กามเทพปีกหัก
เขานำความสูญเสียและโชคร้ายสู่ชีวิตเธอทุกครั้งที่พบ
กามเทพควรจะอุ้มสมรัก..แต่เมื่อกามเทพปีกหักรักของเขาและเธอจึงกลับตาลปัตรกว่าจะลงเอย
กามเทพควรจะอุ้มสมรัก..แต่เมื่อกามเทพปีกหักรักของเขาและเธอจึงกลับตาลปัตรกว่าจะลงเอย
Tags: กามเทพ
ตอน: ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
วันนี้เป็นวันแรกที่ไอลดาเริ่มต้นชีวิตการทำงานอย่างเต็มตัว ถึงแม้เธอยังนึกอาลัยชีวิตนักศึกษามากแค่ไหน ก็ต้องทำใจยอมรับว่าชีวิตสว่างไสวของเธอได้จบสิ้นลงแล้ว ที่สำคัญไม่มีเวลาให้อนาทรถอดถอนใจเพราะหลังจากขี่จักรยานไปส่งนมและหนังสือพิมพ์ในบริเวณใกล้เคียงก่อนฟ้าสาง เธอก็จะต้องรีบกลับมาช่วยดรุณีอบขนมปังและเค้กสองสามชนิดตอนเจ็ดโมงเพิ่มเติมจากขนมบางส่วนที่น้าสาวอบไปแล้วเมื่อวาน
ไอลดารีบเดินเข้ามาในร้านอย่างเร่งรีบเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มงานทำขนม จึงไม่อยากมาสายให้ดรุณีตำหนิได้ แต่ทว่าไฟในห้องครัวยังมืดสนิท เมื่อเดินเข้าไปกดปุ่มสวิทซ์ไฟที่ฝาผนังจนสว่างทั่วห้อง จึงเห็นว่าดรุณีทิ้งกระดาษโน้ตเขียนไว้ว่า จะออกไปทำผม และจะกลับมาอีกทีราวๆ แปดโมงซึ่งเป็นเวลาเปิดร้าน ให้เธอลงมือทำขนมปังตามสูตรที่วางทิ้งไว้ให้บนโต๊ะเองเลย
ไอลดาอดโมโหดรุณีไม่ได้ วันนี้เป็นวันที่เพิ่งเริ่มทำงานวันแรกแท้ๆ น้าสาวก็โบ้ยงานให้เธอทันทีโดยไม่คิดจะสอนงานกันก่อน ถึงเธอจะเคยช่วยดรุณีทำขนมมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเตรียมส่วนผสมหรือลงมือทำเองตามลำพัง ไอลดาหยิบสูตรขนมปังชาเขียวไส้ถั่วแดงที่ดรุณีจดด้วยลายมืออย่างลวกๆ มาอ่านทบทวนวิธีการทำหลายรอบ แต่ก็ยังไม่มั่นใจในขั้นตอนการทำมากนัก เวลาล่วงไปโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย อีกแค่ครึ่งชั่วโมงน้าสาวก็จะกลับมาแล้ว หากน้าเห็นว่าเธอยังไม่ลงมือทำขนมปัง ก็จะต้องโดนด่าจนหูชาแน่ๆ
เอ้า..ลองดู จะออกหัวออกก้อยเดี๋ยวก็ได้รู้กัน! หญิงสาวคิดในใจ
“ร่อนแป้งขนมปังกับแป้งอเนกประสงค์เข้าด้วยกันสองรอบ ค่อยใส่ยีสต์ แล้วคนให้เข้ากัน ทำหลุมตรงกลาง แล้วพักไว้...” ไอลดาอ่านสูตรพลางลงมือร่อนแป้งด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ร่อนแป้งแบบนี้ เศษแป้งได้หกกระจายพอดี มาให้ฉันช่วยประคองที่ร่อนแป้งไว้ดีกว่า” ยามาดะที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในครัวอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงรีบปราดเข้ามาแนบชิดที่ด้านหลังของหญิงสาว พลางยื่นมือของเขาเกาะกุมมือทั้งสองของเธอที่กำลังประคองที่ร่อนแป้งอยู่ ซ้ำยังไล้นิ้วของเขาบนหลังมือของเธอด้วย ไอลดารีบเบี่ยงตัวหลบอย่างรังเกียจ ทำให้แป้งที่ร่อนอยู่หกกระจายทั่วพื้นห้องครัว
“เอ่อ ไม่ต้องช่วยฉันหรอกค่ะ คุณออกไปข้างนอกดีกว่า ในครัวมันแคบ เดี๋ยวพวกเศษแป้งนี้ฉันเก็บกวาดเอง” ไอลดารีบหาข้ออ้างไล่ยามาดะออกจากห้องครัว
“ฉันยินดีช่วย ดรุณีนี่ใจดำจริงทิ้งให้เธอทำขนมอยู่คนเดียว ขนมปังนี่ฉันก็ทำเป็นนะ แล้วเดี๋ยวจะนวดแป้งขนมปังสาธิตให้ดู”
ยามาดะไม่ยอมเดินออกจากครัวไปง่ายๆ ซ้ำยังส่งสายตากรุ้มกริ่มราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่ออันโอชะ ไอลดาเมินหน้าไปอีกทาง เธอมักจะทำตัวไม่ถูกเวลาที่อยู่กับยามาดะตามลำพัง เพราะเขามักจะแสดงอาการกะลิ้มกะเหลี่ยกับเธอ แต่หากดรุณีอยู่ด้วย ยามาดะจะทำตัวอีกแบบคือดูสุขุมและเอาอกเอาใจดรุณีจนออกนอกหน้า ใช่ว่าดรุณีจะไม่รู้สันดานของสามี แต่น้าสาวของเธอแสร้งเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อหลีกเลี่ยงการวิวาทและประคับประคองคู่ให้อยู่รอด
“เอาอ่างแป้งนี่มา เดี๋ยวฉันจะผสมใหม่ให้” ยามาดะย่างเท้าเข้ามาใกล้แล้วรวบตัวเธอไว้ ลมหายใจของเขาที่มีกลิ่นเหล้าสาเกโชยฟุ้ง จมูกของเขาในตอนนี้แทบจะแนบชิดกับแก้มของเธออยู่รอมร่อ
“อย่าค่ะ ปล่อยฉันเถอะ เดี๋ยวน้าณีก็จะกลับมาแล้ว” ไอลดาพยายามอ้างชื่อของน้าสาวเพื่อให้ยามาดะปล่อยเธอจากการเกาะกุม แต่ดูเหมือนยามาดะจะไม่สนใจกับคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังยื่นจมูกของเขาลากลงที่แก้มนวลอย่างจาบจ้วง แล้วใช้มือข้างหนึ่งของเขาที่ไม่ได้รวบตัวเธอไว้ลูบลงที่สะโพกอันกลมกลึงจนไอลดาสะดุ้งสุดตัว เธอไม่รู้สึกตื่นตัวกับสัมผัสของยามาดะเลยแม้แต่น้อย ทุกสัมผัสนั้นชวนให้รู้สึกรังเกียจ ก่อนที่มือนั้นจะเพ่นพ่านไปทั่วกาย ไอลดาก็สะบัดตัวอย่างแรงจนอ่างแป้งหกรดตัวยามาดะแลดูเหมือนตกถังแป้งก็ไม่ปาน
“นี่กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ ทำไมครัวเลอะเทอะแบบนี้” ดรุณีที่เพิ่งกลับมาเอ็ดตะโรลั่น จนริวที่นอนอยู่ชั้นบนสะดุ้งตื่นร้องไห้จ้า ดูเหมือนเสียงร้องไห้ของริวจะเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้ดรุณียิ่งโมโหหนักกว่าเดิม ยามาดะเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหลบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ที่ชั้นบน
“นี่เธอคิดจะทำลายครัวน้าหรือไง จัดการทำความสะอาดครัวให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ ขนมปังง่ายๆ เธอยังทำไม่ได้ คิดจะอยู่ที่นี่อย่างเป็นกาฝากไร้ประโยชน์หรือยังไง ขนมปังนี่อบให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง เข้าใจไหม” คำตำหนิเผ็ดร้อนพรั่งพรูออกมาจากปากของดรุณีอย่างไร้ซึ่งความเมตตา ดูเหมือนน้าสาวของเธอจะไม่คิดว่าเธอเป็นหลานอีกต่อไปแล้วกระมัง
“น้องชายเธออีกคน วันๆ ทำอะไรได้มั่ง นอกจากทำตัวเป็นภาระ กินๆ นอนๆ แล้วแหกปากร้องอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน อย่าคิดจะมาโบ้ยภาระเลี้ยงดูให้กับน้าเป็นอันขาด แค่นี้ก็เต็มกลืนแล้ว”
ไอลดาต้องอดกลั้นทนฟังคำตำหนิของดรุณีอย่างนิ่งสงบ ไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่คำเดียว ดรุณีกำลังโมโหอยู่ ขืนเธอเถียงหรือพูดอะไรไม่เข้าหู ดรุณีอาจจะไล่เธอและน้องชายออกบ้านตอนนี้เลยก็ได้
“ขอโทษค่ะน้าณี หนูรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ส่วนขนมปังหนูจะรีบอบให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนร้านเปิดค่ะ” ไอลดาพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ดรุณีทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดอะไรต่อ ก่อนเดินกระแทกเท้าขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบนเพื่อไปหาสามีที่กำลังอาบน้ำแต่งตัวใหม่
ไอลดาปัดกวาดครัวจนสะอาดเอี่ยม ก่อนจะเริ่มตวงส่วนผสมและลงมือทำขนมปังใหม่อีกครั้ง ไอลดาบอกกับตัวเองว่าเธอต้องฮึดสู้ ดูอย่างโอชินนางเอกซีรีส์แนวชีวิตที่โด่งดังของญี่ปุ่นสิ ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนแก่เฒ่าก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและพบเจอแต่เรื่องเศร้าเสียใจมากมาย แต่ก็สู้ไม่ถอยจนสร้างฐานะและปึกแผ่นของครอบครัวได้สำเร็จ จะว่าไปแล้วชีวิตของโอชินดูเหมือนจะเศร้าและลำบากกว่าเธอเสียอีก
ถ้าผู้หญิงอย่างโอชินสู้ได้ มีหรือที่คนอย่างไอลดาจะยอมแพ้และสิ้นหวังกับโชคชะตาง่ายๆ หญิงสาวจึงเกิดแรงฮึดสู้ปั้นแป้งขนมปังจนสำเร็จ รอเวลาเพียงให้สุกออกมาจากเตาเท่านั้น
ระหว่างที่รอขนมปังซึ่งกำลังอบอยู่ ไอลดาก็ทุบต้นแขนที่ออกแรงนวดขนมปัง ขาทั้งสองข้างปวดเมื่อยจากการปั่นจักรยานส่งนมและหนังสือพิมพ์ ประกอบกับต้องยืนอยู่ในครัวเป็นเวลานาน ทำให้น่องทั้งสองข้างเกร็งไปหมด ในขณะที่ความเหนื่อยล้าเข้าเกาะกุมทั้งหัวใจและร่างกาย คำพูดของแม่ก็ดังก้องขึ้นมาในห้วงคำนึง
“แม่ยังไม่เคยเห็นใครตายเพราะทำงานหนักนะลูก แต่ถ้าเราเกียจคร้าน เหลาะแหละ หรือ ไม่พยายามทำงาน นั่นแหละที่จะทำให้อดตายได้”
ตอนนั้นเธอเตือนแม่ด้วยความเป็นห่วงให้เพลาๆ งานที่ร้านตัดผมลงบ้าง เพราะรู้สึกสงสารแม่จับใจที่ต้องทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นไม่มีวันหยุด ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงทำงานหนัก เพราะเมื่อชีวิตถึงตาจน เราก็ไม่มีทางเลือกนักหรอก หากมัวแต่กลัวหรือย่อท้อกับความเหนื่อยยากก็คงอดตาย เธอต้องขอบคุณพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตอย่างคนที่คิดในแง่บวกและสู้ไม่เคยถอย จึงทำให้เธอและน้องมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้
ไอลดาจึงสัญญากับตัวเองว่าเธอจะต้องเดินตามรอยพ่อแม่และไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวัง
เสียงเตาอบดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของขนมปังที่ฟุ้งกระจาย เป็นสัญญาณให้รู้ว่าขนมปังพร้อมนำออกจากเตาแล้ว ขนมปังก้อนกลมสีน้ำตาลฟูๆ น่ากินยิ่งนัก และเมื่อไอลดาบิมาชิมก็รู้สึกว่าความนุ่มของเนื้อขนมปังและไส้ถั่วแดงหวานกำลังพอดี รสชาติหวานหอมของขนมทำให้ไอลดาลืมเรื่องแย่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยวันนี้เธอก็เอาชนะอุปสรรคเล็กๆ ไปได้แล้ว
“ตอนนี้ลูกค้าแน่นร้านแล้ว ยืนเอ้อระเหยอยู่ทำไม รีบเอาขนมปังมาขายเสียทีสิ” ดรุณีร้องเรียกให้ไอลดาทยอยนำขนมปังจากเตาอบไปจัดวางที่ถาดใส่ขนมหน้าร้าน
เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงขนมปังที่ถูกนำออกไปวางขายก็หมดเกลี้ยง ไอลดายืนมองถาดขนมปังที่ว่างเปล่าด้วยความดีใจ ในความเหนื่อยยาก ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องเลวร้ายเสมอไป บางครั้งปลายทางของมันก็มีรางวัลแห่งความภาคภูมิใจเป็นแสงสว่างเล็กๆ ให้กับชีวิตที่มืดมนได้มีแรงฮึดสู้ต่อไป
หลังจากเสร็จจากงานเบเกอร์รี ไอลดาก็รีบหาอาหารค่ำให้ริว ก่อนมุ่งหน้าไปยังย่านชินจูกุเพื่อเริ่มงานเสิร์ฟที่ร้านราเมน วันนี้เธอมาถึงที่ร้านก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อเตรียมรับงานกับวาตานาเบ้ซึ่งจะสรุปงานให้ฟังอีกครั้งและทบทวนรายการอาหารก่อนเริ่มงานจริง
“อย่าลืมจดให้ละเอียดว่าลูกค้าต้องการจะใส่อะไรเพิ่มในราเมน ของทานเล่นจะต้องเสิร์ฟก่อนราเมนเสมอ ที่สำคัญอย่าลืมเชียร์ให้ลูกค้าสั่งเบียร์เยอะๆ เพราะกำไรของร้านก็มาจากเครื่องดื่มนี่แหละ” วาตานาเบ้กำชับอีกครั้ง ก่อนจะฝากฝังเธอกับพนักงานเสิร์ฟผู้ชายอีกสองคนที่ทำงานที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว
การทำงานวันแรกไม่มีปัญหาอะไรมากนัก นอกจากเธอยังไม่คล่องตัวและไวเท่ากับพนักงานเสิร์ฟชายอีกสองคน ซ้ำยังไม่ชินกับน้ำหนักของชามราเมนที่หนัก แขนที่ปวดจากการนวดแป้งขนมปังจึงเริ่มอักเสบและปวดแปลบ แต่ไอลดาก็กัดฟันยกชามราเมนโดยไม่ปริปากบ่น ดีที่เพื่อนร่วมงานมีน้ำใจ เมื่อเห็นชามราเมนจำนวนมากก็รับอาสาช่วยยกแทนให้ ไอลดาจึงได้แต่กล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่และบอกว่าจะพยายามทำตัวให้ชินกับการยกของหนักๆ ให้ได้เร็วขึ้น
สิ่งที่ทำให้ไอลดาทำงานได้อย่างสบายใจก็คือ ลูกค้าที่ร้านราเมนนั้นไม่จุกจิกหรือสร้างปัญหามากนัก ส่วนใหญ่กินเสร็จแล้วก็รีบออกจากร้านไป จะมีลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะที่นั่งแช่ดื่มเบียร์ ถึงจะนั่งนานหน่อยแต่ก็ไม่ได้ทำตัวเกะกะระรานเพราะโดยมากมักเป็นพนักงานออฟฟิซที่มากินอาหารค่ำสังสรรค์หลังเลิกงาน ซ้ำทิปที่ได้รับในวันแรกก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
วันนี้วาตานาเบ้ปิดร้านเวลาห้าทุ่มตรงซึ่งเร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วโมงเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย พนักงานเสิร์ฟที่ร้านเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้ที่ร้านขายดีมาก วาตานาเบ้จึงต้องง่วนอยู่กับการต้มน้ำซุปทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจึงอ่อนเพลีย ไอลดาเข้าใจความยุ่งและเหนื่อยของวาตานาเบ้ได้เป็นอย่างดี ขนาดเธอเพิ่งเข้าครัวทำขนมปังเพียงอย่างเดียวยังเหนื่อยขนาดนี้ การต้องทนอยู่หน้าเตาร้อนๆ กับหม้อน้ำซุปหนักที่เดือดพล่านและควันโขมงตลอดเวลาคงจะหนักหนาเอาการ
“อาริกาโตโกะซาอิมาส วันนี้ทุกคนตั้งใจทำงานกันดีมาก พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่นะ” วาตานาเบ้กล่าวขอบคุณทุกคนหลังเลิกงาน ดูท่าทางเขาจะเป็นคนที่นิสัยดีและมีมารยาทเพราะยังอุตส่าห์กล่าวคำขอบคุณกับลูกน้องหลังเลิกงาน ซ้ำยังหันมากำชับให้เธอกลับบ้านอย่างระมัดระวังเพราะเป็นเวลาที่ดึกแล้ว ชีวิตราตรีกำลังเริ่มต้น และแน่นอนว่าภัยรอบตัวจากคนเมา หรือมิจฉาชีพก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ไอลดาเอ่ยขอบคุณและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอจะระวังตัวให้ดี เหตุการณ์ที่พ่อและแม่ของหญิงสาวถูกมิจฉาชีพทำร้ายจนเสียชีวิตทำให้เธอกลายเป็นคนที่ระแวดระวังตัวตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าต้องทำงานถึงค่ำมืดดึกดื่นจึงเตรียมอุปกรณ์ป้องกันตัวไว้อย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นสเปรย์พริกไทยหรือเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ผู้หญิงส่วนใหญ่พกติดตัว ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จะพร้อมรับมือเสมอ
ทันทีที่ออกจากร้านราเมน ไอลดาก็เห็นชินจูกุในยามค่ำคืนอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ถึงเธอจะอาศัยอยู่ที่โตเกียวมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่เคยเตร็ดเตร่ออกไปไหนดึกดื่นตามประสาเด็กดีที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาโดยตลอด ถ้าบอกว่าเธอเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนี้เองก็คงจะใช่ ทั้งๆ ที่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็นิยมออกมาสังสรรค์เที่ยวเล่นในยามราตรีกันเสมอ ไม่ใช่ว่าเธอเก็บตัวไม่ชอบการสังสรรค์ แต่ไอลดารู้ดีว่าเงินทุกเยนที่พ่อแม่ของเธอหามาให้นั้นต้องแลกมาด้วยความยากเย็นมาแค่ไหน จึงไม่คิดจะนำเงินเหล่านั้นมาใช้เพียงแค่ความบันเทิงชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่ใจจริงก็อยากไปเห็นและลองไปเที่ยวผับดูบ้างสักครั้ง
แสงไฟนีออนสีสันจัดจ้านจากตัวอาคารทำให้ย่านชินจูกุแลดูสว่างไสวและมีชีวิตชีวา ผู้คนที่เดินขวักไขว่ในย่านนี้จะว่าไปแล้วก็คงไม่ต่างไปจากแมงเม่าที่หลงระเริงอยู่ท่ามกลางแสงสี ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก ไอลดารีบย่ำเท้าฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อให้ทันรถเที่ยวสุดท้ายตอนเที่ยงคืนตรง เธอเดินผ่านตึกมารูอิ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่น โดยเฉพาะชุดคอสเพลย์ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นของญี่ปุ่น
ถึงแม้ห้างจะปิดแล้ว แต่ก็มีกลุ่มวัยรุ่นที่แต่งตัวด้วยชุดคอสเพลย์รวมตัวกันอยู่ ไอลดาเชื่อว่าสาเหตุเบื้องลึกที่เด็กวัยรุ่นบางคนแต่งตัวเลียนแบบตัวการ์ตูนไม่ได้เพียงเพราะประทับใจการ์ตูนเรื่องนั้น แต่อาจจะอยากเป็น อยากมีชีวิตที่อิสระนอกกรอบเหมือนอย่างตัวละครนั้นๆ เพราะในชีวิตจริงอาจต้องมีชีวิตอยู่ในกรอบที่เคร่งครัด
มีพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่ล้อมกรอบลูกๆ ให้อยู่ในขนบธรรมเนียมที่ดีงามดั้งเดิมของญี่ปุ่น ทั้งยังครอบงำบงการชีวิตให้อยู่ในเส้นทางที่คิดว่าเหมาะสม ทำให้การแต่งกายด้วยชุดคอสเพลย์อาจจะเป็นทางออกเพื่อปลดปล่อยอิสรภาพและตัวตนที่ถูกกักขังเอาไว้ แต่ในระยะยาวหากความเก็บกดนั้นถูกระเบิดออกมาในทางผิดๆ ก็จะทำให้เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมีอนาคตที่น่าเป็นห่วงยิ่งนัก
ขณะที่ไอลดากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่หัวมุมถนน ผู้ชายในชุดสูททำงานอายุก็น่าจะราวๆ สี่สิบปีเศษกำลังวิวาทฉุดกระชากเด็กสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยชุดคอสเพลย์เหมือนนักร้องสาวมาดเท่ในภาพยนตร์เรื่องนานะ เด็กสาวร้องลั่นให้คนช่วย
ไอลดาจึงรีบเดินไปดู พลางควานหาสเปรย์พริกไทยเพื่อเตรียมป้องกันตัว
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่ไปกับใครทั้งนั้น ถ้าไม่ปล่อยจะตะโกนเรียกตำรวจ” เด็กสาวแผดเสียงขู่ แต่ดูเหมือนการชักคะเย่อแย่งตัวเธอจะไม่ยุติง่ายๆ
“พูดง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง เมื่อกี้เธอรับปากว่าจะไปกับฉัน” ชายหนุ่มที่ถูกแย่งเด็กสาวไปถอดสูทเขวี้ยงลงกับพื้น แล้วถกแขนเสื้อเชิ้ตเพื่อเตรียมพร้อมลุย เด็กสาวได้โอกาสจึงรีบสะบัดตัวออก
“แกมีหน้ามาพูดได้ยังไงว่าเด็กนี่จะไปกับแก เมื่อกี้หล่อนเพิ่งรับเงินฉันไปหยกๆ” ผู้ชายอีกคนเถียงกลับแล้วด้วยแรงโทสะ
ในจังหวะที่ชายหนุ่มสองคนกำลังจะลงมือลงไม้กัน เด็กสาวคนนั้นก็คว้ามือเธอวิ่งหนีเข้าไปในตรอกซอกเล็กซอกน้อย ไอลดาทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่วิ่งตามแรงที่เด็กสาวฉุดกระชากนั้นไป
ชายหนุ่มคู่กรณีเริ่มได้สติว่าเด็กสาวตัวแสบที่เป็นต้นเหตุของการวิวาทหายตัวไปแล้ว จึงพากันรีบวิ่งตามพร้อมตะโกน “เอาเงินฉันคืนมานะนังเด็กใจแตก ถ้าแกไม่หยุด ฉันจะเรียกตำรวจมาจับ” ชายหนุ่มคนที่เสียเงินให้กับเด็กสาววิ่งตามมาในระยะประชิดจนไอลดาใจหาย
“ฝันไปเหอะไอ้แก่ เงินเข้ากระเป๋าฉันแล้วอย่าหวังว่าจะคืนให้ง่ายๆ” ว่าแล้วเด็กสาวผู้นั้นก็คว้าขวดเหล้าที่วางอยู่ฟาดที่ศีรษะของชายผู้นั้น ไอลดาหวีดร้องอย่างตกใจ
“หนีเร็ว...อย่ามัวแต่ร้องอยู่เลยน่า” เด็กสาวผู้นั้นรีบพาไอลดาวิ่งหนีเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง แล้วขึ้นไปชั้นสอง ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปในห้องที่มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นแต่งกายด้วยชุดคอสเพลย์เต็มไปหมด จนไอลดายืนอึ้งเพราะเหมือนกับเธอกำลังหลุดมาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่ไร้กรอบและกฎเกณฑ์ใดๆ ทุกคนโยกย้ายกันอย่างเริงร่าสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงไฟและเสียงดนตรีที่ดังสะท้อนเข้ามาถึงในอก
“ตื่นเต้นมั้ยล่ะป้า” เด็กสาวผู้ลากเธอเข้ามาที่นี่หันมายิ้มพรายให้ ท่ามกลางแสงไฟทำให้ไอลดามองหน้าเด็กสาวได้ถนัด หญิงสาวหน้าซีดเผือดตกใจราวกับเห็นผีและเปล่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักและเบาหวิว
“ยุ...ยูมิ...นี่เธอจริงๆ เหรอ” ไอลดาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่าลูกเพื่อนแม่ที่รู้จักมักคุ้นมาแต่เด็กจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ ความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนเกี่ยวกับยูมิคือภาพของเด็กเรียนเรียบร้อย น่ารัก อะไรที่ทำให้ยูมิเปลี่ยนแปลงและเดินออกจากกรอบชีวิตอันเป็นแบบแผนและงดงามมาได้นะ
“ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ เมื่อกี้พอฉันเห็นหน้าเธอก็เลยแกล้งให้ตื่นเต้นเล่น มันส์เป็นบ้าเลยจริงไหม เธอเห็นตอนที่ฉันจัดการไอ้บ้านั่นหรือเปล่า ฉันงี้สะใจสุดๆ นึกว่าฉันจะยอมคืนเงินให้ง่ายๆ รึไง ป่านนี้คงร้องโอยโอย ทำแผลที่โรงพยาบาลอยู่” ยูมิพูดลอยหน้าลอยตาราวกับเธอกำลังสนุกเสียเต็มประสาและไม่รู้สึกผิดหรืออายเลยแม้แต่น้อยที่หลอกเอาเงินและทำร้ายผู้ชายคนนั้น
“ทำไมเธอถึงทำตัวแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง แล้วก็อันตรายมากๆ เกิดผู้ชายคนนั้นมาแก้แค้นหรือแจ้งตำรวจ เธอจะทำยังไง” ไอลดาอดติงด้วยน้ำเสียงระคนผิดหวังไม่ได้
“ฉันทำตัวแบบไหน พูดให้มันดีๆ หน่อยนะ ผู้ชายคนนั้นหาเรื่องฉันก่อน เพราะฉะนั้นฉันไม่ผิด หากตำรวจจับ ฉันก็แค่ทำตัวให้น่าสงสาร กรีดน้ำตาสักหน่อย แล้วบอกว่าฉันต้องตีหัวไอ้แก่นั่นก็เพราะถูกลวนลาม เท่านี้ตำรวจก็เชื่อฉันแล้ว ดีไม่ดีไอ้แก่อาจพลอยถูกตำรวจจับแทนเสียอีก” ยูมิพูดยิ้มๆ อย่างลำพองใจ จนไอลดาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม ทำไมยูมิถึงต้องทำตัวเสี่ยงอันตรายแบบนี้ด้วย ถึงแม้จะเอาตัวรอดเก่ง แต่วันหนึ่งก็อาจพลาดพลั้งได้
“ยูมิ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเด็กสาวน่ารักที่ฉันเคยรู้จักถึงได้กลายเป็นคนแต่งตัวประหลาดๆ ออกไปกับผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ จนมีเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วยังหนีมาปาร์ตี้อีก ทำแบบนี้เหมือนเธอกำลังประชดชีวิตหรือหนีปัญหาบางอย่าง กลับบ้านเถอะ มีอะไรไม่สบายใจก็พูดกับพ่อแม่ตรงๆ ท่านต้องยินดีช่วยเธออย่างแน่นอน” ไอลดาอดไม่ได้ที่จะตำหนิและพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ยูมิกลับบ้าน
“ป้าไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองทำผิดอะไร แค่ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบเหมือนกับป้า ก็อย่ามาตัดสินว่าฉันเลวร้ายหรือแหลกเหลว ฉันล่ะผิดหวังจริงๆ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน แทนที่จะทักทายกันดีๆ กลับมาด่าฉันปาวๆ รู้งี้ไม่ยุ่งกับป้าดีกว่า ถ้าขัดหูขัดตานัก จะไปไหนก็ไปเถอะ” ยูมิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ พลางโบกมือไล่ให้ไอลดากลับไปเสีย“ไม่ละ ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านดีกว่า จะทำตัวเป็นเด็กใจแตกไปถึงไหน” ไอลดายังคงพยายามที่จะตื๊อให้ยูมิกลับบ้าน
“ป้าว่าฉันเป็นเด็กใจแตกอย่างนั้นเหรอ ก่อนจะมาสอนฉัน สอนตัวเองให้เอาตัวรอดก่อนดีกว่ามั้ง ดูสารภาพรูปของป้าตอนนี้สิ เยินสุดๆ ป้าเองก็เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาทำอะไรที่ชินจูกุดึกๆ ดื่นๆ เอาเข้าจริงป้าเองก็ไม่ได้ต่างจากฉันนักหรอก” ยูมิเถียงกลับด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ซ้ำยังมองไอลดาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างดูแคลน
“หยุดเรียกฉันว่าป้าซักทีได้ไหม ฉันแก่กว่าเธอแค่ปีเดียว ฉันมาที่นี่เพราะต้องทำงาน ยูมิ เธอยังมีโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าฉัน อย่าทำลายอนาคตของตัวเอง ที่เตือนเธอเพราะหวังดี แต่ถ้าเธอคิดว่าฉันก้าวก่ายชีวิตของเธอ ฉันก็จะไม่สนใจเธออีก ฉันคงต้องไปเสียที ขอให้เธอโชคดี” ไอลดาพูดด้วยใบหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ ในฐานะของมิตร เธอทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ คงไม่สิทธิ์ที่จะไปยุ่มย่ามกับชีวิตของใคร ที่ยูมิพูดก็ถูก เธอควรจะเอาตัวรอดให้ได้ก่อน
ไอลดาเดินลงมาจากตึก เสียงหัวเราะและเสียงเพลงในผับนั้นยังดังไล่หลังมาแว่วๆ ไอลดาอดเสียดายอนาคตที่งดงามของยูมิไม่ได้ เด็กสาวไม่ควรจะเติบโตมาเป็นผีเสื้อราตรี แต่ควรเป็นผีเสื้อตัวน้อยที่โบยบินอย่างมีความสุขในทุ่งกว้างท่ามกลางแสงแดดสาดส่องมากกว่า
ไอลดาเตือนตัวเองให้หยุดคิดกังวลเรื่องของยูมิเสียที ไม่มีใครคิดหรือลิขิตชีวิตแทนใครได้หรอก นอกจากตัวเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้เลือกว่าอยากจะใช้ชีวิตแบบไหน และยูมิเองก็คงเลือกเส้นทางชีวิตของเธอเองแล้วกระมัง
จบตอนที่ 4
วันนี้เป็นวันแรกที่ไอลดาเริ่มต้นชีวิตการทำงานอย่างเต็มตัว ถึงแม้เธอยังนึกอาลัยชีวิตนักศึกษามากแค่ไหน ก็ต้องทำใจยอมรับว่าชีวิตสว่างไสวของเธอได้จบสิ้นลงแล้ว ที่สำคัญไม่มีเวลาให้อนาทรถอดถอนใจเพราะหลังจากขี่จักรยานไปส่งนมและหนังสือพิมพ์ในบริเวณใกล้เคียงก่อนฟ้าสาง เธอก็จะต้องรีบกลับมาช่วยดรุณีอบขนมปังและเค้กสองสามชนิดตอนเจ็ดโมงเพิ่มเติมจากขนมบางส่วนที่น้าสาวอบไปแล้วเมื่อวาน
ไอลดารีบเดินเข้ามาในร้านอย่างเร่งรีบเพราะวันนี้เป็นวันแรกที่เริ่มงานทำขนม จึงไม่อยากมาสายให้ดรุณีตำหนิได้ แต่ทว่าไฟในห้องครัวยังมืดสนิท เมื่อเดินเข้าไปกดปุ่มสวิทซ์ไฟที่ฝาผนังจนสว่างทั่วห้อง จึงเห็นว่าดรุณีทิ้งกระดาษโน้ตเขียนไว้ว่า จะออกไปทำผม และจะกลับมาอีกทีราวๆ แปดโมงซึ่งเป็นเวลาเปิดร้าน ให้เธอลงมือทำขนมปังตามสูตรที่วางทิ้งไว้ให้บนโต๊ะเองเลย
ไอลดาอดโมโหดรุณีไม่ได้ วันนี้เป็นวันที่เพิ่งเริ่มทำงานวันแรกแท้ๆ น้าสาวก็โบ้ยงานให้เธอทันทีโดยไม่คิดจะสอนงานกันก่อน ถึงเธอจะเคยช่วยดรุณีทำขนมมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเตรียมส่วนผสมหรือลงมือทำเองตามลำพัง ไอลดาหยิบสูตรขนมปังชาเขียวไส้ถั่วแดงที่ดรุณีจดด้วยลายมืออย่างลวกๆ มาอ่านทบทวนวิธีการทำหลายรอบ แต่ก็ยังไม่มั่นใจในขั้นตอนการทำมากนัก เวลาล่วงไปโดยไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย อีกแค่ครึ่งชั่วโมงน้าสาวก็จะกลับมาแล้ว หากน้าเห็นว่าเธอยังไม่ลงมือทำขนมปัง ก็จะต้องโดนด่าจนหูชาแน่ๆ
เอ้า..ลองดู จะออกหัวออกก้อยเดี๋ยวก็ได้รู้กัน! หญิงสาวคิดในใจ
“ร่อนแป้งขนมปังกับแป้งอเนกประสงค์เข้าด้วยกันสองรอบ ค่อยใส่ยีสต์ แล้วคนให้เข้ากัน ทำหลุมตรงกลาง แล้วพักไว้...” ไอลดาอ่านสูตรพลางลงมือร่อนแป้งด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ร่อนแป้งแบบนี้ เศษแป้งได้หกกระจายพอดี มาให้ฉันช่วยประคองที่ร่อนแป้งไว้ดีกว่า” ยามาดะที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในครัวอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงรีบปราดเข้ามาแนบชิดที่ด้านหลังของหญิงสาว พลางยื่นมือของเขาเกาะกุมมือทั้งสองของเธอที่กำลังประคองที่ร่อนแป้งอยู่ ซ้ำยังไล้นิ้วของเขาบนหลังมือของเธอด้วย ไอลดารีบเบี่ยงตัวหลบอย่างรังเกียจ ทำให้แป้งที่ร่อนอยู่หกกระจายทั่วพื้นห้องครัว
“เอ่อ ไม่ต้องช่วยฉันหรอกค่ะ คุณออกไปข้างนอกดีกว่า ในครัวมันแคบ เดี๋ยวพวกเศษแป้งนี้ฉันเก็บกวาดเอง” ไอลดารีบหาข้ออ้างไล่ยามาดะออกจากห้องครัว
“ฉันยินดีช่วย ดรุณีนี่ใจดำจริงทิ้งให้เธอทำขนมอยู่คนเดียว ขนมปังนี่ฉันก็ทำเป็นนะ แล้วเดี๋ยวจะนวดแป้งขนมปังสาธิตให้ดู”
ยามาดะไม่ยอมเดินออกจากครัวไปง่ายๆ ซ้ำยังส่งสายตากรุ้มกริ่มราวกับเสือจ้องตะครุบเหยื่ออันโอชะ ไอลดาเมินหน้าไปอีกทาง เธอมักจะทำตัวไม่ถูกเวลาที่อยู่กับยามาดะตามลำพัง เพราะเขามักจะแสดงอาการกะลิ้มกะเหลี่ยกับเธอ แต่หากดรุณีอยู่ด้วย ยามาดะจะทำตัวอีกแบบคือดูสุขุมและเอาอกเอาใจดรุณีจนออกนอกหน้า ใช่ว่าดรุณีจะไม่รู้สันดานของสามี แต่น้าสาวของเธอแสร้งเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพื่อหลีกเลี่ยงการวิวาทและประคับประคองคู่ให้อยู่รอด
“เอาอ่างแป้งนี่มา เดี๋ยวฉันจะผสมใหม่ให้” ยามาดะย่างเท้าเข้ามาใกล้แล้วรวบตัวเธอไว้ ลมหายใจของเขาที่มีกลิ่นเหล้าสาเกโชยฟุ้ง จมูกของเขาในตอนนี้แทบจะแนบชิดกับแก้มของเธออยู่รอมร่อ
“อย่าค่ะ ปล่อยฉันเถอะ เดี๋ยวน้าณีก็จะกลับมาแล้ว” ไอลดาพยายามอ้างชื่อของน้าสาวเพื่อให้ยามาดะปล่อยเธอจากการเกาะกุม แต่ดูเหมือนยามาดะจะไม่สนใจกับคำพูดของเธอเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังยื่นจมูกของเขาลากลงที่แก้มนวลอย่างจาบจ้วง แล้วใช้มือข้างหนึ่งของเขาที่ไม่ได้รวบตัวเธอไว้ลูบลงที่สะโพกอันกลมกลึงจนไอลดาสะดุ้งสุดตัว เธอไม่รู้สึกตื่นตัวกับสัมผัสของยามาดะเลยแม้แต่น้อย ทุกสัมผัสนั้นชวนให้รู้สึกรังเกียจ ก่อนที่มือนั้นจะเพ่นพ่านไปทั่วกาย ไอลดาก็สะบัดตัวอย่างแรงจนอ่างแป้งหกรดตัวยามาดะแลดูเหมือนตกถังแป้งก็ไม่ปาน
“นี่กำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ ทำไมครัวเลอะเทอะแบบนี้” ดรุณีที่เพิ่งกลับมาเอ็ดตะโรลั่น จนริวที่นอนอยู่ชั้นบนสะดุ้งตื่นร้องไห้จ้า ดูเหมือนเสียงร้องไห้ของริวจะเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีที่ทำให้ดรุณียิ่งโมโหหนักกว่าเดิม ยามาดะเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหลบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ที่ชั้นบน
“นี่เธอคิดจะทำลายครัวน้าหรือไง จัดการทำความสะอาดครัวให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ ขนมปังง่ายๆ เธอยังทำไม่ได้ คิดจะอยู่ที่นี่อย่างเป็นกาฝากไร้ประโยชน์หรือยังไง ขนมปังนี่อบให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง เข้าใจไหม” คำตำหนิเผ็ดร้อนพรั่งพรูออกมาจากปากของดรุณีอย่างไร้ซึ่งความเมตตา ดูเหมือนน้าสาวของเธอจะไม่คิดว่าเธอเป็นหลานอีกต่อไปแล้วกระมัง
“น้องชายเธออีกคน วันๆ ทำอะไรได้มั่ง นอกจากทำตัวเป็นภาระ กินๆ นอนๆ แล้วแหกปากร้องอยู่ได้ทั้งวี่ทั้งวัน อย่าคิดจะมาโบ้ยภาระเลี้ยงดูให้กับน้าเป็นอันขาด แค่นี้ก็เต็มกลืนแล้ว”
ไอลดาต้องอดกลั้นทนฟังคำตำหนิของดรุณีอย่างนิ่งสงบ ไม่กล้าโต้แย้งแม้แต่คำเดียว ดรุณีกำลังโมโหอยู่ ขืนเธอเถียงหรือพูดอะไรไม่เข้าหู ดรุณีอาจจะไล่เธอและน้องชายออกบ้านตอนนี้เลยก็ได้
“ขอโทษค่ะน้าณี หนูรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ส่วนขนมปังหนูจะรีบอบให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมงก่อนร้านเปิดค่ะ” ไอลดาพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม ดรุณีทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดอะไรต่อ ก่อนเดินกระแทกเท้าขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบนเพื่อไปหาสามีที่กำลังอาบน้ำแต่งตัวใหม่
ไอลดาปัดกวาดครัวจนสะอาดเอี่ยม ก่อนจะเริ่มตวงส่วนผสมและลงมือทำขนมปังใหม่อีกครั้ง ไอลดาบอกกับตัวเองว่าเธอต้องฮึดสู้ ดูอย่างโอชินนางเอกซีรีส์แนวชีวิตที่โด่งดังของญี่ปุ่นสิ ตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนแก่เฒ่าก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคและพบเจอแต่เรื่องเศร้าเสียใจมากมาย แต่ก็สู้ไม่ถอยจนสร้างฐานะและปึกแผ่นของครอบครัวได้สำเร็จ จะว่าไปแล้วชีวิตของโอชินดูเหมือนจะเศร้าและลำบากกว่าเธอเสียอีก
ถ้าผู้หญิงอย่างโอชินสู้ได้ มีหรือที่คนอย่างไอลดาจะยอมแพ้และสิ้นหวังกับโชคชะตาง่ายๆ หญิงสาวจึงเกิดแรงฮึดสู้ปั้นแป้งขนมปังจนสำเร็จ รอเวลาเพียงให้สุกออกมาจากเตาเท่านั้น
ระหว่างที่รอขนมปังซึ่งกำลังอบอยู่ ไอลดาก็ทุบต้นแขนที่ออกแรงนวดขนมปัง ขาทั้งสองข้างปวดเมื่อยจากการปั่นจักรยานส่งนมและหนังสือพิมพ์ ประกอบกับต้องยืนอยู่ในครัวเป็นเวลานาน ทำให้น่องทั้งสองข้างเกร็งไปหมด ในขณะที่ความเหนื่อยล้าเข้าเกาะกุมทั้งหัวใจและร่างกาย คำพูดของแม่ก็ดังก้องขึ้นมาในห้วงคำนึง
“แม่ยังไม่เคยเห็นใครตายเพราะทำงานหนักนะลูก แต่ถ้าเราเกียจคร้าน เหลาะแหละ หรือ ไม่พยายามทำงาน นั่นแหละที่จะทำให้อดตายได้”
ตอนนั้นเธอเตือนแม่ด้วยความเป็นห่วงให้เพลาๆ งานที่ร้านตัดผมลงบ้าง เพราะรู้สึกสงสารแม่จับใจที่ต้องทำงานทุกวันตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นไม่มีวันหยุด ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมแม่ถึงทำงานหนัก เพราะเมื่อชีวิตถึงตาจน เราก็ไม่มีทางเลือกนักหรอก หากมัวแต่กลัวหรือย่อท้อกับความเหนื่อยยากก็คงอดตาย เธอต้องขอบคุณพ่อแม่ที่ใช้ชีวิตอย่างคนที่คิดในแง่บวกและสู้ไม่เคยถอย จึงทำให้เธอและน้องมีชีวิตรอดจนถึงทุกวันนี้
ไอลดาจึงสัญญากับตัวเองว่าเธอจะต้องเดินตามรอยพ่อแม่และไม่ทำให้ท่านทั้งสองต้องผิดหวัง
เสียงเตาอบดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมของขนมปังที่ฟุ้งกระจาย เป็นสัญญาณให้รู้ว่าขนมปังพร้อมนำออกจากเตาแล้ว ขนมปังก้อนกลมสีน้ำตาลฟูๆ น่ากินยิ่งนัก และเมื่อไอลดาบิมาชิมก็รู้สึกว่าความนุ่มของเนื้อขนมปังและไส้ถั่วแดงหวานกำลังพอดี รสชาติหวานหอมของขนมทำให้ไอลดาลืมเรื่องแย่ๆ ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ อย่างน้อยวันนี้เธอก็เอาชนะอุปสรรคเล็กๆ ไปได้แล้ว
“ตอนนี้ลูกค้าแน่นร้านแล้ว ยืนเอ้อระเหยอยู่ทำไม รีบเอาขนมปังมาขายเสียทีสิ” ดรุณีร้องเรียกให้ไอลดาทยอยนำขนมปังจากเตาอบไปจัดวางที่ถาดใส่ขนมหน้าร้าน
เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงขนมปังที่ถูกนำออกไปวางขายก็หมดเกลี้ยง ไอลดายืนมองถาดขนมปังที่ว่างเปล่าด้วยความดีใจ ในความเหนื่อยยาก ใช่ว่าจะมีแต่เรื่องเลวร้ายเสมอไป บางครั้งปลายทางของมันก็มีรางวัลแห่งความภาคภูมิใจเป็นแสงสว่างเล็กๆ ให้กับชีวิตที่มืดมนได้มีแรงฮึดสู้ต่อไป
หลังจากเสร็จจากงานเบเกอร์รี ไอลดาก็รีบหาอาหารค่ำให้ริว ก่อนมุ่งหน้าไปยังย่านชินจูกุเพื่อเริ่มงานเสิร์ฟที่ร้านราเมน วันนี้เธอมาถึงที่ร้านก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อเตรียมรับงานกับวาตานาเบ้ซึ่งจะสรุปงานให้ฟังอีกครั้งและทบทวนรายการอาหารก่อนเริ่มงานจริง
“อย่าลืมจดให้ละเอียดว่าลูกค้าต้องการจะใส่อะไรเพิ่มในราเมน ของทานเล่นจะต้องเสิร์ฟก่อนราเมนเสมอ ที่สำคัญอย่าลืมเชียร์ให้ลูกค้าสั่งเบียร์เยอะๆ เพราะกำไรของร้านก็มาจากเครื่องดื่มนี่แหละ” วาตานาเบ้กำชับอีกครั้ง ก่อนจะฝากฝังเธอกับพนักงานเสิร์ฟผู้ชายอีกสองคนที่ทำงานที่นี่ได้พักใหญ่แล้ว
การทำงานวันแรกไม่มีปัญหาอะไรมากนัก นอกจากเธอยังไม่คล่องตัวและไวเท่ากับพนักงานเสิร์ฟชายอีกสองคน ซ้ำยังไม่ชินกับน้ำหนักของชามราเมนที่หนัก แขนที่ปวดจากการนวดแป้งขนมปังจึงเริ่มอักเสบและปวดแปลบ แต่ไอลดาก็กัดฟันยกชามราเมนโดยไม่ปริปากบ่น ดีที่เพื่อนร่วมงานมีน้ำใจ เมื่อเห็นชามราเมนจำนวนมากก็รับอาสาช่วยยกแทนให้ ไอลดาจึงได้แต่กล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่และบอกว่าจะพยายามทำตัวให้ชินกับการยกของหนักๆ ให้ได้เร็วขึ้น
สิ่งที่ทำให้ไอลดาทำงานได้อย่างสบายใจก็คือ ลูกค้าที่ร้านราเมนนั้นไม่จุกจิกหรือสร้างปัญหามากนัก ส่วนใหญ่กินเสร็จแล้วก็รีบออกจากร้านไป จะมีลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่โต๊ะที่นั่งแช่ดื่มเบียร์ ถึงจะนั่งนานหน่อยแต่ก็ไม่ได้ทำตัวเกะกะระรานเพราะโดยมากมักเป็นพนักงานออฟฟิซที่มากินอาหารค่ำสังสรรค์หลังเลิกงาน ซ้ำทิปที่ได้รับในวันแรกก็ถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
วันนี้วาตานาเบ้ปิดร้านเวลาห้าทุ่มตรงซึ่งเร็วกว่าปกติหนึ่งชั่วโมงเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย พนักงานเสิร์ฟที่ร้านเล่าให้ฟังว่าช่วงนี้ที่ร้านขายดีมาก วาตานาเบ้จึงต้องง่วนอยู่กับการต้มน้ำซุปทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจึงอ่อนเพลีย ไอลดาเข้าใจความยุ่งและเหนื่อยของวาตานาเบ้ได้เป็นอย่างดี ขนาดเธอเพิ่งเข้าครัวทำขนมปังเพียงอย่างเดียวยังเหนื่อยขนาดนี้ การต้องทนอยู่หน้าเตาร้อนๆ กับหม้อน้ำซุปหนักที่เดือดพล่านและควันโขมงตลอดเวลาคงจะหนักหนาเอาการ
“อาริกาโตโกะซาอิมาส วันนี้ทุกคนตั้งใจทำงานกันดีมาก พรุ่งนี้ค่อยพบกันใหม่นะ” วาตานาเบ้กล่าวขอบคุณทุกคนหลังเลิกงาน ดูท่าทางเขาจะเป็นคนที่นิสัยดีและมีมารยาทเพราะยังอุตส่าห์กล่าวคำขอบคุณกับลูกน้องหลังเลิกงาน ซ้ำยังหันมากำชับให้เธอกลับบ้านอย่างระมัดระวังเพราะเป็นเวลาที่ดึกแล้ว ชีวิตราตรีกำลังเริ่มต้น และแน่นอนว่าภัยรอบตัวจากคนเมา หรือมิจฉาชีพก็สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
ไอลดาเอ่ยขอบคุณและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอจะระวังตัวให้ดี เหตุการณ์ที่พ่อและแม่ของหญิงสาวถูกมิจฉาชีพทำร้ายจนเสียชีวิตทำให้เธอกลายเป็นคนที่ระแวดระวังตัวตลอดเวลา เมื่อรู้ว่าต้องทำงานถึงค่ำมืดดึกดื่นจึงเตรียมอุปกรณ์ป้องกันตัวไว้อย่างพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นสเปรย์พริกไทยหรือเครื่องช็อตไฟฟ้าที่ผู้หญิงส่วนใหญ่พกติดตัว ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็จะพร้อมรับมือเสมอ
ทันทีที่ออกจากร้านราเมน ไอลดาก็เห็นชินจูกุในยามค่ำคืนอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก ถึงเธอจะอาศัยอยู่ที่โตเกียวมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่เคยเตร็ดเตร่ออกไปไหนดึกดื่นตามประสาเด็กดีที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาโดยตลอด ถ้าบอกว่าเธอเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบนี้เองก็คงจะใช่ ทั้งๆ ที่เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันก็นิยมออกมาสังสรรค์เที่ยวเล่นในยามราตรีกันเสมอ ไม่ใช่ว่าเธอเก็บตัวไม่ชอบการสังสรรค์ แต่ไอลดารู้ดีว่าเงินทุกเยนที่พ่อแม่ของเธอหามาให้นั้นต้องแลกมาด้วยความยากเย็นมาแค่ไหน จึงไม่คิดจะนำเงินเหล่านั้นมาใช้เพียงแค่ความบันเทิงชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่ใจจริงก็อยากไปเห็นและลองไปเที่ยวผับดูบ้างสักครั้ง
แสงไฟนีออนสีสันจัดจ้านจากตัวอาคารทำให้ย่านชินจูกุแลดูสว่างไสวและมีชีวิตชีวา ผู้คนที่เดินขวักไขว่ในย่านนี้จะว่าไปแล้วก็คงไม่ต่างไปจากแมงเม่าที่หลงระเริงอยู่ท่ามกลางแสงสี ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก ไอลดารีบย่ำเท้าฝ่าฝูงชนมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดินเพื่อให้ทันรถเที่ยวสุดท้ายตอนเที่ยงคืนตรง เธอเดินผ่านตึกมารูอิ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าขายเสื้อผ้าแฟชั่น โดยเฉพาะชุดคอสเพลย์ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นของญี่ปุ่น
ถึงแม้ห้างจะปิดแล้ว แต่ก็มีกลุ่มวัยรุ่นที่แต่งตัวด้วยชุดคอสเพลย์รวมตัวกันอยู่ ไอลดาเชื่อว่าสาเหตุเบื้องลึกที่เด็กวัยรุ่นบางคนแต่งตัวเลียนแบบตัวการ์ตูนไม่ได้เพียงเพราะประทับใจการ์ตูนเรื่องนั้น แต่อาจจะอยากเป็น อยากมีชีวิตที่อิสระนอกกรอบเหมือนอย่างตัวละครนั้นๆ เพราะในชีวิตจริงอาจต้องมีชีวิตอยู่ในกรอบที่เคร่งครัด
มีพ่อแม่ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยที่ล้อมกรอบลูกๆ ให้อยู่ในขนบธรรมเนียมที่ดีงามดั้งเดิมของญี่ปุ่น ทั้งยังครอบงำบงการชีวิตให้อยู่ในเส้นทางที่คิดว่าเหมาะสม ทำให้การแต่งกายด้วยชุดคอสเพลย์อาจจะเป็นทางออกเพื่อปลดปล่อยอิสรภาพและตัวตนที่ถูกกักขังเอาไว้ แต่ในระยะยาวหากความเก็บกดนั้นถูกระเบิดออกมาในทางผิดๆ ก็จะทำให้เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมีอนาคตที่น่าเป็นห่วงยิ่งนัก
ขณะที่ไอลดากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นที่หัวมุมถนน ผู้ชายในชุดสูททำงานอายุก็น่าจะราวๆ สี่สิบปีเศษกำลังวิวาทฉุดกระชากเด็กสาวคนหนึ่งที่แต่งตัวด้วยชุดคอสเพลย์เหมือนนักร้องสาวมาดเท่ในภาพยนตร์เรื่องนานะ เด็กสาวร้องลั่นให้คนช่วย
ไอลดาจึงรีบเดินไปดู พลางควานหาสเปรย์พริกไทยเพื่อเตรียมป้องกันตัว
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่ไปกับใครทั้งนั้น ถ้าไม่ปล่อยจะตะโกนเรียกตำรวจ” เด็กสาวแผดเสียงขู่ แต่ดูเหมือนการชักคะเย่อแย่งตัวเธอจะไม่ยุติง่ายๆ
“พูดง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง เมื่อกี้เธอรับปากว่าจะไปกับฉัน” ชายหนุ่มที่ถูกแย่งเด็กสาวไปถอดสูทเขวี้ยงลงกับพื้น แล้วถกแขนเสื้อเชิ้ตเพื่อเตรียมพร้อมลุย เด็กสาวได้โอกาสจึงรีบสะบัดตัวออก
“แกมีหน้ามาพูดได้ยังไงว่าเด็กนี่จะไปกับแก เมื่อกี้หล่อนเพิ่งรับเงินฉันไปหยกๆ” ผู้ชายอีกคนเถียงกลับแล้วด้วยแรงโทสะ
ในจังหวะที่ชายหนุ่มสองคนกำลังจะลงมือลงไม้กัน เด็กสาวคนนั้นก็คว้ามือเธอวิ่งหนีเข้าไปในตรอกซอกเล็กซอกน้อย ไอลดาทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่วิ่งตามแรงที่เด็กสาวฉุดกระชากนั้นไป
ชายหนุ่มคู่กรณีเริ่มได้สติว่าเด็กสาวตัวแสบที่เป็นต้นเหตุของการวิวาทหายตัวไปแล้ว จึงพากันรีบวิ่งตามพร้อมตะโกน “เอาเงินฉันคืนมานะนังเด็กใจแตก ถ้าแกไม่หยุด ฉันจะเรียกตำรวจมาจับ” ชายหนุ่มคนที่เสียเงินให้กับเด็กสาววิ่งตามมาในระยะประชิดจนไอลดาใจหาย
“ฝันไปเหอะไอ้แก่ เงินเข้ากระเป๋าฉันแล้วอย่าหวังว่าจะคืนให้ง่ายๆ” ว่าแล้วเด็กสาวผู้นั้นก็คว้าขวดเหล้าที่วางอยู่ฟาดที่ศีรษะของชายผู้นั้น ไอลดาหวีดร้องอย่างตกใจ
“หนีเร็ว...อย่ามัวแต่ร้องอยู่เลยน่า” เด็กสาวผู้นั้นรีบพาไอลดาวิ่งหนีเข้าไปในตึกแห่งหนึ่ง แล้วขึ้นไปชั้นสอง ก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปในห้องที่มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นแต่งกายด้วยชุดคอสเพลย์เต็มไปหมด จนไอลดายืนอึ้งเพราะเหมือนกับเธอกำลังหลุดมาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งที่ไร้กรอบและกฎเกณฑ์ใดๆ ทุกคนโยกย้ายกันอย่างเริงร่าสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงไฟและเสียงดนตรีที่ดังสะท้อนเข้ามาถึงในอก
“ตื่นเต้นมั้ยล่ะป้า” เด็กสาวผู้ลากเธอเข้ามาที่นี่หันมายิ้มพรายให้ ท่ามกลางแสงไฟทำให้ไอลดามองหน้าเด็กสาวได้ถนัด หญิงสาวหน้าซีดเผือดตกใจราวกับเห็นผีและเปล่งเสียงออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักและเบาหวิว
“ยุ...ยูมิ...นี่เธอจริงๆ เหรอ” ไอลดาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ว่าลูกเพื่อนแม่ที่รู้จักมักคุ้นมาแต่เด็กจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ ความทรงจำเมื่อสิบปีก่อนเกี่ยวกับยูมิคือภาพของเด็กเรียนเรียบร้อย น่ารัก อะไรที่ทำให้ยูมิเปลี่ยนแปลงและเดินออกจากกรอบชีวิตอันเป็นแบบแผนและงดงามมาได้นะ
“ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครล่ะ เมื่อกี้พอฉันเห็นหน้าเธอก็เลยแกล้งให้ตื่นเต้นเล่น มันส์เป็นบ้าเลยจริงไหม เธอเห็นตอนที่ฉันจัดการไอ้บ้านั่นหรือเปล่า ฉันงี้สะใจสุดๆ นึกว่าฉันจะยอมคืนเงินให้ง่ายๆ รึไง ป่านนี้คงร้องโอยโอย ทำแผลที่โรงพยาบาลอยู่” ยูมิพูดลอยหน้าลอยตาราวกับเธอกำลังสนุกเสียเต็มประสาและไม่รู้สึกผิดหรืออายเลยแม้แต่น้อยที่หลอกเอาเงินและทำร้ายผู้ชายคนนั้น
“ทำไมเธอถึงทำตัวแบบนี้ มันไม่ถูกต้อง แล้วก็อันตรายมากๆ เกิดผู้ชายคนนั้นมาแก้แค้นหรือแจ้งตำรวจ เธอจะทำยังไง” ไอลดาอดติงด้วยน้ำเสียงระคนผิดหวังไม่ได้
“ฉันทำตัวแบบไหน พูดให้มันดีๆ หน่อยนะ ผู้ชายคนนั้นหาเรื่องฉันก่อน เพราะฉะนั้นฉันไม่ผิด หากตำรวจจับ ฉันก็แค่ทำตัวให้น่าสงสาร กรีดน้ำตาสักหน่อย แล้วบอกว่าฉันต้องตีหัวไอ้แก่นั่นก็เพราะถูกลวนลาม เท่านี้ตำรวจก็เชื่อฉันแล้ว ดีไม่ดีไอ้แก่อาจพลอยถูกตำรวจจับแทนเสียอีก” ยูมิพูดยิ้มๆ อย่างลำพองใจ จนไอลดาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม ทำไมยูมิถึงต้องทำตัวเสี่ยงอันตรายแบบนี้ด้วย ถึงแม้จะเอาตัวรอดเก่ง แต่วันหนึ่งก็อาจพลาดพลั้งได้
“ยูมิ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเด็กสาวน่ารักที่ฉันเคยรู้จักถึงได้กลายเป็นคนแต่งตัวประหลาดๆ ออกไปกับผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ จนมีเรื่องทำร้ายร่างกายแล้วยังหนีมาปาร์ตี้อีก ทำแบบนี้เหมือนเธอกำลังประชดชีวิตหรือหนีปัญหาบางอย่าง กลับบ้านเถอะ มีอะไรไม่สบายใจก็พูดกับพ่อแม่ตรงๆ ท่านต้องยินดีช่วยเธออย่างแน่นอน” ไอลดาอดไม่ได้ที่จะตำหนิและพยายามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ยูมิกลับบ้าน
“ป้าไม่รู้อะไรอย่าพูดดีกว่า ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองทำผิดอะไร แค่ฉันไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในกรอบเหมือนกับป้า ก็อย่ามาตัดสินว่าฉันเลวร้ายหรือแหลกเหลว ฉันล่ะผิดหวังจริงๆ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน แทนที่จะทักทายกันดีๆ กลับมาด่าฉันปาวๆ รู้งี้ไม่ยุ่งกับป้าดีกว่า ถ้าขัดหูขัดตานัก จะไปไหนก็ไปเถอะ” ยูมิตอบกลับด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ พลางโบกมือไล่ให้ไอลดากลับไปเสีย“ไม่ละ ให้ฉันไปส่งเธอที่บ้านดีกว่า จะทำตัวเป็นเด็กใจแตกไปถึงไหน” ไอลดายังคงพยายามที่จะตื๊อให้ยูมิกลับบ้าน
“ป้าว่าฉันเป็นเด็กใจแตกอย่างนั้นเหรอ ก่อนจะมาสอนฉัน สอนตัวเองให้เอาตัวรอดก่อนดีกว่ามั้ง ดูสารภาพรูปของป้าตอนนี้สิ เยินสุดๆ ป้าเองก็เรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมาทำอะไรที่ชินจูกุดึกๆ ดื่นๆ เอาเข้าจริงป้าเองก็ไม่ได้ต่างจากฉันนักหรอก” ยูมิเถียงกลับด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว ซ้ำยังมองไอลดาตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าอย่างดูแคลน
“หยุดเรียกฉันว่าป้าซักทีได้ไหม ฉันแก่กว่าเธอแค่ปีเดียว ฉันมาที่นี่เพราะต้องทำงาน ยูมิ เธอยังมีโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าฉัน อย่าทำลายอนาคตของตัวเอง ที่เตือนเธอเพราะหวังดี แต่ถ้าเธอคิดว่าฉันก้าวก่ายชีวิตของเธอ ฉันก็จะไม่สนใจเธออีก ฉันคงต้องไปเสียที ขอให้เธอโชคดี” ไอลดาพูดด้วยใบหน้าและน้ำเสียงราบเรียบ ในฐานะของมิตร เธอทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านี้ คงไม่สิทธิ์ที่จะไปยุ่มย่ามกับชีวิตของใคร ที่ยูมิพูดก็ถูก เธอควรจะเอาตัวรอดให้ได้ก่อน
ไอลดาเดินลงมาจากตึก เสียงหัวเราะและเสียงเพลงในผับนั้นยังดังไล่หลังมาแว่วๆ ไอลดาอดเสียดายอนาคตที่งดงามของยูมิไม่ได้ เด็กสาวไม่ควรจะเติบโตมาเป็นผีเสื้อราตรี แต่ควรเป็นผีเสื้อตัวน้อยที่โบยบินอย่างมีความสุขในทุ่งกว้างท่ามกลางแสงแดดสาดส่องมากกว่า
ไอลดาเตือนตัวเองให้หยุดคิดกังวลเรื่องของยูมิเสียที ไม่มีใครคิดหรือลิขิตชีวิตแทนใครได้หรอก นอกจากตัวเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้เลือกว่าอยากจะใช้ชีวิตแบบไหน และยูมิเองก็คงเลือกเส้นทางชีวิตของเธอเองแล้วกระมัง
จบตอนที่ 4
นภาสรร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มิ.ย. 2555, 08:56:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มิ.ย. 2555, 08:57:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 1603
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5 >> |