บัลลังก์ดอกไม้
คนหนึ่งเปรียบเหมือนดอกไม้ดูแข็งแกร่งเรียบง่ายแต่ซ่อนความหวานไหวไว้ภายในอีกหนึ่งเปรียบดั่งพายุที่พัดพาเอาความร้ายกาจเข้ามาแต่ทุกอย่างดูจะเปลี่ยนไปเมื่อฟ้ากำหนดให้พายุสงบเพราะดอกไม้ดอกเล็กๆ ดอกนี้
Tags: คีตา ณิชนิตา บัลลังก์ดอกไม้

ตอน: บทที่ ๑๓ ข้อแลกเปลี่ยน


ข้อแลกเปลี่ยน



เสียงรถยนต์แล่นเข้ามาในไร่อุ่นรักด้วยความเร็วพอประมาณ จิตราเดินออกมาต้อนรับแขก ชายหญิงคู่หนึ่งลงจากรถ เด็กสาวจำได้ว่าหนึ่งในแขกที่เข้ามาในไร่นั้นก็คือ ช่อม่วงเพื่อนเก่าแก่ของนายสาว

“สวัสดีค่ะ คุณช่อ” คนงานสาวยกมือขึ้นไหว้แขกทั้งสองคน ช่อม่วงส่งยิ้มให้ ดวงตาสวยสอดส่ายมองหาเจ้าของไร่ผ่านแว่นกรอบใสนั้นอย่างรวดเร็ว

“สวัสดีจ๊ะจิต แล้วพุดล่ะ”

“ไปส่งดอกไม้ค่ะ เดี๋ยวสายๆก็กลับ”

“ไปกับใครเหรอ” ช่อม่วงนั้นอยากถามหาอนาวินทร์มากกว่าแต่ก็ยั้งปากไว้ก่อน เหลือบมองชายหนุ่มที่มาด้วย

“ไปกับคุณวินค่ะ” จิตราตอบคำถามพร้อมกับเสิร์ฟน้ำเปล่าให้แขกทั้งสอง

ทนายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินว่าเจ้าของไร่ดอกไม้ไปกับใคร ภัทราเดินออกมาจากในครัวเมื่อจิตราเข้าไปบอกเรื่องแขกที่เข้ามายังไร่ ทั้งคู่ยกมือไหว้

“สวัสดีครับ คุณภัทราผมชื่อทรงรบเป็นทนายความของบ้านสัตยารักษ์ครับ” ทนายหนุ่มแนะนำตัวหลังจากยกมือไหว้เสร็จไม่รีรอให้ช่อม่วงทำหน้าที่นั้นเลย

“สวัสดีค่ะ แหม...ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลยพ่อคุณ ป้านึกว่าจะแก่แล้วเห็นว่าเป็นทนายประจำตระกูล”

“ผมรับช่วงต่อจากคุณพ่อน่ะครับ ท่านเกษียณตัวเองออกไปแล้ว”

“อ๋อ แล้วนี่ไปไงมาไงกันจ๊ะ”

“คุณทนายเขาร้อนใจน่ะค่ะคุณป้า อยากมาดูว่าพุดมันเป็นไงบ้าง”

“ก็สบายดีนะ” ภัทราไม่เข้าใจความหมายของเพื่อนลูกสาวจึงตอบไปเช่นนั้น ทรงรบเหล่มองคนแขวะ

“ผมเป็นคนโยนเผือกร้อนให้คุณพุด ผมก็ต้องดูแลรับผิดชอบสิครับ ผมไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นคนทำอะไรแล้วไม่ดูแล”

“ตอนที่อยู่ที่นี่ คุณวินเขาก็โอเคนะคะ ทำงานดีอาจจะสู้คนที่ทำงานด้านนี้มาก่อนไม่ได้แต่ก็จัดว่าทำงานได้ดีมาก ป้าเองก็อุ่นใจหน่อยรู้สึกดีเหมือนกันที่มีผู้ชายอยู่ในบ้านสักคน” คุณนายภัทราชี้แจงเสียงนุ่ม

“คุณภัทราแน่ใจหรือครับว่าที่พูดมาน่ะ คือคุณอนาวินทร์”

“ใช่ค่ะป้า เขาเป็นคนแบบนี้แหละค่ะ เคร่งเครียดเกิ้น ถ้าคุณรู้จักไอ้พุดนะ คุณจะไม่ห่วงเลย คนที่คุณควรห่วงน่ะคือ คุณวิน ต่างหาก แม้ว่าไอ้พุดจะไม่ใช่คนมีเล่ห์เหลี่ยมอะไรแต่ก็ฉลาดมากพอ อีกอย่างมันเคยเป็นนักเลงเก่าลายมันไม่ได้หายไปเพราะกลับตัวเป็นคนดีหรอกคู้ณ”

หลังจากนั้น เรื่องเล่าเก่าๆ ก็พรั่งพรูออกมาจากปากของผู้เป็นแม่ ภัทราเล่าเรื่องที่ผ่านมาของลูกสาวให้ทนายหนุ่มฟังอย่างไม่ขัดเขิน อาจจะเป็นสิ่งที่สร้างความเข้าใจให้ชายหนุ่มได้ แต่เธอก็ยังอยากให้ชายหนุ่มคนนี้คอยดูแลความเป็นอยู่ของลูกสาวอยู่ดี



เสียงเซ็งแซ่ในตลาดสด กลิ่นคาวของน้ำที่เฉอะแฉะที่เคยทำให้อนาวินทร์ต้องปิดจมูก แม้ว่าเขาจะยังคงรับรู้ถึงกลิ่นเหม็นๆของมัน ทว่าเกือบเดือนแล้วที่เขาไม่ได้เอามือป้องปิด อาจจะด้วยความเคยชินที่เกิดขึ้นหรืออะไรก็ตามแต่มันทำให้เขาเลิกรังเกียจ ความเป็นอยู่สภาพแบบนี้ ตอนนี้เขาชอบลมเย็นๆหลังบ้าน ชอบกลิ่นหอมของดอกราตรี ชอบกลิ่นดินหลังฝนตก มันแปลกดีเหมือนกัน...

“พี่วินมาส่งดอกไม้เหรอจ๊ะ นายพุดไปไหนล่ะ” เด็กสาวในร้านดอกไม้เอ่ยถามหลังจากที่เห็นเขาเดินมาส่งดอกไม้เพียงคนเดียว

“ไปส่งอีกร้าน” เขาบอกเสียงเรียบกับเด็กสาวในร้านดอกไม้ร้านหนึ่งที่เป็นลูกค้าประจำของไร่อุ่นรัก

เด็กสาวยิ้มหวาน เธอชอบลูกจ้างคนใหม่ของไร่อุ่นรักเหลือเกิน ด้วยผิวขาว หน้าตาคมคาย ยิ่งตาร้ายกาจคู่นั้นยิ่งน่าค้นหา รูปร่างสูงอย่างกับนายแบบละลายหัวใจแม่ค้าสาวๆ หลายคนในตลาด เป็นที่ร่ำลือกันทั้งนั้นว่าหล่อทั้งนายทั้งลูกจ้าง

“พี่วิน วันอาทิตย์นี้ว่างไหม ไปดูหนังกัน”

“ที่นี่มีโรงหนังด้วยเหรอ” เขาถามด้วยความแปลกใจจริง ๆ เพราะนอกจากไร่แล้วก็ไม่ได้ไปไหนเลย

“มีสิพี่ ที่นี่ไม่ได้บ้านนอกขนาดนั้นเสียหน่อย ไปนะไปด้วยกัน”

“ไม่...จ่ายเงินมาสักทีสิ จะได้รีบไป” เขาบอกแบบมะนาวไม่มีน้ำ แม้จะเคยชินแต่มันก็สร้างความแตกต่างระหว่างนายกับลูกจ้างของไร่อุ่นรักได้อย่างดี เด็กสาวแอบค้อนก่อนจะควักเงินยื่นให้ชายหนุ่ม นายจ้างสาวหล่อออกจะหวานกับทุกคนแต่ลูกจ้างคนหล่อนี่ไม่ได้เรื่องเลย...พูดจาตัดสัมพันธ์คนได้อย่างไร้เยื่อใยดีแท้



ช่อม่วงนั่งจิบโกโก้กับขนมปังในห้องนั่งเล่นของไร่อุ่นรักดวงตาก็จ้องมองเพื่อนรักที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่หลังกลับมาจากตลาด

“หน้าใสขึ้นนะตัวเธอ” ช่อม่วงทักเป็นประโยคแรก เพื่อนรักกำลังเช็ดผมให้แห้งหันมามองด้วยความแปลกใจ

“เกริ่นเรื่องแบบนี้มีอะไรข้องใจในตัวฉันเหรอ”

“เปล่า แค่ทักว่าเพื่อนหน้าใสขึ้น เหมือนคนมีความสุขไง ฉันคิดว่าแกจะหน้าหมองคล้ำ รอยดำรอบตาคงเพิ่มหลังได้คนงานใหม่น่ะ”

“จะไปกังวลอะไรมากมาย เรื่องที่จัดการได้ก็จัดไป ไอ้ที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยวางบ้างก็แค่นั้น เขาก็โอเคนะ ดื้อบ้างตามประสาแต่ก็ยังมีสำนึกที่ดีอยู่”

“คุณวินนี่น่ารักของฉันดูคล้ำลงอย่างเห็นได้ชัด หน้าขาวๆนั้นก็ดูเข้มขึ้นมันทำให้เขา...หล่อขึ้นเป็นกองเลยแก”

“หล่อ? ขนาดสี่ตายังมองคนที่หน้าตาอีกหรือ” เจ้าของไร่ดอกไม้ร้องเสียงหลง ช่อม่วงเบ้ปาก

“ก็แกยังบอกเลยว่าเขาดีขึ้น ฉันไม่ได้ต้องการผู้ชายหล่อและดีเป็นพ่อพระเหมือนในนิยายหรอกนะแก โลกความเป็นจริงมันน่าพิศมัยกว่าเยอะ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่แกพูดเรื่องนี้เลยนะ”

“ก็พูดเฉยๆ เผื่อมันทะลุเข้าหัวใจแก ฉันว่าการที่ฉันเจอคุณอนาวินทร์ก่อนและหลังมันทำให้ฉันรับรู้การเปลี่ยนแปลงได้มาก ตาเขาเปลี่ยนไปนะ จากที่เคยแข็งๆก็อ่อนลง จากที่ไม่เคยมองหน้าฉัน เขาก็มอง เขาใส่ใจคนอื่นมากขึ้น นี่เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมของแกเลยนะพุด”

“ฉันไม่ใช่รัฐบาลจะได้สร้างผลงานให้ใครเห็นนะ ฉันทำเพราะอยากทำ จริงๆ คิดไว้ว่าถ้าเขาดีขึ้นมากฉันอาจจะปล่อยให้เขาไปทำงานของเขาไม่ต้องกลับมาที่ไร่ก็ได้ เซ็นมอบทุกอย่างกลับคืนให้โดยบอกว่าจัดการตามกระบวนการขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็โอเค”

“เอางั้นเหรอ มันก็ดีสำหรับเขานะ คนผิวบางแบบนั้นทำไปเดี๋ยวจะป่วยเอาง่าย ๆ”

“แล้วที่บริษัทมีอะไรคืบหน้าบ้างไหม”

“ก็...โอเค ทุกคนดีหมดยกเว้นบางอย่างที่น่าสงสัย”

“บางอย่าง?” พุดชมพูทวนคำสีหน้าแปลกใจก่อนจะทรุดลงนั่งบนเตียงเคียงคู่กับเพื่อนรัก

“การเงินมีความผิดปกติ ฉันต้องใช้เวลาในการตรวจสอบนานหน่อย นายคนที่คุมเรื่องการเงินที่ชื่อ ชวกร ก็ดูแปลกๆ ฉันได้ยินข่าวมาว่าเป็นกิ๊กกับแม่ของคุณอนาวินทร์เลยทำวางกล้ามใหญ่โตในบริษัท”

“งั้นแกคอยตรวจสอบดูอย่างละเอียดแต่อย่าให้ไก่ตื่น คอยทำเหมือนไม่ได้สนใจแล้วตอนที่ฉันกลับไปที่นั่นเรามาคุยเรื่องนี้กันอีกที”

“โอเค ฉันถนัดเรื่องทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่แล้วละ ขนาดคุณโนบิตะยังหาว่าฉันไม่สนใจโลก เอาแต่อ่านนิยาย ฉันอยากจะบอกว่าฉันรู้หมดทุกอย่างนั่นแหละ ชิ!” น้ำเสียงออกจะน้อยใจ

“คนฉลาดมักจะไม่ฉลาดเรื่องของตัวเองนะ เชื่อไหมละ” พุดชมพูหันมาเอ่ยเป็นปริศนากับเพื่อนรัก ช่อม่วงทำเคร่งไม่สนใจแม้จะรู้อยู่แล้วว่า เจ้าของไร่ดอกไม้พยายามสื่อถึงอะไร

“หรือว่า...แกฉลาดแต่ฉันไม่รู้สึก...อา อาจจะเป็นเช่นนั้นเพราะอย่างไรเสีย คุณทนายก็สเป็คแกอยู่แล้ว หล่อตี๋ เนี๊ยบ สุขุม พระเอกนิยายดีๆนี่เอง โอ๊ะ...แกนี่แผนชั้นสูงจริงๆ” สาวห้าวแซวเพื่อนรักที่ทำเป็นไม่สนใจ ช่อม่วงเลยขว้างหมอนที่อยู่บนเตียงมาเป็นของกำนัล โทษฐานคิดดีเหลือเกิน

“อย่าๆ”

“อย่าอะไร อย่าเอาความจริงมาพูดเล่นใช่ไหมละ ฮ่าๆๆๆ” พุดชมพูยังคงล้อไม่เลิก คนอย่างช่อม่วงปากแข็งจริงๆสาวไม่สนใจโลกคนนี้ออกจะหวานแหวว ชอบไปแอบรักคนนั้นคนนี้ เพราะได้แค่แอบจึงมีแต่เรื่องอกหัก



ทรงรบและช่อม่วงเดินทางกลับในช่วงเย็นหลังจากที่คุยธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างทางทนายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าปั้มน้ำมันใหญ่ที่พอจะมีร้านอาหารอยู่ด้วย “แวะทานข้าวกันก่อนนะครับ ตอนนี้มันเลยเวลาอาหารเย็นผมแล้ว”

หญิงสาวขมวดคิ้ว แม้แต่เรื่องอาหารเขายังเคร่งให้มันตรงเวลา ทรงรบเลือกทานอาหารง่ายๆ จืดๆ

“พอดีผมเป็นโรคกระเพาะเลยต้องตรงเวลาหน่อยน่ะครับ” เขาอธิบายแม้รู้อยู่แล้วว่าหญิงสาวคงไม่ได้ต้องการฟังสักเท่าไหร่

“อ๋อ ค่ะ คุณคุยอะไรกับพุดเหรอคะต่อนก่อนจะขึ้นรถมา เห็นแอบไปคุยกันตามลำพัง”

“ผมถามความคืบหน้าของคุณวินน่ะครับ อยากรู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง แล้วก็ฝากซื้อของนิดหน่อย”

“อ้าว มาแล้วทำไมไม่ซื้อเองละคะทำไมต้องฝากพุดด้วย” ช่อม่วงสงสัยใคร่รู้เอาจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะแวะร้านขายของฝาก แต่ทนายทรงรบกลับไม่ยอมทำ ดันไปฝากคนที่อีกตั้งเดือนกว่าถึงจะได้กลับ

ชายหนุ่มไม่ตอบ เขานั่งกินข้าวเงียบ ๆ เขาไม่จำเป็นต้องบอกทุกเรื่อง ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา...แค่อยากทดลองอะไรบางอย่างเท่านั้นเอง



แก้มแดง ๆ ของชายหนุ่มทำให้พุดชมพูนึกอยากเอาไปกินสด ๆ เพราะมันเหมือนมะเขือเทศสุกเหลือเกิน ยิ่งแดดกำลังร้อนแบบนี้ด้วยแล้ว วันนี้ตัดดอกไม้สายหน่อยเพราะมีร้านดอกไม้ในเมืองสั่งไว้ หญิงสาวนั่งอยู่บนเปลยวนมองคนอาสาตัดดอกไม้คนเดียวด้วยอารมณ์ขัด เธอแค่แหย่ว่าเขาตัดคนเดียวไม่เสร็จหรอก อนาวินทร์รีบบอกทันทีว่าตัวเองทำได้ เรื่องง่ายจะตายไป...ตอนนี้คนทำง่าย ๆ หน้าเริ่มซีดแล้ว...

“นี่ ๆ ตัดให้มันยาวกว่านั้นหน่อยสิ ” เธอร้องบอกเมื่อเห็นว่าเขาตัดกิ่งที่สั้นเกินไป

“รู้แล้วน่า” คำตอบของเขาทำให้หญิงสาวเบ้ปาก

“ทำไมที่นี่มันมีหลายแปลงนักละ ไอ้พวกยังไม่มีดอกก็ส่วนหนึ่ง ทำไมมันไม่ออกดอกพร้อมกัน” เขาถามด้วยความสงสัยจริงไม่ได้คิดประชด

เจ้าของไร่ดอกไม้ยิ้มกว้าง “เพราะมันคนละสายพันธุ์ไง แปลงที่ตัดอยู่เนี่ย คือโพลารีส เป็นพันธ์ที่ดูแลรักษาง่ายสุดแล้วละ ส่วนพวกที่อยู่แปลงโน้น ขาวญี่ปุ่น ปลายปีโน่นถึงจะออกดอก มันกำลังอยู่ในช่วงการดูแลรักษาอย่างดี ส่วนแปลงนั่นที่อยู่ติดกับโรงเรือน คือ ขาวการะเกด กำลังทดลองปลูก มันออกดอกเฉพาะหน้าฝน” เจ้าของไร่อธิบายดวงตาพราว ชอบที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเหล่าดอกไม้

“แล้วพวกดอกไม้ในโรงเรือนอีกอันนั่นล่ะ”

“โรงเรือนนั่นเป็นที่ทดลองปลูกน่ะ ข้างในอยากไปดูไหมละ” หญิงสาวเอ่ยถามพร้อมกับพาเขาไปยังโรงเรือนหลังเล็ก

อนาวินทร์ไม่อยากบอกว่าเขาเคยเข้ามาแล้ว เพราะตอนที่เข้ามาดูมีแค่จิระที่คอยบอกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ชายหนุ่มแอบสงสัยความสัมพันธ์ของสองคนนี้ ปากที่บอกว่าเป็นเพื่อนแต่เพื่อนที่ไหนจะรู้เรื่องกันมากขนาดนั้น แถมยังดูเห็นอกเห็นใจกันมากเป็นพิเศษ เขาไม่ค่อยเชื่อเรื่องการเป็นเพื่อนระหว่างชายหญิง...ไม่เคยคิดว่า ผู้หญิงกับผู้ชายจะเป็นเพื่อนกันได้สนิทใจ นอกจากเพื่อนร่วมเตียง...

“คิดจะปลูกกุหลาบเพิ่มเหรอ” เขาถามเมื่อเห็นแปลงกุหลาบเล็กๆ ด้านซ้ายของโรงเรือน

“ใช่ ว่าจะลองดูแต่ก็โอเคนะ ดูสิ ดอกสวยด้วย” เธอยิ้มกว้างเห็นดอกของกุหลาบสีแดงเข้ม

“แล้ว...ที่ล้อมรั้วนั่นละ” เขาชี้ไปที่มุมด้านในสุดของโรงเรือนแม้จะได้ยินจากจิระแต่ก็อยากได้ยินเรื่องจากเจ้าของโรงเรือนบ้าง

“ของพ่อน่ะ ท่านปลูกไว้ตามชื่อของลูกสาว พุดชมพูกับสายน้ำผึ้ง แต่ไม่ทันได้ออกดอก...พ่อก็เสียก่อน นี่แหละคือมรดกของฉัน” หญิงสาวหันไปส่งยิ้มจืด ๆให้

อนาวินทร์มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้เมื่อเห็นดวงหน้าเศร้าของเธอ เมื่อเทียบกับเรื่องที่เขาเจอเธอหนักหนากว่ามาก อาจจะเป็นความสงสาร...

“ฉันไม่รู้นะ ว่านายเจออะไรมาบ้าง แต่ที่ฉันเห็นก็คือ เด็กคนหนึ่งที่โดนตามใจมาตั้งแต่เด็ก เลยไม่เคยมองเห็นความสำคัญของที่ได้มา สำหรับฉันแล้ว ผืนดินที่นี่มีค่ามาก ไม่ใช่คุณค่าในเรื่องของเงินทอง แต่เป็นคุณค่าทางจิตใจ ฉันเองเมื่อก่อนก็ไม่ได้ดีกว่านายนักหรอก แต่เพราะเหตุการณ์บางอย่างมันทำให้ฉันกลับตัว ฉันเองก็ไม่ได้หวังให้นายเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก ฉันแค่ทำตามหน้าที่ที่ปู่เล็กมอบหมายให้ ช่วยคุณทำงานในปีแรกแล้วก็...ทำให้คุณรู้จักคุณค่าของที่มีอยู่เท่านั้นเอง”

“เธอลำบากขนาดนี้อยู่มาได้ยังไง” น้ำเสียงนั้นเหมือนเห็นใจแต่คนฟังกลับยิ้มหวาน

“ก็ไม่ลำบากอะไรนะ โชคดีที่พ่อสร้างไว้ให้มากพอสมควร ไม่รวมถึงหนี้สิ้นนะ ช่วงแรกก็ยุ่งยากนิดหน่อยแต่มีโจ้มาคอยช่วยอะไรๆ มันก็ง่ายขึ้นเยอะ โจ้เป็นเพื่อนที่ดีมาก เขาคอยอยู่ข้างตอนที่ลำบากเสมอ”

อนาวินทร์หน้าตึง เพื่อนกันงั้นเหรอ...เพื่อนที่ไหนเขาดูแลกันมากมายขนาดนี้...คิดแล้วมันพาลให้หงุดหงิด

“เธอจะเอาชีวิตลำบากๆ ของเธอมาเทียบกับฉันไม่ได้หรอก มันคนละชั้นกัน”

คนฟังปรายตามองคนที่อยู่ในชั้นสูงอย่างหมั่นไส้ “โอ้โห ยุคไหนแล้วคุณชาย คนละชั้น? อยู่ชั้นไหนมิทราบ”

เขายังยืนเก๊กเป็นคุณชายอยู่ข้างๆ พุดชมพูดจึงเอามือถูกับดินโคลนใกล้ๆ เอื้อมมือไปเช็ดเสื้อของคนชั้นสูงทัน

“นี่!!” เขาร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเสื้อที่เต็มไปด้วยโคลนของตนเอง “ทำอะไรน่ะ มันสกปรก”

“ตรงหนาย สกปรกตรงไหน เห็นคนชั้นสูงเอาโคลนพอกหน้าไม่ใช่หรือ ขาวๆ น่ะพอกเลยดีไหม”

“ออกไปไกลๆเลยนะ”

“อุ้ย!! ผู้ชายอะไรเนี่ย แหยงซะไม่มี แค่นี้ก็สะอาดเกิ้น ตอนเด็กไม่เคยเล่นดินหรือยังไง”

“ตอนเด็กก็ส่วนตอนเด็กสินี่โตแล้ว”

“โตแล้วก็เล่นได้” เธอว่าพลางเดินหมายจะเข้าไปแกล้ง ชายหนุ่มไม่ยอมแพ้ถอยหลังจนหลังชนเข้ากับเสาโรงเรือน มันหมายถึงว่าเขาหมดทางหนีแล้ว หญิงสาวยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะเดินเข้าไปหาหมายจะปาดโคลนที่ติดมือนั้นกับหน้าของอนาวินทร์แต่คนตัวสูงเร็วกว่าคว้าข้อมือทั้งสองข้างไว้มั่น ดวงตาคมจ้องหน้าคนคิดแผนเด็กๆนั้นไว้เหมือนมนตร์สะกดจิตที่ทำให้เธอจ้องกลับไปยังดวงตามีเสน่ห์นั้น

“โตแล้วเขาก็มีของเล่นอื่น ไม่ต้องเล่นอะไรสกปรกแบบนี้หรอก” น้ำเสียงที่เหมือนกระซิบนั้นทำเอาคนฟังชักกลืนน้ำลายไม่ลงคอ หัวใจมันเต้นแรงผิดปกติ เหมือนว่า...สิ่งที่เธอได้ยินมันกลืนหายไปกับความรู้สึกบางอย่าง เมื่อเขาเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ใกล้เข้ามาอีก ดวงตาคู่นั้นมันช่างดูลุ่มลึก ประหนึ่งต้องการให้หญิงสาวค้นหาความหมายจริง ๆของมัน

“ปล่อยมือนะ...”

“ปล่อยเธอก็เอาโคลนนั่นมาเช็ดหน้าฉันสิ ฉันไม่โง่หรอกนะ”

“ไม่ทำแล้ว ปล่อยสิ” การต่อรองนี้ดูจะไม่เป็นผลเพราะคนที่กุมข้อมือเธอแน่นเข้าไปอีก เขาเพิ่มแรงขึ้นอีกเพื่อรั้งให้เธอเข้ามาแนบชิด

ใบหน้าของเธออยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง กลิ่นเหงื่อจางๆ นี่ทำทำไมถึงได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาดเหลือเกิน อนาวินทร์อมยิ้ม “ทำไมเหรอ...กลัวฉันแล้วเหรอ”

“ทำไมต้องกลัวด้วยละ แปลกคน” เฉไฉไม่สบตาอาการนี้ทำให้อนาวินทร์อมยิ้มอย่างเป็นต่อ

“ก็...เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงหัวใจเธอเต้นด้วย...มัน...เต้น...แรงมาก” ท้ายนั้นเป็นเหมือนเสียงกระซิบมากกว่า

พุดชมพูเตะเข้าไปที่หน้าแข้งของคนพูดจนเขาปล่อยมือออกทำหน้าเหยเก กระโดดเหย็งๆ มือกุมหน้าแข้งที่โดนทำร้าย

“บอกให้ปล่อยๆ แล้วไม่ยอมก็สมน้ำหน้าแล้วละ” เธอว่าเมื่อเห็นเขาร้องโอดโอย ทว่าเมื่อหันหลังจะเดินกลับออกมาก็เห็นจิระยืนพิงประตูโรงเรือนด้วยสีหน้านิ่งๆ

“ฉันมาตาม เห็นรถของร้านดอกไม้เข้ามาในไร่แล้วนึกว่าหายไปไหนกัน” น้ำเสียงเรียบๆ นั้นดูแปลกไปสำหรับจิระ หญิงสาวรีบเดินตามเพื่อนรักออกไป

คนยืนที่ลูบแข้งตัวเองไปมานั้นลอบมองสายตาของเพื่อนรักสองคนนั้นด้วยความสงสัย แววตาของจิระเมื่อครู่มันแปลกไป แม้ที่ผ่านมาเขาและจิระไม่ได้เป็นศัตรูกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่ได้เป็นมิตรกันสักเท่าไหร่ ทว่า...จิระก็ไม่เคยทำสายตาเย็นชาแบบนี้มาก่อน



หลังขนดอกเบญจมาศขึ้นรถของร้านดอกไม้ที่เข้ามารับถึงสวนแล้ว พุดชมพูจึงเดินออกมาที่หน้าร้านขนมหวาน สั่งให้จิตตราเอาน้ำส้มมาให้ จิระที่เดินตามมานั่งลงตรงข้ามเพื่อนสาว สายตาเข้ม ๆนั้นยังจ้องดวงหน้าของเพื่อนไม่วางตา

“แกมองหน้าฉันนานแล้วนะเว้ยโจ้” คำทักท้วงนั้นกล่าวขึ้นโดยไม่ได้มองตอบ ตายังอยู่กับขนมในจาน มือถือแก้วน้ำส้มที่จิตราเพิ่งเอามาวางไว้ให้

“ฉันจะมองหาจุดที่มันผุดขึ้นมาบนหน้าแก” เพื่อนตัวดำตอบกลับ

“จุดอะไรมิทราบ”

“จุดอ่อน...ที่มันกำลังแผ่กระจายออกมา แกกำลังจะโกนหัวหรือไง”

หญิงสาวขมวดคิ้ว แปลกใจคำพูดของเพื่อน “อะไรของแก”

“ฉันเห็นนะเว้ย เมื่อกี้ในโรงเรือน เหมือนฉากหวานๆในหนังเลยว่ะ” สายตาเข้ม ๆ ของพุดชมพูตวัดมองเพื่อนรักทันทีที่ได้ยิน

จิระยิ้มเยาะมากกว่าจะเป็นการยิ้มแบบจริงใจ “ไก่เมืองน่ะมันต้มไม่อร่อยหรอกนะ เพราะมันเลี่ยน...ฉันพูดเพราะเป็นห่วงแก ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้แกรักใครแต่อะไรที่มันต่างกันมากๆ มันจบไม่ค่อยสวยหรอกนะพุด” เพื่อนรักกล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเมื่อเห็นว่า ไก่เมืองกำลังเดินเข้ามาหา

พุดชมพูปรับสีหน้าใหม่ เมื่อครู่ที่เริ่มเหมือนจะมีอารมณ์ขุ่นมัวเพราะคำพูดของเพื่อน

“เช้านี้หมดงานแล้วใช่ไหม” อนาวินทร์ถามพร้อมกับนั่งลงข้างๆ หญิงสาวยิ่งทำให้จิระเหล่ตามอง

“อืม...นายอยากไปไหนก็ไปเถอะ มีแค่นี้แหละ” หญิงสาวตอบไม่อยากมองหน้าทั้งอนาวินทร์และจิระ เป็นเพราะความรู้สึกของเธออาจจะไม่นิ่งแล้วก็ได้

จิระมองหน้าเพื่อนสาวแล้วหัวเราะ “ไปกับฉันไหมละ ยังไงนายก็ทำงานมาเกือบจะสามเดือนอยู่แล้วอีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นเองนี่ นายอยากได้อะไรละ เดี๋ยวฉันหาให้”

ลูกจ้างไฮโซยักไหล่ “ไม่ใช่หน้าที่นาย คนที่ยื่นข้อเสนอก็ต้องเป็นคนให้เอง”

“ฉันให้แทนได้ ถ้าสิ่งที่ขอมันไม่เกินกำลังของผู้ชาย จริง ๆ คนเราน่ะมันจะทำอะไรก็อย่าหวังผลให้มันมาก ทำแบบบริสุทธิ์ใจไม่รู้นายเคยทำบ้างไหม”

“ไม่เคย” คำตอบที่เอาแต่ใจของอนาวินทร์ ทำให้หญิงสาวซึ่งนั่งฟังเงียบๆ นั้นหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ อย่างไรเสีย เขาก็ยังนิสัยแบบนี้เสมอต้นเสมอปลายนะ...

“เอาละ ๆ แยกๆ ไปทำงานส่วนของตัวเองเถอะ เรื่องอนาคตก็ปล่อยมันไป ไม่แน่ คุณวินนี่อาจจะทำไม่สำเร็จก็ได้”

“ไม่มีทาง!!” เขาหันมาตอบแบบไม่รอคนพูดจะพูดจบด้วยซ้ำ หญิงสาวหัวเราะ

“โอเค ก็รอดูกันต่อไป” เธอว่า

“ดูให้หนำใจไปเลย”

จิระลอบมองกิริยาท่าทางของทั้งคู่แล้วถอนใจ นี่แหละหนา เขาถึงว่า น้ำตาลใกล้มด น้ำมันใกล้ไฟ อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้นะ ฮานามิ...เย้ย...

เขาก็แค่อยากเตือนสติเพื่อน คนอย่างอนาวินทร์ ก็เหมือนผู้ชายทั่วไป อยู่ใกล้ใครใจก็หวั่นไหวไปตามแรงอารมณ์ ถ้าเขากลับไปสู่สภาพปกติของตัวเองเมื่อไหร่ นั่นล่ะถึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าจริง ๆแล้ว ว่ามันเป็นแค่...ความหวั่นไหวหรือหัวใจต้องการกันแน่



สายฝนกระทบลงบนพื้นคอนกรีตเป็นจังหวะ สายตาคมซึ่งมองผ่านกระจกใสในร้านอาหารนั้นดูเหม่อลอย อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่ดูเอื่อยเฉื่อย ในความคิดของคนนั่งมองสายฝนเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายไปหมด หลายอย่างที่ไม่เป็นดั่งใจ หลายอย่างที่เป็นไปตามหวัง แต่สุดท้ายแล้วเขาไม่ได้สนใจเท่าเป้าหมายสำคัญในชีวิต จวบจนเมื่อลูกค้าที่นัดเดินเข้ามาถึงเขาจึงหันกลับมาลุกขึ้นกล่าวทักทาย

“คุณการันต์ ยังหนุ่มอยู่เลยนะครับ ตอนแรกที่ได้รับการติดต่อไปผมนึกว่าคุณวินจะมาคุยด้วยตัวเองเสียอีก” ถ้อยคำของลูกค้าทำให้การันต์หน้าเจื่อนลง

“ผมเป็นตัวแทนของคุณอนาวินทร์ครับ” การันต์ย้ำถึงตำแหน่งของเขา แต่ลูกค้าคนสำคัญก็ยังคงทำหน้าไม่ใคร่จะสนใจนัก ชายหนุ่มไม่ชอบนักที่ต้องเจอคนแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรเขาก็เปรียบเสมือนเงาของอนาวินทร์ ไม่มีใครมองเห็นเขา...เป็นแค่เงาที่ไร้ตัวตน

“ผมอยากเจอคุณอนาวินทร์สักครั้งนะครับ จะได้คุยกันเรื่องงาน ผมชื่นชมเขานะที่เก่งในขณะที่อายุยังน้อย”

การันต์นึกค่อนแคะในใจ... ก็แค่โชคดีเกิดมาในตระกูลร่ำรวย มันไม่เห็นจะมีอะไรดีสักอย่าง ตั้งแต่เด็กแล้วทำไมทุกคนต้องมองเห็นอนาวินทร์ก่อนเขาอยู่ร่ำไป เรียนเขาก็เรียนเก่งกว่า หน้าตาก็จัดได้ว่าดีกว่า มันก็แค่รวย...สักวันเขาจะเหยียบบันไดความสำเร็จขึ้นไปอยู่เหนืออนาวินทร์

ดวงตาของชายหนุ่มทอประกายแห่งความริษยาออกมา มันช่างหอมหวนและเย้ายวนเหลือเกิน เขาหวังว่าวันนั้นจะเดินทางมาเร็วกว่าที่คิด



สายลมอ่อนๆ พัดมาในยามค่ำคืน มันช่างเย็นสบายเหลือเกิน อนาวินทร์นอนหงายกับพื้นแคร่ไม้ไผ่ซึ่งเขาเอามาตั้งไว้ใต้ต้นทองกวาวหลังบ้าน มีกลิ่นหอมของดอกราตรีอยู่ไม่ไกล แต่กลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้ค่อนข้างรุนแรง ตอนนี้เขาเริ่มชินกับกลิ่นของมันแล้ว ในยามค่ำคืนใดที่รู้สึกร้อนอยากออกมาตากอากาศข้างนอกเขาก็จะใช้แคร่ไม้ไผ่นี้เป็นฐานทัพอันสำคัญ เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินย่ำเข้ามาเป็นจังหวะ เขารู้สึกถึงน้ำหน้าที่เพิ่มขึ้นของแคร่

“นอนสบายจริง ๆนะคุณชาย เพิ่งรู้ว่าแอบเอาแคร่มาไว้ที่นี่”

“มันเย็นดี” เขาตอบตายังคงหลับพริ้ม

หญิงสาวจ้องใบหน้าคนที่นอนราบกับพื้นแคร่ ถ้าเพื่อนๆไฮโซเขามาเห็นคงจะขำพิลึก เขาปรับตัวได้เร็วกว่าที่คิดเสียอีก “นายก็เก่งนะ ทำมาได้ขนาดนี้ ไม่ท้อ ไม่หนี ฉันนึกว่านายจะโบกมือลาตั้งแต่อาทิตย์แรกเสียแล้ว”

“ฉันไม่ได้หยิบโหย่งนะ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ทำได้เหมือนผู้ชายทั่วไป ตอนอยู่เมืองนอกฉันก็ทำอะไรเองทุกอย่าง ไม่เห็นจะยาก แค่มีคนเชื่อมือฉันไหมเท่านั้นเอง”

น้ำเสียงแบบนั้นเหมือนมันมีอารมณ์บางอย่างปะปนอยู่ด้วย หญิงสาวแอบจับผิดเด็กชายอนาวินทร์ในใจ

“ปู่เล็กก็น่าจะเชื่อใจนายนะ”

“ปู่นั่นแหละ เป็นคนที่เดินหนีฉันคนแรก...ตอนเรียนฉันเคยมีเรื่อง...จริงๆ ฉันแค่เดินผ่านตรงที่เขามีเรื่องกันแล้วก็โดนลูกหลง ตอนที่อยู่บนโรงพักปู่หาว่าฉันโกหก ปู่ไม่เชื่อว่าฉันแค่เดินผ่าน ใครจะไปคิดว่าคนอย่างอนาวินทร์จะเดินผ่านตรงนั้นเพื่อไปให้อาหารหมาในสวนสาธารณะ ฉันมันตัวร้าย ใครๆก็มองอย่างนั้นมาตลอด คำพูดฉันมันไม่มีน้ำหนักสักนิด” ปลายประโยคเหมือนทอดน้ำเสียงปลงตกกับเรื่องที่ได้เจอมา

“ก็นายทำตัวแบบนี้ใครจะไปเชื่อล่ะ ขึ้นอยู่กับตัวนายเองนะว่าอยากให้ใครเชื่อ ถ้าอยากให้เขาเชื่อใจก็ต้องแสดงให้เขาเห็น”

“ถ้าเกิดอะไรขึ้น แล้วฉันบอกว่าไม่ได้ทำเธอจะเชื่อฉันไหมละ”

“เชื่อสิ...ถ้านายทำตัวดีนะ”

อนาวินทร์หัวเราะพร้อมกับลืมตาขึ้น ความมืดมิดยามค่ำคืนยังมีแสงดาวทำให้มันไม่มืดจนเกินไป ขนาดบอกว่าเชื่อ เธอยังมีข้อแม้ อย่างนี้ถ้าเกิดเรื่องจริงๆ เธอก็ไม่เชื่อเขาหรอก

“พรุ่งนี้ต้องกลับสู่สภาพคุณอนาวินทร์ ไม่ใช่นายวินคนงานไร่แล้วนะคะกลับบ้านครั้งแรกในรอบสามเดือน”

อนาวินทร์เหลือบมองใบหน้าด้านข้างของหญิงสาว “ดีใจ...แต่ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก ดีใจที่ทำได้สำเร็จตามที่พนันกันไว้ต่างหาก” เขาว่าพลางมองคนที่ยิ้มกับท้องฟ้ามืดด้วยความรู้สึกบางอย่าง

อาจจะเป็นเพราะแสงและเงาทำให้เขามองผู้หญิงข้างๆนี่...สวย...อาจจะเพราะสายลมเบาๆ ทำให้เขาคิดว่า เธอมีเสน่ห์...หรืออาจจะเพราะกลิ่นหอมอ่อนๆ จากมวลดอกไม้ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายจนอยากเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ มันเป็นอะไรที่เขาหาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้เลย...เหตุผลที่จะปฏิเสธอารมณ์แปลกๆนี่ มันไม่มีจริงๆ

“ฮึ...งกจริง อยากได้อะไรละว่ามาพรุ่งนี้จะหาให้” หญิงสาวไม่ได้หันกลับมามองคนที่นอนสบายจึงไม่เห็นสายตาหวานๆ ที่เขาส่งให้

“เอาคืนนี้แหละ ไม่ต้องไปหาด้วย”

“อะไร...” ไม่ทันจะได้ถามต่อเขาคว้าแขนหญิงสาวล้มลงมาทับหน้าอกกว้างของตัวเอง

ดวงตาที่ประสานกันนั้นทำให้หญิงสาวรู้ว่า มันมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ลึก ๆ มันเหมือนกับตอนที่อยู่ในโรงเรือนวันนั้น ทว่าคราวนี้ทำไมเธอถึงได้รู้สึกเกร็งและอยู่ในภาวะอึ้งตัวแข็งไปหมด

อนาวินทร์จ้องเข้าไปในดวงตาของหญิงสาว มันเหมือนมีอะไรมากกว่าที่เขารู้สึกอยู่ ความหวั่นไหวประหลาด ความร้อนรุ่มที่อกมันกำลังไหลเวียน เมื่อร่างเพรียวเริ่มดิ้นเขาจึงจับแขนสองข้างเธอแน่นแล้วผลักให้ร่างเพรียวนั้นอยู่ใต้ร่างเขาแทน ก่อนจะทำสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ก้มลงประทับริมฝีปากนุ่มนั้นแบบเร็วๆเพียงครั้งเดียว

พุดชมพูทำตาโตหลังรับรู้ว่าโดนกระทำอะไรอยู่ ดวงตายิ้มได้และริมฝีปากที่เพิ่งเอาเปรียบเธอไปเมื่อครู่ สร้างความรู้สึกตื่นเต้น ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เป็นครั้งแรกของเธอที่โดนผู้ชายจูบ!!!

เขายิ้มอยู่ชิดติดริมฝีปากบาง ก้มลงสัมผัสแบบเดิมอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่เร็วอีกแล้ว มันดูนุ่มนวล เนิ่นนาน ความร้อนวูบวาบพลอยทำให้หัวใจของหญิงสาวสั่นไหว การหายใจเริ่มติดขัด...สมองกลับว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออก คิดไม่ได้แม้กระทั่งว่าจะผลักเขาออกไปอย่างไร...

มือที่จับแขนตอนนี้ได้เลื่อนมาประคองใบหน้าเล็กของหญิงสาวไว้มั่น ประหนึ่งกลัวว่า ใบหน้าเล็กๆนี่จะห่างหายไปไหน ความหอมหวานที่ติดอยู่ริมฝีปากนี้จะจางไป...ขอสักครั้งเถอะนะ แค่ครั้งนี้เขาจะหาคำตอบด้วยตัวเอง

กลิ่นหอมอ่อนๆที่เคยได้รับจากเสื้อของเธอ มันอยู่ที่ปลายจมูกเขานี่เอง...มันไม่ใช่กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มอย่างที่เคยคาดคิดไว้ แต่เป็นกลิ่นจากตัวเธอ...กลิ่นหอมที่เย็นใจจนถอนตัวไม่ขึ้น...




ณิชนิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มิ.ย. 2555, 08:47:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มิ.ย. 2555, 08:47:14 น.

จำนวนการเข้าชม : 7526





<< บทที่ ๑๒ นอนด้วยกันไหม?   บทที่ ๑๕ มิตรแท้แน่หรือ >>
lovemuay 19 มิ.ย. 2555, 09:34:42 น.
ของที่อยากได้คือจูบสาวนิเอง อิอิ


pseudolife 19 มิ.ย. 2555, 09:40:02 น.
อ๊ายยยยยยยยยยยย คุณวิน


น้ำแอปเปิ้ล 19 มิ.ย. 2555, 12:35:44 น.
น่ารักค่ะ


nutcha 19 มิ.ย. 2555, 13:45:43 น.
สงสัยนายวินจะหลงรักนายพุดแบบไม่รู้ตัว


คิมหันตุ์ 19 มิ.ย. 2555, 13:47:47 น.
อ๊าย...คุณวิน ทำไรเนี่ย..เขินแทน


zilvermoon 19 มิ.ย. 2555, 14:43:20 น.
อ๊ายยย ไอ้หวานกันมันก็ดีน้า แต่ห่วงนายพุดจัง..เข้าใจนายโจ้เลยอ่ะ นายวินนี่ดีให้ตลอดรอดฝั่งนะไม่ใช่กลับกรุงเทพแล้วเชื้อบ้าเข้าสิงอีกอะ


phugan 19 มิ.ย. 2555, 18:31:08 น.
คุณวินงกจริงๆด้วย...555


ณิชนิตา 24 มิ.ย. 2555, 12:35:32 น.
ฮ่าๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account