ตราบนิรันดร์คือเธอ (สนพ.อรุณ)
ต่อให้ร้าย เป็นอสูรกายในสายตาใคร
แต่กับหนึ่งดวงใจดวงนี้ คือเธอ...ตราบนิรันดร์

บทต่อไปของนิรันดร์แห่งรักที่ใครหลายคนกำลังรอคอยค่ะ^^
ใครเคยหลงรักเทพเฮเดสจากดุจดั่งดวงใจ และเทพอพอลโลจากหทัยแห่งสุริยันมาแล้ว ต้องไม่พลาดนิยามรักบทใหม่นี้ค่ะ
Tags: แฟนตาซี รักซึ้งกินใจ นิรันดร์แห่งรัก โพไซดอน มณีมัญชุ์ อพอลโล เฮเดส พริมา ยมโลก เทพเจ้า

ตอน: บทที่ 2/2 อาการประชวร (รีไรท์-จบตอน)

แต่ในความเป็นจริงเหล่าเทพและเทวีทั้งหลายต่างรู้ดีอยู่แก่ใจว่างานนี้พวกเขาหาใช่ผู้ถูกซักฟอกแน่
“บอกพริ้งมาเดี๋ยวนี้นะคะว่าที่อะโทรพอสพูดคืออะไร” เสียงหวานเข้มขึ้นเล็กน้อยยามหันมาสบกับดวงเนตรคมกล้า
เทพเฮเดสทรงรั้งร่างเล็กให้เอนลงมาเพื่อซบลงบนแผงอุระ แรกทีเดียวหญิงสาวก็นึกอยากจะขัดขืนขึ้นมา แต่เมื่อนึกถึงอาการประชวรแล้ว เธอก็ได้แต่โอนอ่อน ยอมเขยิบกายลงไปนอนเคียงข้างพระองค์ ศีรษะเล็กหนุนลงบนอังสาข้างหนึ่ง โดยมีอ้อมพระกรกำยำโอบกระชับอยู่รอบเอวบาง
“ข้าไม่ได้โดนมนตราของพวกปีศาจ”

“อ้าว ก็ไหนคุณบอกว่า...”
“ข้าโกหกเจ้า” ถ้อยรับสั่งสารภาพอย่างง่ายๆ ทำเอาหญิงสาวแทบจะผุดกายลุกขึ้นจากเตียง
แต่ความหนาหนักของท่อนพระกรยังรั้งกายเธอไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
“คุณโกหกพริ้งทำไม” เสียงหวานเอ่ยถามซ้ำขึ้นอีกครั้ง พยายามอย่างยิ่งที่จะเขยิบกายตัวเองออกห่างจากวรกายสูง

แต่เรี่ยวแรงเพียงน้อยนิดหรือจะหาญสู้พละกำลังมหาศาลขององค์ราชันได้ ท้ายสุดพริมาก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ภายในอ้อมกรแกร่งที่รัดรึงแนบตัวเธอให้เบียดชิดอยู่กับพระวรกายสูง
“ไม่เอาน่าเด็กน้อย ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าเป็นห่วงก็เท่านั้นเอง” เทพเฮเดสตรัสด้วยสุรเสียงอ่อนโยน
“คุณไม่สบายแบบนี้ ไม่มีทางที่พริ้งจะไม่ห่วงคุณหรอก”
ถ้อยคำจริงใจ บ่งบอกว่าพระองค์มีความหมายมากมายเพียงใดต่อหัวใจดวงน้อย ทำให้เทพเฮเดสแย้มสรวลออกมาด้วยความพึงพระทัย เทพเฮเดสทรงอาศัยพละกำลังที่มีมากกว่า ช้อนคนตัวเล็กขึ้นมานอนซ้อนทับอยู่บนอุระอุ่น หัตถ์ทั้งสองข้างรวบเอวมนไว้ไม่ยอมให้เธอขยับห่างไปไหน

“เพราะข้ารู้ว่าเจ้าขี้ห่วงแบบนี้นี่แหละถึงไม่อยากบอกไง”
“แล้วตกลงคุณโดนอะไรมากันแน่คะ”พริมาถามในสิ่งที่อยากรู้
“มนตราอสูร”
“อสูรเหรอคะ มิน่าล่ะ หญ้าภูตถึงรักษาไม่ได้” หญิงสาวครางออกมา ใบหน้าหวานปรากฏรอยกังวลหนักขึ้น
หญิงสาวพอจะรู้จักสิ่งมีชีวิตต่างๆในดินแดนยมโลกมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เลยออกจากนอกตัวปราสาทไป สิ่งที่อาศัยอยู่ในแคว้นทั้งสิบสาม รวมไปถึงขุมนรกอันห่างไกล สามารถแบ่งออกได้เป็นสองชนิดใหญ่คือปีศาจและอสุรกาย ปีศาจคือสิ่งมีชีวิตจำพวกเดียวกับเหล่าภูตพราย อัปสร หรือนิมฟ์ตามแต่จะเรียกขาน พวกมันต่างมีชีวิตที่แม้จะยืนยาวกว่ามนุษย์ แต่ก็ไม่ได้เป็นนิรันดร์เหมือนเหล่าทวยเทพ ส่วนอสุรกายคือสิ่งมีชีวิตจำพวกที่ใกล้เคียงความเป็นนิรันดร์ไม่ต่างจากเทพเจ้านัก เพียงแต่พวกที่ถูกขนานนามว่าอสุรกาย ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นปรปักษ์กับเหล่าทวยเทพแทบทั้งสิ้น

“ข้าไม่ได้เป็นไรมากสักหน่อย ถึงจะโดนมนตราแต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นฤทธิ์”
“แต่คุณดูแย่มากเลย” พริมายังอดแคลงใจไม่ได้
“พลังงานในกายข้าแค่ถูกกักขังเท่านั้น อีกไม่กี่วันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
“แล้วไม่มีอะไรช่วยรักษามนตราอสูรได้เลยเหรอคะ” หญิงสาวถาม อยากจะทำอะไรสักหน่อยเพื่อให้เทพเจ้าอันเป็นที่รักของเธอหลุดพ้นจากมนตรานี้โดยไว
เทพเฮเดสแย้มสรวลกว้างทันทีกับคำถามของหญิงสาว หัตถ์หนาข้างหนึ่งลูบเอื่อยๆอยู่แถวบั้นเอว ก่อนจะไล้ปลายนิ้วพระหัตถ์ขึ้นมาตามกระดูกไขสันหลังของคนถูกบังคับให้เกยทับอยู่บนอุระ
“มีสิ มีวิธีรักษามนตราอสูรได้โดยไม่ต้องออกไปหาหญ้าภูตหรืออะไรมาเยียวยาด้วยซ้ำ” รับสั่งถัดมาขององค์ราชันทุ้มต่ำลง จนแทบจะกลายเป็นกระซิบ

“อะไรคะ” พริมาทูลถามอีกครั้งด้วยความอยากรู้
ดวงเนตรดำขลับพราวระยับขณะจ้องกลับมาสบนัยน์ตาหวานไร้เดียงสา ระยะเวลาเนิ่นนานที่ใช้ชีวิตร่วมกันมา ทำให้เด็กน้อยผู้แสนอ่อนต่อโลกเริ่มจะทันเกมเจ้าเล่ห์ของเทพเจ้าหนุ่มขึ้นมาบ้าง
“นี่คุณคงไม่ได้หมายความว่า...”

“เจ้าเก่งขึ้นนะเด็กน้อย รู้ใจข้าแล้ว ข้าหมายความตามนั้นแหละ จุมพิตจากเจ้าคือโอสถชั้นดีที่จะทำให้ข้าฟื้นจากทุกความเจ็บป่วย หรือเจ้าไม่อยากจูบข้าแล้ว” สุรเสียงต่ำกระซิบถามอยู่ติดริมใบหูเธอ
“แหม จะจูบเพื่อรักษาหรือจูบเพราะอะไร คุณก็ได้ตามที่ขอทุกครั้งอยู่แล้วนี่นา” พริมาบ่น ไม่อิดออดสักนิดยามหัตถ์หนาประคองท้ายทอยเธอลงมา จนริมฝีปากบางแนบสนิทอยู่บนเรียวโอษฐ์ร้อน
“เจ้าเป็นความหวานสำหรับข้าเสมอ อย่าห่างข้าไปไหนอีกรู้ไหม ข้าไม่เคยสิ้นฤทธิ์ต่อใครหรือมนตราใด แต่หัวใจข้าอาจวางวายหากขาดเจ้า” ถ้อยรับสั่งหวานพร่ำกระซิบชิด เฉกเช่นเดียวกับรอยจุมพิตร้อนอันเต็มไปด้วยความห่วงหาและอ่อนโยน อย่างที่เธอเคยได้รับตลอดมา



ข้ามผ่านจากหมอกควันสีเทาอันปกคลุมอยู่โดยรอบตัวปราสาทสีดำในยมโลกมา ห่างออกไปไกลแสนไกลยังจุดเล็กๆจุดหนึ่งภายใต้ดินแดนมนุษย์โลก ...เอตนาคือชื่อคุ้นหูของภูเขาไฟลูกหนึ่งบนดินแดนมนุษย์ แต่ในความคุ้นเคยนี้จะมีใครรู้บ้างว่าภายใต้ภูเขาไฟลูกใหญ่ที่เพิ่งปะทุไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แท้จริงแล้วเบื้องใต้ธารลาวาร้อนระอุซึ่งพวยพุ่งออกมาจากปล่องคือที่กักขังเทพเจ้าองค์หนึ่งมาเนิ่นนานหลายสิบปี
“มันยังไม่จบ ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้าง่ายๆหรอกซุส” สุรเสียงเหี้ยมเกรียมพร้อมกับดวงเนตรสีฟ้าครามวาววับอยู่ภายใต้ตาข่ายมนตรา

หลายสิบปีล่วงมาแล้วที่เทพโพไซดอนถูกจองจำอยู่ในเหวลึกบนยอดเขา เทพแห่งสายน้ำผู้เคยเรืองฤทธิ์และไม่เคยยอมสงบให้แก่ผู้ใด กลับถูกขังอยู่ในเหวแคบลึกมาเนิ่นนาน พระองค์ทรงแค้นเหล่าทวยเทพทุกองค์ สิ่งที่ทรงดำริมาตลอดเวลาที่ถูกจองจำคือ การแก้แค้นและหนทางปลดปล่อยพันธนาการกลับสู่บาดาลอีกครั้ง
เสียงภูเขาไฟยังปะทุเป็นระยะๆไม่ได้ทำให้เทพโพไซดอนสนพระทัยนัก จวนจนกระทั่งมีเสียงของอะไรบางอย่างดังขึ้นเหนือขึ้นไปยังยอดเขาเบื้องบน
“กระหม่อมมาเข้าเฝ้าพระองค์แล้วพระเจ้าค่ะ”

ท่ามกลางเปลวเพลิงของธารลาวาโหมกระหน่ำอยู่ทางเบื้องนอก เทพโพไซดอนทรงสดับฟังเสียงของนิมฟ์น้ำตนหนึ่งที่หาญกล้าดั้นด้นขึ้นจากน้ำมาจนถึงยอดเขาเอตนาได้สำเร็จ
“เจ้าเป็นใครกัน”
“กระหม่อมเป็นพวกไนแอด พระเจ้าค่ะ มีชื่อว่าอิมอส เป็นนิมฟ์ประจำบ่อน้ำพุร้อน กระหม่อมดั้นด้นตามหาพระองค์บนผืนแผ่นดินมาเนินนานหลายปีนัก ไม่คิดเลยว่าจะทรงถูกกักขังอยู่บนยอดเขาแห่งนี้”
“ซุสมันจงใจกลั่นแกล้งข้า จับข้ามาขังในปล่องภูเขาไฟที่ยังคุกกรุ่น เพื่อจะได้ไม่ให้นิมฟ์หรือภูติพรายน้ำตนใดกล้าขึ้นมาจนถึงยอดเขา”

“กระหม่อมจะช่วยฝ่าบาทอย่างไรดีพระเจ้าค่ะ ตาข่ายนี่...” นิมฟ์น้ำทูลถามอย่างจนปัญญา เพราะด้วยอำนาจในตัวเขาไม่อาจต่อการกับมนตราของมหาเทพได้
“เจ้าไม่มีทางปลดตาข่ายมนตราออกได้หรอก ตาข่ายมนตราถูกสร้างขึ้นจากอำนาจของซุสและเฮเดส”
“แล้วตรีศูลของพระองค์เล่า”
“ฮึ! ซุสมันยึดตรีศูลของข้าขึ้นไปเก็บอยู่บนโอลิมปัสน่ะสิ” สุรเสียงดุดันตอบกลับมาด้วยความคั่งแค้น “แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ตรีศูลหรอก ยังมีอีกสิ่งที่จะปลดปล่อยข้าจากกรงขังได้”
“มันคือสิ่งใดพระเจ้าค่ะ”
“กลาดิอุส”

“ทรงหมายถึงดาบสั้นที่ถูกขโมยไปจากบาดาลเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหรือพระเจ้าค่ะ” อิมอสทูลถามด้วยความสงสัย
“ใช่ ข้าเฝ้าตามหามันมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้พบ”
แม้จะถูกกักขังอยู่ภายใต้เทือกเขา แต่เทพโพไซดอนก็ทรงรับรู้ถึงอำนาจของกลาดิอุส พระองค์ทรงรู้ว่ามันถูกนำขึ้นมายังโลกมนุษย์โดยนิมฟ์ทะเลตนหนึ่ง ก่อนหายสาบสูญไปเนิ่นนานยี่สิบกว่าปี
ก่อนกาลนั้น กลาดิอุสคือดาบสั้นภายใต้อำนาจการครอบครองของเทพแห่งสายน้ำ เรื่อยมา เทพโพไซดอนไม่เคยใส่พระทัยในฤทธานุภาพของดาบสั้นเลย เนื่องจากพระองค์ทรงมีตรีศูลอันเรืองฤทธิ์อยู่ ทว่าในยามคับขันและจนตรอก พระองค์กลับทรงเล็งเห็นในพลานุภาพของดาบสั้น แม้กลาดิอุสจะไม่ได้เป็นอาวุธยิ่งใหญ่แต่มันก็มีพลานุภาพทำลายล้างอำนาจตาข่ายมนตราอันเกิดจากอำนาจของมหาเทพจากสรวงสวรรค์และราชันจากยมโลกได้ เพราะดาบสั้นเล่มนี้รังสรรค์ขึ้นจากอำนาจของเหล่าทวยเทพแห่งสามโลกเมื่อสมัยที่ยังปรองดองกันอยู่

“โปรดรับสั่งมา ต่อให้สุดหล้าเพียงใดข้าจะดั้นด้นไปนำมันมาให้ท่าน”
“มันหนักหนาเกินแรงเจ้า” เทพโพไซดอนตรัส
เป็นเวลาเนิ่นนานที่เทพโพไซดอนทรงอาศัยอำนาจที่มีอยู่เฝ้าตามหาผู้ครอบครองกลาดิอุส แม้จะยังไม่มั่นพระทัยนัก แต่เมื่อไม่นานมานี้ เทพแห่งสายน้ำทรงค้นพบร่องรอยของดาบที่เคยหายสาบสูญไป จากอำนาจที่มันใช้แผ่ปกป้องมนุษย์สาวนางหนึ่ง พระองค์จึงค่อนข้างมั่นพระทัยว่าดาบเล่มนี้น่าจะตกอยู่ในมือของหญิงสาวผู้หนึ่ง และด้วยพระดำรินี้ เทพโพไซดอนจึงตัดสินพระทัยออกตามล่าหาตัวหญิงสาวนางนี้
เทพโพไซดอนทรงส่งแสงเรืองรองราวลูกไฟดวงหนึ่งให้ค่อยๆลอยขึ้นมาจากปล่องเบื้องล่าง ก่อนมีรับสั่งกับนิมฟ์น้ำ “จงนำดวงจิตของข้าออกจากปล่องภูเขาไฟไปยังโลกมนุษย์เบื้องล่าง ข้าจะไปตามหากลาดิอุสด้วยตัวของข้าเอง”

“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมปรารถนาเหลือเกินให้ฝ่าบาทเสด็จกลับบาดาล ยามนี้มีข่าวลือหนาหูนักว่านครบาดาลตกอยู่ในภาวะแร้นแค้น”
คำกราบทูลของนิมฟ์น้ำทำให้เทพโพไซดอนทรงขมวดพระขนง
“เกิดสิ่งใดขึ้นในนครบาดาล”
“มีข่าวเล่าต่อๆกันมาพระเจ้าค่ะ ว่านับตั้งแต่ฝ่าบาททรงแพ้ศึกในกาลก่อน นครบาดาลก็ร้างผู้ปกครอง ต่อมาไม่นานนักก็กลับมีเทพองค์หนึ่งตั้งตนขึ้นเป็นใหญ่เหนือนคร สร้างความเดือดร้อนให้แก่เหล่านิมฟ์และสัตว์น้ำในทะเล เลยมาจนถึงแม่น้ำน้อยใหญ่พระเจ้าค่ะ”
“มันผู้ใดหาญกล้าถึงเพียงนั้น” สุรเสียงดุดันตวาดลั่นถามมา
“ไมธัสพระเจ้าค่ะ”



ผ่านไปเกือบอาทิตย์แล้วกับเหตุการณ์ประหลาดในวันถ่ายพรีเวดดิ้งที่ตึกร้าง จนกระทั่งวันนี้มณีมัญชุ์ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของฟ้าลดาเลย งานทั้งหมดเกี่ยวกับบ่าวสาวคู่นี้จึงถูกยกเลิกไปโดยปริยาย รวมถึงการที่ทีมงานทั้งหมดต้องไปขึ้นโรงพักเพื่อให้ปากคำแก่ตำรวจในกรณีการหายตัวไปของว่าที่เจ้าสาว ทว่าก็ยังไม่มีผู้ใดพบเบาะแสเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้อ อุตส่าห์ทำงานเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานแท้ๆ ไม่นึกว่าจะต้องมาวนเวียนกับเรื่องเศร้าแบบนี้” มณีมัญชุ์อดบ่นขึ้นมาไม่ได้ขณะลงมือเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าของตนเองลงกระเป๋า
“อย่าคิดมากน่า ชีวิตคนเรามันก็งี้แหละ ไม่มีวันรู้หรอกว่าวันใดจะถึงคราวเคราะห์” มนชัยบอก ก่อนชักชวนหญิงออกจากเวดดิ้งสตูดิโอมา ทั้งสองแวะรับประทานอาหารยังร้านอาหารริมทางแห่งหนึ่ง แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน

กว่ามณีมัญชุ์จะกลับมาถึงบ้านได้ก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม หญิงสาววางกระเป๋าเครื่องสำอางอันเป็นอุปกรณ์คู่ชีพของตนลงบนโต๊ะกลมภายในห้อง แต่เพราะข้าวของที่มีอยู่มากเกินไปทำให้มือเธอเผลอไปปัดแจกันกระเบื้องบนโต๊ะหล่นลงแตก
“บ้าจัง” หญิงสาวอุทานออกมาขณะก้มลงเก็บเศษกระเบื้อง
ความปวดแปลบแล่นผ่านเข้ามายังปลายนิ้วของเธอทันทีเมื่อเอื้อมมือลงจับเศษกระเบื้อง ตอนยกมือตัวเองขึ้นมอง มณีมัญชุ์เห็นรอยแผลไม่ใหญ่นักปรากฏขึ้นตรงปลายนิ้วก่อนมองเลยผ่าน เธอจัดแจงเก็บเศษกระเบื้องทั้งหมดลงถังขยะ แล้วตรงมายังโต๊ะเครื่องแป้ง หยิบครีมน้ำนมสำหรับเช็ดเครื่องสำอางออกมาละเลงลงบนใบหน้า แม้เธอจะขึ้นชื่อว่าเป็นเมคอัฟอาร์ทติส แต่มณีมัญชุ์กลับไม่ค่อยชื่นชอบการแต่งหน้าให้ตัวเองมากเท่าใดนัก ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความรีบเร่งในชีวิตประจำวันของเธอ ทำให้หญิงสาวแทบไม่มีเวลาได้ดูแลตนเองเท่าไรนัก แต่กระนั้นใบหน้านวลซึ่งมีเพียงแค่แป้งฝุ่นก็กลับผุดผาดไปด้วยความงามของวัยแรกสาว นับแต่วันที่เติบโตขึ้นมา มณีมัญชุ์ก็ยิ่งเห็นว่าตนเองดูแตกต่างจากจินต์วราค่อนข้างมาก แม้เธอรู้ว่าจินต์วราไม่ใช่มารดาผู้ให้กำเนิด แต่กระนั้นสตรีผู้นี้ก็ยังมีศักดิ์เป็นน้าของเธอ

‘สวย แต่ไม่รู้ว่าเหมือนใคร’ ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว มณีมัญชุ์เคยได้ยินญาติผู้ใหญ่ของเธอคนหนึ่งเอ่ยกับจินต์วราเรื่องหน้าตาของเธอ
‘ก็ต้องเหมือนพ่อกับแม่เขาสิคะ จะมาเหมือนจินต์ได้ไง จินต์เป็นแค่แม่เลี้ยงนะ’
‘ไม่เหมือนหรอกแม่จินต์ ยายมีมี่ของเธอน่ะไม่เหมือนทั้งพ่อทั้งแม่เลย ครอบครัวเราไม่เคยมีญาติคนไหนสวยคม ตาอย่างกับลูกแก้วแบบนี้หรอก’
นั่นเป็นครั้งเดียวที่หญิงสาวรับรู้ถึงการถูกวิจารณ์โดยญาติแท้ๆของตน แต่จากนั้นมามณีมัญชุ์ก็ไม่เคยเห็นญาติผู้ใหญ่ท่านนี้เดินทางมาที่บ้านของเธออีกเลย จนวันหนึ่งพ่อทศของเธอก็เป็นคนพูดขึ้น

‘มีมี่จะสวยเหมือนใครไม่สำคัญหรอก ลูกเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในสายตาพ่อ เป็นลูกสาวคนโตที่พ่อรัก นั่นแหละ สำคัญที่สุดแล้ว’ ทศพลเคยบอกกับเด็กสาววัยแรกรุ่นไว้ยามเธอเอ่ยถามเรื่องหน้าตาของตนเอง จากวันนั้นมามณีมัญชุ์ก็ไม่เคยเอ่ยคำถามนี้กับใครอีกเลย เพราะเธอไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญอีกต่อไป เมื่อเธอมีพ่อทศกับแม่จินต์เป็นบุพการีในทุกวันนี้ นั่นคือสิ่งสำคัญของคำว่า ‘ครอบครัว’ สำหรับเธอ
หญิงสาวทิ้งสำลีซึ่งเปรอะไปด้วยคราบแป้งฝุ่นลงในถังขยะ เหลือบตามามองปลายนิ้วของมืออีกข้างอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก แล้วมันก็เป็นเช่นทุกครั้งเมื่อปลายนิ้วเธอมีเพียงผิวนวลและคราบเลือดเล็กน้อยโดยไร้รอยบาดแผล มณีมัญชุ์เช็ดเลือดบนนิ้วตัวเองทิ้งแล้วเดินตรงมายังห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย ใช้เวลาไม่นานนักร่างอรชรในชุดนอนสีฟ้าอ่อนก็คลานขึ้นสู่เตียงนอน แล้วหลับตาลง แต่การหลับของเธอเป็นเหมือนทุกครั้งของการจมดิ่งเข้าสู่นิทรา มณีมัญชุ์พบว่าตนเองได้ย้ายจากเตียงนอนเนื้อนุ่มข้ามมาอยู่ยังสถานที่แห่งเดิมอันคุ้นเคย
กรงขัง! หญิงสาวแทบอยากกรีดร้องออกมากับความฝันเดิมๆที่วนเวียนอยู่กับที่ ทำไมนะ เธอถึงได้ฝันถึงกรงขังกับอสูรร้ายได้ตลอดเวลาเช่นนื้

“สรุปว่าฉันจะฝันดีเหมือนคนอื่นบ้างไม่ได้หรือไง” มณีมัญชุ์บ่นกับตัวเองในความฝัน
แต่ความฝันในค่ำคืนนี้ก็ยังดูต่างออกไปจากความฝันทุกคืนที่ผ่านมา ทั่วสารทิศรอบกายไม่ได้มีเพียงความมืดสนิทอันน่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป รอบบริเวณอาบไปด้วยแสงสลัว พอให้เธอสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่อีกฟากของลูกกรงได้
“ตกลงคุณคือตัวอะไรกันแน่” หญิงสาวเอ่ยถามเมื่อเห็นเงาตะคุ่มอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ร่างในเงามืดค่อยๆผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ไม่นานนักสิ่งที่เธอเคยเห็นอยู่ในเงามืดมาตลอดทุกค่ำคืนก็ปรากฏกายขึ้นภายในแสงสลัว มณีมัญชุ์ยกมือขึ้นปิดปากด้วยความตกตะลึง ร่างแกร่งกำยำเบื้องหน้าหาใช่อสุรกายอย่างที่เธอคิดในทีแรก แต่เขาคือมนุษย์ มีสองขาและแขนเฉกเช่นเดียวกับเธอ ซ้ำร้ายกว่านั้นคือผู้ชายคนนี้ยังมีใบหน้าหล่อเหลาชนิดที่ไม่เคยพานพบที่ไหนมาก่อน

“เฮ้อ ท่าทางฉันจะฝันเป็นตุเป็นตะมากเกินไปแล้ว” มณีมัญชุ์ยกมือขึ้นทุบศีรษะตัวเอง ในใจนึกอยากจะให้ตัวเองตื่นขึ้นจากฝันร้ายเสียที
ทว่าความฝันก็ยังดำเนินต่อไป สิ่งที่มณีมัญชุ์มองเห็นยามนี้คือชายหนุ่มผู้ไม่ต่างจากประติมากรรมชิ้นเอก เรือนผมสีเทาเหลือบเงินยาวเลยบ่าลงมาดูแปลกตาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน เช่นเดียวกับนัยน์ตาคมสีฟ้าครามอันดุดัน ลึกลับและแลดูเหี้ยมเกรียม นั่นยังไม่นับรวมไปถึงเคราไม่สั้นไม่หนารอบแนวคาง เลยมาถึงเหนือริมฝีปากบน ยิ่งส่งให้ผู้ชายคนนี้ดูดุและน่ากลัวไม่น้อย

“เมื่อกี้เจ้าถามว่าข้าคือตัวอะไรงั้นรึ ฮึ! มนุษย์ผู้โง่เขลาเช่นเจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“ถ้าฉันโง่นัก งั้นคุณก็ช่วยบอกหน่อยสิว่าตกลงคุณเป็นใคร แล้วทำไมถึงได้ขยันทำร้ายฉันในฝันนัก” หญิงสาวตอบกลับไปอย่างเคืองๆ
“ข้าคือโพไซดอน เทพเจ้าแห่งห้วงสมุทรผู้มีอำนาจเหนือห้วงน้ำและบาดาลทั้งปวง”
“อ้อเหรอ แล้วทำไมเทพเจ้าอย่างคุณถึงโดนขังล่ะ”
เพราะความเข้าใจว่าทุกอย่างคือความฝัน ทำให้มณีมัญชุ์ไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวใดๆต่อเทพเจ้าองค์นี้เลยสักนิด
“เพราะข้าโดนซุสผู้เป็นน้องชายแย่งชิงอำนาจไปน่ะสิ” เทพโพไซดอนตรัสด้วยสุรเสียงเกรี้ยวกราด
“ซุส มหาเทพผู้ครองโอลิมปัสน่ะเหรอ”
“เขาไม่ใช่มหาเทพ ไม่คู่ควรต่อคำคำนั้นเลยสักนิด” คราวนี้สุรเสียงที่ทรงตวาดกลับมา มีทั้งแววเคียดแค้นและหงุดหงิดในพระทัยชัดเจน

มณีมัญชุ์ยิ้มออกมากับท่าทางพิโรธหนักของเทพเจ้าแห่งสายน้ำ
“แล้วใครกันล่ะที่คู่ควร คุณงั้นสิ” หญิงสาวถามด้วยความรู้สึกหมั่นไส้เล็กๆ จากนั้นเธอจึงเอ่ยต่อโดยไม่ยอมทิ้งจังหวะให้เทพโพไซดอนตรัส “แต่ฉันว่าไม่นะ เท่าที่เห็นคุณเป็นคนใจร้อนน่าดู แถมยังน่ากลัวเอามากๆเสียด้วย แบบนี้คงปกครองผู้คนหรือเหล่าเทพเจ้าบนสวรรค์ไม่ได้หรอก”
“เจ้า! บังอาจนัก” สุรเสียงเกรี้ยวกราดดังก้องมาด้วยความพิโรธจัด
แต่กระนั้นมนุษย์สาวแสนต้อยต่ำเยี่ยงเธอหาได้รู้ถึงโทสะของเทพเจ้าเลยสักนิด มณีมัญชุ์ยังคงต่อล้อต่อเถียงกับเทพเจ้าแห่งสายน้ำอย่างสนุกแกมหมั่นไส้ ด้วยส่วนหนึ่งเธอเชื่อว่าสิ่งที่เธอเผชิญหน้าอยู่เป็นเพียงแค่ความฝัน

ก็แค่ฝัน แล้วเธอจะกลัวไปทำไม




ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2555, 10:30:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2555, 09:45:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 2451





<< บทที่ 2/1 อาการประชวร (รีไรท์)   
ริญจน์ธร 20 มิ.ย. 2555, 10:41:45 น.
ตอบคอมเม้นค่า

คุณ อสิตา แหมๆ พี่มิ้งค์ก็เป็นเหมือนกันแหละ ได้ข่าววันก่อนก็กรดไหลย้อน สรุปมันเป็นโรคประจำตัวของคนนั่งทำงานหน้าคอมรึเปล่าน้า (ที่ไม่ค่อยยอมลุกไปกินข้าว)

คุณ หมูอ้วน ขอบคุณค่า คนเขียนไม่เป็นไรแล้วล่ะ ส่วนท่านดิสก็... หุหุ มีหนูพริ้งคอยดูแล คงหายไวๆนี้อยู่แล้วค่า

คุณ goldensun ใช่ค่า ช่วงนี้ปีศาจในยมโลกเลยได้ใจ ส่วนยาไม่มีอะไรรักษามนตราอสูรได้ค่ะ หนูพริ้งแกเข้าใจผิดเอง แต่อีกไม่นานท่านเฮเดสก็หายค่า เป็นเทพนี่เนอะ เลยมีอะไรเว่อๆหลายอย่าง

คุณ Auuuu ขอบคุณค่า เอาคู่นี้มาหวานให้ชื่นใจตอนแรกๆก่อน เพราะคู่จริง ท่าจะอีกนานกว่าจะหวานค่ะ

คุณ nako ขอบคุณมากเลย ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ อันที่จริงมันเนื่องมาจากตัวเองกินข้าวไม่ตรงเวลาเองแหละ เหอๆ คิดว่าหายไปหลายปีแล้ว ไม่นึกว่าจะกลับมาเป็นไงคะ

คุณ ameerahTaec แค่โดนมนตราค่ะ ไม่หนักหนาไร แต่ปีศาจในยมโลกก็ได้ใจ หลุดออกมาบนโลกไปบ้าง เดี๋ยวมาตามจับกัน

คุณ Zephyr มีรับเชิญมาให้หวานกันเล่นๆ ค่า ส่วนอีกคู่ อิอิ มีแน่นอน แต่คงไม่มากมายอะไร ยังไงเรื่องนี้หนูมีมี่ต้องเด่นสุดค่า สองคู่นี้แค่เอามาให้หายคิดถึงกัน แล้วก็ขอบคุณค่ะคุณเฟอร์ ช่วงนี้คนเขียนนอนเยอะมาก หยุดเรื่องนี้ไปหลายวัน ใกล้หมดสต๊อกแล้วอ่ะ ต้องเขียนต่อแล้ว

คุณ lookAme 555 ท่านดิสดิ้นหลุดได้ตลอดแหละค่ะ เห็นขรึมๆแบบนี้ก็เจ้าเล่ห์ไม่เบา ส่วนคนเขียน ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ จริงๆ ไม่ได้เป็นไรมาก แต่เวลาโรคกระเพาะกำเริบที มันอึดอัดเลยไม่ค่อยอยากทำอะไรเท่าไร (หาเรื่องอู้ว่างั้น^^)


Gingfara 20 มิ.ย. 2555, 12:09:39 น.
งึ่ยยยยยยย จะเป็นไงต่อคะเนี่ย ลุ้นสุดๆ อยากอ่านต่อแล้วค่าาา


หมูอ้วน 20 มิ.ย. 2555, 12:57:52 น.
พระเอกอ่ะป่าวค่ะ


ameerahTaec 20 มิ.ย. 2555, 13:02:38 น.
คนที่อยู่ในความฝันนางเอกอ่ะป่าวคะ อิอิ // อ่านที่บรรยายพระเอกแล้วนึกถึงคริส เฮมสเวิร์ธ พระเอกธอร์อ่ะคะ


บุลินทร 20 มิ.ย. 2555, 13:03:08 น.
พี่มูนกับพี่มิ้งค์ป่วยหมดเลย รักษาสุขภาพกันด้วยน้า เดี๋ยวตุลาไปงานไม่ไหว


goldensun 20 มิ.ย. 2555, 15:03:02 น.
โพไซดอนจริงๆ ดุขนาดนี้ จะใช่พระเอกของมีมี่หรือคะ เจอเป็นๆ ก็ข่มขู่กันแล้ว


lookAme 20 มิ.ย. 2555, 16:43:04 น.
พระเอกเราเจอกันครั้งแรกมือก็ไปแล้ว555 ไม่รู้ว่ามีจิตพิศวาสหรือจะเอาของกันแน่


nako 20 มิ.ย. 2555, 18:34:55 น.
ชายรูปหล่อคนนั้นเป็นใครอ่ะ


lovemuay 20 มิ.ย. 2555, 21:22:47 น.
ตามมาอ่านแล้วค่ะ ติดใจมาจากหนูเพียง อิอิ
ในที่สุดก็อ่ายหทัยแห่งสุริยันจบแล้วค่ะ สนุกมากเลย เปิดเน็ตสั่งดุจดั่งดวงใจมารออ่านตาอทันที่
อ่านแล้วแอบสงสัยนะคะเนี่ย อีกหน่อยหนูมี่มี่ เจอเพียงจะจำได้มั๊ยน้อ แล้วเพียงจะตกใจมั๊ยเนี่ย +55


Zephyr 21 มิ.ย. 2555, 18:10:08 น.
อ่าว แหม ตาดิสเนียนจูบเมียอีกแล้ววววว ขอดีๆพริ้วก็ให้น่า ไม่ต้องลงทุนไปเอามนตราอสูรใส่ตัวร้อก
และแล้วเราก็เจอกัน หึหึ อุเหม่ ชื่อปกรณ์ซะด้วย อุอุ อยู่ก็มาจับมีมี่เลย จะจู่โจมแรงไปมั้ยคะ
ไปเอาทุนจากไหนมาสร้างผับกันละปู่โพ เอ๊ย ท่านโพ สร้างใต้น้ำด้วยนะ น่าไปเริงเรื่นด้วยจังเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account