นางโลมเจ้าหัวใจ
เป็นเรื่องราวในปลายสมัยเอโดะ (ค.ศ.1864-69)ประเทศญี่ปุ่น
ความรักที่เหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานท่ามกลางคมดาบและไฟสงคราม
สาวน้อยโอยรัน หญิงคณิกาชั้นสูงกับซามูไรหนุ่มรูปงาม
ท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่พาดผ่าน
คนทั้งคู่จะผ่านมันไปได้อย่างไร?...
(ชื่อเก่า -เพียงรักร้อยบุปผา:ฮานะ)
Tags: ซามูไร โอยรัน ฮิจิคาตะ โทชิโซ ชินเซ็นกุมิ

ตอน: ดอกไม้หอมในเงามืด

บทที่ 2
ดอกไม้หอมในเงามืด

วันรุ่งขึ้น ห้องพักโอยรัน

พี่ยูมิ สาวโอยรันฝึกหัดเข้ามาหาพี่อากาเนะในช่วงสาย มาถึงก็ตรงเข้าเรื่องทันที

“นี่พี่อากาเนะ ฮิจิคาตะซังเป็นเช่นไรบ้าง ลีลาดีไหม”

พี่อากาเนะเบิกตากว้าง ข้าเองก็แทบสำลักชาเช่นกัน

“ยูมิ!” พี่อากาเนะปรามเบาๆ เพราะอึดอัดใจและมีสีหน้ากระดากอายอยู่ไม่น้อย ถึงข้าจะรู้สึกว่าพี่ยูมิหน้าด้านเกินไปแต่ข้ากลับเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจหน้าด้านกว่าเพราะกำลังสนใจฟังจนหูผึ่ง

“นี่บอกหน่อยน่า ข้าได้ยินพวกสาวๆ คุยกันว่าฮิจิคาตะซังน่ะ นอกจากจะหน้าตางดงามแล้วยังลีลาดีอีกด้วย ทำให้พวกเราขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นเลยทีเดียว พวกนางน่ะอยากได้เขามาเป็นแขกสักคืนเชียวนะ พี่น่ะโชคดีมากเลยรู้ไหม ได้นอนกับผู้ชายในฝัน บอกหน่อยสิว่าเป็นอย่างไร เก่งสมคำร่ำลือไหม” พี่ยูมิยังกระแซะเข้ามาถามอีกตามประสาคนอยากรู้อยากเห็น

สำหรับเรื่องการร่วมรักกันระหว่างชายหญิงข้าเองก็ทราบอยู่บ้าง ตามหลักแล้วโอยรันก็คือหญิงที่ขายความสุขให้ผู้ชาย คนที่มีความสุขคือผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง ฉะนั้นการขึ้นสวรรค์ของบรรดาหญิงนางโลมนั้นหาได้ยากพอๆ กับการหาแขกหน้าตาดีเลิศสักคนในหมู่นักเที่ยวที่มาทั้งหมดในชีวิต

“ยูมิ นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของแขก จรรยาบรรณของพวกเราน่ะห้ามบอกความลับของแขกนะ” ทายูอย่างพี่อากาเนะออกปากสั่งสอน พี่ยูมิชักสีหน้าใส่แล้วกล่าวเสียงกระด้าง

“เรื่องแค่นี้เอง บอกหน่อยก็ไม่ได้”

“ไม่ใช่เรื่องควรเอามาพูดถึง คนเป็นโอยรันห้ามปากพล่อยนะรู้ไหม”

พอพี่อากาเนะสั่งสอนอีกครั้ง พี่ยูมิก็สะบัดหน้าจากไปไม่รั้งรอฟังคำพร่ำบ่นต่อ แต่สำหรับข้าที่รอรับใช้อยู่หน้าห้องของพี่อากาเนะนั้น ก็พอจะประมาณได้ว่าอีกฝ่ายถึงสวรรค์หรือไม่

“ฮานะ ต่อให้เจ้าถูกคาดคั้นก็ห้ามเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาดนะ” พี่อากาเนะหันมากำชับ ข้าซึ่งเหม่อๆ อยู่รีบพยักหน้าขึ้นลงรับคำแต่โดยดี

หลังจากนั้นมาประมาณหนึ่งเดือนได้ ข้าก็ได้ข่าวว่า เซริซาวะ คาโมะ หัวหน้ากลุ่มชินเซ็นเสียชีวิตที่เรือนพักยางิแล้ว และคอนโด อิซามิ ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มแทน ฮิจิคาตะซังก็เป็นรองหัวหน้ากลุ่มร่วมกับอีกคนที่ชื่อยามานามิ เคสุเกะ ส่วนโอคิตะซังเป็นหัวหน้าหน่วยที่หนึ่ง

มีข่าวลือว่า เซริซาวะซังตายเพราะว่าถูกฮิจิคาตะซังและพวกลอบสังหาร แต่ก็เป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีใครกล้าออกมายืนยันเพราะคมดาบของเหล่าซามูไรแห่งมิบุ ผู้ปกป้องรัฐบาลโชกุนคงไม่ปรานีใคร ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือเขาลือกันว่า ผู้หญิงที่นอนข้างๆ เซริซาวะ คาโมะนั้นถูกฮิจิคาตะซังสังหารด้วยมือตัวเอง ข้านึกขันและคิดภาพตามไม่ออกเลย

คนๆ นั้นน่ะหรือจะฆ่าผู้หญิงได้?

ข้าคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนทำ แต่ก็ไม่ได้เชื่อมั่นนักเพราะสัมผัสได้ว่า ภาพลักษณ์ของฮิจิคาตะซังเป็นคนเด็ดขาด ข้าจึงเดาว่าหากเขาพบว่ามีต้นหญ้าขวางทางอยู่ก็จะเด็ดทิ้งโดยไม่ลังเลแทนการเดินอ้อมปล่อยให้ต้นหญ้าเล็กๆ นั้นรอดชีวิตไป

แววตาของฮิจิคาตะซังที่ข้าจำได้นั้นล้ำลึก... อย่างน่ากลัวนัก

แต่ไม่ว่าฮิจิคาตะซังจะเป็นคนทำเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ต่อให้เขาสังหารผู้หญิงอีกสักร้อยคน ข้าก็ไม่สนอยู่ดีเพราะข้าเพียงแค่อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขาให้มากขึ้นเท่านั้น ดังนี้แล้วข้าจึงเริ่มสนใจเรื่องราวของซามูไรมากขึ้น ประกอบกับทางชินเซ็นกุมิก็มาใช้บริการร้านมิกะอยู่ทุกเดือนข้าจึงจำต้องรู้เรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองให้มากเพื่อที่จะได้วางตัวถูก

แต่น่าเสียดายนักที่ข่าวคราวซามูไรที่ข้ารับฟังมานั้น ไม่มีใครเอ่ยถึงชื่อพี่ชายข้าเลยสักนิด...

ข้าไม่แปลกใจนักเพราะไม่ได้ข่าวพี่ชายมาหลายปีจนเลิกหวังที่จะออกไปจากที่นี่ แต่กระนั้นก็ไม่อาจเต็มใจเป็นโอยรันฝึกหัดได้ อาจเพราะว่าข้าเกิดในตระกูลนักรบ แม้เป็นซามูไรชั้นล่างและยากจน แต่ข้าก็มีทิฐิที่ไม่เข้าท่าอยู่เต็มเปี่ยม ไม่อยากขายเรือนร่างของตัวเองให้ใครต่อใครมาหาความสุข เพียงแต่ว่าทิฐิกินไม่ได้ หากข้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็ต้องทำงานเท่านั้น

อีกเรื่องหนึ่งคือข้าไม่อยากให้พี่อากาเนะต้องลำบากมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับท่านแม่อีก และข้าคิดว่าการที่พยายามให้ตนเองอยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงสองปีก็นับว่าไม่เลวอยู่

ทุกครั้งที่มีกลุ่มชินเซ็นมาร้านมิกะ สายตาของข้าก็จะมองหาฮิจิคาตะซังเป็นคนแรก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มาที่นี่ทุกครั้งที่มีงานเลี้ยง แต่ทุกครั้งที่มาจะเรียกหาพี่อากาเนะเสมอ ซึ่งก็ทำให้ข้าทั้งมีความสุขทั้งเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน

จนฤดูร้อน ปีบุงเคียวที่ 4 ในเทศกาลกิอง เกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นที่ร้านอิเคดะ กลุ่มชินเซ็นทำชาวบ้านตกอกตกใจด้วยการเดินกลับที่พักในสภาพนองเลือดหลังจากต่อสู้กับกลุ่มซามูไรที่อยู่ฝ่ายปฏิวัติซึ่งเป็นซามูไรจากแคว้นโจชู, โทสะและฮิโกะ

พอได้ยินคำว่าฝ่ายปฏิวัติ ข้ารู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ที่ร้านมิกะนั้นส่วนใหญ่รับแต่แขกที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลโชกุน มีซามูไรจรบ้างประปราย ข่าวคราววงในจึงมีแต่ข่าวของพวกฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น ข้าได้แต่หวังว่าพี่ชายของข้าจะไม่ใช่ซามูไรกลุ่มนี้

หลังจากเทศกาลกิอง ข้าก็ถูกท่านแม่เรียกมาแจ้งล่วงหน้าว่าหากข้ามพ้นปีใหม่ไปจะให้ข้าเป็นโอยรันฝึกหัดเสียที จะอยู่เป็นหญิงรับใช้เช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ข้าเก็บงำเรื่องนี้เอาไว้ไม่บอกพี่อากาเนะเพราะเกรงว่านางจะร้อนใจเพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีคนมาไถ่ตัวข้าอยู่ดี ข้าควรทำใจเสียแต่เนิ่นๆ แต่ความคิดเด็กๆ ของข้าก็ยังแอบหวังว่าอยากให้แขกคนแรกของข้านั้นเป็นฮิจิคาตะซัง แต่มันก็เป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ เอามากๆ

ในคืนหนึ่งพอทราบข่าวว่าชินเซ็นกุมิจะมา ข้าเลยบรรจงแต่งเผ้าแต่งผมให้เรียบร้อย แซมดอกไม้ประดิษฐ์ที่พี่อากาเนะให้มาด้วย แม้ว่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าฮิจิคาตะซังคงไม่ชายตาแลข้าเหมือนที่แล้วๆ มาก็ตาม

“ไม่ต้องตื่นเต้นแบบนั้นหรอก วันนี้ฮิจิคาตะซังไม่มา”

“อ้าว... เอ๊ะ! พี่อากาเนะรู้ได้อย่างไรกันเจ้าคะ เอ่อ... ขะ... ข้าไม่ได้รอฮิจิคาตะซังเสียหน่อย” ข้าร้องออกมาด้วยความคาดไม่ถึงและเผลอร้อนตัวปฏิเสธไปในคราวเดียวกัน

“งั้นหรือจ๊ะ” เสียงลากยาวของพี่อากาเนะบ่งชัดว่าไม่เชื่อที่ข้าพูด

“จริงๆ นะ” ข้ายังพยายามโกหกต่อไป

“เด็กโง่! เจ้าน่ะแสดงออกมาเสียชัดเจนขนาดนี้ ใครๆ ก็รู้ว่าเจ้าชอบฮิจิคาตะซัง” สีหน้าของพี่อากาเนะดูจะระอาข้าอยู่ไม่น้อย ข้าก้มหน้าลง ไม่รู้จะเถียงต่อไปดีไหม แต่เพราะว่าข้าเองก็รู้แล้วว่าตัวเองชอบฮิจิคาตะซัง ไม่งั้นคงไม่อยากสวยขึ้นเพื่อให้ฮิจิคาตะซังสนใจ คงไม่อยากรู้เรื่องของเขาและคงไม่ถวิลหาเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเหมือนตอนนี้หรอก

“ท่านก็ชอบฮิจิคาตะซังนี่นา ข้าชอบเขาไม่ได้หรอก” ข้าเงยหน้ามองพี่อากาเนะ นางคือคนที่ข้าเคารพรักที่สุดในชิมาบาระ ไม่สิ... ในชีวิตของข้าเลยเพราะฉะนั้นข้าจึงไม่อยากทำอะไรที่เป็นการหักหลังนาง

ถ้านางกับฮิจิคาตะซังจะรักกันชอบกัน แล้วข้าที่เป็นเหมือนน้องสาวนางนั้นก็ไม่ควรจะไปมีใจชอบพอ แม้ว่าจะเป็นแค่ความคิดก็ไม่สมควร

“ทำไมล่ะ ข้าชอบฮิจิคาตะซัง แล้วเจ้าไม่มีสิทธิ์ชอบเขาหรือ” คำยอมรับตรงๆ ของพี่สาวแสนดีทำให้ข้าใจแป้วเล็กน้อย แต่ข้าก็ยังพยักหน้าหงึกๆ

“เจ้าน่ะนะ นอกจากจะโง่แล้วยังบ้าอีกด้วย ถึงข้าจะชอบฮิจิคาตะซัง แต่เจ้าเองก็ชอบเขาได้ เจ้าไม่ได้ทำผิดต่อข้าเลยแม้แต่น้อย หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าข้าคือโอยรัน” นางจับไหล่ข้าแล้วเอื้อมมือมาเชยคางของข้า

“ท่านไม่หึงหวงเหรอ ในเมื่อท่านก็ชอบเขา”

ข้าถามด้วยความสงสัยเพราะรู้ว่าแม้โอยรันจะไม่มีสิทธิ์หึงหวงผู้ใดแต่โอยรันก็เป็นสตรี ฉะนั้นเรื่องตบตีทะเลาะวิวาทเพราะผู้ชายก็มีให้เห็นกันเกลื่อน

“ข้าถึงบอกว่าเจ้าไม่เหมาะเป็นโอยรัน คนเป็นโอยรันที่แท้จริงน่ะต้องตัดความคิดสามัญออกไป ตัวเราคือสตรีที่ขายศิลปะและเรือนร่าง เราเป็นสมบัติของผู้ชายทุกคนที่เข้ามาที่นี่ แต่ผู้ชายที่เป็นแขกไม่ใช่สมบัติของเรา การหึงหวงน่ะเป็นเรื่องของผู้หญิงที่ได้แต่งงานต่างหากเล่าฮานะ”

ข้าหน้าซีด เรื่องทำนองนี้ อาจารย์ผู้ฝึกโอยรันได้พร่ำสอนอยู่บ่อยครั้ง แต่เหมือนข้าจะไม่ใส่ใจจำ

“ข้าเตือนเจ้าจากใจจริง เจ้าชอบฮิจิคาตะซังได้ แต่อย่าหลงรักเขาเป็นอันขาด!”

“ทำไมล่ะ?” พี่อากาเนะเป็นคนที่สองแล้วที่เตือนข้าเช่นนี้

พี่อากาเนะเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนนางกำลังไตร่ตรองว่าควรจะพูดออกมาอย่างไรดีให้เด็กโง่เง่าอย่างข้าเข้าใจ

“เพราะ... ชายผู้นั้นไร้ใจต่ออิสตรี ข้าไม่เคยเห็นใครเป็นแบบเขามาก่อน เขามาหาความสุขจากข้าก็จริง แต่เขาไม่มีวันไถ่ตัวข้าออกไปจากที่นี่ และถ้าแคว้นไอซึไม่ใช่ผู้จ่ายเงิน เขาก็ไม่มาหาข้าหรอก ฮิจิคาตะซังน่ะไม่มีผู้หญิงอยู่ในสมองเลยแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เขาคิดมีแค่ปณิธานและวิธีการที่จะไปให้ถึงฝัน ผู้ชายพรรค์นี้ไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่ฝันอยากเป็นภรรยาของใครสักคน”

“แต่เขาก็อ่อนโยนต่อท่านมิใช่หรือ” ข้าพยายามแย้ง รู้สึกว่าพี่อากาเนะกล่าวเกินไป ทุกครั้งที่ฮิจิคาตะซังมาค้าง ข้าไม่เคยเห็นเขาทำตัวร้ายกาจกับพี่อากาเนะเลย มีแต่ให้เกียรติและทำตนเสมอต้นเสมอปลาย แตกต่างจากแขกคนอื่นๆ ที่บางครั้งอาจจะมีอะไรกันอย่างรุนแรงหรืออาจตบตีระบายอารมณ์และฝากรอยช้ำสีม่วงไว้บนตัวโอยรัน

พี่อากาเนะถอนหายใจพลางส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้

“เขาก็ทำตัวดีกับทุกคนนั่นแหละ แต่ไม่มีใครเข้าไปนั่งในใจเขาหรอก คนแบบนี้น่ะจะว่าดีก็ดี แต่จะว่าร้ายก็ร้าย”
...ข้าไม่เข้าใจคำพูดของพี่อากาเนะแม้แต่นิดเดียว

…………………………………….
ต้นฤดูใบไม้ร่วง ปีบุงเคียวที่ 4

ข้าเข้าไปในห้องพักเพื่อที่จะเตรียมห้องให้กับฮิจิคาตะซังกับพี่อากาเนะตามหน้าที่ปกติ แต่กลับหาโคมไฟในห้องไม่เจอ ข้าพยายามคิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ออกว่าโคมไฟมันหายไปไหน ทั้งที่มันก็ควรตั้งอยู่ในห้อง และข้าไม่ได้หิ้วโคมไฟไปที่อื่นนี่นา ทำไมมันถึงไม่อยู่ที่นี่ล่ะ?

ถ้าโคมไฟหายไป ท่านแม่ต้องมาหักเงินข้าแน่ๆ เลย ทั้งที่ข้าเองก็รายได้น้อยอยู่แล้ว หากว่าไม่ทำหน้าที่หญิงรับใช้ควบคู่ไปกับการช่วยทำบัญชีล่ะก็ มีหวังข้าต้องอดตายอยู่ในชิมาบาระแหงๆ ข้าถอนหายใจออกมาบางเบา ทำท่าจะลุกขึ้นหมายจะออกไปหยิบโคมไฟอันใหม่ ทว่าประตูในห้องกลับถูกเลื่อนเปิดและปิดลงในทันที

“ทำอะไรอยู่ ทำไมถึงไม่ไปหาข้าเล่า อากาเนะ” ผู้มาใหม่ไม่พูดเปล่าแถมยังกอดข้าอีกเสียด้วย

ข้าตาโตอ้าปากค้าง หาเสียงตัวเองไม่เจอเพราะไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกคนที่อยู่ไกลเกินเอื้อมนั้นโอบรัดข้าเอาไว้ ข้าได้กลิ่นหอมเจือกลิ่นเหล้าจากตัวของเขา ไอร้อนผ่าวจากเรือนกายแข็งแกร่งกำลังเผาให้ข้าเป็นจุณ จนข้าคิดว่าหากต้องอยู่ในนี้ต่ออีกสักนาที ข้าอาจจะละลายกลายเป็นน้ำเหมือนกับหิมะเจอไอแดดฤดูร้อนก็เป็นได้
ความที่ข้าตกตะลึงทำอะไรไม่ถูกได้แต่นิ่งเฉย ตัวแข็งทื่อ เลยกลายเป็นว่าข้าถูกผลักลงนอนบนฟูกที่ข้าปูไว้ให้ฮิจิคาตะซังกับพี่อากาเนะ

ข้ารู้ว่าตัวเองต้องปฏิเสธ... แต่ความคิดของข้ามันช้าไปมาก

ริมฝีปากอ่อนนุ่มของฮิจิคาตะซังทาบทับลงมายังริมฝีปากของข้า วินาทีนี้ข้าคิดว่าอาจจะต้องตายเสียแล้ว มือไม้ที่คิดจะยกขึ้นผลักไสพลันไร้เรี่ยวแรง ได้แต่ยอมรับการจู่โจมของเขาโดยดี หลังจากนั้นข้าก็แทบจะไม่รับรู้อะไรอีก หัวสมองมึนชาไปหมด แน่ใจแค่ว่าถูกจูบติดต่อกันอย่างยาวนาน ทั้งที่ริมฝีปาก ใบหน้าและซอกคอ
... ข้ากำลังถูกผู้ชายที่ข้าแอบชอบนั้นสัมผัสอย่างเร่าร้อน

“หือ? ทำไมสายโอบิ เจ้าอยู่ด้านหลังล่ะ เมื่อกี้นี้ยังอยู่ด้านหน้าอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?” เขาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะหญิงโอยรันทุกคนจะมีผูกโอบิไว้ข้างหน้า ต่างจากสตรีทั่วไปที่ผูกโอบิไว้ข้างหลัง นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือหญิงคณิกาแล้ว ยังมีประโยชน์ตรงที่การผูกไว้ข้างหน้านั้นมันสะดวกรวดเร็วในการถอดชุดกิโมโนอีกด้วย

“หน้าอกเจ้าเล็กลงหรือเปล่า? อากาเนะ” คำพูดของฮิจิคาตะซังทำให้ข้ารู้สึกตัว มือของเขายังอยู่บนหน้าอกของข้าโดยที่ข้ายังใส่เสื้อผ้าครบอยู่... แม้ว่าสาบเสื้อข้าจะไม่เรียบร้อยเอามากๆ และสายโอบิข้าจะหลุดออกจากกันแล้วก็ตาม ข้าผลักเขาออกได้เพราะความตกใจและแตกตื่น อีกทั้งยังอับอายมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

“อากาเนะ? เจ้าผลักข้าทำไม?”

“ขะ... ขอโทษเจ้าค่ะ ข้าเป็นเด็กรับใช้ไม่ใช่พี่อากาเนะหรอกเจ้าค่ะ”

แม้ว่าข้ายังจัดแต่งเครื่องแต่งกายไม่ทันก็ตาม แต่ข้าก็ทำได้แค่เพียงก้มลงหมอบไปกับพื้นเพื่อขอโทษฮิจิคาตะซังด้วยหัวใจที่เหมือนถูกแช่แข็ง ทั้งที่อากาศหนาวแต่ข้ากลับเหงื่อแตก นึกหวั่นกลัวว่าตัวเองจะทำให้ฮิจิคาตะซังโกรธ

น่าแปลกที่ข้าไม่กลัวตาย แต่กลับกลัวถูกฮิจิคาตะซังเกลียด ข้ายอมให้เขาฟันข้าทิ้งในดาบเดียวแล้วตายไปอย่างไร้ค่า ดีกว่าใช้สายตาคมกริบนั่นประหารข้าทั้งเป็น

“หือ? เจ้าไม่ใช่อากาเนะนี่นา นางไปไหนเล่า” ท่าทางฮิจิคาตะซังจะเริ่มสร่างเมานิดๆ แล้ว

“พี่อากาเนะอยู่ห้องเตรียมตัวเจ้าค่ะ นางให้ข้ามาเตรียมที่นอน แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ฮิจิคาตะซังต้องเสียอารมณ์ด้วยเจ้าค่ะ”

“โคมไฟหายไปไหน?” ฮิจิคาตะซังถามข้าใหม่

“เอ่อ... เดี๋ยวข้าจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ” ข้ารีบจับผ้าโอบิไว้แน่นแต่ยังไม่กล้าผูกก่อนจะรีบคลานเข่าให้พ้นหน้าฮิจิคาตะซัง แล้วลุกขึ้นไปหยิบโคมที่แขวนไว้ตามทางเดินมาใช้แทน เมื่อแสงไฟส่องสว่างขับไล่ความมืดมิด ฮิจิคาตะซังที่เห็นหน้าข้าก็พูดขึ้นมาว่า

“อ้อ... เจ้านี่เอง... หญิงรับใช้ของอากาเนะ”

“เจ้าค่ะ” ข้ารีบก้มหน้า ไม่กล้ามองฮิจิคาตะซังตรงๆ พอมีแสงสว่างแล้วข้าก็หัวใจจะวายเอาเสียให้ได้เพราะเขาเปลือยกายท่อนบนอยู่ เส้นผมสีดำเส้นเล็กละเอียดประดุจเส้นไหมของเขาทิ้งตัวลงบนแผ่นอกอย่างไม่เป็นระเบียบชวนให้ข้ารู้สึกหวั่นไหวและอยากจะเข้าไปลูบไล้เรือนผมอันเงางามนี้เหลือเกิน

แล้วพอข้าคิดว่าเมื่อครู่ข้า... ข้า... ข้าได้แนบชิดกับฮิจิคาตะซัง... ขนาดนั้น ข้าก็หน้าร้อนฉ่าเหมือนถูกไฟอัง

“เจ้าชื่ออะไรนะ” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยขึ้นหลังจากทิ้งให้ห้องเงียบอยู่นานสองนาน

“ฮานะเจ้าค่ะ” ข้าอดจะเศร้าไม่ได้ ผ่านมาเป็นปี ฮิจิคาตะซังกลับไม่เคยรู้ชื่อข้าเลยสักนิด แต่ข้าก็พยายามคิดไปอีกอย่างว่า ในที่สุดข้าก็ได้มีโอกาสบอกชื่อตัวเองกับคนที่ชอบแล้ว อย่างน้อยครั้งหนึ่งเขาก็รับรู้ว่าข้ามีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

“ชื่อเต็มๆ น่ะชื่ออะไร”

“ยูคิมูระ ฮานะเจ้าค่ะ”

“ยูคิมูระจัง เมื่อกี้ข้าต้องขอโทษด้วย ข้านึกว่าเจ้าเป็นอากาเนะ ก็เลยทำเรื่องไม่ดีกับเจ้าลงไป หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสานะ” พูดจบ ฮิจิคาตะซังก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นมามองข้าใหม่

“มะ... ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ข้าเป็นแค่หญิงรับใช้ต่ำต้อย ท่านอย่าได้นำเกียรติอันสูงส่งของท่านมาแปดเปื้อนด้วยการขอโทษข้าเลยเจ้าค่ะ"

ข้ารีบลนลานก้มหมอบลงอีกครั้ง แต่ในใจของข้านั้นทั้งแตกตื่นและรู้สึกประทับใจมากที่ฮิจิคาตะซังสุภาพกับข้าและเห็นว่าข้าก็เป็น... คนเช่นกัน

ยูคิมูระ ฮานะ เด็กรับใช้หญิงโอยรันสามารถได้รับคำขอโทษจากฮิจิคาตะ โทชิโซ รองหัวหน้าชินเซ็นกุมิเชียวนะ! จะมีสตรีสักกี่คนที่ได้รับเกียรตินี้

“ไม่ต้องกลัวข้าก็ได้ ข้าไม่กัดเจ้าหรอกแล้วก็จะไม่ทำอะไรเจ้าแล้วด้วย ส่วนเรื่องเกียรติอะไรนั่นน่ะ การที่ข้าขอโทษเจ้าไม่ใช่เรื่องเสียเกียรตินักรบหรอก ไม่ต้องกังวลไป”

ฟังคำพูดคำจาของเขาแล้ว ข้ารู้สึกนับถือเขาขึ้นมาอย่างหมดใจ ข้าเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งที่ไม่มีราคาค่างวดอันใด แต่เขาก็ให้เกียรติข้า แค่นี้ข้าก็ดีใจมากแล้ว

“ยูคิมูระจัง ช่วยไปยกน้ำสะอาดมาให้ข้าล้างหน้าหน่อยสิ” น้ำเสียงของฮิจิคาตะซังยังทุ้มนุ่มรื่นหูและชวนฟังเป็นอย่างมาก ข้าที่หมอบอยู่ทำท่าจะลุกออกไปตามคำสั่งโดยลืมไปเสียสนิทเลยว่า สายโอบิของข้านั้นยังไม่ได้ผูกให้เรียบร้อย

ข้าร้องด้วยความตกใจและอับอายเมื่อสาบเสื้อของข้าคลายออกจากกัน แต่ยังดีที่ไม่ได้เปิดเปลือย มันแค่ดูไม่เรียบร้อยและทำให้ลำบากต่อการเคลื่อนไหว

ข้ารีบหันหลังให้ฮิจิคาตะซังแล้วจัดแจงกิโมโนกับสายโอบิใหม่ หากทว่าผ่านไปนานหลายนาทีข้าก็ผูกโอบิของตัวเองไม่ได้เสียที มือของข้าสั่นไปหมด นึกอายมากจนอยากจะตายเอาเสียดื้อๆ

แม้ว่าข้าจะเป็นเด็กรับใช้แต่ข้าก็ไม่อยากให้ฮิจิคาตะซังเข้าใจผิดคิดว่าข้ายั่วยวนเขา และถึงแม้ข้าอยากให้เขาเป็นคนแรกของข้า แต่ข้าก็ไม่ได้หน้าด้านขนาดลงทุนเปิดเผยเรือนร่างตัวเองให้ชายใดเชยชม

“อย่าลนลานสิ ถ้าเป็นแบบนี้ทั้งชาติเจ้าก็เลื่อนขั้นไม่ได้หรอกนะ” ฮิจิคาตะซังมาอยู่ตรงหน้าข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ เขาทำให้ข้ายืนตัวแข็งด้วยการยื่นมือมาผูกสายโอบิให้ข้าใหม่

“อะ... เอ่อ” ข้าตกใจเป็นอันมาก ดวงตาของข้าจับจ้องฮิจิคาตะซังผ่านม่านน้ำที่เอ่อขึ้นมาคลอ

“เรื่องแค่นี้ก็ร้องไห้เสียแล้ว เจ้านี่ช่างเป็นเด็กเสียจริง” ฮิจิคาตะซังดุข้าแต่นิ้วอุ่นจนร้อนของเขากลับเกลี่ยน้ำตาให้ข้าอย่างอ่อนโยนจนทำให้แก้มของข้าร้อนผ่าว

หากว่ามีหมอมาบอกว่าข้าเป็นโรคหัวใจ ข้าก็คงเชื่อ เพราะว่าวันนี้หัวใจข้าเต้นผิดปกติหลายครั้งแล้ว

“ไม่ต้องกลัวนะ ในเมื่อข้าทำเสื้อเจ้าไม่เรียบร้อย เดี๋ยวข้าจะรับผิดชอบช่วยเจ้าผูกโอบิให้เอง” ฮิจิคาตะซังพูดก่อนที่มือทั้งสองจะวุ่นวายอยู่กับสายโอบิของข้าต่อ ข้าได้แต่กลอกตาไปมาตามการเคลื่อนไหวของเขาด้วยหัวใจอันวาบหวามและตื่นเต้นด้วยความปรารถนาให้ข้าได้ใกล้ชิดกับเขาต่อไปอีกนิดก็ยังดี

ลมหายใจของเขาเป่ารดอยู่บนต้นคอของข้า ดวงตาของเขาจับจ้องมาที่เรือนร่างของข้า มือของเขาจำต้องสัมผัสกับร่างกายของข้าโดยเฉพาะตรงทรวงอก... เพื่อกระชับสายโอบิให้แน่นขึ้นทำเอาหัวใจข้าแทบหยุดเต้น ข้าจำต้องหาเรื่องคิดเพื่อหนีความเป็นจริงตรงหน้าแล้วสายตาของข้าก็ไปหยุดยังเส้นผมเงางามของเขาซึ่งอยู่ใกล้มือข้าแค่เอื้อม... ในอนาคตข้างหน้า ข้าคงไม่มีโอกาสดีแบบนี้อีกแล้วแน่ๆ หน้าของข้าแดงก่ำและร้อนผ่าว เกิดความคิดหยาบช้าอยากจะโยนศีลธรรมจารีตประเพณีใดๆ ที่ข้ามีออกไป แล้วลองเป็นหญิงไร้ยางอายยั่วยวนผู้ชายที่รักสักครั้งในชีวิตนี้ แค่ยกสองมือขึ้นคล้องคอเขาไว้ เหนี่ยวรั้งให้ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้และมอบริมฝีปากให้เขาแตะต้องได้ตามอำเภอใจ

... แต่สุดท้ายข้าก็ไม่ได้ทำอะไรลงไป นอกจากนั่งนิ่งแข็งทื่อเป็นหุ่นและเหม่อมองฮิจิคาตะซังด้วยใบหน้าร้อนผ่าวจนขึ้นสีแดงก่ำ

เพียงไม่นานฮิจิคาตะซังก็ผูกโอบิให้ข้าเสร็จเรียบร้อยสวยงาม

“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” ฮิจิคาตะซังทำวิญญาณของข้าหลุดลอยอีกหนด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนของเขา ค่ำคืนนี้ไม่มีแสงจันทร์บนฟากฟ้า แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้ข้ารู้สึกว่าโลกทั้งใบของข้าช่างงดงามและสว่างไสวนัก

“ท่านผูกโอบิเก่งจัง... ดูท่านจะคุ้นเคย... อ๊ะ!” ข้าอดพูดออกมาตามใจคิดไม่ได้ โดยลืมไปว่ามันเป็นการเสียมารยาทต่อฮิจิคาตะซัง

“หือ? เจ้าจะบอกว่าข้าผูกโอบิให้คนอื่นบ่อยงั้นสิ” ข้าถูกจับให้หันมาเผชิญหน้ากับฮิจิคาตะซัง

“เอ่อ...” ข้านึกหาคำแก้ตัวแต่ก็ไม่ทันแล้ว ฮิจิคาตะซังหัวเราะเบาๆ แล้วว่า

“ก่อนข้าจะมาเป็นซามูไร ข้าเคยทำงานร้านขายผ้ามาก่อนก็เลยคุ้นเคยเรื่องนี้อยู่บ้าง”

“ขออภัยเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ตั้งใจลบหลู่ท่าน” ข้าก้มหน้าสำนึกผิด นึกอยากตบปากตัวเองนัก ทั้งที่บรรยากาศรอบข้างก็ดีแสนดี แต่เพราะความปากพล่อยของข้าจึงทำลายเรื่องราวดีๆ ในคืนนี้ให้หมดไป

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก เจ้านี่เอะอะก็ขอโทษ ขออภัยไว้ก่อนเลยนะ” ใบหน้าคมคายของฮิจิคาตะซังไร้วี่แววของโทสะ

“แต่ข้าไร้มารยาทจริงๆ นี่เจ้าคะ” ข้าเงยหน้าขึ้นมายอมรับตรงๆ พลันรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างข้ากับเขานั้นไม่ถูกต้อง... มันใกล้ไปไหม?

ข้าเลยค่อยๆ ผละออกห่างอย่างช้าๆ โดยที่ยังอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย

“เจ้าดีดชามิเซ็น เป็นไหม?”

“ดีดชามิเซ็นหรือเจ้าคะ? ปะ... เป็นเจ้าค่ะ” ถึงจะงงงันแต่ข้าก็รีบตอบรับออกไป

“ข้าจะรออากาเนะ งั้นระหว่างนี้เจ้าก็ช่วยดีดชามิเซ็นให้ข้าฟังที อ้อ... ก่อนอื่นเอาน้ำมาให้ข้าล้างหน้าก่อนแล้วกัน” ฮิจิคาตะซังเอ่ยก่อนจะยื่นมือมาลูบหัวข้าเบาๆ

แม้ว่าประโยคแรกของฮิจิคาตะซังจะทำร้ายจิตใจข้าอย่างสาหัส แต่ประโยคหลังกลับทำให้ข้ามีความสุขมาก แถมมืออันเรียวงามของเขายังสัมผัสตัวข้าอย่างไม่รังเกียจอีก สายตาที่ใช้มองมาก็อบอุ่นละมุนละไม...
ความสุขนี้มันมากเกินระดับที่ข้าจะรับไหวแล้ว!

‘โอย ข้าไม่อาบน้ำไม่สระผมไปตลอดชีวิตเลยได้ไหมนะ’ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่คิดไม่อาจทำได้ แต่ข้าก็อยากเก็บความทรงจำอันหอมหวานนี้ไว้จริงๆ

‘ถ้าข้าไม่อาบน้ำสักสามสี่วัน พี่อากาเนะจะเตะข้าออกนอกห้องหรือเปล่านะ?’
………………………………………………….
โอบิ (Obi) คือ ผ้าคาดอกชุดกิโมโน
ชามิเซ็น (shamisen) เป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองชนิดดีดของญี่ปุ่น คล้ายกีต้าร์แต่มีเพียงสามสายเท่านั้น
.........
ขอบคุณพี่เซี่ยงมากค่ะ



ท้องฟ้า
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2555, 15:24:29 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 มิ.ย. 2555, 15:24:29 น.

จำนวนการเข้าชม : 1731





<< ดอกไม้ในงานเลี้ยง   ดอกไม้ในวังวน >>
Siang 18 มิ.ย. 2555, 16:30:47 น.
รอตอนต่อไปอยู่ค่ะ ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account