ตราบนิรันดร์คือเธอ (สนพ.อรุณ)
ต่อให้ร้าย เป็นอสูรกายในสายตาใคร
แต่กับหนึ่งดวงใจดวงนี้ คือเธอ...ตราบนิรันดร์

บทต่อไปของนิรันดร์แห่งรักที่ใครหลายคนกำลังรอคอยค่ะ^^
ใครเคยหลงรักเทพเฮเดสจากดุจดั่งดวงใจ และเทพอพอลโลจากหทัยแห่งสุริยันมาแล้ว ต้องไม่พลาดนิยามรักบทใหม่นี้ค่ะ
Tags: แฟนตาซี รักซึ้งกินใจ นิรันดร์แห่งรัก โพไซดอน มณีมัญชุ์ อพอลโล เฮเดส พริมา ยมโลก เทพเจ้า

ตอน: บทที่ 2/1 อาการประชวร (รีไรท์)

บทที่2
“ขอบคุณครับ ถ้ายังไม่มีอะไรคืบหน้า ผมคงจะไปแจ้งความคืนนี้” น้ำเสียงของอธินที่ตอบกลับมาก่อนวางสาย สร้างความหนักใจให้แก่คนฟังไม่น้อย
บ้าจริง ทำไมถึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกลางกรุงนะ หญิงสาวนึกบ่นกับตัวเองในใจ จากนั้นจึงหยิบข้าวของของตนเองเตรียมเดิมกลับไปสมทบคนอื่นๆยังรถตู้ของทีมงาน

ระหว่างทางกลับมณีมัญชุ์จำต้องผ่านซอกหลืบเดิมที่เธอเคยเดินเมื่อตอนบ่าย ปลายเท้าของเธอชะงักเล็กน้อย ความหวาดกลัวแล่นผ่านหัวใจทันทีเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง แต่หัวค่ำวันนี้หญิงสาวมองเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังเดินเก้ๆกังๆ ถือข้าวของพะรุงพะรังอยู่ในซอกหลืบเบื้องหน้าเธอ
อย่างน้อยเธอก็มีเพื่อน ไม่ได้อยู่คนเดียววะ มณีมัญชุ์ให้กำลังใจตัวเอง รีบสาวเท้าตามหญิงชราไปทันที
“คุณยายคะ หนูช่วยถือของไหม” เธอตัดสินใจถาม

อีกฝ่ายหนึ่งหันกลับมามองหน้าเธอ ก่อนก้มลงมองข้าวของไม่น้อยนักในมืออีกฝ่ายเหมือนชั่งใจ แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างก็ทำให้หญิงชรายื่นของในมือให้เธอ
“ขอบใจ ยายกำลังรีบพอดี”
มณีมัญชุ์เกือบเอ่ยปากถามต่อแล้ว แต่คุณยายตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายตัดบท รีบสาวเท้าเดินออกจากซอกตึก ร้อนถึงคนที่สาวกว่าจำต้องจ้ำอ้าวเดินตาม เมื่อพ้นจากตัวตึกมา หญิงสาวก็มองเห็นบรรดาทีมงานทั้งหมดกำลังยืนคอยเธออยู่ยังรถตู้ จอดอยู่บนลานกว้างริมถนนใหญ่

“ช้าจังเลยยายมีมี่ พวกเราจะกลับกันแล้วนะ”
“ขอโทษค่ะพี่มน หนูมัวแต่คุยกับคุณอธินอยู่เลยเก็บของช้าไปหน่อย”
มนชัยถอนหายใจออกมา ยืนมองมณีมัญชุ์ส่งข้าวของหลายถุงคืนให้หญิงชราแปลกหน้า
“ขอบใจจ้ะนังหนู ว่าแต่พวกเธอมาทำอะไรกันที่ตึกนี้เหรอ”
“ถ่ายรูปแต่งงานค่ะ” มณีมัญชุ์เป็นฝ่ายตอบคำถามหญิงชรา

สีหน้าของคนฟังแปลกใจไม่น้อยเมื่อทราบถึงสาเหตุการมาของพวกเธอ
“เฮ้อ หนุ่มสาวสมัยนี้ ทำไมถึงเลือกสถานที่น่ากลัวมาถ่ายรูปแต่งงานนะ”
“น่ากลัวเหรอ ผมว่าตึกนี้มันก็อาร์ตดีออก” เป็นมนชัยที่ออกความเห็นออกไป
ใบหน้าของคนฟังแสดงออกชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเขา
“คิดผิดแล้วล่ะพ่อหนุ่ม ที่นี่น่ากลัวจะตาย ปรกติแทบไม่มีใครอยากเดินผ่านด้วยซ้ำ ยายเองถ้าไม่ติดว่าขาไม่ดีก็อยากจะเดินอ้อมไปไกลๆเหมือนกัน”
สองหนุ่มสาวหันมามองหน้ากันทันที ก่อนมณีมัญชุ์จะเป็นฝ่ายถามต่อ
“ทำไมคะ ตึกนี้มันน่ากลัวยังไง”

“เขาลือกัน” น้ำเสียงของหญิงชราบ่งชัดว่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย “ชาวบ้านแถวนี้รู้กันหมดทั้งถนนแหละนังหนูว่าที่นี่มีผีสิง วันดีคืนดีไอ้ผีพวกนี้ก็ออกมาอาละวาดหลอกคน ใครผ่านเข้ามาแทบเป็นบ้า กลับออกไปเหมือนท่อนไม้ เหมือนคนไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยเชียวล่ะ”
คำตอบของหญิงชราทำเอาสองหนุ่มสาวได้แต่มองหน้ากันด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก่อนทั้งหมดจะแยกย้ายขึ้นรถกลับออกไป



สายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามาสู่ความมืดมิดที่ดูจะทะมึนลงเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เปลวไฟสีฟ้าริมผนังทางเดินของห้องอันเคยสว่างหลงเหลือเพียงแสงอ่อนๆรำไร เช่นเดียวกับแจกันดอกแอสโฟเดลที่เคยบานสะพรั่งอยู่ทั่วทุกมุมกลับมีแค่แจกันว่างเปล่า ไร้วี่แววของดอกไม้สีขาวและกลิ่นหอมอ่อนๆ
ปราสาทสีดำในวันนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดอีกครั้ง
“เร็วเข้าสิธานาทอส ช้าจริง”
ท่ามกลางความทะมึนอันแสนวังเวง เสียงหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้วยความรีบเร่ง
“โธ่! องค์รานี ฝ่าบาทไม่ทรงเป็นอะไรหรอกพระเจ้าค่ะ” เทพแห่งความตายโอดครวญ
ความจริงเขาแทบไม่อยากจะย่างกรายเข้าไปยังห้องบรรทมเลย รู้สึกว่าสันหลังของตนยามนี้เย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

“ไม่เป็นไรได้ไง ดิสไม่สบายอยู่นะ ชักช้าจริงเชียว” สาวน้อยผู้รั้งตำแหน่งรานีผู้ครองบัลลังก์เหนือความตาย หันมาทำหน้าบึ้งใส่เทพนักรบด้านหลัง
พริมาคว้าเอาสิ่งที่ธานาทอสถืออยู่ในมือมาถือไว้เอง ก่อนจะเร่งฝีเท้า วิ่งไปตามทางเดินเพื่อตรงไปยังห้องบรรทม
เทพแห่งความตายถอนหายใจออกมา ลังเลที่จะก้าวขาตามไป
“ท่าทางเจ้าหนักอกหนักใจน่าดู”

ธานาทอสหันขวับไปตามต้นเสียง ก่อนใบหน้าของเทพนักรบผู้แข็งแกร่งจะยิ่งบูดบึ้งลงกว่าเดิม
“ทำไมต้องเป็นความซวยของข้าทุกที ตั้งแต่ครั้งโดนซักฟอกเรื่องเทพอพอลโลแล้ว ทำไมเจ้าถึงหายตัวไปได้ตลอดยามองค์รานีรับสั่งหา”
ฮิปนอสหัวเราะออกมากับถ้อยคำต่อว่าและน้ำเสียงหงุดหงิดของเพื่อนคู่หู
“เพราะข้าไม่อยากถูกบั่นคอไง งานนี้เจ้าโดนหนักแน่ ตามเสด็จออกไปเป็นนานขนาดนั้น ข้ากับเหล่ามอยเรปิดองค์ราชันได้เสียที่ไหน”
ธานาทอสถอนหายใจออกมากับคำพูดของฮิปนอส

“ก็องค์รานีไม่ยอมเสด็จกลับ รับสั่งอย่างเดียวว่าอย่างไรก็จะหาหญ้าภูตให้จงได้”
“แล้วได้มาไหม” เทพแห่งการหลับใหลถามด้วยความใคร่รู้
“ถ้าไม่ได้มา ข้าจะได้กลับมานี่เหรอ” ธานาทอสบอกด้วยน้ำเสียงยังไม่หายจากอาการหงุดหงิด ก่อนจะออกความเห็นต่อว่า “แต่ข้าก็ยังสงสัยหนักหนาว่าไอ้หญ้าภูตเนี่ย มันรักษาอาการประชวรได้แน่หรือ”
“ไม่ได้หรอก” ฮิปนอสตอบอย่างไม่คิดถนอมน้ำใจ “องค์ราชันทรงโดนมนตราของพวกอสูร ไอ้เจ้าหญ้านั่นมันมีไว้แค่รักษามนตราง่ายๆของพวกปีศาจปลายแถวต่างหาก”
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทูลเรื่องนี้กับองค์รานี” ธานาทอสถามด้วยน้ำเสียงลอดไรฟัน
“เจ้าก็ทูลเองสิ ก็ฝ่าบาทเล่นรับสั่งออกไปก่อนแบบนั้น ใครจะกล้าทูลว่าทรงโกหกล่ะ”
“ไม่ทรงอยากให้เป็นห่วงกระมัง” ธานาทอสพึมพำออกมา

เกือบเดือนมาแล้วที่องค์ราชันแห่งยมโลกประชวรจนไม่อาจเสด็จออกจากห้องบรรทมได้ หลังจากเสด็จกลับมาจากการตรวจแคว้นทั้งสิบสามในยมโลก พระองค์ทรงถูกมนตราของอสูรเงาที่แอบหลบหนีออกมาจากคุกทาร์ทารัสร่ายใส่ จนเป็นเหตุใดพระวรกายอ่อนแอ แทบไม่อาจเสด็จออกไปไหนได้



บานประตูหนาหนักของห้องบรรทมถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของสองเทพนักรบ บริเวณกึ่งกลางภายในห้องบรรทมคือเตียงนอนหลังใหญ่อันเป็นที่ประทับขององค์ราชันแห่งยมโลก มีร่างอรชรภายใต้อาภรณ์สีขาวนั่งขนาบข้างอยู่ ต่ำลงมาคือเหล่ามอยเร สามเทวีผู้เป็นข้ารับใช้ของเทพเฮเดส
“มาจนได้นะธานาทอส” สุรเสียงดุดันดั่งฟ้าคำรนดังขึ้นอย่างไม่สบพระอารมณ์นัก
“ฝ่าบาททรงแข็งแรงขึ้นนะพระเจ้าค่ะ น่าจะเป็นเพราะหญ้าภูตที่องค์รานีทรงหามา” ธานาทอสรีบชิงเอ่ยทูลทันที

“ข้าเพิ่งจะกินมันไปไม่ถึงนาทีก่อน มันจะออกฤทธิ์เร็วขนาดนั้นได้ยังไง”
“เร็วพระเจ้าค่ะ ถ้าทรงโดนมนตราของพวกปีศาจละก็ หญ้าภูตนี่รักษาได้ชะงักนัก”
ดวงเนตรสีดำคมกริบตวัดมองเทพแห่งความตายด้วยแววเรืองโรจน์ แต่ก็ไม่อาจตรัสสิ่งใดออกมาได้ด้วยเกรงว่าคนตัวเล็กข้างวรกายจะยิ่งเป็นกังวลหนักขึ้น
“ข้าใกล้หายแล้ว” รับสั่งออกมาในที่สุด
เป็นผลให้ดวงหน้าหวานของคนนั่งเป็นห่วงอยู่ข้างๆเผยรอยยิ้มสดใสขึ้น มือบางเอื้อมมาสัมผัสบนพระนลาฏก่อนจะไล่ตามลงมายังปรางทั้งสอง แล้วก็ได้แต่ทำหน้ามุ่ยลง

“ใกล้หายแล้วจริงๆนะคะดิส” พริมาอดถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ดีนักยามเห็นองค์ราชันผู้เป็นใหญ่ประชวรจนไม่อาจเสด็จออกไปไหนได้
ก็พระองค์ทรงแข็งแรงหนักหนา สิ่งที่ทำให้ประชวรได้คงน่ากลัวไม่น้อยเลยทีเดียว
มือบางที่สัมผัสอยู่บนปรางถูกดึงไปประทับจุมพิตหนักๆบนหลังมือ แล้วทรงเกาะกุมไว้ ไม่ยอมปล่อยไปไหน
“หายสิ พักอีกไม่กี่วันก็หายแล้ว เจ้าก็ห่วงเกินเหตุ ข้าไม่เป็นไรเสียหน่อย” เทพเฮเดสรับสั่งอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกนัก
“ก็พริ้งเป็นห่วงคุณนี่คะ” เสียงหวานบ่นงึมงำ

“ข้ารู้” ดวงพักตร์ดุดันอยู่เป็นนิจอ่อนโยนลงยามทอดพระเนตรมาทางผู้เป็นดั่งดวงใจ หัตถ์ข้างที่ว่างอยู่เอื้อมมาลูบผมของหญิงสาวตรงหน้า ก่อนจะรั้งคนตัวเล็กกว่าโน้มต่ำลงมาจนสามารถประทับโอษฐ์ลงบนหน้าผากมนได้ “ข้าดีใจที่เจ้าเป็นห่วงข้า แต่ขอร้องเถอะ ไม่ต้องทำอะไรเพื่อข้านัก รู้รึเปล่าว่าเจ้าไม่ควรออกไปนอกปราสาทตามลำพัง” ท้ายประโยค สุรเสียงขององค์ราชันกลับมาดุดันขึ้น
แต่วันเวลาที่อยู่ร่วมกันมาช่วยให้หญิงสาวมีภูมิคุ้มกันต่อสุรเสียงทรงอำนาจมากขึ้น พริมาจึงส่งยิ้มหวานกลับไปอย่างไม่นึกกลัวเหมือนกาลก่อน

“ไม่ได้ออกไปคนเดียวเสียหน่อย ธานาทอสก็ไปด้วย”
“เจ้านั่นไปด้วยจะมีประโยชน์อะไร ข้างนอกมีแต่อันตรายมากมาย ข้าไม่ไว้ใจให้ผู้ใดมาปกป้องเจ้า” สุรเสียงที่ตรัสออกมายังขุ่นเขียวไม่หาย
ความห่วงหาที่มีต่อพริมาไม่เคยลดน้อยลงเลยสักครา ตรงกันข้ามยิ่งนับวันที่มีเธออยู่เคียงข้าง เทพเจ้าผู้เรืองฤทธิ์อย่างพระองค์กลับยิ่งทรงห่วงและหวงมนุษย์สาวมากขึ้น
“ไม่เห็นมีอะไรเลยค่ะ พริ้งให้ธานาทอสนำทางไปถึงแค่แคว้นการปกครองที่หนึ่งเอง พวกปีศาจพฤกษาในดินแดนนั้นออกจะน่ารัก ต้อนรับพริ้งดีจะตาย” พริมาตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตนัก
หญิงสาวเคยตามเสด็จไปยังดินแดนของเหล่าปีศาจพฤกษามาตั้งหลายครั้ง เธอจึงไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายอะไร

“แล้วมันผู้ใดบอกเจ้าว่าต้องไปหาหญ้าภูตมารักษาข้า” เทพเฮเดสทรงคาดคั้นต่อ นึกเข่นเขี้ยวในพระทัยว่าอยากจะจับเจ้าปากดีผู้นั้นมาลงโทษเสียให้เข็ด โทษฐานทำให้หทัยพระองค์ไม่เป็นสุขนัก
“ไม่มีใครบอกหรอก พริ้งอ่านมันเจอในหนังสือต่างหาก ก็คุณบอกว่าโดนมนตราของพวกปีศาจนี่คะ พริ้งเลยไปค้นดู หนังสือบอกว่าหญ้าตัวนี้จะช่วยคลายมนตราได้” พริมาตอบกลับไปตามความจริง แต่แล้วก็ต้องหันกลับไปมองเหล่าเทพและเทวีองค์อื่นๆในห้องซึ่งต่างพากันก้มหน้านิ่ง “อ้าว ทำไมล่ะ พริ้งพูดอะไรผิดเหรอ” เธอหันมาถามเหล่ามอยเร

“ไม่ผิดเพคะ เพียงแต่...” โคลโธพูดขึ้นเป็นองค์แรก แต่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดต่อด้วยความเกรงในพระบารมี
“องค์ราชันไม่ได้ทรงโดนมนตราของปีศาจหรอกเพคะ หญ้าภูตเลยไม่สามารถรักษาพระองค์ได้”
“อะโทรพอส!” สองเทวีแห่งโชคชะตาหันมาปรามเทวีองค์โตทันที
“หม่อนฉันคิดว่าพระองค์ไม่ควรปดองค์รานีเพคะ” อะโทรพอสทูลขึ้น เมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดยอมบอกความจริงแก่พริมาเสียที

“หมายความว่าอย่างไรคะ” คราวนี้นัยน์ตาหวานหันมาจดจ้องดวงพักตร์คมเข้มเบื้องหน้าเขม็ง
เทพเฮเดสถอนพระทัยออกมา หัตถ์หนายกขึ้นไล่บรรดาเทพและเทวีทั้งห้าให้ออกจากห้องบรรทม พร้อมรับสั่งคาดโทษ
“ไว้ข้าจะไปสะสางกับพวกเจ้าอีกที” ทรงหมายมั่นไว้



ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 มิ.ย. 2555, 23:36:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2555, 09:44:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2482





<< บทที่ 1/2 ปีศาจร้าย (รีไรท์-จบตอน)   บทที่ 2/2 อาการประชวร (รีไรท์-จบตอน) >>
ริญจน์ธร 18 มิ.ย. 2555, 23:44:20 น.
ตอนคอมเม้นค่า
คุณ ameerahTaec นั่นสิเนอะ คนเขียนเขียนเองยังแอบหมั่นไส้เลย

คุณ goldensun เจ้าสาวคนนี้จะเป็นยังไง ลองตามกันต่อนะค้า

คุณ phugan งั้นฉากนี้มีมาให้หวานเล็กๆ ไม่รู้มีใครจำคู่นี้ได้บ้างน้า

คุณ Zephyr หุหุ ยังไม่เฉลยค่า เป็นอาหารเย็นรึเปล่าน้า มาลุ้นกันต่อเนอะ

คุณ nako ปิดไว้ให้ติดตามค่ะ อีกสักตอนสองตอนจะมาเฉลยน้า

คุณ หมูอ้วน เสร็จรึเปล่าน้อ เดี๋ยวมีเฉลยแน่ค่ะ

คุณ lookAme ช่วยนางเอกใช่ไหมคะ ลองติดตามกันต่อไปเนอะ


อสิตา 19 มิ.ย. 2555, 00:32:53 น.
ตัวจริงไม่สบาย นิยายก็อัพชื่อตอนอาการประชวรอีก


หมูอ้วน 19 มิ.ย. 2555, 06:32:22 น.
หายป่วยไว ๆ นะค่ะ ทั้งไรเตอร์และท่านดิส หุหุหุ


goldensun 19 มิ.ย. 2555, 06:35:30 น.
ฮาเดสเจ็บอย่างนี้ ปีศาจก้ได้ใจสิ แล้วต้องใช้อะไรรักษา


Auuuu 19 มิ.ย. 2555, 06:44:53 น.
หายป่วยเร็วๆน้าาา
ป.ล. แอบดีใจ ได้เจอคู่นี้อีก หวังว่าจะไม่มีใครเป็นอะไรน้าาาา


nako 19 มิ.ย. 2555, 07:55:07 น.
หายป่วยไวไวนะ


ameerahTaec 19 มิ.ย. 2555, 08:04:09 น.
โอ๊ะ ฮาเดสเป็นอะไร


Zephyr 19 มิ.ย. 2555, 19:51:37 น.
อ่าว แหม เฮียเฮเดส กลัวเมียซะงั้น 5555 หมดกัน
แต่เอ ไปโดนใครพ่นใส่มานะ หนูมีมี่โดนพริ้งขโมยซีน อิอิ จะโดนน้าเพียงเพชรขโมยอีกคนมั้ยน้า
เธอรับเชิญเรื่องนี้ด้วยป่าวน้า
หายเร็วๆนะพี่มูน พักเยอะๆ อย่าอัพนิยายจนไม่ได้นอนนะจ้ะ


lookAme 19 มิ.ย. 2555, 22:02:55 น.
ป่วยทั้งไรเตอร์และดิสเลย ขอให้หายป่วยทั้งคู่นะค่ะ ส่วนดิสก็ขอให้ผ่านการซักฟอกจากหนูพริ้งเพิ่มอีกอย่าง อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account