นางโลมเจ้าหัวใจ
เป็นเรื่องราวในปลายสมัยเอโดะ (ค.ศ.1864-69)ประเทศญี่ปุ่น
ความรักที่เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางคมดาบและไฟสงคราม
สาวน้อยโอยรัน หญิงคณิกาชั้นสูงกับซามูไรหนุ่มรูปงาม
ท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พาดผ่าน
คนทั้งคู่จะผ่านมันไปได้อย่างไร?...
(ชื่อเก่า -เพียงรักร้อยบุปผา:ฮานะ)
ความรักที่เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางคมดาบและไฟสงคราม
สาวน้อยโอยรัน หญิงคณิกาชั้นสูงกับซามูไรหนุ่มรูปงาม
ท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พาดผ่าน
คนทั้งคู่จะผ่านมันไปได้อย่างไร?...
(ชื่อเก่า -เพียงรักร้อยบุปผา:ฮานะ)
Tags: ซามูไร โอยรัน ฮิจิคาตะ โทชิโซ ชินเซ็นกุมิ
ตอน: ดอกไม้ในวังวน
บทที่ 3
ดอกไม้ในวังวน
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ประหลาดนัก มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนข้าคิดไม่ถึง
เริ่มแรกข้าเสียจูบแรกให้ฮิจิคาตะซังไป และยังมี ‘ครั้งแรก’ เกิดขึ้นตามมาอีกหลายๆ อย่าง แต่ข้าก็ไม่ได้เสียใจสักนิด ต่อมาเขาก็กล่าวขอโทษข้าหนำซ้ำยังช่วยใส่โอบิให้อีก ข้าเริ่มตั้งคำถามว่าตัวเองไม่เอาอ่าวเกินไปหรือเปล่านะ แค่มองดูก็รู้ว่าฮิจิคาตะซังเห็นข้าเป็นเด็กและก็คงจะเวทนาข้าอยู่ไม่น้อย เขาถึงได้ยื่นมือมาช่วยเหลือ
แต่ฮิจิคาตะซังตอนนี้ไม่เหมือนฮิจิคาตะซังที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยง และไม่เหมือนที่โอคิตะซังและพี่อากาเนะบอกสักนิด เขาอ่อนโยนและเป็นกันเองมากจนข้าคิดว่าเป็นเพราะว่าเหล้าที่ดื่มลงไปแน่นอน แต่หลังๆ ก็เหมือนเขาจะสร่างเมาแล้ว ข้าเลยไม่รู้ว่าแบบที่เงียบขรึมกับแบบที่ยิ้มละไมนี่ แบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่?
ตอนนี้ข้ากำลังดีดชามิเซ็นให้ฮิจิคาตะซังที่นั่งชมความงามยามราตรีฟัง ข้างกายเขามีถ้วยชาอันว่างเปล่าวางอยู่ สำหรับข้านี่นับเป็นภาพที่หาดูชมได้ยากนัก ทั้งที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะมีแขกมารอโอยรันในห้องและเปิดประตูออกไปเพื่อดูสวนที่จัดเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ทว่าพอแขกคนนั้นเป็นเขา ข้ากลับรู้สึกว่าทุกอย่างแปลกไป
ดวงดาวที่ส่องกะพริบอยู่ไกลๆ นั้น ดูน่าหลงใหลกว่าราตรีอื่น ต้นไม้ในสวนก็เหมือนจะงดงามมากยิ่งขึ้น ส่วนแขกอย่างฮิจิคาตะซังที่ถึงแม้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่บรรยากาศรอบตัวของเขาเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความสูงส่ง เหมือนกับเจ้านายในตระกูลสูงศักดิ์ไม่มีผิด ทำให้ข้าทั้งครั่นคร้าม นับถือและชื่นชมนัก
“เดี๋ยวข้าไปยกชามาให้ใหม่นะเจ้าคะ” ข้าพูดขึ้นมาขณะที่ดีดชามิเซ็นจบเพลงก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ฮิจิคาตะซังเพื่อเก็บสำรับชาชุดเก่า ตอนนั้นเองที่เขาพูดขึ้นมาว่า
“เจ้าดีดได้เพราะดีนะ”
คำชมของเขาทำให้หัวใจของข้าพองฟู อยากจะวิ่งไปคำนับอาจารย์สอนชามิเซ็นหลายๆ ครั้ง
“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ” ข้ายิ้มกว้างอย่างลืมสำรวมกิริยาพร้อมยกถ้วยชามาวางใส่ถาด จากนั้นก็ออกจากห้องไป พอพ้นสายตาของฮิจิคาตะซัง ข้ากรีดร้องเสียงดังในใจแล้วพูดซ้ำๆ ไปมาว่า ‘เขาชมข้าด้วย’
ข้าว่านอกจากโรคหัวใจเต้นแรงผิดปกติแล้ว สติข้าคงฟั่นเฟือนไปด้วยแน่ๆ
หลังจากที่ตั้งใจชงชาให้พิถีพิถันเป็นพิเศษ ข้าก็รีบเดินมาหาฮิจิคาตะซัง ในห้องบังเกิดเสียงโครมครามดังขึ้น ข้าเห็นว่าผิดสังเกตเลยเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น พอเลื่อนประตูออก ข้าก็พบว่ามีคนแต่งกายด้วยชุดรัดกุมปิดหน้าด้วยผ้าสีดำสามคนถือดาบกำลังรุมฮิจิคาตะซังซึ่งไร้อาวุธอยู่
อารามตกใจ ข้าร้องกรี๊ดแล้วขว้างถ้วยน้ำชาไปสุดแรงโดนหัวผู้ชายคนหนึ่ง น้ำร้อนๆ ราดบนหน้าเขาจนต้องเซถอยไปจากวงล้อม ตอนนี้ข้าไม่รู้เอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากไหน รู้สึกตัวอีกทีก็วิ่งตรงไปหาฮิจิคาตะซังอย่างไม่กลัวคมดาบแม้แต่น้อยพลางยกเอาถาดไม้ที่ติดมือขึ้นกันดาบไว้แล้วก็ต้องกรีดร้องอีกครั้งเมื่อมันแตกออกเป็นสองเสี่ยงในทันใด แต่นั่นกลับสร้างโอกาสให้ฮิจิคาตะซังหยิบเอาเศษซากนั้นขว้างใส่หน้าคนร้าย แล้วใช้มือเปล่าแย่งดาบมาได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ข้าถูกผลักไปด้านหลังฮิจิคาตะซัง ขณะนั้นคนร้ายทั้งสามกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เขาตวัดดาบอย่างแรงโดยไม่นำพาความเจ็บปวดที่ฝ่ามือ คมดาบฟันโดนลำตัวของคนร้ายเต็มๆ เลือดสดๆ จากร่างใหญ่นั้นสาดกระเซ็นไปทั่ว แม้แต่บนใบหน้าของข้าเอง ข้ากลัวมากแต่กลับร้องไม่ออก เข่าอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่ง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ร่างของคนร้ายล้มตึงลงกับพื้นสิ้นใจทันที
แผ่นหลังของท่านรองหัวหน้ากลุ่มชินเซ็นนั้นแผ่จิตสังหารอันหนักอึ้งสะกดความเคลื่อนไหวคนร้ายให้หยุดชะงักไปจนกลายเป็นเป้านิ่งให้ฮิจิคาตะซังลงดาบได้อย่างง่ายดาย ข้าเห็นว่าเขาใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาฟันท้องของคนหนึ่ง ก่อนจะแทงไหล่อีกคน แล้วทั้งสองก็ล้มลงเหมือนกองผ้าขี้ริ้วอันชุ่มเลือด ข้าไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้แต่ข้ารู้สึกว่าในเวลานี้เขาเหมือน ‘อสูร’ ไม่มีผิด
ในใจของข้ายังเต้นระรัวไม่หาย แม้ว่าในห้องนี้จะไม่มีใครคนใดเคลื่อนไหวแล้วก็ตาม ฮิจิคาตะซังหันมามองข้า ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นมีคราบเลือดเกาะอยู่ทำให้ข้าผงะไปเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ยูคิมูระจัง”
ข้าใช้เวลาหลายอึดใจในการรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไป ก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธอย่างเงียบๆ ด้วยอาการวิงเวียนเพราะกลิ่นคาวเลือดฉุนตลบอบอวลอยู่รอบตัว เมื่อเขาเห็นว่าข้าไม่เป็นอะไรมากจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับคนร้ายที่เหลืออยู่ คนหนึ่งกำลังจะหลบหนี อีกคนนอนหายใจรวยระริน
ฮิจิคาตะซังเดินตรงไปแล้วแทงไหล่คนร้ายที่กำลังหลบหนีจากด้านหลังอย่างไม่ปรานีจนเกิดเป็นแผลใหญ่มีเลือดชุ่มและไหลลงเจิ่งนองกับพื้นในเวลารวดเร็ว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคนร้ายผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดไปด้วยจนแทบจะเบ้หน้าออกมา
“ใครส่งเจ้ามา” ฮิจิคาตะซังถามเสียงเย็นขณะดึงผ้าปิดหน้าคนร้ายออกแล้วกระชากผมของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว สลบไปทั้งที่ดาบยังคาไหล่อยู่แบบนั้น
“อย่าเข้ามานะ!”
ตัวข้าซึ่งนั่งหมดแรงอยู่กับที่ถูกคนร้ายอีกคนกระชากเข้าหาแล้วใช้ดาบจ่อคอเอาไว้เพื่อเป็นตัวประกัน ฮิจิคาตะซังถอนดาบออกจากร่างของคนร้ายที่ถูกแทงจนสลบอย่างช้าๆ และเยือกเย็นก่อนเดินตรงเข้ามาหาอย่างแน่วแน่
สีหน้าของเขาราบเรียบเยียบเย็นดูน่าเกรงขาม ทำให้เจ้าคนร้ายรีบลากตัวข้าไปยังประตูห้องที่เปิดอยู่ด้วยอาการประหวั่นลนลาน คมดาบของเขากดลึกลงบนคอข้าจนข้าต้องร้องออกมาเพราะความเจ็บปวดก่อนจะสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผล
ข้าหน้าซีดและเริ่มคิดแล้วว่าสภาพศพของตัวเองจะเป็นเช่นไร จะคอขาดแบบหัวไปทาง ตัวไปทาง หรือว่าจะขาดร่องแร่ง จากสภาพการณ์ตอนนี้ข้าว่า มันคงจะขาดแหล่มิขาดแหล่แน่นอน แม้ว่าสัญชาตญาณจะเร่งให้คิดหาทางช่วยตัวเอง แต่ตอนนี้ข้ากลับทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ด้วยความเสียขวัญ
เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังมาทางด้านหลัง เจ้าคนร้ายนั้นตกใจจนผินหน้าไปมอง ฮิจิคาตะซังอาศัยเวลาเพียงชั่วพริบตานั้นฟันไหล่ของคนร้ายโดยแรงจนแทบขาดสะบั้น ข้าหลุดจากปากขอบเหวแห่งความตายด้วยอาการขวัญหายและอ่อนแรงจนตัวเอียงเอนทำท่าจะล้มแต่เขาดึงตัวข้าเข้าไปกอดพยุงเอาไว้ได้เสียก่อน
ข้ากำสาบเสื้อของฮิจิคาตะซังไว้แน่นอย่างขลาดกลัวกึ่งไร้สติ ในหูได้ยินแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงอาวุธชำแรกลงในเนื้อคนดังก้องไปมา ภาพสีแดงฉานกับเศษเนื้อที่หลุดออกมาพร้อมกลิ่นคาวเลือดก็ยังจำได้ติดตา
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เด็กดี” ฮิจิคาตะซังปลอบข้าให้หายเสียขวัญ แต่ข้าทนรับเรื่องน่ากลัวแบบนี้ไม่ไหวจึงเป็นอันล้มพับลงไปในเวลาต่อมา
ข้ารู้สึกตัวเอาตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น พอตื่นมาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นคอแต่ก็เจ็บไม่มากเพราะมันไม่ใช่แผลใหญ่อะไรนัก ข้างกายของข้ามีพี่อากาเนะนอนหลับอยู่ ข้าปล่อยให้นางนอนหลับต่อไปแล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา หาอะไรใส่ท้องที่ว่างโหวง แล้วก็หาข่าว
ไดจิเด็กรับใช้ผู้ชายที่อยู่ในครัวเล่าเรื่องให้ฟังว่า หลังจากที่ข้าสลบไป ฮิจิคาตะซังกับพวกก็ลากตัวคนร้ายไปสอบสวน ส่วนพี่อากาเนะนั้นพบว่านอนสลบอยู่ในห้องแต่งตัว ท่านแม่กับหญิงโอยรันคนอื่นๆ ถูกสอบสวนหาส่วนเกี่ยวข้อง ทางร้านมิกะเลยต้องหยุดทำการ ห้องหับก็ต้องล้างทำความสะอาด ข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมดและตอนบ่ายจะมีพระมาทำพิธีสวดเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลด้วย
อันที่จริงข้าอยากรู้ว่า ฮิจิคาตะซังเป็นอย่างไรต่างหาก แต่ถ้าถามซอกแซกมากกว่านี้ ไดจิคงผิดสังเกตและเฉลียวใจคิดว่าข้ากำลังพัวพันกับเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงอันเป็นเรื่องต้องห้ามในย่านชิมาบาระ ข้าจึงเลี่ยงกลับมาหาพี่อากาเนะ แต่เหมือนว่านางเพิ่งจะได้นอนช่วงเช้ามืด ข้าก็เลยไม่อยากปลุกนาง
ข้าแอบเข้าครัวไปทำข้าวกล่องโดยไม่ถูกใครพบเห็น แล้วรีบออกจากชิมาบาระ การเป็นเด็กรับใช้ แม้จะแย่ตรงที่ว่าไม่ได้เงินเลยแต่ทว่าข้อดีคือยังมีสิทธิ์ได้ออกไปไหนมาไหนได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่หากเป็นโอยรันแล้วไม่ว่าจะฝึกหัดหรือเป็นทายู ก็ต้องถูกขังให้อยู่ในชิมาบาระจนตาย ไม่มีสิทธิ์ออกมาข้างนอกอีกต่อไป
ข้าคิดว่าการต้องอุดอู้อยู่ในแหล่งนางคณิกานี้ไม่น่าจะเป็นหนทางชีวิตของข้าอย่างแน่นอน แต่ทางแยกของชีวิตที่จะต้องเป็นโอยรันฝึกหัดกำลังมาถึงแล้ว... เร็วหน่อยก็กลางฤดูหนาว ช้าหน่อยก็สิ้นฤดูหนาวนี้
หรือข้าจะไปเป็นเมียน้อยของใครสักคนดี?
ข้ายิ้มเศร้า ทำไมชีวิตข้านี่น่าอเนจอนาถนักนะ พ่อแม่ตาย พี่ชายหาย ซ้ำร้ายยังถูกขายเป็นหญิงคณิกาอีก หากอยากออกไปจากที่นี่ก็มีหนทางแค่ไปเป็นเมียน้อยคนอื่น ชีวิตที่ต้องพึ่งพาผู้ชายตลอดแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลยสักนิด
ในใจของข้าพลันรู้สึกว่าตนจะยอมให้โชคชะตานำพาไปไม่ได้ ข้าไม่ใช่ใบไม้ที่จะไหลไปตามกระแสน้ำ และก็ไม่ใช่ดอกไม้ที่จะเบ่งบานในย่านชิมาบาระด้วย
ข้าจะต้องไปจากที่นี่ให้ได้ในสักวันหนึ่ง!
คิดอะไรเพลินๆ เพียงไม่นานข้าก็มาถึงเรือนที่พักของหมาป่าแห่งมิบุเสียแล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะได้เข้าไปหาฮิจิคาตะซัง ข้าก็เห็นโอคิตะซังในชุดปีกพิราบ เดินตรงมาข้างหน้า
มองแล้ว... ข้าคิดว่าแม้โอคิตะซังจะไม่ได้เดินกร่างเป็นนักเลงโตก็ตาม แต่การที่คนรูปร่างสูงโดดเด่นและมีหน้าตาดีอย่างเขาสวมเครื่องแบบอันมีสีสันดูน่าหมั่นไส้แบบนั้น... ทำให้ข้าชักจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพวกซามูไรเร่ร่อนยามเห็นชาวชินเซ็นซะแล้วสิ ความรู้สึกอยากจะฟันเจ้าคนใส่เสื้อสีสดๆ นี้ให้ล้มลงไปต่อหน้าน่ะ
ในระหว่างที่ข้ากำลังคิดอยู่นั้น โอคิตะซังหันไปพูดคุยบางอย่างกับผู้ติดตามด้านหลัง พอหันกลับมาเห็นข้าเข้าก็รีบปราดเข้ามาหาข้าทันทีพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นก็ยีหัวข้าอย่างที่เขาชอบทำ
‘โธ่ โอคิตะซัง ข้าอุตส่าห์บรรจงทำผมสวยๆ มาให้ฮิจิคาตะซังมองนะ ท่านทำข้าเสียแผนหมดเลย’ ข้าขุ่นเคืองจนหน้าบึ้งพลางนึกสงสัยว่า เหล่าชินเซ็นกุมินั้นให้โอคิตะซังเป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งได้อย่างไร ถึงเขาจะมีอายุยี่สิบกว่าๆ แต่พฤติกรรมของเขาน่ะ... เป็นเด็กคลั่งดาบชัดๆ คนที่เป็นหัวหน้าหน่วยได้ควรจะเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ?
“แม่หนูจอมทรหด วันนี้มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย คอเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าตัวเอียงคอมาดูรอยแผลของข้า แต่ข้าพันแผลเอาไว้เขาจึงได้เห็นเพียงผ้าขาวสะอาดเท่านั้น
“แผลตื้นๆ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ข้าตอบเขาไปอย่างโกรธๆ แม้ว่าเขาจะพยายามส่งยิ้มดั่งสายน้ำเย็นฉ่ำมาให้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าจะดับอารมณ์ของข้าไม่ได้เลย
“โกรธข้าอยู่เหรอ โกรธทำไมเล่า หรือว่าหิวข้าว งั้นข้าให้กินขนมนะ”
ว่าแล้วโอคิตะซังก็คลำหาถุงขนมแล้วเอามามอบให้ข้า ความใจดีของเขาทำให้ข้าหายเคืองและเริ่มหาข้อแก้ตัวให้เขา อันที่จริงคนอื่นๆ ก็ชอบลูบหัวข้าเหมือนกัน เขาก็แค่มายีผมข้าในตอนที่ข้าไม่ต้องการก็เท่านั้นเอง ข้าปลงและคิดว่าหากจะรักษาทรงผมให้อยู่รอดปลอดภัยได้ คราวหน้าอาจจะต้องใส่หมวกหรือไม่ก็กางร่มมาเสียแล้ว คิดได้แบบนี้ข้าก็เลยส่งยิ้มให้เขาแบบเต็มใจมากขึ้น
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าไม่หิว โอคิตะซังเก็บขนมไว้กินเองเถอะเจ้าค่ะ” ข้าปฏิเสธด้วยเจตนาดี เพราะหลังจากเป็นเพื่อนดื่มสุรากันมาหลายหน ข้าเลยพอรู้เรื่องของโอคิตะซังมาไม่น้อย เขาชอบดาบ ชอบเล่นกับเด็ก ชอบกินขนม และชอบยิ้ม
อ๊ะ! ทำไมไปๆ มาๆ ข้ารู้จักโอคิตะซังดีกว่าฮิจิคาตะซังอีกนะ แต่เอาเถอะจากข้อมูลโดยรวมทั้งหมด ข้าจึงตีความได้ว่า โอคิตะซังคือเด็กในร่างผู้ใหญ่และเด็กก็ชอบกินขนม ฉะนั้นข้าไม่ควรใจร้ายใจดำแย่งขนมมาจากเด็ก แม้ว่าน่าจะทำเพื่อแก้เผ็ดที่เขามายีหัวข้าจนผมเสียทรงก็เถอะ
“อ้าวเหรอ ก็ดี แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม หรือว่ามาให้ปากคำ” โอคิตะซังรีบเก็บขนมเข้าที่เก่าแต่แล้วเขากลับเปลี่ยนใจแก้ปากถุงผ้าออก หยิบขนมออกมากินอย่างไม่มีเขินอายสักนิด
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้ามาขอบคุณฮิจิคาตะซังที่ช่วยชีวิตข้าไว้น่ะเจ้าค่ะ” ข้าตอบไปได้อย่างไม่เคอะเขิน กับคนอื่นๆ ทำไมข้าไม่เห็นจะตะกุกตะกักเลยนะ มีแต่ฮิจิคาตะซังคนเดียวที่แม้ไม่ทำอะไรเลยก็สามารถทำให้ข้าเขินอายได้
“อ้อ... งั้นเดี๋ยวข้านำทางไปให้เอง” โอคิตะซังยิ้มกว้างแล้วเดินนำข้าเข้ามาในเรือนพัก เมื่อมาถึงหน้าห้องหนึ่ง เขาก็ตะโกนบอกคนในห้องอย่างง่ายๆ
“ฮิจิคาตะซัง แม่หนูคอแข็งจอมทรหดเมื่อคืนมาขอพบขอรับ”
ข้าค้อนใส่หลังของโอคิตะซังอย่างเอาเป็นเอาตาย นึกอยากเอากล่องข้าวทุ่มใส่หัวเขาชะมัด ทำไมต้องเรียกข้าด้วยชื่อแปลกๆ แบบนั้นด้วยนะ ข้าไม่ได้ทรหดเสียหน่อย!
ฮิจิคาตะซังส่งเสียงอนุญาตให้เข้ามาได้ โอคิตะซังจึงเดินนำข้าเข้ามานั่งตรงข้ามกับฮิจิคาตะซังแล้วก็นั่งอยู่อย่างนั้น ข้ารู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้งเพราะใจข้าอกุศล อยากอยู่กับฮิจิคาตะซังแค่สองคนมากกว่า
“สวัสดีเจ้าค่ะ ฮิจิคาตะซัง” ถึงหัวข้าจะยุ่งเหยิงไปบ้างแต่ระหว่างทางข้าก็ลูบผมไปบ้างแล้ว จนมันไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ข้าก้มลงคารวะฮิจิคาตะซังตามแบบฉบับกิริยามารยาทของโอยรันอันอ่อนช้อยที่ได้รับการฝึกฝนมา
“มีอะไรหรือ ยูคิมูระจัง” ฮิจิคาตะซังถามขึ้น ใบหน้าคมคายในตอนกลางวันของเขาทำให้ข้าแอบชื่นชมอยู่ในใจ
“ข้ามาขอบพระคุณฮิจิคาตะซังที่ช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อคืนเจ้าค่ะ”
“ฮานะจัง เจ้าไม่เห็นต้องมาขอบคุณฮิจิคาตะซังเลย หากไม่ได้ถาดที่เจ้าเอามาขวางไว้ ป่านนี้คนนอนแบ็บอยู่บนฟูกน่ะคือฮิจิคาตะซังแล้ว” โอคิตะซังสอดขึ้นมากลางคัน ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งจึงหันไปทางเขาแล้วว่า
“กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ฮิจิคาตะซังช่วยชีวิตข้าไว้ตอนที่ข้าถูกพวกคนร้ายเอาดาบจ่อคอนะเจ้าคะ เรื่องถาดนับเป็นอะไรได้”
พอเห็นท่าทางขึงขังของข้า โอคิตะซังก็เบะปากออกมาก่อนจะถอนหายใจแล้วพึมพำเบาๆ แต่ข้าก็หูดีได้ยินว่า “เฮอะ! อีกคนแล้วสิเนี่ย ก็เตือนแล้วแท้ๆ”
“เอาน่า ยูคิมูระจัง ที่โซจิพูดมาก็มีเหตุผลนะ หากไม่ได้เจ้า ข้าอาจจะเป็นศพอยู่ที่ร้านมิกะแล้วก็ได้ บาดแผลเป็นเช่นไรบ้าง ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำการช่วยเหลือช้าไป เจ้าเลยมีแผลที่คอเลย” คงเพราะบรรยากาศเริ่มไม่เข้าที ฮิจิคาตะซังเลยไกล่เกลี่ยด้วยท่าทีต้องการการประนีประนอม
“เอ่อ... ฮิจิคาตะซังเรียกข้าว่าฮานะก็ได้เจ้าค่ะ” ข้าตีหน้าเรียบเฉย ทำตาใสซื่ออันเป็นอาวุธที่ข้ามี ทั้งที่ในใจนั้นร้องด่าตัวเองว่าหน้าด้าน ถึงกับเชิญชวนผู้ชายให้เรียกชื่อต้นอย่างสนิทสนม
มันช่วยไม่ได้จริงๆ ก็ข้าไม่อยากถูกคนที่ชอบเรียกอย่างเหินห่างนี่นา ทีโอคิตะซังยังเรียกข้าว่าฮานะเฉยเลย
ความเป็นเด็กก็มีข้อได้เปรียบแบบนี้แหละ แกล้งทำเป็นไร้เดียงสา ไม่เข้าใจมารยาทขั้นพื้นฐานได้ในบางคราว
โอ๊ะ! ข้ารู้สึกว่าตัวเองชักมีนิสัยเลวร้ายขึ้นทุกวันแล้วสิ ความใสซื่อบริสุทธิ์มันหายไปไหนหมดแล้วนะ?
อย่างไรก็ตาม หลังจากข้ายัดเยียดความตั้งใจไปแล้ว ฮิจิคาตะซังได้เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เหมือนจะถามว่า ‘จะดีหรือ?’ แต่สุดท้ายเขาตกลงโดยดี
“ก็ได้ ฮานะจัง”
แค่คำสองคำนี้ก็ทำให้ข้าตัวลอยแล้ว ข้ารีบแกะห่อผ้าที่นำมาแล้ว แล้วยื่นกล่องข้าวให้ฮิจิคาตะซัง
“นี่แทนคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ จากข้าเจ้าค่ะ”
“ขอบใจนะ ฮานะจัง” น้ำเสียงและแววตาอันอ่อนโยนของฮิจิคาตะซังทำให้ข้าก้มหน้าลงมองเสื่อทาทามิ พร้อมกับพูดด้วยความอุธัจขัดเขิน
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อย”
“แต่ว่าข้าไม่มีอะไรตอบแทนเจ้าเสียด้วยสิ” ดูเหมือนว่าความตั้งใจของข้าจะทำให้ฮิจิคาตะซังรู้สึกทั้งเกรงใจทั้งกระอักกระอ่วนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ดังนั้นเพื่อมิให้ดูว่าข้าเฉพาะเจาะจงให้ข้าวกล่องแก่เขาจนเกินไป ข้าจึงหันไปทางโอคิตะซังแล้วยื่นข้าวกล่องให้พลางว่า “โอคิตะซัง ข้าก็มีของมาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ”
โอคิตะซังรีบรับข้าวกล่องไปเปิดดูแล้วอุทาน
“ฮานะจัง กับข้าวดูน่ากินมาก ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าทำเองจริงเหรอ?”
ข้าขมวดคิ้วหน่อยๆ นี่ข้าดูแย่ขนาดถูกเหมาว่าทำกับข้าวไม่อร่อยเชียวเหรอ
“ทำเองสิเจ้าคะ” น้ำเสียงข้าแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“โซจิ อย่าพูดจาทำลายน้ำใจคนอื่นสิ” ฮิจิคาตะซังปรามโอคิตะซังที่หยิบข้าวปั้นเข้าปากโดยไม่สนใจฟัง ข้าพยายามคิดในแง่ดีว่าที่เขาทำตัวแบบนี้เป็นเพราะหิวจัดและข้าไม่ควรเคืองเขาเพราะเขายังมีประโยชน์ต่อข้าอยู่
“อร่อยแฮะ ฮานะจัง เจ้าทำข้าวปั้นได้อร่อยมาก” โอคิตะซังเอ่ยชมด้วยท่าทางกระตือรือร้นและจริงใจทำให้ข้าฉีกยิ้มกว้างและหายเคืองเขาทันที
ถึงข้าจะเป็นเด็กรับใช้แต่ฝีมือทำอาหารของข้ามีแต่คนติดอกติดใจทั้งนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่าข้าจะกลายเป็นหญิงคณิกาล่ะก็ ข้าคงจะไปเปิดร้านขายอาหารก็เป็นได้
“อย่ามูมมามได้ไหม โซจิ” ฮิจิคาตะซังกล่าวเตือนเสียงเรียบๆ พลางหันมาส่งสายตาขอโทษขอโพยแล้วมองหน้าข้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“จริงสิ ข้านึกออกแล้ว รอข้าอยู่นี่นะ ฮานะจัง” ฮิจิคาตะซังลุกออกไปด้านนอก แล้วกลับมาพร้อมกับกระดาษสีแดงในมือ จากนั้นก็จัดการนั่งพับกระดาษอยู่หลายนาที ข้าเฝ้ามองด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนโอคิตะซังก็สวาปามข้าวกล่องที่ข้าทำมาเสียเกลี้ยงเชียว แต่คนที่ข้าอยากให้เขากินกลับไม่แม้แต่จะเปิดฝากล่องนั้น... ข้าควรดีใจหรือเสียใจดีนะ?
โอคิตะซังเดินออกนอกห้องไปรินชา จึงเหลือข้าอยู่กับฮิจิคาตะซังสองต่อสองตามความตั้งใจแรก เพียงทว่าตอนนี้มันไม่เหลือบรรยากาศซาบซึ้งใจอีกต่อไปแล้วเพราะมีแต่เสียงพับกระดาษเบาๆ ดังขึ้นภายในห้อง
ไม่นานจากกระดาษในมือของฮิจิคาตะซังก็กลายเป็นดอกยูริ สีแดงสดหนึ่งดอก
“ข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้า... ถึงมันจะเล็กน้อยแล้วก็กินไม่ได้ แต่ก็ช่วยรับดอกไม้นี้ไปเถอะ” เขายื่นมันมาให้ข้าด้วยแววตาเป็นประกายทำให้ใบหน้าของข้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มยินดี
ดอกไม้กระดาษอาจจะไม่มีราคาค่างวดใดกับคนอื่น แต่มันได้ซื้อหัวใจข้าไปแล้ว
ฮิจิคาตะซังยังไม่ได้กินข้าวกล่องที่ข้าทำมาให้เลย เขาบอกว่าจะเก็บไว้กินตอนเย็น แต่เมื่อเขาถูกแววตาเงื่องหงอยของข้าโจมตีเข้า ก็ยินยอมหยิบข้าวปั้นมากัดหนึ่งคำและยังมีน้ำใจชมตามมารยาทว่า ‘อร่อยดี’ ถึงข้าจะเสียดายหน่อยๆ เพราะอยากเห็นเขากินข้าวกล่องให้หมด แต่ข้าก็ไม่ได้ต้องการจะบังคับเขาถึงเพียงนั้น จึงได้แต่กล่าวอำลาจากมาและบอกตัวเองว่าอย่าโลภมาก แค่ได้ดอกไม้แค่นี้ก็ควรพอใจแล้ว
“ฮานะจัง หยุดก่อน” ก่อนที่ข้าจะออกจากเขตเรือนพักของกลุ่มชินเซ็นกลับได้ยิน คนร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นเอกลักษณ์ เสียงเกี๊ยะดังกระทบพื้นแรงๆ นั่นช่วยบอกให้รู้ว่า คนที่เรียกข้าอยู่เป็นใคร
โอคิตะซังหอบแฮกเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วยื่นถุงในมือให้ ข้าเปิดปากถุงออกก็เห็นลูกพลับสดๆ นอนอยู่ในถุง ข้าแน่ใจได้เลยว่าเขาคงจะวิ่งไปเก็บมาให้ข้าแทนคำขอบคุณเรื่องข้าวกล่อง โอคิตะซังนี่ทำให้ข้าโกรธเขาไม่ลงจริงๆ ข้าเอ่ยขอบคุณและโค้งให้เขาอย่างนอบน้อมหนหนึ่งก่อนจะเดินจากมา แอบคิดในใจว่า หากคราวหน้าได้มาที่นี่อีก ข้าคงต้องเอาเงินเก็บอันน้อยนิดของตัวเองมาทำข้าวกล่องเผื่อให้โอคิตะซังเพิ่มเสียแล้ว
ข้าเดินกลับมาอย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต กระโดดโลดเต้นไปตามทางเหมือนคนบ้า กระทั่งกลับมาถึงห้องของพี่อากาเนะ ข้าก็ยังร้องเพลงอยู่เบาๆ
“ไปไหนมาฮานะ” พี่อากาเนะซึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้นถามเสียงแข็ง ข้าตกใจและไม่เข้าใจว่าทำไมพี่อากาเนะถึงต้องใช้น้ำเสียงแบบนี้กับข้าด้วย ก็ถึงแม้ข้าจะออกไปข้างนอกแต่ข้าก็กลับมาทันเวลาช่วยพี่อากาเนะแต่งตัวนี่นา
“ข้า... ข้าไปข้างนอกมาเจ้าค่ะ”
“ไปหาพวกหมาป่าแห่งมิบุมาใช่ไหม” ถึงจะถามแต่สายตาของพี่อากาเนะหลุบต่ำคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“เจ้าค่ะ” ข้ารับคำเสียงอ่อยๆ ไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าพูดปดไปก็เท่านั้น
“เลิกคิดบ้าๆ อย่างการชอบฮิจิคาตะซังได้แล้ว” หว่างคิ้วของพี่อากาเนะกดลึก นางดูเคร่งเครียดมากจนข้าพลอยหวั่นไปด้วย แต่ความไม่พอใจของข้ามีมากกว่าความนึกหวั่นเกรง
“ท่านบอกเองนี่นาว่า ข้ามีสิทธิ์ชอบฮิจิคาตะซังได้ แล้วข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อท่านด้วย” แม้ว่าข้าจะปากเก่ง แต่พอข้านึกได้ว่าตัวเองเคยทำ ‘อะไร’ กับฮิจิคาตะซังไว้บ้าง ความรู้สึกผิดก็พากันแห่แหนออกมา ข้าไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้ นอกจากปิดปากเงียบ
“แต่ก่อนน่ะได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ” ในใจข้าก็ยังไม่ยินยอมเชื่อฟังอยู่ดี
“ผู้ชายที่อายุสั้นแบบนั้น เจ้าจะชอบพอเขาไปให้เสียเวลาเปล่าทำไมกัน”
“อย่ามาแช่งฮิจิคาตะซังนะ พี่อากาเนะ” คิ้วข้าขมวดแน่น ไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้แช่ง” นางกล่าวเสียงเรียบเย็น
“อะไรกัน เมื่อครู่ท่านบอกอยู่แหม็บๆ ว่า ฮิจิคาตะซังจะ... จะ... จะ... นั่นน่ะ” ตัวข้าเองไม่กล้าพูดคำว่าอายุสั้นอันเหมือนเป็นการแช่งเขาทางอ้อมออกมา
“เด็กโง่ คนที่ถูกลอบสังหารน่ะ มีใครอายุยืนบ้าง” ข้าอ้าปากหวอ อึ้งกับเหตุผลที่พี่อากาเนะพูดมาจนเถียงนางไม่ได้
“หากเจ้าไม่อยากเสียใจก็อย่าไปรักฮิจิคาตะซังเลย ถือว่าข้าขอร้องก็ได้” สีหน้าพี่อากาเนะจริงจังมาก ส่วนข้าได้แต่นิ่งงันไปเพราะไม่อยากพูดอะไรที่จะผูกมัดตัวข้าไว้ ในหัวมีแต่คำถามอื้ออึงเต็มไปหมด
‘ฮิจิคาตะซัง ท่านจะอายุสั้นจริงๆ หรือ?’
......
ขอบคุณมากค่ะ
ดอกไม้ในวังวน
ค่ำคืนนี้เป็นคืนที่ประหลาดนัก มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายจนข้าคิดไม่ถึง
เริ่มแรกข้าเสียจูบแรกให้ฮิจิคาตะซังไป และยังมี ‘ครั้งแรก’ เกิดขึ้นตามมาอีกหลายๆ อย่าง แต่ข้าก็ไม่ได้เสียใจสักนิด ต่อมาเขาก็กล่าวขอโทษข้าหนำซ้ำยังช่วยใส่โอบิให้อีก ข้าเริ่มตั้งคำถามว่าตัวเองไม่เอาอ่าวเกินไปหรือเปล่านะ แค่มองดูก็รู้ว่าฮิจิคาตะซังเห็นข้าเป็นเด็กและก็คงจะเวทนาข้าอยู่ไม่น้อย เขาถึงได้ยื่นมือมาช่วยเหลือ
แต่ฮิจิคาตะซังตอนนี้ไม่เหมือนฮิจิคาตะซังที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยง และไม่เหมือนที่โอคิตะซังและพี่อากาเนะบอกสักนิด เขาอ่อนโยนและเป็นกันเองมากจนข้าคิดว่าเป็นเพราะว่าเหล้าที่ดื่มลงไปแน่นอน แต่หลังๆ ก็เหมือนเขาจะสร่างเมาแล้ว ข้าเลยไม่รู้ว่าแบบที่เงียบขรึมกับแบบที่ยิ้มละไมนี่ แบบไหนคือตัวตนที่แท้จริงของเขากันแน่?
ตอนนี้ข้ากำลังดีดชามิเซ็นให้ฮิจิคาตะซังที่นั่งชมความงามยามราตรีฟัง ข้างกายเขามีถ้วยชาอันว่างเปล่าวางอยู่ สำหรับข้านี่นับเป็นภาพที่หาดูชมได้ยากนัก ทั้งที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะมีแขกมารอโอยรันในห้องและเปิดประตูออกไปเพื่อดูสวนที่จัดเอาไว้เป็นอย่างดี แต่ทว่าพอแขกคนนั้นเป็นเขา ข้ากลับรู้สึกว่าทุกอย่างแปลกไป
ดวงดาวที่ส่องกะพริบอยู่ไกลๆ นั้น ดูน่าหลงใหลกว่าราตรีอื่น ต้นไม้ในสวนก็เหมือนจะงดงามมากยิ่งขึ้น ส่วนแขกอย่างฮิจิคาตะซังที่ถึงแม้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่บรรยากาศรอบตัวของเขาเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความสูงส่ง เหมือนกับเจ้านายในตระกูลสูงศักดิ์ไม่มีผิด ทำให้ข้าทั้งครั่นคร้าม นับถือและชื่นชมนัก
“เดี๋ยวข้าไปยกชามาให้ใหม่นะเจ้าคะ” ข้าพูดขึ้นมาขณะที่ดีดชามิเซ็นจบเพลงก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้ฮิจิคาตะซังเพื่อเก็บสำรับชาชุดเก่า ตอนนั้นเองที่เขาพูดขึ้นมาว่า
“เจ้าดีดได้เพราะดีนะ”
คำชมของเขาทำให้หัวใจของข้าพองฟู อยากจะวิ่งไปคำนับอาจารย์สอนชามิเซ็นหลายๆ ครั้ง
“ขอบคุณที่ชมเจ้าค่ะ” ข้ายิ้มกว้างอย่างลืมสำรวมกิริยาพร้อมยกถ้วยชามาวางใส่ถาด จากนั้นก็ออกจากห้องไป พอพ้นสายตาของฮิจิคาตะซัง ข้ากรีดร้องเสียงดังในใจแล้วพูดซ้ำๆ ไปมาว่า ‘เขาชมข้าด้วย’
ข้าว่านอกจากโรคหัวใจเต้นแรงผิดปกติแล้ว สติข้าคงฟั่นเฟือนไปด้วยแน่ๆ
หลังจากที่ตั้งใจชงชาให้พิถีพิถันเป็นพิเศษ ข้าก็รีบเดินมาหาฮิจิคาตะซัง ในห้องบังเกิดเสียงโครมครามดังขึ้น ข้าเห็นว่าผิดสังเกตเลยเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น พอเลื่อนประตูออก ข้าก็พบว่ามีคนแต่งกายด้วยชุดรัดกุมปิดหน้าด้วยผ้าสีดำสามคนถือดาบกำลังรุมฮิจิคาตะซังซึ่งไร้อาวุธอยู่
อารามตกใจ ข้าร้องกรี๊ดแล้วขว้างถ้วยน้ำชาไปสุดแรงโดนหัวผู้ชายคนหนึ่ง น้ำร้อนๆ ราดบนหน้าเขาจนต้องเซถอยไปจากวงล้อม ตอนนี้ข้าไม่รู้เอาความกล้าบ้าบิ่นมาจากไหน รู้สึกตัวอีกทีก็วิ่งตรงไปหาฮิจิคาตะซังอย่างไม่กลัวคมดาบแม้แต่น้อยพลางยกเอาถาดไม้ที่ติดมือขึ้นกันดาบไว้แล้วก็ต้องกรีดร้องอีกครั้งเมื่อมันแตกออกเป็นสองเสี่ยงในทันใด แต่นั่นกลับสร้างโอกาสให้ฮิจิคาตะซังหยิบเอาเศษซากนั้นขว้างใส่หน้าคนร้าย แล้วใช้มือเปล่าแย่งดาบมาได้
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ข้าถูกผลักไปด้านหลังฮิจิคาตะซัง ขณะนั้นคนร้ายทั้งสามกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เขาตวัดดาบอย่างแรงโดยไม่นำพาความเจ็บปวดที่ฝ่ามือ คมดาบฟันโดนลำตัวของคนร้ายเต็มๆ เลือดสดๆ จากร่างใหญ่นั้นสาดกระเซ็นไปทั่ว แม้แต่บนใบหน้าของข้าเอง ข้ากลัวมากแต่กลับร้องไม่ออก เข่าอ่อนยวบจนทรุดลงไปนั่ง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ร่างของคนร้ายล้มตึงลงกับพื้นสิ้นใจทันที
แผ่นหลังของท่านรองหัวหน้ากลุ่มชินเซ็นนั้นแผ่จิตสังหารอันหนักอึ้งสะกดความเคลื่อนไหวคนร้ายให้หยุดชะงักไปจนกลายเป็นเป้านิ่งให้ฮิจิคาตะซังลงดาบได้อย่างง่ายดาย ข้าเห็นว่าเขาใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาฟันท้องของคนหนึ่ง ก่อนจะแทงไหล่อีกคน แล้วทั้งสองก็ล้มลงเหมือนกองผ้าขี้ริ้วอันชุ่มเลือด ข้าไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้แต่ข้ารู้สึกว่าในเวลานี้เขาเหมือน ‘อสูร’ ไม่มีผิด
ในใจของข้ายังเต้นระรัวไม่หาย แม้ว่าในห้องนี้จะไม่มีใครคนใดเคลื่อนไหวแล้วก็ตาม ฮิจิคาตะซังหันมามองข้า ใบหน้าอันหล่อเหลานั้นมีคราบเลือดเกาะอยู่ทำให้ข้าผงะไปเล็กน้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ยูคิมูระจัง”
ข้าใช้เวลาหลายอึดใจในการรวบรวมสติที่กระเจิดกระเจิงไป ก่อนจะส่ายหัวเป็นเชิงปฏิเสธอย่างเงียบๆ ด้วยอาการวิงเวียนเพราะกลิ่นคาวเลือดฉุนตลบอบอวลอยู่รอบตัว เมื่อเขาเห็นว่าข้าไม่เป็นอะไรมากจึงหันกลับไปให้ความสนใจกับคนร้ายที่เหลืออยู่ คนหนึ่งกำลังจะหลบหนี อีกคนนอนหายใจรวยระริน
ฮิจิคาตะซังเดินตรงไปแล้วแทงไหล่คนร้ายที่กำลังหลบหนีจากด้านหลังอย่างไม่ปรานีจนเกิดเป็นแผลใหญ่มีเลือดชุ่มและไหลลงเจิ่งนองกับพื้นในเวลารวดเร็ว เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของคนร้ายผู้นี้ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดไปด้วยจนแทบจะเบ้หน้าออกมา
“ใครส่งเจ้ามา” ฮิจิคาตะซังถามเสียงเย็นขณะดึงผ้าปิดหน้าคนร้ายออกแล้วกระชากผมของอีกฝ่ายอย่างแรง แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะทนพิษบาดแผลไม่ไหว สลบไปทั้งที่ดาบยังคาไหล่อยู่แบบนั้น
“อย่าเข้ามานะ!”
ตัวข้าซึ่งนั่งหมดแรงอยู่กับที่ถูกคนร้ายอีกคนกระชากเข้าหาแล้วใช้ดาบจ่อคอเอาไว้เพื่อเป็นตัวประกัน ฮิจิคาตะซังถอนดาบออกจากร่างของคนร้ายที่ถูกแทงจนสลบอย่างช้าๆ และเยือกเย็นก่อนเดินตรงเข้ามาหาอย่างแน่วแน่
สีหน้าของเขาราบเรียบเยียบเย็นดูน่าเกรงขาม ทำให้เจ้าคนร้ายรีบลากตัวข้าไปยังประตูห้องที่เปิดอยู่ด้วยอาการประหวั่นลนลาน คมดาบของเขากดลึกลงบนคอข้าจนข้าต้องร้องออกมาเพราะความเจ็บปวดก่อนจะสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลซึมออกมาจากบาดแผล
ข้าหน้าซีดและเริ่มคิดแล้วว่าสภาพศพของตัวเองจะเป็นเช่นไร จะคอขาดแบบหัวไปทาง ตัวไปทาง หรือว่าจะขาดร่องแร่ง จากสภาพการณ์ตอนนี้ข้าว่า มันคงจะขาดแหล่มิขาดแหล่แน่นอน แม้ว่าสัญชาตญาณจะเร่งให้คิดหาทางช่วยตัวเอง แต่ตอนนี้ข้ากลับทำอะไรไม่ได้นอกจากร้องไห้ด้วยความเสียขวัญ
เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังมาทางด้านหลัง เจ้าคนร้ายนั้นตกใจจนผินหน้าไปมอง ฮิจิคาตะซังอาศัยเวลาเพียงชั่วพริบตานั้นฟันไหล่ของคนร้ายโดยแรงจนแทบขาดสะบั้น ข้าหลุดจากปากขอบเหวแห่งความตายด้วยอาการขวัญหายและอ่อนแรงจนตัวเอียงเอนทำท่าจะล้มแต่เขาดึงตัวข้าเข้าไปกอดพยุงเอาไว้ได้เสียก่อน
ข้ากำสาบเสื้อของฮิจิคาตะซังไว้แน่นอย่างขลาดกลัวกึ่งไร้สติ ในหูได้ยินแต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียงอาวุธชำแรกลงในเนื้อคนดังก้องไปมา ภาพสีแดงฉานกับเศษเนื้อที่หลุดออกมาพร้อมกลิ่นคาวเลือดก็ยังจำได้ติดตา
“ไม่เป็นไรแล้วนะ เด็กดี” ฮิจิคาตะซังปลอบข้าให้หายเสียขวัญ แต่ข้าทนรับเรื่องน่ากลัวแบบนี้ไม่ไหวจึงเป็นอันล้มพับลงไปในเวลาต่อมา
ข้ารู้สึกตัวเอาตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น พอตื่นมาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่ต้นคอแต่ก็เจ็บไม่มากเพราะมันไม่ใช่แผลใหญ่อะไรนัก ข้างกายของข้ามีพี่อากาเนะนอนหลับอยู่ ข้าปล่อยให้นางนอนหลับต่อไปแล้วลุกไปล้างหน้าล้างตา หาอะไรใส่ท้องที่ว่างโหวง แล้วก็หาข่าว
ไดจิเด็กรับใช้ผู้ชายที่อยู่ในครัวเล่าเรื่องให้ฟังว่า หลังจากที่ข้าสลบไป ฮิจิคาตะซังกับพวกก็ลากตัวคนร้ายไปสอบสวน ส่วนพี่อากาเนะนั้นพบว่านอนสลบอยู่ในห้องแต่งตัว ท่านแม่กับหญิงโอยรันคนอื่นๆ ถูกสอบสวนหาส่วนเกี่ยวข้อง ทางร้านมิกะเลยต้องหยุดทำการ ห้องหับก็ต้องล้างทำความสะอาด ข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมดและตอนบ่ายจะมีพระมาทำพิธีสวดเพื่อขับไล่สิ่งอัปมงคลด้วย
อันที่จริงข้าอยากรู้ว่า ฮิจิคาตะซังเป็นอย่างไรต่างหาก แต่ถ้าถามซอกแซกมากกว่านี้ ไดจิคงผิดสังเกตและเฉลียวใจคิดว่าข้ากำลังพัวพันกับเรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิงอันเป็นเรื่องต้องห้ามในย่านชิมาบาระ ข้าจึงเลี่ยงกลับมาหาพี่อากาเนะ แต่เหมือนว่านางเพิ่งจะได้นอนช่วงเช้ามืด ข้าก็เลยไม่อยากปลุกนาง
ข้าแอบเข้าครัวไปทำข้าวกล่องโดยไม่ถูกใครพบเห็น แล้วรีบออกจากชิมาบาระ การเป็นเด็กรับใช้ แม้จะแย่ตรงที่ว่าไม่ได้เงินเลยแต่ทว่าข้อดีคือยังมีสิทธิ์ได้ออกไปไหนมาไหนได้บ้างเป็นบางครั้ง แต่หากเป็นโอยรันแล้วไม่ว่าจะฝึกหัดหรือเป็นทายู ก็ต้องถูกขังให้อยู่ในชิมาบาระจนตาย ไม่มีสิทธิ์ออกมาข้างนอกอีกต่อไป
ข้าคิดว่าการต้องอุดอู้อยู่ในแหล่งนางคณิกานี้ไม่น่าจะเป็นหนทางชีวิตของข้าอย่างแน่นอน แต่ทางแยกของชีวิตที่จะต้องเป็นโอยรันฝึกหัดกำลังมาถึงแล้ว... เร็วหน่อยก็กลางฤดูหนาว ช้าหน่อยก็สิ้นฤดูหนาวนี้
หรือข้าจะไปเป็นเมียน้อยของใครสักคนดี?
ข้ายิ้มเศร้า ทำไมชีวิตข้านี่น่าอเนจอนาถนักนะ พ่อแม่ตาย พี่ชายหาย ซ้ำร้ายยังถูกขายเป็นหญิงคณิกาอีก หากอยากออกไปจากที่นี่ก็มีหนทางแค่ไปเป็นเมียน้อยคนอื่น ชีวิตที่ต้องพึ่งพาผู้ชายตลอดแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการเลยสักนิด
ในใจของข้าพลันรู้สึกว่าตนจะยอมให้โชคชะตานำพาไปไม่ได้ ข้าไม่ใช่ใบไม้ที่จะไหลไปตามกระแสน้ำ และก็ไม่ใช่ดอกไม้ที่จะเบ่งบานในย่านชิมาบาระด้วย
ข้าจะต้องไปจากที่นี่ให้ได้ในสักวันหนึ่ง!
คิดอะไรเพลินๆ เพียงไม่นานข้าก็มาถึงเรือนที่พักของหมาป่าแห่งมิบุเสียแล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะได้เข้าไปหาฮิจิคาตะซัง ข้าก็เห็นโอคิตะซังในชุดปีกพิราบ เดินตรงมาข้างหน้า
มองแล้ว... ข้าคิดว่าแม้โอคิตะซังจะไม่ได้เดินกร่างเป็นนักเลงโตก็ตาม แต่การที่คนรูปร่างสูงโดดเด่นและมีหน้าตาดีอย่างเขาสวมเครื่องแบบอันมีสีสันดูน่าหมั่นไส้แบบนั้น... ทำให้ข้าชักจะเริ่มเข้าใจความรู้สึกของพวกซามูไรเร่ร่อนยามเห็นชาวชินเซ็นซะแล้วสิ ความรู้สึกอยากจะฟันเจ้าคนใส่เสื้อสีสดๆ นี้ให้ล้มลงไปต่อหน้าน่ะ
ในระหว่างที่ข้ากำลังคิดอยู่นั้น โอคิตะซังหันไปพูดคุยบางอย่างกับผู้ติดตามด้านหลัง พอหันกลับมาเห็นข้าเข้าก็รีบปราดเข้ามาหาข้าทันทีพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง จากนั้นก็ยีหัวข้าอย่างที่เขาชอบทำ
‘โธ่ โอคิตะซัง ข้าอุตส่าห์บรรจงทำผมสวยๆ มาให้ฮิจิคาตะซังมองนะ ท่านทำข้าเสียแผนหมดเลย’ ข้าขุ่นเคืองจนหน้าบึ้งพลางนึกสงสัยว่า เหล่าชินเซ็นกุมินั้นให้โอคิตะซังเป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่งได้อย่างไร ถึงเขาจะมีอายุยี่สิบกว่าๆ แต่พฤติกรรมของเขาน่ะ... เป็นเด็กคลั่งดาบชัดๆ คนที่เป็นหัวหน้าหน่วยได้ควรจะเป็นผู้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ?
“แม่หนูจอมทรหด วันนี้มาที่นี่ได้ยังไงเนี่ย คอเป็นอย่างไรบ้าง” เจ้าตัวเอียงคอมาดูรอยแผลของข้า แต่ข้าพันแผลเอาไว้เขาจึงได้เห็นเพียงผ้าขาวสะอาดเท่านั้น
“แผลตื้นๆ ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ” ข้าตอบเขาไปอย่างโกรธๆ แม้ว่าเขาจะพยายามส่งยิ้มดั่งสายน้ำเย็นฉ่ำมาให้ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่าจะดับอารมณ์ของข้าไม่ได้เลย
“โกรธข้าอยู่เหรอ โกรธทำไมเล่า หรือว่าหิวข้าว งั้นข้าให้กินขนมนะ”
ว่าแล้วโอคิตะซังก็คลำหาถุงขนมแล้วเอามามอบให้ข้า ความใจดีของเขาทำให้ข้าหายเคืองและเริ่มหาข้อแก้ตัวให้เขา อันที่จริงคนอื่นๆ ก็ชอบลูบหัวข้าเหมือนกัน เขาก็แค่มายีผมข้าในตอนที่ข้าไม่ต้องการก็เท่านั้นเอง ข้าปลงและคิดว่าหากจะรักษาทรงผมให้อยู่รอดปลอดภัยได้ คราวหน้าอาจจะต้องใส่หมวกหรือไม่ก็กางร่มมาเสียแล้ว คิดได้แบบนี้ข้าก็เลยส่งยิ้มให้เขาแบบเต็มใจมากขึ้น
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ แต่ว่าข้าไม่หิว โอคิตะซังเก็บขนมไว้กินเองเถอะเจ้าค่ะ” ข้าปฏิเสธด้วยเจตนาดี เพราะหลังจากเป็นเพื่อนดื่มสุรากันมาหลายหน ข้าเลยพอรู้เรื่องของโอคิตะซังมาไม่น้อย เขาชอบดาบ ชอบเล่นกับเด็ก ชอบกินขนม และชอบยิ้ม
อ๊ะ! ทำไมไปๆ มาๆ ข้ารู้จักโอคิตะซังดีกว่าฮิจิคาตะซังอีกนะ แต่เอาเถอะจากข้อมูลโดยรวมทั้งหมด ข้าจึงตีความได้ว่า โอคิตะซังคือเด็กในร่างผู้ใหญ่และเด็กก็ชอบกินขนม ฉะนั้นข้าไม่ควรใจร้ายใจดำแย่งขนมมาจากเด็ก แม้ว่าน่าจะทำเพื่อแก้เผ็ดที่เขามายีหัวข้าจนผมเสียทรงก็เถอะ
“อ้าวเหรอ ก็ดี แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม หรือว่ามาให้ปากคำ” โอคิตะซังรีบเก็บขนมเข้าที่เก่าแต่แล้วเขากลับเปลี่ยนใจแก้ปากถุงผ้าออก หยิบขนมออกมากินอย่างไม่มีเขินอายสักนิด
“เปล่าเจ้าค่ะ ข้ามาขอบคุณฮิจิคาตะซังที่ช่วยชีวิตข้าไว้น่ะเจ้าค่ะ” ข้าตอบไปได้อย่างไม่เคอะเขิน กับคนอื่นๆ ทำไมข้าไม่เห็นจะตะกุกตะกักเลยนะ มีแต่ฮิจิคาตะซังคนเดียวที่แม้ไม่ทำอะไรเลยก็สามารถทำให้ข้าเขินอายได้
“อ้อ... งั้นเดี๋ยวข้านำทางไปให้เอง” โอคิตะซังยิ้มกว้างแล้วเดินนำข้าเข้ามาในเรือนพัก เมื่อมาถึงหน้าห้องหนึ่ง เขาก็ตะโกนบอกคนในห้องอย่างง่ายๆ
“ฮิจิคาตะซัง แม่หนูคอแข็งจอมทรหดเมื่อคืนมาขอพบขอรับ”
ข้าค้อนใส่หลังของโอคิตะซังอย่างเอาเป็นเอาตาย นึกอยากเอากล่องข้าวทุ่มใส่หัวเขาชะมัด ทำไมต้องเรียกข้าด้วยชื่อแปลกๆ แบบนั้นด้วยนะ ข้าไม่ได้ทรหดเสียหน่อย!
ฮิจิคาตะซังส่งเสียงอนุญาตให้เข้ามาได้ โอคิตะซังจึงเดินนำข้าเข้ามานั่งตรงข้ามกับฮิจิคาตะซังแล้วก็นั่งอยู่อย่างนั้น ข้ารู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาอีกครั้งเพราะใจข้าอกุศล อยากอยู่กับฮิจิคาตะซังแค่สองคนมากกว่า
“สวัสดีเจ้าค่ะ ฮิจิคาตะซัง” ถึงหัวข้าจะยุ่งเหยิงไปบ้างแต่ระหว่างทางข้าก็ลูบผมไปบ้างแล้ว จนมันไม่ได้ดูน่าเกลียดอะไร ข้าก้มลงคารวะฮิจิคาตะซังตามแบบฉบับกิริยามารยาทของโอยรันอันอ่อนช้อยที่ได้รับการฝึกฝนมา
“มีอะไรหรือ ยูคิมูระจัง” ฮิจิคาตะซังถามขึ้น ใบหน้าคมคายในตอนกลางวันของเขาทำให้ข้าแอบชื่นชมอยู่ในใจ
“ข้ามาขอบพระคุณฮิจิคาตะซังที่ช่วยชีวิตข้าไว้เมื่อคืนเจ้าค่ะ”
“ฮานะจัง เจ้าไม่เห็นต้องมาขอบคุณฮิจิคาตะซังเลย หากไม่ได้ถาดที่เจ้าเอามาขวางไว้ ป่านนี้คนนอนแบ็บอยู่บนฟูกน่ะคือฮิจิคาตะซังแล้ว” โอคิตะซังสอดขึ้นมากลางคัน ข้าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งจึงหันไปทางเขาแล้วว่า
“กล่าวเช่นนี้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ ฮิจิคาตะซังช่วยชีวิตข้าไว้ตอนที่ข้าถูกพวกคนร้ายเอาดาบจ่อคอนะเจ้าคะ เรื่องถาดนับเป็นอะไรได้”
พอเห็นท่าทางขึงขังของข้า โอคิตะซังก็เบะปากออกมาก่อนจะถอนหายใจแล้วพึมพำเบาๆ แต่ข้าก็หูดีได้ยินว่า “เฮอะ! อีกคนแล้วสิเนี่ย ก็เตือนแล้วแท้ๆ”
“เอาน่า ยูคิมูระจัง ที่โซจิพูดมาก็มีเหตุผลนะ หากไม่ได้เจ้า ข้าอาจจะเป็นศพอยู่ที่ร้านมิกะแล้วก็ได้ บาดแผลเป็นเช่นไรบ้าง ข้าต้องขอโทษด้วยที่ทำการช่วยเหลือช้าไป เจ้าเลยมีแผลที่คอเลย” คงเพราะบรรยากาศเริ่มไม่เข้าที ฮิจิคาตะซังเลยไกล่เกลี่ยด้วยท่าทีต้องการการประนีประนอม
“เอ่อ... ฮิจิคาตะซังเรียกข้าว่าฮานะก็ได้เจ้าค่ะ” ข้าตีหน้าเรียบเฉย ทำตาใสซื่ออันเป็นอาวุธที่ข้ามี ทั้งที่ในใจนั้นร้องด่าตัวเองว่าหน้าด้าน ถึงกับเชิญชวนผู้ชายให้เรียกชื่อต้นอย่างสนิทสนม
มันช่วยไม่ได้จริงๆ ก็ข้าไม่อยากถูกคนที่ชอบเรียกอย่างเหินห่างนี่นา ทีโอคิตะซังยังเรียกข้าว่าฮานะเฉยเลย
ความเป็นเด็กก็มีข้อได้เปรียบแบบนี้แหละ แกล้งทำเป็นไร้เดียงสา ไม่เข้าใจมารยาทขั้นพื้นฐานได้ในบางคราว
โอ๊ะ! ข้ารู้สึกว่าตัวเองชักมีนิสัยเลวร้ายขึ้นทุกวันแล้วสิ ความใสซื่อบริสุทธิ์มันหายไปไหนหมดแล้วนะ?
อย่างไรก็ตาม หลังจากข้ายัดเยียดความตั้งใจไปแล้ว ฮิจิคาตะซังได้เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ เหมือนจะถามว่า ‘จะดีหรือ?’ แต่สุดท้ายเขาตกลงโดยดี
“ก็ได้ ฮานะจัง”
แค่คำสองคำนี้ก็ทำให้ข้าตัวลอยแล้ว ข้ารีบแกะห่อผ้าที่นำมาแล้ว แล้วยื่นกล่องข้าวให้ฮิจิคาตะซัง
“นี่แทนคำขอบคุณเล็กๆ น้อยๆ จากข้าเจ้าค่ะ”
“ขอบใจนะ ฮานะจัง” น้ำเสียงและแววตาอันอ่อนโยนของฮิจิคาตะซังทำให้ข้าก้มหน้าลงมองเสื่อทาทามิ พร้อมกับพูดด้วยความอุธัจขัดเขิน
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เรื่องเล็กน้อย”
“แต่ว่าข้าไม่มีอะไรตอบแทนเจ้าเสียด้วยสิ” ดูเหมือนว่าความตั้งใจของข้าจะทำให้ฮิจิคาตะซังรู้สึกทั้งเกรงใจทั้งกระอักกระอ่วนอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ดังนั้นเพื่อมิให้ดูว่าข้าเฉพาะเจาะจงให้ข้าวกล่องแก่เขาจนเกินไป ข้าจึงหันไปทางโอคิตะซังแล้วยื่นข้าวกล่องให้พลางว่า “โอคิตะซัง ข้าก็มีของมาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ”
โอคิตะซังรีบรับข้าวกล่องไปเปิดดูแล้วอุทาน
“ฮานะจัง กับข้าวดูน่ากินมาก ไม่น่าเชื่อเลย เจ้าทำเองจริงเหรอ?”
ข้าขมวดคิ้วหน่อยๆ นี่ข้าดูแย่ขนาดถูกเหมาว่าทำกับข้าวไม่อร่อยเชียวเหรอ
“ทำเองสิเจ้าคะ” น้ำเสียงข้าแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“โซจิ อย่าพูดจาทำลายน้ำใจคนอื่นสิ” ฮิจิคาตะซังปรามโอคิตะซังที่หยิบข้าวปั้นเข้าปากโดยไม่สนใจฟัง ข้าพยายามคิดในแง่ดีว่าที่เขาทำตัวแบบนี้เป็นเพราะหิวจัดและข้าไม่ควรเคืองเขาเพราะเขายังมีประโยชน์ต่อข้าอยู่
“อร่อยแฮะ ฮานะจัง เจ้าทำข้าวปั้นได้อร่อยมาก” โอคิตะซังเอ่ยชมด้วยท่าทางกระตือรือร้นและจริงใจทำให้ข้าฉีกยิ้มกว้างและหายเคืองเขาทันที
ถึงข้าจะเป็นเด็กรับใช้แต่ฝีมือทำอาหารของข้ามีแต่คนติดอกติดใจทั้งนั้น นี่ถ้าไม่ติดว่าข้าจะกลายเป็นหญิงคณิกาล่ะก็ ข้าคงจะไปเปิดร้านขายอาหารก็เป็นได้
“อย่ามูมมามได้ไหม โซจิ” ฮิจิคาตะซังกล่าวเตือนเสียงเรียบๆ พลางหันมาส่งสายตาขอโทษขอโพยแล้วมองหน้าข้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนทำท่าเหมือนนึกอะไรออก
“จริงสิ ข้านึกออกแล้ว รอข้าอยู่นี่นะ ฮานะจัง” ฮิจิคาตะซังลุกออกไปด้านนอก แล้วกลับมาพร้อมกับกระดาษสีแดงในมือ จากนั้นก็จัดการนั่งพับกระดาษอยู่หลายนาที ข้าเฝ้ามองด้วยความไม่เข้าใจ ส่วนโอคิตะซังก็สวาปามข้าวกล่องที่ข้าทำมาเสียเกลี้ยงเชียว แต่คนที่ข้าอยากให้เขากินกลับไม่แม้แต่จะเปิดฝากล่องนั้น... ข้าควรดีใจหรือเสียใจดีนะ?
โอคิตะซังเดินออกนอกห้องไปรินชา จึงเหลือข้าอยู่กับฮิจิคาตะซังสองต่อสองตามความตั้งใจแรก เพียงทว่าตอนนี้มันไม่เหลือบรรยากาศซาบซึ้งใจอีกต่อไปแล้วเพราะมีแต่เสียงพับกระดาษเบาๆ ดังขึ้นภายในห้อง
ไม่นานจากกระดาษในมือของฮิจิคาตะซังก็กลายเป็นดอกยูริ สีแดงสดหนึ่งดอก
“ข้าไม่มีอะไรจะให้เจ้า... ถึงมันจะเล็กน้อยแล้วก็กินไม่ได้ แต่ก็ช่วยรับดอกไม้นี้ไปเถอะ” เขายื่นมันมาให้ข้าด้วยแววตาเป็นประกายทำให้ใบหน้าของข้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มยินดี
ดอกไม้กระดาษอาจจะไม่มีราคาค่างวดใดกับคนอื่น แต่มันได้ซื้อหัวใจข้าไปแล้ว
ฮิจิคาตะซังยังไม่ได้กินข้าวกล่องที่ข้าทำมาให้เลย เขาบอกว่าจะเก็บไว้กินตอนเย็น แต่เมื่อเขาถูกแววตาเงื่องหงอยของข้าโจมตีเข้า ก็ยินยอมหยิบข้าวปั้นมากัดหนึ่งคำและยังมีน้ำใจชมตามมารยาทว่า ‘อร่อยดี’ ถึงข้าจะเสียดายหน่อยๆ เพราะอยากเห็นเขากินข้าวกล่องให้หมด แต่ข้าก็ไม่ได้ต้องการจะบังคับเขาถึงเพียงนั้น จึงได้แต่กล่าวอำลาจากมาและบอกตัวเองว่าอย่าโลภมาก แค่ได้ดอกไม้แค่นี้ก็ควรพอใจแล้ว
“ฮานะจัง หยุดก่อน” ก่อนที่ข้าจะออกจากเขตเรือนพักของกลุ่มชินเซ็นกลับได้ยิน คนร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นเอกลักษณ์ เสียงเกี๊ยะดังกระทบพื้นแรงๆ นั่นช่วยบอกให้รู้ว่า คนที่เรียกข้าอยู่เป็นใคร
โอคิตะซังหอบแฮกเมื่อมาหยุดยืนตรงหน้าแล้วยื่นถุงในมือให้ ข้าเปิดปากถุงออกก็เห็นลูกพลับสดๆ นอนอยู่ในถุง ข้าแน่ใจได้เลยว่าเขาคงจะวิ่งไปเก็บมาให้ข้าแทนคำขอบคุณเรื่องข้าวกล่อง โอคิตะซังนี่ทำให้ข้าโกรธเขาไม่ลงจริงๆ ข้าเอ่ยขอบคุณและโค้งให้เขาอย่างนอบน้อมหนหนึ่งก่อนจะเดินจากมา แอบคิดในใจว่า หากคราวหน้าได้มาที่นี่อีก ข้าคงต้องเอาเงินเก็บอันน้อยนิดของตัวเองมาทำข้าวกล่องเผื่อให้โอคิตะซังเพิ่มเสียแล้ว
ข้าเดินกลับมาอย่างมีความสุขที่สุดในชีวิต กระโดดโลดเต้นไปตามทางเหมือนคนบ้า กระทั่งกลับมาถึงห้องของพี่อากาเนะ ข้าก็ยังร้องเพลงอยู่เบาๆ
“ไปไหนมาฮานะ” พี่อากาเนะซึ่งนั่งอยู่ในห้องนั้นถามเสียงแข็ง ข้าตกใจและไม่เข้าใจว่าทำไมพี่อากาเนะถึงต้องใช้น้ำเสียงแบบนี้กับข้าด้วย ก็ถึงแม้ข้าจะออกไปข้างนอกแต่ข้าก็กลับมาทันเวลาช่วยพี่อากาเนะแต่งตัวนี่นา
“ข้า... ข้าไปข้างนอกมาเจ้าค่ะ”
“ไปหาพวกหมาป่าแห่งมิบุมาใช่ไหม” ถึงจะถามแต่สายตาของพี่อากาเนะหลุบต่ำคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“เจ้าค่ะ” ข้ารับคำเสียงอ่อยๆ ไม่กล้าโกหกเพราะรู้ดีว่าพูดปดไปก็เท่านั้น
“เลิกคิดบ้าๆ อย่างการชอบฮิจิคาตะซังได้แล้ว” หว่างคิ้วของพี่อากาเนะกดลึก นางดูเคร่งเครียดมากจนข้าพลอยหวั่นไปด้วย แต่ความไม่พอใจของข้ามีมากกว่าความนึกหวั่นเกรง
“ท่านบอกเองนี่นาว่า ข้ามีสิทธิ์ชอบฮิจิคาตะซังได้ แล้วข้าก็ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อท่านด้วย” แม้ว่าข้าจะปากเก่ง แต่พอข้านึกได้ว่าตัวเองเคยทำ ‘อะไร’ กับฮิจิคาตะซังไว้บ้าง ความรู้สึกผิดก็พากันแห่แหนออกมา ข้าไม่สามารถพูดอะไรต่อไปได้ นอกจากปิดปากเงียบ
“แต่ก่อนน่ะได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”
“ทำไมล่ะ” ในใจข้าก็ยังไม่ยินยอมเชื่อฟังอยู่ดี
“ผู้ชายที่อายุสั้นแบบนั้น เจ้าจะชอบพอเขาไปให้เสียเวลาเปล่าทำไมกัน”
“อย่ามาแช่งฮิจิคาตะซังนะ พี่อากาเนะ” คิ้วข้าขมวดแน่น ไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้แช่ง” นางกล่าวเสียงเรียบเย็น
“อะไรกัน เมื่อครู่ท่านบอกอยู่แหม็บๆ ว่า ฮิจิคาตะซังจะ... จะ... จะ... นั่นน่ะ” ตัวข้าเองไม่กล้าพูดคำว่าอายุสั้นอันเหมือนเป็นการแช่งเขาทางอ้อมออกมา
“เด็กโง่ คนที่ถูกลอบสังหารน่ะ มีใครอายุยืนบ้าง” ข้าอ้าปากหวอ อึ้งกับเหตุผลที่พี่อากาเนะพูดมาจนเถียงนางไม่ได้
“หากเจ้าไม่อยากเสียใจก็อย่าไปรักฮิจิคาตะซังเลย ถือว่าข้าขอร้องก็ได้” สีหน้าพี่อากาเนะจริงจังมาก ส่วนข้าได้แต่นิ่งงันไปเพราะไม่อยากพูดอะไรที่จะผูกมัดตัวข้าไว้ ในหัวมีแต่คำถามอื้ออึงเต็มไปหมด
‘ฮิจิคาตะซัง ท่านจะอายุสั้นจริงๆ หรือ?’
......
ขอบคุณมากค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มิ.ย. 2555, 03:57:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มิ.ย. 2555, 03:57:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 2321
<< ดอกไม้หอมในเงามืด |

Siang 19 มิ.ย. 2555, 11:28:29 น.
รู้สึกว่าเวอร์ชั่นนี้จะอ่านง่ายกว่าเวอร์ชั่นก่อนนะ (ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า)
รู้สึกว่าเวอร์ชั่นนี้จะอ่านง่ายกว่าเวอร์ชั่นก่อนนะ (ไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า)