พร่างเสน่หา
ทุกอย่างเริ่มต้นในรุ่งสาววันหนึ่งกลางฤดูหนาวที่ซานเรโม เมื่อชายหนุ่มนักธุรกิจมือพนันระดับพระกาฬพบหญิงสาวลูกครึ่งหน้าตาขี้ริ้วรูปร่างอ้วนท้วนล้มลงนอนสลบขวางหน้าม้าตัวโปรดที่เขาควบขี่มากลางลู่ด้วยสภาพเปียกปอนปางตาย เหรียญทองนำโชคที่ติดตัวมาจึงถูกโยนขึ้นกลางอากาศเป็นการเดิมพันตัดสินชะตาชีวิตผู้หญิงแปลกหน้าคนนั้นให้อยู่รอดต่อไป หลังจากวันนั้นอเล็กซิสถึงรู้ว่า ภาพลักษณ์ของหญิงสาวความจำ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๘

--- แวะคุยกันก่อน ---

หายไปนานอีกแล้ว - -" ใช่ไหมล่ะคะ
ความจริงไม่ได้อยากหาย แต่ตอนนี้รีไรท์
จองจำดวงใจอยู่ เปลี่ยนอะไรไปเยอะเหมือนกัน
เลยอยากไรท์ให้มันจบเร็วๆ และคิดว่าจะลง
ในเด็กดีกับเว็บอื่นที่ไม่เคยลงมาก่อนรวดเดียวเลย
ยกเว้นตอนพิเศษ - -"

ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ยังติดตามกัน
ขอบคุณคอมเม้นด้วยที่ทำให้รู้สึกว่า
มีคนอ่านงานของเราอยู่ ช่วงนี้อากาศร้อน
แต่ฝนก็ตกด้วยเหมือนกัน

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ

----------
บทที่ ๘

หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในซานเรโมฉบับเช้าวันนี้มีพาดหัวใหญ่เป็นข่าวเตรียมจัดงานเลี้ยงครบรอบเจ็ดสิบปีการก่อตั้งสหภาพการเดินเรือแห่งอิตาลีโดยครั้งนี้เป็นปีแรกที่เลือกเมืองซานเรโมเป็นสถานที่จัดงาน ส่วนพาดหัวข่าวรองลงมาเป็นผลแข่งขันกีฬา ข่าวบันเทิงรวมทั้งข่าวอาชญากรรมทั้งหลาย แต่ที่สะดุดตาคงเป็นภาพข่าวพบศพชายนิรนามที่ท่าเรือและข่าวผู้หญิงคนใหม่ของลูกชายคนโตตระกูลโบรุชชี่

อเล็กซิสพับหนังสือพิมพ์โยนไปบนโต๊ะพลางหรี่ตาคิดหาจุดเชื่อมโยงทั้งหมดในข่าวที่น่าสนใจจากนั้นจึงหยิบเอกสารในซองสีน้ำเงินมาอ่าน ก่อนรับโทรศัพท์สนทนากับปลายสายเรื่องงานด้วยกันสักพักก็เรียกให้มาพบ หลังจากวางสายเขาก็ลุกจากเก้าอี้เปิดประตูออกไปข้างนอกห้องมองนีนนาราที่ถือตะกร้าผ้าก้มหน้าฟังคนรักของญาติหนุ่มพูดภาษาไทยใส่ยาวเหยียด

“ คุณมันเลือดเย็น เก่งแต่กับคนไม่มีทางสู้...นีนเขายังไม่หายดียังจะบังคับมาทำงาน ไม่รู้จะกลัวเปลืองเงินอะไรหนักหนา ถ้ากลัวมากนักฉันจ่ายค่ากินอยู่ ค่ารักษาพยาบาลให้นีนเขาเองก็ได้ ” รสาพรวดพราดเข้ามาต่อว่าต่อขานเป็นภาษาอังกฤษใส่ ทว่าเจ้าของคฤหาสน์กลับเดินผ่านไปเหมือนไม่ใส่ใจ ทำให้หล่อนโมโหเตรียมอาละวาดใส่จนโครว์ต้องรีบเข้ามาลากตัวไว้

“ ไม่เอาน่าสา อย่ามีเรื่องกับเขา ” ชายหนุ่มกระซิบข้างหูยังคงกอดรัดร่างบางที่ร้องโวยวายดิ้นรนไปมา ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลก็สบประสานกับนัยน์ตาสีเขียวไว้ ต่างฝ่ายต่างรู้กันดีว่าหญิงสาวแปลกหน้าผู้รับหน้าที่เป็นคนเก็บผ้าในยามนี้มีบางสิ่งซ่อนอยู่

“ อะไรกันคุณใหญ่ ฉันเห็นคุณสู้กับใครต่อใครเต็มไปหมด กะอีแค่ผู้ชายตัวสูงกว่าคุณนิดเดียวทำไมจะสู้ไม่ไหว ”

“ ยังไงเขาก็เป็นเจ้าของบ้าน เป็นญาติผม แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของเรา อย่าไปยุ่งกับเขา ”

“ ไอ้คนใจดำอำมหิตแบบนั้นเคยเห็นคุณเป็นญาติที่ไหน ถ้าเขาเห็นคุณเป็นญาติคงไม่พูดจาหรือใช้สายตามองคุณอย่างนั้นหรอก ดู...แม้แต่ตอนนี้เขายังมองเยาะเย้ยฉันเลย คุณเห็นไหม ”

สองหนุ่มสาวโต้เถียงกันคนหนึ่งร้อนเป็นไฟอีกคนเย็นเป็นน้ำ แต่ชายหนุ่มอีกคนซึ่งฟังภาษาไทยไม่ออกสักคำชักรำคาญเดินอาดกลับมาหาเหลือบตามองคนตัวใหญ่ปานกันแล้วเหยียดมุมปาก

“ หาวิธีให้แฟนนายเงียบปากซะ ไม่อย่างนั้นฉันจะเย็บปากให้เอง ”

“ อย่ามาขู่ฉัน...ฉันไม่กลัวคุณหรอก ” คนที่เดือดดาลตวาดแล้วเงียบปากไปในทันทีที่เห็นดวงตาสีเขียวลุกวาบมีประกายร้อนแรงเกรี้ยวกราดผสานอยู่ในความเยียบเย็นไร้ซึ่งความเมตตาชวนให้รู้สึกหวาดผวา น่าขนลุกขนพองเสียยิ่งกว่าพบอสูรกายตนไหน

“ ผมเคยทำมากกว่าเย็บปากคน ถ้าอยากลองไปเลือกขนาดเหล็กมา แล้วผมจะเผาไฟมาเย็บปากคุณให้ ” เสียงแหบต่ำนั้นเรียบเฉียบขาดชนิดที่คนฟังทั้งสามกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบาก

นีนนารากระพริบตาจ้องนายใหญ่ของคฤหาสน์แม้จะรู้สึกกลัวเป็นอย่างมากแต่ความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหญิงสาวชาวไทยที่คอยออกโรงปกป้องกันมาตลอดจะเป็นอันตรายมากกว่าเลยตัดสินใจเข้าไปขวาง

“ อ่า อย่าทะเลาะกันเลยนะคะ...เรื่องนี้นีนผิดเองแหละคะที่ไม่พูดให้คุณสาเข้าใจ ความจริงแล้วนีนเบื่อนอนในสถานพยาบาล คุณอเล็กซ์ก็เลยหางานมาให้ทำ ยังไงนีนต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้เข้าใจผิด ” หล่อนก้มศีรษะโค้งขออภัยต่อคนทั้งสองอยู่นานกระทั่งได้ยินเสียงแหบต่ำตะโกนเรียกนาร์บาสให้ขึ้นมาหาตามด้วยเสียงกระแทกประตูจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมา

นัยน์ตาสีน้ำตาลอมโศกทอดไปยังประตูห้องทำงานที่หมู่นี้ไม่เห็นเจ้าของห้องนั้นยอมพูดจา แม้แต่ยามเห็นหน้าเขายังมองผ่านไปเหมือนเป็นอากาศธาตุจนทำให้หล่อนรู้สึกแปลกอย่างไรไม่ทราบ

โครว์เม้มริมฝีปากไม่ได้แปลกใจกับการพูดของคนเจ็บเพราะมีโอกาสได้ยินรสาสนทนาด้วยตอนไปเยี่ยมที่สถานพยาบาล มือทั้งสองยังคงกอดพยุงรสาที่ยังตาค้างแข้งขาอ่อนแรงจากการเผชิญหน้ากับรังสีอำมหิตที่ผู้ชายอ่านยากถ่ายทอดออกมา

“ นีนขอบคุณมากนะคะที่พวกคุณเป็นห่วงนีนและขอโทษด้วยที่ทำให้คุณต้องโดนแบบนั้น ”

“ ไม่เป็นไรหรอก แต่คราวหน้าพูดให้มันเร็วกว่านี้หน่อยนะ อีกไม่นานผมจะกลับอเมริกา ผมไม่อยากบาดหมางกับญาติตัวเองโดยไม่จำเป็น ” ชายหนุ่มว่าแล้วช้อนร่างคนรักอุ้มเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง

หญิงสาวถอนหายใจยกตะกร้าผ้ามากอดไว้จากนั้นจึงก้าวลงบันได แวะส่งยิ้มทักทายให้กับนาร์บาสที่วิ่งสวนมาแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ไปตามทางที่ทอดยาวอย่างเชื่องช้า เมื่อเห็นดอกมัมหลากสีบานสะพรั่งกระจ่างตาก็หยุดเท้านั่งยองๆกอดเขามองมันเอนไหวตามแรงลมไปมา

...เป็นเวลาครบอาทิตย์แล้วที่เธอทำงานเป็นแม่บ้านคอยเก็บผ้าไปซักตามคำสั่ง ผจญอยู่กับชายฉกรรจ์จำนวนมากซึ่งบางคนก็เหมือนจะเขม่นเธออยู่ค่อนข้างมาก แถมเจ้าของคฤหาสน์ยังไม่ใคร่จะพูดกับเธอ ขนาดพบหน้ากันยังทำเหมือนไม่เห็นกันอีกต่างหาก แต่นั้นยังไม่แย่เท่ากับการถอดรหัสลำดับเลขโบนักชีบนกุญแจทองของพ่อ

...สิ่งที่ได้มาเป็นคำโดดๆที่อ่านออกเสียงในภาษาอิตาลีได้ แปลกตรงที่คำเหล่านั้นเป็นคำโดดที่ไม่มีความหมายและหาจุดเชื่อมโยงเพื่อรวมเป็นประโยคไม่ได้ แม้จะสลับคำหาความหมายหรือลองใช้ภาษาอื่นคิดวิเคราะห์ก็หาคำตอบในสิ่งที่พ่อต้องการบอกไม่ได้...

“ ภาษาอะไรค่ะพ่อ ” หล่อนรำพึงกับตัวเองด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง...เสียงที่เปล่งออกมายามพูดแต่ละคำนั้นฟังคล้ายบทสวดโบราณ ที่ไม่ใช่ภาษาลาติน แต่มันคือภาษาอะไรนั้นเธอจำเป็นต้องเข้าหอสมุดขนาดใหญ่หรือสืบค้นในระบบอินเทอร์เน็ต แต่ในเวลาที่เธอแกล้งความจำเสื่อมอยู่นี้ จะคิดทำอะไรเช่นนั้นคงมีคนจับได้พอดี

“ ไง แม่ตุ๊กตาผมแดง มานั่งจับแมลงอะไรตรงนี้ ” เสียงเข้มเย้าเป็นภาษาอิตาลีที่ดังข้างหูทำให้หล่อนเม้มริมฝีปากหันไปมองชายหนุ่มผมทองที่กลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเธอนับตั้งแต่มีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น

...หมดเวลาพักร้อนไปแล้วทำไมยังโผล่มาที่นี่อีก...

ราฟาเอลยืนชะโงกหน้าบดบังแสงแดดที่ทอทาบลงมา เรือนผมสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า ใบหน้าหล่อเหลามีหนวดเครานั้นระบายด้วยรอยยิ้มขบขันราวกับรู้ทันความคิดกัน

“ อย่ามองเหมือนฉันเป็นคนไม่ดีน่า...ฉันไม่ได้อู้งานที่ท่าเรือนะ แต่มีธุระคุยกับบอสเขาถึงได้มา ”

“ เหรอคะ...งั้นก็รีบไปสิคะ ”

“ โอโห แม่ตุ๊กตาไม่ต้องออกอาการไม่อยากพูดกับฉันขนาดนั้นก็ได้จ้า เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้าเขาจะหาว่าเป็นเด็กไม่มีมารยาทนะจ๊ะ ”

“ ฉันไม่ใช่ตุ๊กตา และเหมือนฉันเป็นเด็กนักเลยค่ะ ” หล่อนว่าอุ้มตะกร้าผ้าเดินหน้าไปห้องซักผ้าแต่เขายังเดินตามมาวอแวไม่ห่างเพราะต้องการไขความกระจ่างเรื่องความจำเสื่อมที่เขาติดใจมานานเป็นสัปดาห์

...ในฐานะตำรวจที่เคยสอบสวนอาชญากรมา เขาค่อนข้างมั่นใจว่า เด็กสาวคนนี้แกล้งความจำเสื่อม...

“ แล้วเธออายุเท่าไหร่ล่ะ อายุถึงสิบแปดหรือยัง ถ้ายังฉันก็ถือว่าเธอเป็นเด็กอยู่นะ ”

“ ฉันอายุ... ” เสียงหวานนั้นเงียบหายไปในนาทีที่ตระหนักได้ว่า เขาพยายามตะล่อมถามให้เธอเผยความจริงที่เก็บซ่อนไว้ออกมา แต่ชั้นเชิงของเขาต่างจากเจ้าของคฤหาสน์มากทำให้ยังยั้งตัวเองได้ “ อายุเท่าไหร่ ก็ไปถามคุณหมอเอาสิคะ คุณหมอเขาทราบข้อมูลเกี่ยวกับฉันทุกอย่างค่ะ ”

“ อ้อ...ขนาดนั้นเชียว ” ชายหนุ่มว่าพลางพยักหน้าแล้วค่อยหันไปมองนายแพทย์ประจำสถานพยาบาลที่ตอนแรกเดินห่างออกไปเป็นวาแต่พอเห็นทั้งสองอยู่กันต่อหน้าก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นหนังสือพิมพ์ประจำวันและพวงกุญแจแว่นขยายส่งให้หญิงสาวเป็นอันดับแรก

“ ขอบคุณค่ะ ” หล่อนบอกด้วยรอยยิ้มสดใสหยิบหนังสือพิมพ์มาหนีบไว้และเก็บของที่เขาซื้อมาให้ตามคำขอของหล่อนเก็บใส่กระเป๋าเสื้อไว้

โนอาร์พยักหน้าอย่างเฉยชาเช่นทุกครา แต่ดวงตาสีฟ้ากลับมีอ่อนโยนหนักหนาจนราฟาเอลถึงกับส่ายหน้า

“ นายออกจากสถานพยาบาลมาเพื่อเอาของมาให้แม่ตุ๊กตาน่ะเหรอ ” คำถามนั้นทำให้แพทย์หนุ่มรู้สึกตัวปรายตาไร้อารมณ์มาหา

“ เปล่า พอดีบอสให้นาร์บาสมาตามฉันไปพบที่ห้องทำงาน ฉันก็เลยออกมา ว่าแต่นายล่ะมาทำอะไรที่นี่ ”

“ บอสเรียกมาคุยธุระที่นี่ ”

“ งั้นเราสองคนก็ไปหาบอสพร้อมกันเลยแล้วกัน ” หัวหน้างานเดินเรือกอดคอเพื่อนร่วมงานแต่อีกฝ่ายกลับดึงแขนนั้นออกจากร่างกลับไปคุยกับคนที่อุ้มตะกร้าผ้า

“ วันนี้หมอมีสัมมนากับทางโรงพยาบาล คงไปกินข้าวเที่ยงที่หลังเรือนพักคนงานกับคุณไม่ได้นะ ”

“ ค่ะ ” หล่อนตอบรับสั้นเท่านั้นคนถามก็หมุนตัวออกเดินไปอีกทางเหมือนไม่ใคร่สนใจอะไรมากนัก แต่ในสายตาของใครอีกคนที่เดินตามหลังไปนั้นกลับรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่คล้ายจะเกินกว่าคำว่าแพทย์และคนไข้ หากเขาเลือกจะเงียบเอาไว้

ชายหนุ่มทั้งสองเดินผ่านโถงทางเดินขึ้นไปพบกับเจ้านายใหญ่ในห้องทำงานตามคำสั่ง ทันทีที่อเล็กซิสเห็นทั้งคู่เข้ามาพร้อมกันก็กวักมือเรียกโนอาร์มาคุยเป็นคนแรก

“ ฉันจะให้ผู้หญิงคนนั้นออกจากสถานพยาบาลนะ ” เขาโพล่งออกมาทั้งที่สายตาจดจ่ออยู่กับการอ่านเอกสาร

“ ไม่ให้อยู่สถานพยาบาลแล้วจะให้เธอไปอยู่ที่ไหน หรือว่าบอสจะส่งตัวเธอไปให้สถานทูตครับ ”คนไม่ทันตั้งตัวหลุดถามเสียงดังออกมา

“ ก็คงอย่างนั้น ”

“ จะส่งเธอไปสถานทูตทั้งที่ยังไม่หายคงไม่เหมาะหรอกครับ ”

“ แต่ฉันอ่านรายงานของนาย เห็นเขียนไว้ว่า อาทิตย์หน้าจะถอดเฝือกผู้หญิงคนนั้นออก ถ้าจะส่งตัวไปก่อนคงไม่อันตรายถึงชีวิตหรอกน่า ”

“ ถึงจะถอดเฝือกออกแต่ความทรงจำเธอยังไม่กลับมา ถ้าเธอต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าเจอสภาวะกดดันมากๆ เธออาจทนไม่ไหวช็อกขึ้นมาก็ได้นะครับ ”

“ ถ้าดูจากแผลของราฟาเอลที่โดนตีวันนั้นแล้ว ฉันเชื่อเลยว่า เธอดูแลตัวเองได้สบาย ”

“ เธออาจจะป้องกันตัวเองได้ แต่เธอยังทำกิจวัตรประจำวันเหมือนคนปกติไม่ได้ ”

“ เอาง่ายๆดีกว่า นายอยากให้เธออยู่ที่นี่ต่อใช่ไหม ” หลังจากฟังเหตุผลที่ยกมาทัดทานคนฟังก็ถามหาข้อสรุป

“ ผมอยากให้เธออยู่ที่นี่จนกว่าความทรงจำจะกลับมา ”

“ เพราะ... ”

“ เธอเป็นคนไข้ในกรณีศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทวิทยาของผม ”
คำตอบจากแพทย์ประจำสถานพยาบาลทำเอาสองชายหนุ่มในห้องถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ผู้ถามจะหลุดหัวเราะในลำคอออกมา

“ เพราะแบบนี้ นายถึงดีกับเธอใช่ไหม โอเค ถ้าอย่างนั้นเพื่อผลสำเร็จของชิ้นงานที่นายศึกษา ฉันจะให้เธออยู่ที่นี่ตามที่นายต้องการ แต่ผู้หญิงคนนั้นถ้าไม่มีเฝือกก็เป็นคนธรรมดา ยังไงฉันก็ไม่อนุญาตให้คนร่างกายปกตินอนในสถานพยาบาล ฉันไม่ยอมให้ใครฝืนกฎที่ฉันกับนายร่างขึ้นมาแน่ ”

“ ถ้าเธอไม่นอนที่สถานพยาบาลจะให้เธอไปนอนที่ไหน เรือนพักคนงานก็มีแต่ผู้ชาย หรือจะให้นอนในคฤหาสน์ ”

“ เรื่องนั้นฉันจัดการเองได้ นายกลับไปทำงานได้แล้ว เผื่อมีคนงานเจ็บอะไรขึ้นมาจะได้รักษาทัน ” เจ้าของห้องผายมือเชิญลูกน้องให้กลับออกไปโดยที่อีกฝ่ายไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าพยักหน้ารับแล้วจากไป

ราฟาเอลขยับห่างจากผนังที่ใช้พิงหลังกลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง นัยน์ตาคมนั้นจ้องบานประตูที่เพื่อนร่วมงานเพิ่งหายหลังออกไปด้วยความสงสัยระคนหนักใจ

“ ปล่อยไปแบบนี้จะดีเหรอครับ ” คนที่รู้กันดีอยู่ถึงความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มคนเมื่อครู่เอ่ยถาม

“ ถ้าไม่เสียงาน จะยังไงก็ได้ ” เจ้านายตอบหน้าตายเหมือนเคยก่อนเปลี่ยนเรื่อง “ เรื่องศพในข่าวเป็นมายังไง ”

“ ก็มีคนพบศพมาเกยข้างเรือหาปลาห่างจากออฟฟิศของเราไปไม่ประมาณร้อยเมตรได้ คนตายเป็นผู้ชายสูงอายุถูกของแข็งทำร้ายจนถึงแก่ความตาย บริเวณหน้าถูกตีเละจนระบุลักษณะไม่ได้ คาดว่าน่าจะตายก่อนโยนทิ้งน้ำ ตอนนี้ตำรวจที่นี่ส่งศพไปชันสูตรและทำคดีอยู่ อีกสองสามอาทิตย์คงได้ข้อมูลเพิ่มครับ ”

“ ฆาตกรที่ทิ้งศพแบบนี้ ถ้าไม่โง่ก็คงจงใจ ”

“ พฤติกรรมโหดเหี้ยมขนาดนี้ แถมเลือกจะให้ศพลอยน้ำมาติดในละแวกชุมชน แทนที่จะถ่วงน้ำทำลายหลักฐาน...ผมมั่นใจเลยว่าฆาตกรตั้งใจให้เป็นข่าว ”

“ ตำรวจป้วนเปี้ยนเต็มท่าเรือแบบนี้ คงมีผลกับลูกค้าเราบ้างไหมล่ะ ”

“ ก็นิดหน่อยครับ แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวไม่ทราบเรื่องข่าวนักหรอกครับ ”

“ แล้วมีอะไรอีก ”

หัวหน้าการเดินเรือท่องเที่ยวยักไหล่ทันทีที่ถูกถามก่อนจะหยิบบัตรเชิญจากในกระเป๋าเสื้อวางไว้บนกองเอกสาร

“ สหภาพการส่งบัตรเชิญให้บอสไปร่วมงานเลี้ยงครบรอบการก่อตั้งสหภาพน่ะครับ ” เขาพูดด้วยรอยยิ้มกริ่มแล้วจึงต่อ “ นี่ขนาดเราไม่ได้เป็นสมาชิก เวลามีงานอะไรทางนั้นยังขยันส่งบัตรเชิญมาให้ตลอด แถมคราวนี้เลือกจัดงานในซานเรโมอีกต่างหาก พวกโบรุชชี่มันคงตั้งใจจะมัดมือชกให้บอสไปร่วมวงสมาคมให้ได้แน่ ”

“ อืม ” เจ้านายส่งเสียงในลำคอแทนการรับทราบ

“ เออ จะว่าไปพักนี้พวกลูกชายตระกูลโบรุชชี่มันขยันออกสื่อถี่มาก เมื่อวันก่อนที่เพิ่งมีข่าวไปร่วมหุ้นกับไนท์คลับเปิดใหม่ อีกวันมีข่าวซื้อรีสอร์ทในซานเรโม วันนี้มีข่าวแอบควงนางแบบอีก ไอ้คนพี่ออกข่าวไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้คนน้องนี่ระวังตัวไม่ให้ใครเห็นหน้า กลับมีภาพข่าวหลุดออกมา ไม่รู้ว่ามันมีแผนอะไรอีก ”

“ ใช้สมองตำรวจคิดหน่อยสิ...คิดให้ดีว่าพวกนั้นมีเรื่องอะไรอยู่บ้าง แล้วนายจะรู้เหตุผล ” คนเป็นนายเปรยเป็นแนวทางคู่สนทนาเลยตาสว่างขึ้นมาทันที

“ อ่า จริงสิ พวกนั้นกำลังตามหาคน อาจเป็นไปได้ว่า ผู้หญิงที่มันตามหาไม่รู้ว่ามันเป็นใคร เลยจงใจใช้วิธีออกสื่อเพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นเห็นหน้าจะได้ปรากฏตัวออกมาสินะครับ ” ลูกน้องหนุ่มลูบคางพลางครุ่นคิดถึง

“ เออ พูดถึงเรื่องนี้ เมื่ออาทิตย์ก่อนคู่หูผมบอกว่า เห็นคนของเดมิสทรีไปป้วนเปี้ยนที่หน้าสถานทูตไทยกับอิตาลีทุกวัน ”

“ แล้ว ”

“ ตอนแรกแหล่งข่าวของผมบอกว่า พวกนั้นเลือกเป้าหมายเป็นผู้หญิงลูกครึ่งเอเชียผมสีแดงอายุราวยี่สิบปีขึ้นไป ไอ้ลูกครึ่งเอเชียในอิตาลีมันก็มีตั้งเยอะแยะผมไม่รู้จะเจาะจงยังไง แต่พอรู้ว่ามันไปดักสถานทูตไทยด้วย ผมก็เลยให้คู่หูสืบหาผู้หญิงลูกครึ่งไทยที่มีประวัติเดินทางเข้าออกอิตาลีรวมทั้งพวกที่สูญหายภายในเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ”

“ เจอไหมล่ะ ”

“ คู่หูผมเขาเจอรายหนึ่ง เป็นลูกครึ่งอิตาลีกับไทย ถือสองสัญชาติ เพิ่งเดินทางมาอิตาลีพร้อมกับพ่อเมื่อสามเดือนก่อน รู้สึกว่าตอนแรกจะพักอยู่ในโรม แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีประวัติการทำธุรกรรมทางการเงิน หรือ การเข้าพักที่ไหนอีกเลย ซึ่งผมเชื่อว่า สองพ่อลูกนี้อาจจะเป็นคนที่พวกนั้นหาอยู่ ”

“ รู้ชื่อไหม ”

“ ผมจำไม่ได้ เพราะรายละเอียดต้องรอให้คู่หูผมแฟกซ์มาให้ก่อน แต่รู้สึกว่านามสกุล โคเลอร์ ”

“ เหรอ ” เจ้าของคฤหาสน์ตอบรับอย่างไม่ยินดียินร้าย ดวงตาสีเขียวทั้งคู่ยังจดจ่ออยู่กับการทวนรายชื่อม้าของลูกค้าที่เตรียมนำส่งในบ่ายวันนี้ “ แล้วงานเลี้ยงครบรอบสหภาพเนี่ยจะมีเมื่อไหร่นะ ”

“ อาทิตย์หน้าครับ...ว่าแต่คราวนี้ผมคงต้องไปแทนอีกแล้วสิครับเนี่ย ” ลูกน้องหนุ่มหยิบบัตรเชิญเตรียมจะเก็บใส่กระเป๋าดังเก่าแต่อีกฝ่ายกลับรั้งไว้

“ บัตรเชิญนะวางไว้นั้นแหละ ”

“ ทำไมล่ะครับ ”

“ ปีนี้ฉันจะไปเอง หมดธุระล่ะ นายกลับไปทำงานได้ ” เขาตัดบทกลับมาสนใจอ่านเอกสารในมือต่อ
ราฟาเอลกระพริบตามองความเฉยชาของเจ้านายเป็นปกตินิสัยของเจ้านายด้วยความประหลาดใจแต่ก็ยอมวางบัตรเชิญไว้ดังเก่าแล้วกลับออกไปและในนาทีที่ได้ยินเสียงบานประตูลงสนิทอเล็กซิสก็วางเอกสารในมือลง เอื้อมหยิบซองทองมาเปิดดูบัตรเชิญด้วยรอยยิ้มมุมปากที่อ่านความรู้สึกได้ยากเช่นเคย...

*************************************

เสียงเครื่องซักผ้าทำงานที่ลอดจากห้องซักล้างดังมาถึงลานตากผ้าด้านหลังเป็นประจำถูกกลบด้วยเสียงจ้อแจ้จากทั้งคนและม้าทำให้คนที่เก็บผ้าปูเตียงอยู่ต้องเขย่งเท้าชะเง้อดูคนงานต้อนม้าสวยสง่าเดินขึ้นไปบนท้ายรถบรรทุกที่มีหลังคาคลุมโดยมีหัวหน้าคนงานควบคุมงานอยู่ด้วยความสนใจใคร่รู้

ฟาบิโอตรวจรายชื่อม้าและสายพันธุ์ขะมักเขม้นเมื่อเหลือบเห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลจ้องมองเขาอยู่พลางโบกมือให้กำลังใจอย่างน่าเอ็นดูก็หลุดยิ้มกว้างออกมาไม่รู้ตัวจนลูกน้องที่ยืนอยู่แกล้งเอาไหล่กระแทกใส่เป็นการใหญ่

“ แม่ตุ๊กตาเป็นขวัญใจของทุกคนในฟาร์ม กรุณาอย่าออกอาการมากขนาดนั้น ” หลายเสียงประสานเตือนทีเล่นทีจริงทำเอาคนเป็นหัวหน้าส่ายหน้าหัวเราะขำออกมา

...แค่อาทิตย์เดียว นีนนารากลายเป็นตุ๊กตาตัวน้อยที่ทุกคนในฟาร์มตั้งปณิธานยกให้เป็นเทพีที่ห้ามใครฉกชิงเป็นเจ้าของ มีสิทธิ์เก็บความน่ารักน่าเอ็นดูไว้ให้กระชุ่มกระชวยหัวใจพอ...

“ ฉันรู้หรอกน่า ” เขาว่าตีหน้าขรึมกลับมาทำงานต่อ แต่บางครั้งยามใครเผลอสายตาเป็นต้องเหลือบไปทางลานตากผ้าพอไม่เห็นคนตัวเล็กปรากฏในสายตาความรู้สึกโหวงหวิวในใจเป็นต้องแล่นขึ้นมา

ชายหนุ่มยอมรับว่า เธอเป็นผู้หญิงสวยน่ารัก เวลาใครเห็นเข้าก็อยากทำความรู้จัก อาจจะดูเหมือนเธอไม่แตกต่างจากผู้สวยคนอื่นมากนัก แต่การพูดจาและท่าทางไม่มีจริตจก้าน บางคราเป็นเด็กไร้เดียงสา บางครั้งก็เหมือนผู้ใหญ่รู้ลึกรู้ดีเหมือนสารานุกรมก็ทำให้คนอยู่ใกล้รู้สึกผ่อนคลาย

“ แค่น้องสาว ” เสียงทุ้มย้ำกับตัวเองเช่นนั้นพยายามไม่คิดถึงเรื่องของแม่ตุ๊กตาที่ทุกคนในฟาร์มตั้งฉายา
นีนนารากลับเข้ามาในห้องซักล้างวางตะกร้าเสื้อผ้าสะอาดกองไว้ตรงผนังที่มีป้ายติดไว้สำหรับเก็บผ้ารอรีดก่อนทรุดลงนั่งบนเก้าอี้หวายที่มีอยู่ตัวเดียวในห้องคว้าหนังสือพิมพ์บนชั้นอิฐมาวางบนตักแล้วล้วงมือหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กที่แพทย์หนุ่มซื้อให้พลิกหน้าที่มีรหัสตัวเลขขึ้นมา

นัยน์ตาอมโศกเขม่นมองลำดับตัวเลขบนหน้ากระดาษพร้อมกับภาพความทรงจำของพ่อก็ผุดพราย...ยังจำได้ถึงช่วงเวลาที่พ่ออุ้มหล่อนนั่งตักเพื่อถ่ายทอดทุกอย่างที่พ่อรู้จักและสันทัด ทุกเวลานาทีของพ่อผ่านไปกับการทุ่มเทความรักให้ลูกสาวของพ่อเท่านั้น

ในวัยเด็กพ่อเคยเป็นโลกทั้งใบแต่เมื่อเวลาพ้นผ่านไปเงื่อนไขของชีวิตที่มีมากขึ้นกลายเป็นความคับแค้นใจให้หล่อนไม่อาจอดทนกับชีวิตที่ต้องหลบซ่อน...หล่อนทนอยู่ในคราบผู้หญิงขลาดเขลาที่ไม่มีปากเสียงกับใครโดยไม่มีเหตุผลไม่ได้อีกต่อ และนั่นทำให้หล่อนดื้อดึงจะไปอิตาลีทันทีที่ได้รับจดหมายตอบรับจากทางมหาวิทยาลัยในโรมเรื่องทุนเข้าศึกษา

...ถ้าเพียงแต่หล่อนจะฟังคำขอของพ่อเหมือนทุกครั้ง ถ้าเพียงแต่หล่อนเชื่อพ่อเท่านั้น...

“ ถอยหน่อยได้ไหม ” เสียงเข้มดุดันนั้นดังขึ้นข้างหูทำให้หญิงสาวสะดุ้งสุดตัวแทบร่วงจากเก้าอี้ โชคดีที่มีมือใหญ่ของใครคนหนึ่งคว้าแขนเอาไว้จึงมีเพียงข้าวของบนตักเท่านั้นที่หล่นพื้น

ชายหนุ่มชาวตะวันออกกลางผิวคร้ามแดดกายสูงใหญ่สวมเสื้อกล้ามสีดำอวดกล้ามเนื้อแข็งแรง เรือนผมหยักศกและหนวดเคราที่ล้อมกรอบใบหน้าคมดุนั้นเป็นสีดำขลับตัดกับดวงตาสีฟ้าอมเทาของเขาลิบลับเป็นคนเดียวกับที่เขม่นกันตั้งแต่วันแรกปล่อยแขนหล่อนแล้วเอื้อมหยิบผ้าขนหนูบนชั้นหลังเก้าอี้ทำให้หล่อนนั่ง ร่างบางจึงรีบลุกจากเก้าอี้หนีมายืนอยู่มุมห้อง

...เธอพยายามไม่มีปัญหา และหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนที่ไม่ชอบน้ำหน้าเธอด้วย...

คนตัวใหญ่หยิบผ้าขนหนูพาดบ่า จากนั้นจึงก้มหยิบหนังสือพิมพ์และสมุดโน้ตที่หล่นขึ้นจากพื้นเขม่นมองคำในหน้ากระดาษนั้นสักครู่ก็ส่งของทั้งหมดคืนให้

“ ขอบคุณค่ะ ” หล่อนเอ่ยอย่างจริงใจแต่อีกฝ่ายกลับเดินผ่านหน้าไปเหมือนไม่ได้ยิน

“ พวกนั้นเป็นพิกัดบนแผนที่ ” เขาเกาะขอบประตูทิ้งคำพูดไว้เท่านั้น ทำให้คนฟังกระโจนเข้าไปหาหมายจะรั้งตัวไว้แต่ไม่ทันหน้าเลยกระแทกเข้ากับประตูดังลั่นพร้อมของในมือที่ร่วงลงพื้นอีกครั้ง

หญิงสาวลืมความเจ็บรีบก้มเก็บของตั้งใจจะตามหลังผู้ชายคนนั้นให้ทัน ทว่าภาพข่าวในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของวันทำให้ตะลึงงันและเมื่อพลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของข่าวในหน้าที่ระบุไว้จนถึงรูปพรรณสัณฐานของผู้ตายอาการชาและหนาวเหน็บกับวาบไปทั้งหลัง

“ พ่อ ” หล่อนร้องปากคอสั่นเหมือนโลกทั้งใบหมุนคว้างรู้สึกสับสนจนตั้งสติไม่ทัน ในเวลานาทีนั้นหล่อนทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังแล้ววิ่งย้อนไปทางคฤหาสน์หมายจะตั้งต้นหาเส้นทางออกจากฟาร์มแห่งนี้ที่นั่น หากพอจำได้ว่าแพทย์ประจำตัวจะออกไปข้างนอกก่อนเที่ยงวันเลยตัดสินใจรีบวิ่งไปทางนั้นโดยไม่ทันระวังจึงชนเข้ากับคนที่เดินสวนมา

“ จะไปไหน ” เสียงแหบต่ำถามมือใหญ่ทั้งสองข้างจับต้นแขนเรียวเล็กของอีกฝ่ายไว้มั่น

“ ไปหาหมอ ” หล่อนตอบสั้นดวงตาคู่นั้นไม่มองหน้าของคนถามแต่จับอยู่ตรงสถานพยาบาลที่อยู่ไกลออกไป

“ ไม่สบายหรือเจ็บตรงไหนถึงต้องไปหาหมอตอนนี้ ”

“ ฉันมีธุระ ต้องติดรถหมอออกไปข้างนอก ”

“ จะออกไปข้างนอกน่ะไปที่ไหน ”

“ มันเรื่องของฉัน ” คนที่สติไม่อยู่กับร่องกับรอยร้องลั่นพยายามดิ้นรนให้เป็นอิสระไม่สนใจแม้แต่จะรับรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครด้วยซ้ำ...เวลานี้หล่อนต้องการเพียงออกไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าศพที่ลอยมาเกยท่าเรือในข่าวที่ว่าเป็นพ่อหรือเปล่าเท่านั้น

“ เธอความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอแล้วจะมีธุระออกไปไหนข้างนอกได้ยังไง ” อีกฝ่ายยังไม่ลดละยังคงจับร่างบางตรึงไว้เช่นนั้น ฝ่ายคนที่กำลังจะคลั่งไปกับข่าวศพลอยน้ำอาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันระวังกัดแขนเขาจมฟันแล้วสะบัดตัวเตรียมหนีไปอีกครั้ง

คนตัวใหญ่กัดฟันคว้าแขนข้างที่ไม่ได้ใส่เฝือกกระชากให้กลับมาก่อนรวบเอวบางขึ้นพาดบ่าใช้มือใหญ่รวบข้อเท้าขาวทั้งสองดึงจนตึงส่วนมืออีกข้างตบเบาบนแผ่นหลังร่างเล็กนั้นซ้ำๆ ยอมให้เจ้าหล่อนกรีดร้องใส่หูดังสนั่นและใช้กำปั้นกระหนำทุบบนตัวเขาไม่ยั้ง

“ ปล่อยฉัน ” หล่อนตะโกนสุดเสียงคราวนี้ไม่ตีเปล่าแต่ทั้งหยิกทั้งกัด คนตัวใหญ่ชักรำคาญเลยตีสะโพกแรงเข้าไปเต็มรักเหมือนผู้ใหญ่ที่ตีเด็กดื้อจัดเดินกลับไปที่กระท่อมของตัวเอง โดยที่คนบนบ่ายังคลั่งหนักตบตีตะโกนด่าทอเขาเป็นภาษาไทยไม่ลดละ

ชายหนุ่มล็อกประตูทุ่มร่างบางกระแทกลงบนเตียงนุ่มแล้วถอยห่างไปหาอะไรสักอย่างมาใช้มัดเพื่อหยุด แต่พอเห็นหญิงสาวตะกายเกือบจะวิ่งไปถึงประตูเลยถูกเขากระชากเหวี่ยงกลิ้งกลับไปที่เก่าก่อนที่จะโถมกายใหญ่เข้าใส่พยายามออมแรงไว้เพื่อไม่ให้คนเจ็บแขนหักซ้ำไปใหม่

“ หยุดบ้าซะที ” เขาตวาดใส่ใช้มือกดหัวไหล่ให้จมลงไปบนเตียง

“ ก็ปล่อยฉันสิ ปล่อยฉันออกไป ”

“ ออกไปไหน จะออกไปดูหน้าคนตายในข่าวหรือไง ”

“ ฉันจะออกไปไหนก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งเข้าใจไหม ”

“ หัดใช้สมองตรองซะบ้างสิ แผนตื้นๆแค่นี้เธอยังดูไม่ออกอีก ”

“ ดูอะไร ฉันควรดูอะไร ” หล่อนตะคอกใส่ยังความวุ่นวายในใจทำให้ควบคุมตัวเองให้เป็นปกติไม่ได้

“ อย่าอ่อนต่อโลกนักเลย แค่ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ มันเชื่อไม่ได้หรอกนะ...ถึงเธอออกไปตอนนี้ก็มีแต่จะโดนพวกนั้นจับ เธอคิดว่าพวกนั้นมันกระจอกขนาดจะปล่อยเธอหนีออกมาได้อีกเหรอ ”

“ ช่างมัน ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้น ปล่อยฉัน ”

หญิงสาวร้องลั่นอาศัยจังหวะที่มือเป็นอิสระทั้งตีทั้งทุบไม่นับกระทั่งหลังมือสะบัดกระแทกเข้าข้างแก้มสากระคายเต็มแรงจนคนไม่ทันระวังถูกตบจนหน้าหันและคราวนี้เองที่ทำให้ชะงักงันหยุดการกระทำอันบ้าคลั่งของตัวเองทันที

“ เออ ” เสียงหวานหลุดออกมาขณะเหลือบมองคนตรงหน้าที่ลูบหน้าเหยียดมุมปากออกช้าๆ ด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะหลุดออกมา ในเวลานั้นทุกคำเตือนเรื่องพ่อที่เขาพูดเริ่มย้อนมาสะกิดใจให้รับรู้

อเล็กซิสเม้มริมฝีปากเขม่นมองคนที่หลุบตาต่ำด้วยรอยยิ้มหยัน นัยน์ตาคมกล้าสีเขียวอมเทาที่ฉายแววอ่านยากเป็นอาจิณนั้นกลับมีความเหี้ยมเย็นเยี่ยงนักฆ่าให้คนเจ็บคร้ามครั่น นิ้วแข็งปานกรงเล็บปีศาจจับคางและข้างแก้มบีบเต็มแรงบังคับให้เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลโศกหวานเงยขึ้นมาสบสายตากัน

“ ขอโท... ” หล่อนพูดไม่ทันขาดคำริมฝีปากอิ่มกลับถูกริมฝีปากหยักบางประทับ เรียวลิ้นอุ่นร้อนแทรกเข้าค้นหาความชุ่มฉ่ำที่ซ่อนอยู่ลึกล้ำน่าลิ้มลองทำให้คนไม่เคยผงะเผลอกัดเขาเข้าอย่างจังต้องข้างปากห้อเลือด แต่นั้นมิอาจยุติการกระทำที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนั้น

ยามแรกที่สัมผัสแปลกประหลาดเริ่มขึ้นอีกครั้ง นีนนารารู้สึกได้ถึงไหล่บางของตัวเองที่ไหวสั่น ริมฝีปากบดเบียดวาบหวามร้อนแรงดั่งเปลวไฟราวกับจะแผดเผาให้มอดไหม้สอดแทรกอยู่ในความอ่อนอุ่นหอมหวาน เสียงเข็มนาฬิกาที่เคลื่อนไปไหนทุกโมงยามเลือนลบความทรงจำได้ทุกอย่าง

เจ้าของคฤหาสน์ถอนริมฝีปากและเรียวลิ้นจากความนุ่มหวาน มือหยาบกร้านประคองดวงหน้างามที่หอบหายใจคล้ายเหนื่อยอ่อนจากการจูบอันยาวนาน นัยน์ตากลมโตอ่อนเดียงสาเหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับสติถูกพรากผลาญ

“ ถ้าตบหรือกัดฉันอีก ฉันจะฆ่าเธอซะ ” เสียงแหบต่ำขู่คำราม กระชากเสื้อเชิ้ตสีดำที่สวมอยู่ด้วยแรงมหาศาลจนกระดุมหลุดขาดแล้วถอดออกมาบิดเป็นเกลียวแทนเชือกผูกมัดแขนข้างที่ใช้การได้ของคนเจ็บโยงเข้ากับเสาเตียงด้วยเงื่อนตายอย่างแน่นหนา

“ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอไม่ต้องกลับไปนอนที่สถานพยาบาล แต่ให้มานอนที่นี่แทนเข้าใจไหม ”

“ ค่ะ ” หล่อนตอบรับอัตโนมัติ

“ แล้วอยู่ตรงนี้นะ อย่าคิดหนีไปไหน ไว้ฉันเสร็จงานเมื่อไหร่ เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกันยาว ” คนเผด็จการและอ่านยากชี้หน้าสั่งกำชับก่อนผละถอยลงจากเตียง แต่ก่อนเปิดประตูออกไปข้างนอกยังไม่วายหันกลับมาทิ้งท้าย

“ ถ้าฉันกลับมาไม่เห็นเธออยู่ในห้องนี้ เราสองคนได้เห็นดีกันแน่ ”

ประโยคแข็งกร้าวนั้นตามมาด้วยเสียงกระแทกประตูปิดดังสนั่น แต่อีกฝ่ายเพียงกระพริบตาอย่างงงงัน

นีนนาราลืมความกลัวและเรื่องหลอกลวงที่มีระหว่างกันเพราะความรู้สึกนึกคิดหลงติดอยู่ในสิ่งที่เขากระทำ รสและกลิ่นคาวเลือดของมารร้ายในคราบเทพบุตรที่แฝงอยู่ในรสจูบนั้นดูราวกับภาพฝันที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง




ปาณณิศา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มิ.ย. 2555, 15:43:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มิ.ย. 2555, 15:43:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 1665





<< บทที่ ๗   
คิมหันตุ์ 15 มิ.ย. 2555, 16:28:30 น.
อัยย๊ะ ความจริงจะปรากฎผ่านรอยจูบหรือป่าวหล่ะนิ อิอิ


anOO 15 มิ.ย. 2555, 17:47:47 น.
พระเอกเรา มองนีนทะลุปรุโปร่งหมดเลย


lovemuay 15 มิ.ย. 2555, 20:10:48 น.
ดูเหมือนพระเอกของเราจะเดาได้นะว่านีนเป็นใคร


violette 15 มิ.ย. 2555, 20:16:33 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด พระเอกโหด แต่แอบน่ารัก (อะไรเนี่ย)
รู้ทุกเรื่องจริงๆอิตาอเล๊กซิสเนี่ย


Zephyr 15 มิ.ย. 2555, 22:10:29 น.
หูย โหดจริงไรจริง เอาซะเลือดกลบปากเลย
ซดิสม์กับมาดซรึไงนะคู่นี้ อิอิ
เหมือนอเล็กซิสจะเดาออกแล้วนะว่านีนเป็นใคร


อริสา 16 มิ.ย. 2555, 13:15:49 น.
อเล็กซิสรู้แล้ว อีกไม่นานคงมีบทบู๊กระฉูดแน่


FonFonnie 19 มิ.ย. 2555, 07:48:42 น.
เย้ เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้นแล้ววววว


Auuuu 24 มิ.ย. 2555, 19:23:53 น.
พระเอกเก่งมากอ่ะ เดาได้หมดเลย ฟังเหมือนไม่รับรู้ไม่สนใจ แต่ทุกอย่างอยู่ในสมอง สุดยอดดดดดดดดดด

นีนเอ้ยยย เกือบไปแล้วไม๊ละ ถ้าไม่ได้อเล็กซิส แย่ๆแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account