานไม่ทันกันพอดี
“อะไรกัน คิดจะเบี้ยวเงินฉันรึไง จ่ายค่าเสียหายฉันมาเลย เสื้อตัวนี้ถ้าคิดเป็นเงินเยนก็ตกราวๆ ห้าหมื่นกว่าเยน ฉันเองก็ไม่มีเวลาว่างเหมือนกันนั่นแหละ” สาวสวยตวาดกลับ ใบหน้าแสดงความรู้สึกไม่ไว้วางใจ
“ฉันไม่เบี้ยวเงินคุณหรอกค่ะ แต่ว่าวันนี้ฉันรีบจริงๆ ให้นามบัตรไว้แล้วฉันจะรีบติดต่อกลับไป”
“คิดว่าฉันจะเชื่อเธอได้เหรอ ดูสารรูปของเธอสิ คงจะมีเงินจ่ายฉันหรอกนะ” สาวสวยผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก ก่อนที่ไอลดาจะตอกกลับด้วยคำพูดที่เผ็ดร้อน ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสง่างามที่ไอลดารู้สึกคุ้นปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า รูปหน้าและท่าทางที่สง่างามของเขาดูไม่ผิดเพี้ยนไปจากรติกานต์หรือชิน ดาราดาวรุ่งของเอเชียเวลานี้ แต่ดาราดังอย่างชินจะเดินอยู่ตามถนนเวลานี้ได้อย่างไร เธอคงจะจำผิดแน่ๆ
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะปูเป้ ทำไมเสื้อถึงได้เลอะขนาดนี้” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่เขาเรียกชื่อว่าปูเป้ แสดงว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนไทย ไอลดาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าคู่กรณีจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่เธอก็แสร้งทำเป็นฟังภาษาไทยไม่เข้าใจเพราะอยากรู้ว่าเจ้าหล่อนจะพูดว่าอย่างไร
“ยายคนนี้เดินมาชนปูเป้ค่ะ ดูสิคะ กาแฟลวกจนแสบไปหมด ชุดก็เลอะ แล้วยังจะหนีไม่จ่ายค่าเสียหายอีก สิบแปดมงกุฏชัดๆ ปูเป้จะทำยังไงดีคะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอคนหน้าด้านขนาดนี้เลย ปูเป้ทำอะไรไม่ถูก” เจ้าหล่อนพลิกบทบาทจากท่าทางแข็งกร้าวมาเป็นอ่อนแอถูกรังแกไร้ทางสู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อพบหน้าชายหนุ่มผู้นั้น
“ไม่เป็นไรปูเป้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” ชายหนุ่มสุดหล่อที่หน้าตาละม้ายชินออกหน้าเจรจากับเธอแทน แต่ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะเอ่ยอะไรออกมา ไอลดาแอบสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นยืนมองเธออย่างตกตะลึงราวกับสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง ไอลดาก็เช่นเดียวกัน เธอนิ่งราวกับถูกมนตร์สะกดเมื่อยืนประจันหน้ากับชายหนุ่ม เขายังดูละม้ายกับรติกานต์หรือชิน นายแบบชื่อดังที่มีรูปภาพโฆษณาที่เขาเป็นแบบติดอยู่ทั่วมหานครโตเกียวในเวลานี้ ไอลดาไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพบกับรติกานต์ริมถนนอย่างนี้ บางทีเธออาจจำคนผิดก็ได้ แต่แล้วความคิดของไอลดาก็ต้องสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กของสาวสวยนามว่าปูเป้ที่พูดแทรกขึ้นมา
“มัวตะลึงอะไรอยู่คะ ทำไมไม่จัดการอะไรเสียที ปูเป้เหนียวตัวไปหมดแล้วนะ” เสียงเร่งเร้าระคนไม่พอใจของปูเป้ทำให้ชายหนุ่มได้สติ
“คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากจะจ่ายค่าเสียหายนี่เสียก่อน” ชายหนุ่มผู้นั้นพูดเสียงเข้ม น้ำเสียงฉายแววดูถูก
“ฉันไม่ได้คิดจะเบี้ยวเงิน แต่ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้ ขอโทษด้วยค่ะ” ไอลดาพยายามจะหาทางแทรกตัวผ่านชายหนุ่มผู้นั้น แต่ไม่เป็นผล เมื่อชายหนุ่มยืนกั้นเอาไว้ราวกับเธอเป็นนักโทษอาชญากรรมที่ทำความผิดอุกฉกรรจ์
“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าธุระของเธอจะสำคัญแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือเสื้อผ้าของเพื่อนฉันเสียหาย เธอจะต้องรับผิดชอบ จ่ายเงินมาเสียดีๆ ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจ” ชายหนุ่มผู้นั้นบริภาษเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อได้ยินคำขู่ว่าตำรวจ ทำให้ไอลดาตกใจ ถึงความผิดของเธอจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นถูกจับเข้าคุก แต่ก็คงต้องเสียเวลา เธอคงจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทันแน่ๆ
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันต้องไปจริงๆ ถ้าคุณไม่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายเงินยังไง หลีกทางด้วยค่ะ ฉันต้องรีบไป” ชายหนุ่มผู้นั้นกลับประชิดกันตัวเธอไม่ให้หนีไปไหน
“หลบไป ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เบี้ยวแน่ๆ ฉันมีธุระจริงๆ” ไอลดาพยายามเบี่ยงตัวหาช่องว่างที่จะลอดตัวไปให้ได้ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นจะไม่ยอมรอมชอมใดๆ จนกว่าเธอจะจ่ายค่าเสียหาย
“อย่าคิดนะว่าทำท่าร้อนรนแบบนี้แล้วฉันจะเชื่อ เธอมันพวกสิบแปดมงกุฏ ใครๆ ก็ดูออก” สายตาของชายหนุ่มฉายแววดูถูก จนทำให้ไอลดาโกรธจนหน้าชา
“คุณดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว...นี่ค่ะ เงินค่าเสียหาย พอใจหรือยัง ถ้ารับเงินแล้วก็ปล่อยฉันไปเสียที” ไอลดาจำใจควักเงินเก็บที่เธออุตส่าห์เก็บสะสมมาทั้งเดือนราวเจ็ดหมื่นเยนชดใช้ค่าเสียหายและเป็นการตัดปัญหา ชายหนุ่มผู้นั้นฉวยเงินจากมือของเธอและนับอย่างถ้วนถี่หลายรอบว่าเธอจ่ายเงินครบจึงยอมปล่อยตัวไป
ทันทีที่เคลียร์ปัญหาได้เรียบร้อย ไอลดาก็ได้ยินบทสนทนาแว่วๆ เป็นภาษาไทยดังขึ้นที่ข้างหู
“พี่ชิน ปล่อยมันไปได้ยังไง น่าจะเรียกตำรวจจับเสียให้เข็ด” ถึงแม้สาวสวยผู้นั้นได้เงินครบแล้วแต่ก็ยังเจ็บใจอยู่ ไอลดาสะดุดเมื่อได้ยินหญิงสาวคู่กรณีเรียกชายผู้นั้นว่า ‘ชิน’ และแน่ใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพูดของชายหนุ่ม ใช่แล้ว...ชิน เขาคือนายแบบดังคนนั้นจริงๆ
“อย่าถือสาหาความกับคนพรรค์นั้นเลยปูเป้ ขืนเรื่องถึงตำรวจจะเป็นข่าวเปล่าๆ เรารีบกลับกันดีกว่า เผื่อจะได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อนอาหารมื้อค่ำ” สาวสวยนามปูเป้จึงเงียบเสียงลง ไอลดาไม่สนใจว่าทั้งคู่จะกล่าวพาดพิงเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับเธออย่างไรอีก เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่เธอสนใจก็คือการรีบเร่งไปสัมภาษณ์ให้ทัน ไอลดาพยายามจะไปถึงอาคารแห่งนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตอนนี้เวลาเหลืออีกเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ป่านนี้กองละครอาจจะปิดสัมภาษณ์เพราะได้ผู้ประสานงานที่ต้องการแล้วก็เป็นได้
ไอลดาวิ่งกระหืดกระหอบจากสถานีรถไฟชินบุย่าจนมาถึงอาคารที่สัมภาษณ์ เธอมาเลตจากเวลานัดสัมภาษณ์เพียงห้านาที แต่ไอลดาก็ยังมีความหวังว่ากองถ่ายละครยังไม่ไปไหน เธอเร่งรุดขึ้นไปยังชั้นของอาคารซึ่งเป็นสถานที่ในการสัมภาษณ์
ภายในห้องโถงนั้นถึงแม้จะยังเปิดไฟสว่างจ้าแต่ก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เพิ่งปิดได้ไม่นานยังเคลียผิวให้รู้สึกเย็นฉ่ำ โต๊ะและเก้าอี้ที่จัดไว้สำหรับการสัมภาษณ์ยังคงตั้งอยู่เพียงแต่ไม่มีใครอยู่เลยเท่านั้น
เธอมาสายเกินไป...คณะกองถ่ายละครกลับกันไปหมดแล้ว!
ไอลดาอยากจะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น โชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอไปถึงไหน ชีวิตของเธอตอนนี้ไม่มีต้นทุนชีวิตใดๆ ให้ต่อรอง ไอลดาได้แต่ยืนเคว้งคว้างอย่างสิ้นหวัง การที่เธอมาสัมภาษณ์ไม่ทันในวันนี้จะโทษว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาคงไม่ได้ เพราะเธอลงทุนวางแผนไว้อย่างดี
หากจะโทษว่าความโชคร้ายที่เกิดกับเธอวันนี้เป็นเพราะใคร ใบหน้าของชายหนุ่มผู้มีนามว่ารติกานต์ก็ลอยเด่นขึ้นมา ใบหน้าหล่อนั้นมีรอยยิ้มเย้ยหยัน
สำหรับไอลดา รอยยิ้มของรติกานต์ไม่ใช่รอยยิ้มของเทพบุตร แต่มันคือรอยยิ้มของปีศาจ ทุกครั้งที่เธอมีเหตุได้พบเห็นใบหน้านี้ เป็นต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมาเสมอ ครั้งแรกที่ได้เห็นโปสเตอร์ของเขา เธอก็ได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต คือการเสียชีวิตของพ่อและแม่ที่เมืองไทย หลังจากนั้นไม่นานริวก็วิ่งเตลิดออกไปที่กลางถนนจนเกือบถูกรถชน แล้วคราวนี้ที่ได้เจอกับเขาอย่างจังๆ เขาก็ทำให้เธอพลาดโอกาสสัมภาษณ์งานรายได้งาม ซ้ำเงินเดือนที่เธออุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเป็นค่าใช้จ่ายของเดือนนี้ก็พลอยหมดไปด้วย...แบบนี้มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน!
โชคชะตาอาจชักนำคนบางคนมาเพื่อเป็นเนื้อคู่ แต่สำหรับรติกานต์ เขาคงถูกชักนำมาเพื่อทำลายชีวิตของเธอ เรื่องบางอย่างในชีวิตอาจไม่มีคำอธิบาย แต่สัญชาตญาณของไอลดาก็เตือนว่าทางที่ดีที่สุดเธอควรจะหลีกหนีให้ไกลจากผู้ชายคนนี้ ก่อนที่เขาจะทำลายชีวิตของเธอให้ย่อยยับอับปางและพินาศไปมากกว่านี้
“ ยู้ฮู...ไอ ดีใจจังที่ได้พบเธอ” มากิโกะ เพื่อนสาวชาวญี่ปุนตะโกนร้องเรียกไอลดาที่กำลังขี่จักรยานลงมาจากเนิน
“สวัสดีจ้ะ มากิโกะ เธอมาทำอะไรแถวนี้ตั้งแต่เช้าจ๊ะ” ไอลดาถามเพื่อนสาวด้วยความสงสัย เพราะมากิโกะอาศัยอยู่ที่ย่านอื่น
“ฉันจะแวะมาซื้อหนังสือนะจ๊ะ ว่าแต่เธอพอจะมีเวลาหรือเปล่า อีกยี่สิบนาทีกว่าร้านหนังสือจะเปิด อยากชวนเธอไปนั่งจิบชา เผื่อจะได้นั่งคุยกัน”
“อืม ได้จ้ะ ฉันเองก็มีเรื่องอยากจะปรึกษาเธออยู่เหมือนกัน” โชคดีที่วันนี้ไอลดาส่งหนังสือพิมพ์และนมเสร็จแล้วจึงพอมีเวลาเหลืออยู่เล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปทำขนม
ในฐานะเจ้าถิ่นย่านกินซ่า ไอลดาจึงพามากิโกะไปยังร้านชาญี่ปุ่นเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งเป็นห้องแถวเล็กๆ ขนาดสามชั้น ชั้นล่างสุดคือร้านขายชาซึ่งเป็นร้านขายปลีกและมีทางเดินแคบขึ้นไปชั้นบนซึ่งเป็นส่วนบริการชาให้ดื่ม ร้านชาแห่งนี้มีบรรยากาศสบายๆ ตกแต่งแบบร่วมสมัย แต่ยังมีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอยู่ เพราะมีที่นั่งเป็นไม้และมีเบาะผ้าวางอยู่ ระหว่างที่รอพนักงานมาเสิร์ฟชา ไอลดากับมากิโกะจึงคุยกันไปพลางๆ
“ไอ เรื่องงานเป็นยังไงบ้าง ทำไหวใช่ไหมจ๊ะ ดูเธอสิ ตอนนี้ตัวซูบผอมเล็กนิดเดียว” มากิโกะเอ่ยถามขึ้นมาก่อน
“เรื่องงานน่ะ หนักแค่ไหนก็ทำได้ แต่ปัญหาก็คือมันยังไม่พอค่าใช้จ่ายน่ะสิ ค่าเรียนและค่ารักษาอาการออทิสติกของริวนั้นแพงมากจริงๆ ฉันกลุ้มใจมากเพราะอยากจะหางานทำเพิ่มอีก แต่ตอนนี้ตารางงานก็แน่นเอี้ยดตั้งแต่เช้าจนถึงดึกทุกวัน ไม่รู้ว่าจะเอาเวลาไปหางานทำเพิ่มได้อีกตอนไหน บางทีฉันอาจจะต้องหางานที่ได้เงินมากกว่าเดิม ถึงจะเป็นงานชั่วคราวก็ยังดีเพราะจะต้องจ่ายค่าเรียนให้ริวเร็วๆ นี้แล้ว” ไอลดาพูดด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
“ฉันก็กำลังจะบอกเธอเรื่องงานอยู่นี่แหละ ว่าฉันเห็นป้ายประกาศติดอยู่ที่มหาวิทยาลัย ว่ากำลังมีกองถ่ายละครจากเมืองไทยจะมาถ่ายทำที่ญี่ปุ่นหนึ่งเดือน เขาก็เลยต้องการนักศึกษาญี่ปุ่นที่พูดทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้คล่องเพื่อช่วยประสานงาน รู้สึกค่าจ้างจะตกราวๆ สองแสนเยนเลยทีเดียว น่าจะมากกว่าค่าส่งนม หนังสือพิมพ์และราเมนสองเดือนรวมกันเสียอีก ฉันว่าเธอน่าจะลองไปสมัครดูนะ” มากิโกะพูดพลางยื่นเศษกระดาษที่จดสถานที่และเวลาในการสัมภาษณ์ให้กับไอลดา
“ขอบใจเธอมากนะจ๊ะที่คอยเป็นห่วงหางานให้ฉันอยู่เรื่อย ถ้าไม่ได้เธอช่วย ฉันกับน้องก็คงจะแย่ งานนี้น่าสนใจมาก คงมีนักศึกษาคนไทยไปสมัครเยอะ ไม่รู้ว่าฉันจะได้หรือเปล่า ที่สำคัญช่วงสายๆ ถึงเย็น ฉันต้องช่วยงานเบเกอรีของน้า ส่วนตอนเย็นถึงดึกก็ต้องไปทำงานที่ร้านราเมน ฉันเองเพิ่งจะเริ่มงานได้ไม่กี่วัน หากลาออก เธอก็เสียเครดิตคนแนะนำพอดี”
“เธอไม่ต้องกังวลเรื่องงานที่ราเมนหรอก ฉันว่าลุงคงจะเข้าใจ หากเธอบอกเหตุผลว่าต้องลาออกเพราะได้งานที่รายได้สูงกว่า ท่านจะดีใจกับเธอด้วยซ้ำ แล้วพนักงานเสิร์ฟก็หาได้ไม่ยาก เพราะมีคนหารายได้พิเศษงานพาร์ตไทม์กันเยอะ อืม ส่วนเรื่องงานเบเกอรี ถ้าเดือนนั้นหากเธอต้องทำงานประสานงานจริงๆ เธอก็จ่ายค่ากินอยู่ให้น้าไปเสียสิ เงินค่าจ้างนั่นน่าจะพอใช้จ่ายได้สบายนะ”
“แต่งานกองละครนี้ก็เป็นงานแค่เดือนเดียว พอหมดจ็อบนี้ฉันก็ต้องหางานใหม่อีกน่ะสิ เกิดหางานไม่ได้ แล้วเงินช็อต ฉันต้องแย่แน่ๆ” ไอลดายังคงหวั่นวิตกไม่หาย ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบ เพราะไม่ใช่เพียงแค่เธอต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเอง เธอยังต้องรับผิดชอบชีวิตของน้องชายอีกด้วย
สองสาวเงียบงันกันไปพักนึง พนักงานเสิร์ฟสาวในชุดกิโมโนก็ยกกาน้ำชาพร้อมถ้วยสองใบมาวางเสิร์ฟให้พร้อมกับขนมหวานอย่างวากาชิ (Wagashi) ซึ่งมีหน้าตาและสีสันสวยงามจนแทบไม่มีใครกล้าหยิบรับประทาน
“ดื่มชาร้อนๆ เสียหน่อย เผื่อจะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น” มากิโกะบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ไอลดาจึงยกแก้วชาที่มากิโกะรินให้ขึ้นจิบ ความร้อนและความหวานอมฝาดแผ่ซ่านในลำคอทำให้ไอลดาคลายความกังวลและความรุ่มร้อนใจไปได้มาก
“ขอโทษที่ฉันตีตนไปก่อนไข้ เอาเป็นว่าฉันควรลองไปสมัครงานกองถ่ายก่อน ถ้าได้งานนั่นจริงๆระหว่างที่ทำงานฉันก็สมัครงานอื่นไปพลางๆ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาจริงไหม” ไอลดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอายๆ ที่เมื่อกี้เธอตีโพยตีพายเกินกว่าเหตุ
“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็คงกังวลร้อยแปดเหมือนกัน แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอกังวลใจจนเกินไป ถึงแม้ปัญหาของเธอจะหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ แต่ถ้าค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ปัญหา ฉันก็เชื่อมั่นว่าเธอจะต้องผ่านพ้นปัญหาไปได้อย่างแน่นอน” มากิโกะพูดอย่างให้กำลังใจ
สองสาวดื่มชาอีกครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไป ไอลดากลับมาเริ่มงานสายสิบนาที เนื่องจากลืมเวลาเพราะมัวแต่คุยเพลิน ดรุณีเหน็บแนมเธอทันทีที่มาถึง
“มัวไปเอ้อระเหยอยู่ไหน ถึงได้ปล่อยให้น้าเตรียมข้าวของอยู่คนเดียว นี่ยังไม่ทันไรก็เหลวเสียแล้ว”
“ขอโทษค่ะน้าณี พอดีว่าวันนี้หนูต้องขี่จักรยานไปส่งนมกับหนังสือพิมพ์อีกย่านหนึ่งก็เลยกลับมาสาย หนูรับรองค่ะว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้ว”
“เธอก็แก้ตัวอยู่เรื่อย คราวที่แล้วก็ทำครัวเลอะเทอะไปหมด คราวนี้ก็มาสายอีก แล้วคราวหน้าเธอจะสร้างความเดือดร้อนอะไรอีก เธอเนี่ยเกิดมาเพื่อสร้างความวุ่นวายให้ฉันเสียจริง” ดรุณีบ่นไม่ยอมหยุด แต่ไอลดาพยายามไม่เอาคำบ่นว่าของดรุณีมาเป็นอารมณ์ ทางที่ดีที่สุดคือต้องปล่อยให้ดรุณีบ่นจนพอใจ ส่วนเธอก็รีบกระวีกระวาดลงมือทำขนมอย่างไม่มีปากเสียง
หลังจากอบขนมช่วงเช้าเสร็จไปส่วนหนึ่ง ก่อนจะเปิดร้านไอลดาก็รีบเตรียมอาหารเช้าให้แก่ริวอย่างง่ายๆ คือไข่ดาว ไส้กรอก และขนมปังปิ้ง ช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะเป็นโอกาสที่เธอได้พูดคุยและดูแลริว ก่อนจะลงไปช่วยดรุณีทำกาแฟและขายขนมจนถึงช่วงบ่ายโมง
“ริว รีบกินข้าวเช้าเสียสิ อย่ามัวแต่วาดรูปอยู่” ไอลดาร้องเรียกริวที่ง่วนอยู่กับการวาดภาพอย่างมีสมาธิ
“ผมยังไม่หิวครับ” ริวโยเยไม่ยอมกินข้าว
“ไม่ได้จ้ะ ริวต้องกินข้าวก่อน ไม่อย่างนั้นพี่จะไม่ยอมให้ริววาดรูป” ไอลดาตั้งท่าจะริบแท่งสีเทียนที่วางเกลื่อนกลาดอยู่บนโต๊ะ ริวจึงทำหน้าจ๋อยๆ ก่อนจะยอมรับประทานแต่โดยดี
ไอลดารู้สึกเป็นห่วงริวมาก นับตั้งแต่การจากไปของพ่อและแม่ ริวก็ดูหงอยเหงา ร่างกายดูซูบผอมผิดหูผิดตา ถึงเด็กชายจะไม่ร้องไห้โยเย แต่อาการนิ่งเงียบ ไม่พูด ไม่ตอบสนอง และจมอยู่กับตัวเอง ทำให้ไอลดากังวลใจยิ่งกว่าเดิม เพราะมันเป็นสัญญาณที่แสดงให้รู้ว่าอาการของริวย่ำแย่ลงมาก
ทั้งที่รู้ว่าอาการของริวแย่ลง ไอลดาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ เด็กออทิสติกอย่างริวไม่ได้ต้องการเพียงแค่การรักษาจากแพทย์เท่านั้น แต่สำคัญที่ต้องการการได้รับความรักและเอาใจใส่จากครอบครัวด้วย ไอลดาอยากจะมีเวลาดูแลริวให้มากกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเธอมีภาระเรื่องงานที่ไม่เอื้ออำนวยเอาเสียเลย จะหวังอะไรกับดรุณีก็ไม่ได้ เพราะน้าสาวของเธอออกปากอย่างชัดเจนว่าจะไม่รับผิดชอบหรือช่วยดูแลริว ดังนั้นเด็กชายจึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่คนเดียวตามลำพัง และผลของการที่ถูกทิ้งอย่างโดดเดี่ยวก็ทำให้อาการของริวเลวร้ายลงเรื่อยๆ ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อาการอาจจะรุนแรงจนยากเกินเยียวยา
“ถ้าริวว่าง่าย กินอาหารตรงตามเวลา และไม่โยเย พี่จะพาริวไปโรงเรียนเร็วๆ นี้” ไอลดายื่นข้อเสนอที่ทำให้ดวงตาของเด็กชายเป็นประกาย ริมฝีปากคลี่ยิ้มอย่างยินดี สิ่งเดียวที่ไอลดาพอจะทำให้น้องชายได้คือการจุดประกายความหวังให้กับเด็กน้อย
“ริว อยากไปโรงเรียน ริวเหงา อยากเล่นกับเพื่อนๆ” น้ำเสียงของริวแสดงออกถึงความยินดีอย่างเหลือล้น “ริวจะกินอาหารให้หมดจะได้ไปโรงเรียน” พูดจบริวก็ลงมือรับประทานอาหารจนหมดเกลี้ยง จนทำให้ไอลดายิ้มออก แต่ในขณะเดียวกันความหนักใจก็แล่นขึ้นมาเป็นริ้ว ริวเป็นคนที่จดจำคำสัญญาได้อย่างแม่นยำ เธอคงจะหลอกให้ความหวังน้องชายไปวันๆ คงไม่ได้
ดังนั้นหลังจากที่จัดการเรื่องอาหารการกินให้ริวเรียบร้อยแล้ว ไอลดาจึงหยิบแผ่นกระดาษของมากิโกะที่จดวัน เวลา และสถานที่ในการสัมภาษณ์งานกองถ่ายมาดู เมื่ออ่านโดยละเอียดก็พบว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสัมภาษณ์งานนี้แล้ว ช่วงเวลาในการสัมภาษณ์คือบ่ายโมงถึงห้าโมงเย็น ที่ตึกแห่งหนึ่งในย่านชิบูย่า (Shibuya) กว่างานที่ร้านเบเกอรีจะเสร็จก็สี่โมงครึ่ง คงจะไปไม่ทันสัมภาษณ์แน่ๆ หนทางเดียวที่จะเธอจะออกไปสัมภาษณ์งานได้คือต้องโกหกว่าออกไปส่งกาแฟและขนมให้กับพนักงานออฟฟิซที่ทำงานอยู่ที่ตึกใกล้ๆ
เมื่อใกล้เวลาสี่โมงเย็น ไอลดาก็จัดขนมใส่กล่องพร้อมกาแฟร้อนอีกสี่ถ้วย เพื่อสร้างสถานการณ์ว่ามีคนโทรศัพท์มาสั่งขนมและกาแฟจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาเธอก็เพิ่งเคยทำอะไรแผลงๆ ก็ตอนนี้แหละ แถมเป็นการโกหกที่ต้องมีการลงทุนเสียด้วย เพราะสนนราคาของทั้งหมดก็หลายเยนเลยทีเดียว เพราะเธอต้องจ่ายค่าขนมกับกาแฟเหล่านี้เอง แต่เพื่อโอกาสในการสัมภาษณ์ ไอลดาก็ยอมเสี่ยง
“น้าณีคะ พอดีลูกค้าโทร. มาสั่งกาแฟกับขนม หนูขอออกไปส่งของนะคะ” ไอลดาพยายามบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่น เธอกลัวเหลือเกินว่าดรุณีจะจับพิรุธได้
“ลูกค้าโทร. มาสั่งของตอนไหน ทำไมน้าไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์” ดรุณีเปรยขึ้นมาอย่างสงสัย
“มีคนโทร. มาสั่งขนมตอนน้าณีเข้าห้องน้ำน่ะค่ะ เอ่อ หนูต้องรีบแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวกาแฟจะเย็นหมด” ไอลดารีบตัดบทและผลุนผลันเดินออกจากร้านทันที
ไอลดาถือถุงที่บรรจุถ้วยกาแฟและกล่องขนมฝ่าฝูงชนไปอย่างเร่งรีบราวกับกลัวว่าดรุณีจะจับได้ว่าเธอโกหกแล้ววิ่งตามเธอมา ในขณะที่ไอลดากำลังก้มหน้าก้มตาเดินมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดินก็เกิดชนกับหญิงสาวคนหนึ่ง กาแฟร้อนๆ ที่ถืออยู่จึงหกรดชุดเดรสผ้าไหมสุดหรูของหญิงสาวผู้นั้น ยังไม่ทันที่ไอลดาจะเอ่ยปากขอโทษ หญิงสาวผู้นั้นก็กรีดร้องลั่นจนผู้คนที่เดินผ่านไปมาวงแตก ฝูงชนบางส่วนพากันมุงดูเหตุการณ์ ไม่ใช่เพียงคนไทยหรอกที่สนใจความเป็นไปของคนอื่น ลองมาอยู่ในเหตุการณ์นี้ก็จะได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นมุงเป็นอย่างไร
“ยายบ้า เธอรู้มั้ยว่าชุดผ้าไหมของฉันตัวนี้ราคาเท่าไหร่ ดูซิ เป็นคราบกาแฟเลอะไปหมด ซักแห้งยังไงก็ไม่หาย แล้วยังจะแขนฉันที่ถูกลวกนี่อีก เธอจะรับผิดชอบยังไง” หญิงสาวผู้นั้นเดินก้าวเข้ามาหาเรื่องอย่างโมโหจัด เสียงตวาดเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างตะกุกตะกักอย่างคนที่เพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นมาได้ไม่นาน เสื้อผ้าชุดสวยของเจ้าหล่อนเป็นด่างดวงจนไอลดาหน้าเสีย มันคงซักแห้ง ไม่ได้จริงๆ อย่างที่หญิงสาวผู้นั้นว่า ค่าเสียหายคงแพงระยับ อาจจะเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของเธอเสียกระมัง
ไอลดากวาดตามองหญิงสาวหน้าตาถมึงทึงที่ยืนประจันหน้าเธออยู่ในเวลานี้ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างประเมิน เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้ได้ว่าเจ้าหล่อนเป็นคนสวย และไม่ได้สวยธรรมดาเสียด้วย แต่สวยอย่างโดดเด่นมีออร่าเปล่งประกาย รูปร่างสูงเพรียว เอวคอดสะโพกผายได้รูป แต่จุดเด่นคือใบหน้าที่สวยหวาน ดวงตากลมโต จมูกรั้นนิดๆ ริมฝีปากเป็นกระจับได้รูปสวย บวกกับการแต่งตัวที่มีรสนิยมก็ยิ่งเสริมให้เธอดูแตกต่างจากผู้คนที่เดินสัญจรตามท้องถนนทั่วไป ถุงร้านค้าแบรนด์เนมที่เจ้าหล่อนหอบหิ้วมาตกกระจายเต็มพื้นเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่
เมื่อเหลือบมองชื่อยี่ห้อที่ปรากฏอยู่ที่ถุงกระดาษเหล่านั้นก็พอจะเดาได้ว่าสาวสวยผู้นี้จะต้องเป็นคนฐานะดี และคงจะเป็นคุณหนูไฮโซที่มาเที่ยวชอปปิงเป็นแน่ ไอลดาดูไม่ออกว่าเจ้าหล่อนเป็นคนชาติไหนกันแน่ จะว่าเป็นจีนก็ได้ แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นเกาหลีก็คงไม่ผิดนัก แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่ใช่คนญี่ปุ่นเพราะสำเนียงพูดฟังดูแปร่งๆ เหมือนคนต่างชาติ
“ขอโทษนะคะ แล้วฉันจะจ่ายค่าเสียหายให้ ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อไว้ได้ไหมคะ ฉันกำลังรีบจริงๆ เพราะต้องไปสมัครงาน” ไอลดาเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ ตอนนี้ก็เกือบสี่โมงครึ่งแล้ว หากมัวแต่ทะเลาะกันอยู่แบบนี้คงจะไปสมัครงานไม่ทันกันพอดี
“อะไรกัน คิดจะเบี้ยวเงินฉันรึไง จ่ายค่าเสียหายฉันมาเลย เสื้อตัวนี้ถ้าคิดเป็นเงินเยนก็ตกราวๆ ห้าหมื่นกว่าเยน ฉันเองก็ไม่มีเวลาว่างเหมือนกันนั่นแหละ” สาวสวยตวาดกลับ ใบหน้าแสดงความรู้สึกไม่ไว้วางใจ
“ฉันไม่เบี้ยวเงินคุณหรอกค่ะ แต่ว่าวันนี้ฉันรีบจริงๆ ให้นามบัตรไว้แล้วฉันจะรีบติดต่อกลับไป”
“คิดว่าฉันจะเชื่อเธอได้เหรอ ดูสารรูปของเธอสิ คงจะมีเงินจ่ายฉันหรอกนะ” สาวสวยผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก ก่อนที่ไอลดาจะตอกกลับด้วยคำพูดที่เผ็ดร้อน ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสง่างามที่ไอลดารู้สึกคุ้นปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า รูปหน้าและท่าทางที่สง่างามของเขาดูไม่ผิดเพี้ยนไปจากรติกานต์หรือชิน ดาราดาวรุ่งของเอเชียเวลานี้ แต่ดาราดังอย่างชินจะเดินอยู่ตามถนนเวลานี้ได้อย่างไร เธอคงจะจำผิดแน่ๆ
“เกิดอะไรขึ้นจ๊ะปูเป้ ทำไมเสื้อถึงได้เลอะขนาดนี้” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสภาพของหญิงสาวที่เขาเรียกชื่อว่าปูเป้ แสดงว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นคนไทย ไอลดาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าคู่กรณีจะมีสายเลือดเดียวกัน แต่เธอก็แสร้งทำเป็นฟังภาษาไทยไม่เข้าใจเพราะอยากรู้ว่าเจ้าหล่อนจะพูดว่าอย่างไร
“ยายคนนี้เดินมาชนปูเป้ค่ะ ดูสิคะ กาแฟลวกจนแสบไปหมด ชุดก็เลอะ แล้วยังจะหนีไม่จ่ายค่าเสียหายอีก สิบแปดมงกุฏชัดๆ ปูเป้จะทำยังไงดีคะ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเจอคนหน้าด้านขนาดนี้เลย ปูเป้ทำอะไรไม่ถูก” เจ้าหล่อนพลิกบทบาทจากท่าทางแข็งกร้าวมาเป็นอ่อนแอถูกรังแกไร้ทางสู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์เมื่อพบหน้าชายหนุ่มผู้นั้น
“ไม่เป็นไรปูเป้ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” ชายหนุ่มสุดหล่อที่หน้าตาละม้ายชินออกหน้าเจรจากับเธอแทน แต่ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นั้นจะเอ่ยอะไรออกมา ไอลดาแอบสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มผู้นั้นยืนมองเธออย่างตกตะลึงราวกับสะดุดใจกับอะไรบางอย่าง ไอลดาก็เช่นเดียวกัน เธอนิ่งราวกับถูกมนตร์สะกดเมื่อยืนประจันหน้ากับชายหนุ่ม เขายังดูละม้ายกับรติกานต์หรือชิน นายแบบชื่อดังที่มีรูปภาพโฆษณาที่เขาเป็นแบบติดอยู่ทั่วมหานครโตเกียวในเวลานี้ ไอลดาไม่อยากเชื่อว่าเธอจะพบกับรติกานต์ริมถนนอย่างนี้ บางทีเธออาจจำคนผิดก็ได้ แต่แล้วความคิดของไอลดาก็ต้องสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กของสาวสวยนามว่าปูเป้ที่พูดแทรกขึ้นมา
“มัวตะลึงอะไรอยู่คะ ทำไมไม่จัดการอะไรเสียที ปูเป้เหนียวตัวไปหมดแล้วนะ” เสียงเร่งเร้าระคนไม่พอใจของปูเป้ทำให้ชายหนุ่มได้สติ
“คุณจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น นอกจากจะจ่ายค่าเสียหายนี่เสียก่อน” ชายหนุ่มผู้นั้นพูดเสียงเข้ม น้ำเสียงฉายแววดูถูก
“ฉันไม่ได้คิดจะเบี้ยวเงิน แต่ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้ ขอโทษด้วยค่ะ” ไอลดาพยายามจะหาทางแทรกตัวผ่านชายหนุ่มผู้นั้น แต่ไม่เป็นผล เมื่อชายหนุ่มยืนกั้นเอาไว้ราวกับเธอเป็นนักโทษอาชญากรรมที่ทำความผิดอุกฉกรรจ์
“ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าธุระของเธอจะสำคัญแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ คือเสื้อผ้าของเพื่อนฉันเสียหาย เธอจะต้องรับผิดชอบ จ่ายเงินมาเสียดีๆ ก่อนที่ฉันจะเรียกตำรวจ” ชายหนุ่มผู้นั้นบริภาษเป็นภาษาอังกฤษ
เมื่อได้ยินคำขู่ว่าตำรวจ ทำให้ไอลดาตกใจ ถึงความผิดของเธอจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นถูกจับเข้าคุก แต่ก็คงต้องเสียเวลา เธอคงจะไปสัมภาษณ์งานไม่ทันแน่ๆ
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันต้องไปจริงๆ ถ้าคุณไม่ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ฉันก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายเงินยังไง หลีกทางด้วยค่ะ ฉันต้องรีบไป” ชายหนุ่มผู้นั้นกลับประชิดกันตัวเธอไม่ให้หนีไปไหน
“หลบไป ฉันบอกแล้วไงว่าไม่เบี้ยวแน่ๆ ฉันมีธุระจริงๆ” ไอลดาพยายามเบี่ยงตัวหาช่องว่างที่จะลอดตัวไปให้ได้ แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นจะไม่ยอมรอมชอมใดๆ จนกว่าเธอจะจ่ายค่าเสียหาย
“อย่าคิดนะว่าทำท่าร้อนรนแบบนี้แล้วฉันจะเชื่อ เธอมันพวกสิบแปดมงกุฏ ใครๆ ก็ดูออก” สายตาของชายหนุ่มฉายแววดูถูก จนทำให้ไอลดาโกรธจนหน้าชา
“คุณดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว...นี่ค่ะ เงินค่าเสียหาย พอใจหรือยัง ถ้ารับเงินแล้วก็ปล่อยฉันไปเสียที” ไอลดาจำใจควักเงินเก็บที่เธออุตส่าห์เก็บสะสมมาทั้งเดือนราวเจ็ดหมื่นเยนชดใช้ค่าเสียหายและเป็นการตัดปัญหา ชายหนุ่มผู้นั้นฉวยเงินจากมือของเธอและนับอย่างถ้วนถี่หลายรอบว่าเธอจ่ายเงินครบจึงยอมปล่อยตัวไป
ทันทีที่เคลียร์ปัญหาได้เรียบร้อย ไอลดาก็ได้ยินบทสนทนาแว่วๆ เป็นภาษาไทยดังขึ้นที่ข้างหู
“พี่ชิน ปล่อยมันไปได้ยังไง น่าจะเรียกตำรวจจับเสียให้เข็ด” ถึงแม้สาวสวยผู้นั้นได้เงินครบแล้วแต่ก็ยังเจ็บใจอยู่ ไอลดาสะดุดเมื่อได้ยินหญิงสาวคู่กรณีเรียกชายผู้นั้นว่า ‘ชิน’ และแน่ใจมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพูดของชายหนุ่ม ใช่แล้ว...ชิน เขาคือนายแบบดังคนนั้นจริงๆ
“อย่าถือสาหาความกับคนพรรค์นั้นเลยปูเป้ ขืนเรื่องถึงตำรวจจะเป็นข่าวเปล่าๆ เรารีบกลับกันดีกว่า เผื่อจะได้อาบน้ำแต่งตัวใหม่ก่อนอาหารมื้อค่ำ” สาวสวยนามปูเป้จึงเงียบเสียงลง ไอลดาไม่สนใจว่าทั้งคู่จะกล่าวพาดพิงเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับเธออย่างไรอีก เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่เธอสนใจก็คือการรีบเร่งไปสัมภาษณ์ให้ทัน ไอลดาพยายามจะไปถึงอาคารแห่งนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะตอนนี้เวลาเหลืออีกเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้น ป่านนี้กองละครอาจจะปิดสัมภาษณ์เพราะได้ผู้ประสานงานที่ต้องการแล้วก็เป็นได้
ไอลดาวิ่งกระหืดกระหอบจากสถานีรถไฟชินบุย่าจนมาถึงอาคารที่สัมภาษณ์ เธอมาเลตจากเวลานัดสัมภาษณ์เพียงห้านาที แต่ไอลดาก็ยังมีความหวังว่ากองถ่ายละครยังไม่ไปไหน เธอเร่งรุดขึ้นไปยังชั้นของอาคารซึ่งเป็นสถานที่ในการสัมภาษณ์
ภายในห้องโถงนั้นถึงแม้จะยังเปิดไฟสว่างจ้าแต่ก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน ไอความเย็นจากเครื่องปรับอากาศที่เพิ่งปิดได้ไม่นานยังเคลียผิวให้รู้สึกเย็นฉ่ำ โต๊ะและเก้าอี้ที่จัดไว้สำหรับการสัมภาษณ์ยังคงตั้งอยู่เพียงแต่ไม่มีใครอยู่เลยเท่านั้น
เธอมาสายเกินไป...คณะกองถ่ายละครกลับกันไปหมดแล้ว!
ไอลดาอยากจะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้น โชคชะตาจะเล่นตลกกับเธอไปถึงไหน ชีวิตของเธอตอนนี้ไม่มีต้นทุนชีวิตใดๆ ให้ต่อรอง ไอลดาได้แต่ยืนเคว้งคว้างอย่างสิ้นหวัง การที่เธอมาสัมภาษณ์ไม่ทันในวันนี้จะโทษว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาคงไม่ได้ เพราะเธอลงทุนวางแผนไว้อย่างดี
หากจะโทษว่าความโชคร้ายที่เกิดกับเธอวันนี้เป็นเพราะใคร ใบหน้าของชายหนุ่มผู้มีนามว่ารติกานต์ก็ลอยเด่นขึ้นมา ใบหน้าหล่อนั้นมีรอยยิ้มเย้ยหยัน
สำหรับไอลดา รอยยิ้มของรติกานต์ไม่ใช่รอยยิ้มของเทพบุตร แต่มันคือรอยยิ้มของปีศาจ ทุกครั้งที่เธอมีเหตุได้พบเห็นใบหน้านี้ เป็นต้องมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมาเสมอ ครั้งแรกที่ได้เห็นโปสเตอร์ของเขา เธอก็ได้รับข่าวร้ายที่สุดในชีวิต คือการเสียชีวิตของพ่อและแม่ที่เมืองไทย หลังจากนั้นไม่นานริวก็วิ่งเตลิดออกไปที่กลางถนนจนเกือบถูกรถชน แล้วคราวนี้ที่ได้เจอกับเขาอย่างจังๆ เขาก็ทำให้เธอพลาดโอกาสสัมภาษณ์งานรายได้งาม ซ้ำเงินเดือนที่เธออุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเป็นค่าใช้จ่ายของเดือนนี้ก็พลอยหมดไปด้วย...แบบนี้มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน!
โชคชะตาอาจชักนำคนบางคนมาเพื่อเป็นเนื้อคู่ แต่สำหรับรติกานต์ เขาคงถูกชักนำมาเพื่อทำลายชีวิตของเธอ เรื่องบางอย่างในชีวิตอาจไม่มีคำอธิบาย แต่สัญชาตญาณของไอลดาก็เตือนว่าทางที่ดีที่สุดเธอควรจะหลีกหนีให้ไกลจากผู้ชายคนนี้ ก่อนที่เขาจะทำลายชีวิตของเธอให้ย่อยยับอับปางและพินาศไปมากกว่านี้
นภาสรร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มิ.ย. 2555, 08:44:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มิ.ย. 2555, 08:44:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1600
<< ตอนที่ 4 |