ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า

ตอน: ตอนที่ 1

ตอนที่ 1
ณ คฤหาสน์ของตระกูลวิริยะอนันต์ บ้านหลังใหญ่โตราคาหลายล้านตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางบ้านเศรษฐีน้อยใหญ่หลายหลังในละแวกนั้น แต่ไม่มีแม้สักหลังดียวที่จะมีรัศมีโดดเด่นเท่าคฤหาสน์หลังงามหลังนี้เลย
หญิงสาวร่างเล็กบางในชุดนักศึกษาสีขาวสะอาด หน้าอกเสื้อติดเข็มกลัดและกระดุมบ่งบอกได้ถึงสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง หล่อนค่อยๆเดินย่างกรายเข้าไปตามทางของบ้านแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ดวงตาคู่สวยฉายแวววิตกและกังวลไม่น้อยเลย เธอหันซ้ายทีขวาทีอย่างหวาดระแวงก่อนตัดสินใจตะโกนเรียกชื่อคนที่เธอคุ้นเคย
“คุณพ่อคะ นมอ้วน นมอ้วนอยู่ไหนจ๊ะ ได้ยินเสียงทับทิมไหม ช่วยตอบด้วย หายไปไหนกันหมดเนี่ย” พิชชาอร หรือชื่อเล่นคือทับทิม ลูกสาวคนเดียวของภากร วิริยะอนันต์ นักธุรกิจใหญ่ผู้เป็นประธานบริษัทผลิตอะไหล่รถยนต์ส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของไทย ส่งเสียงใสๆซึ่งเปื้อนด้วยความสั่นในลำคอเล็กน้อยเพื่อเรียกผู้เป็นพ่อและแม่นมคนสนิทของเธอที่ดูแลเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่วันที่มารดาของเธอจากไปหลงจากที่คลอดเธอของมาได้ไม่ถึงหนึ่งปี
ทว่า ไม่ว่าพิชชาอรจะส่งเสียงเรียกแค่ไหนก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมาเลย หญิงสาวรู้สึกขนลุกตั้งชันไปทั้งร่างอย่างไม่ทราบสาเหตุ เวลานี้เป็นเวลาเพียงสองทุ่มเศษๆเท่านั้นเองแต่ทำไมบ้านถึงได้เงียบผิดปรกติอย่างนี้ ราวกับว่าไม่มีใครอยู่เลย
“เพล้ง!..” พิชชาอรสะดุ้งสุดตัวทันทีที่ได้ยินเสียงเหมือนของหนักๆเหมือนแก้วหรือแจกันตกลงกระแทกพื้น หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นไปมองด้านบนทันใด
“เสียงดังมาจากห้องคุณพ่อนี่” พิชชาอรพึมพำเบาๆอย่างร้อนรน ก่อนจะพาตัวเองวิ่งขึ้นไปตามบันใดอย่างรวดเร็วเพื่อตรงไปยังจุดหมายปลายทางนั่นก็คือห้องนอนของผู้เป็นพ่อ
เมื่อพิชชาอรทั้งวิ่งทั้งเดินไปหยุดที่หน้าประตูห้องของภากร หญิงสาวทำท่าจะหมุนลูกบิดประตูเพื่อเปิดเข้าไปแต่เธอก็ต้องชะงักไว้อย่างนั้นเพื่อได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากข้างในห้อง
“แก ไอ้พัฒน์ ไอ้น้องทรยศ แกทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน แกร่วมมือกับนังผู้หญิงชั่วคนนี้โกงบริษัทไปได้อย่างไรกัน ไอ้คนเห็นแก่ตัว” ภากรส่งเสียงดังอย่างเครียดจัด พลางจ้องหน้าพิพัฒน์ น้องชายต่างมารดาของตนและนงลักษณ์ภรรยาของพิพัฒน์ตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนมือของเขาก็กุมอยู่ที่ศรีษะของตัวเองเนื่องจากพลาดท่าถูกแจกันไปโตฟาดโดยฝีมือน้องชายของเขา
“ช่วยไม่ได้นี่ ก็พี่มันโง่เอง แล้วตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่คนโง่ๆอย่างพี่ต้องลงจากตำแหน่งประธานแล้วล่ะ” พิพัฒน์แสยะยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ภากรได้ฟังแล้วหางตากระตุกเล็กน้อย
“แกหมายความว่าไง”สิ้นสุดคำถามของภากร พิพัฒน์ก็ชักอาวุธสงครามสีดำสนิทขนาดเหมาะมือขึ้นมาเล็งไปที่ภากรทันที ชายวัยกลางคนชะงักเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึงว่าน้องชายที่เขาไว้วางใจให้ร่วมดูแลกิจการจะทรยศเขาได้ถึงเพียงนี้
“ไอ้น้องชั่ว! แกคิดจะทำอะไร แกคิดว่าแกฆ่าฉันแล้วแกจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปอย่างนั้นเหรอ” ภากรถามน้ำเสียงสั่นๆอย่างกล้าๆกลัว พิพัฒน์ หันไปยิ้มให้นงลักษณ์ ภรรยารุ่นราวคราวเดียวกันอย่างมีเลศนัย
“โถๆๆ คุณพี่คะ ไม่เห็นต้องถามอะไรโง่ๆเลย เมื่อไม่มีคุณพี่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของตระกูลวิริยะอนันต์ก็ต้องตกเป็นของพิพัฒน์ น้องชายคนเดียวของพี่อยู่แล้ว” นงลักษณ์พูดขึ้นอย่างลำพองใจ ก่อนหันไปยิ้มให้พิพัฒน์อย่างมีเลศนัย
“เอาเลย! อยากจะทำอะไรฉันก็ทำเลยไอ้น้องทรยศ” ภากรพูดขึ้นอย่างกล้าได้กล้าเสีย ก่อนชายตามองสองสามีภรรยาตรงหน้าด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ พิพัฒน์หันมามองหน้านงลักษณ์อีกครั้งแล้วพยักหน้าเบาๆให้ภรรยา นงลักษณ์เข้าใจความหมายของสามี หล่อนจึงหันหลังไปหยิบสิ่งหนึ่งที่วางไว้บนโต๊ะด้านหลัง ของสิ่งนั้นก็คือ แก้วใสทรงสวยบรรจุด้วยน้ำส้มสีสดน่าดื่ม เดินตรงมายื่นให้ภากร พิพัฒน์เดินเข้ามาใกล้ๆพี่ชายต่างมารดาอีกครั้งแล้วใช้ปลายกระบอกปืนจ่อหัวภากรในระยะประชั้นชิด ก่อนพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
“ดื่มน้ำส้มนี่ให้หมด แล้วทุกอย่างระหว่างผมกับพี่จะได้สิ้นสุดกัน” ภากรจ้องหน้าพิพัฒน์ตาเขม็งทันทีที่พิพัฒน์พูดจบ แล้วชายวัยกลางคนก็เกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปรับแก้วน้ำส้มมาถือไว้ในมืออย่างช้าๆแล้วจ้องมองอย่างพิจารณา ไม่ต้องคิดอะไรมาก พิพัฒน์น้องการปลิดชีพเขาด้วยการให้ดื่มน้ำส้มผสมยาพิษในแก้วนี้นั่นเอง ภากรจ้องมองแก้วน้ำส้มนั้นเพียงอึดใจ ฉับพลัน ภาพของพิชชาอรลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาก็ผุดขึ้นมา ถ้าหากเขาเป็นอะไรไปในตอนนี้ พิชชาอรต้องลำบากแน่ๆ เพราะพิพัฒน์ก็คงไม่ปล่อยให้ลูกสาวเพียงคนเดียวของเขาเชิดหน้าชูตาอยู่ได้แน่นอน
ทันใดนั้นเอง แก้วน้ำส้มสีสดนั้นก็ถูกภากรสาดใส่เข้าที่ใบหน้าที่พอกด้วยเครื่องสำอางหนาจัดของนงลักษณ์อย่างรวดเร็ว นงลักษณ์กรีดร้องลั่นอย่างคาดไม่ถึง พลางดีดตัวออกห่างภากรทันที ภากรอาศัยจังหวะที่พิพัฒน์และนงลักษณ์กำลังตกใจ รีบตรงเข้าไปแย่งปืนจากมือของพิพัฒน์อย่างรวดเร็ว ทั้งพิพัฒน์และภากรต่างแย่งกันเพื่อจะเอาอาวุธมาเป็นของตนให้ได้
“ฤทธิ์มากนักนะ แต่ยังไงวันนี้ แกก็ต้องตาย” พิพัฒน์เข่นเขี้ยวพูดพลางทำตาทมึงส่งให้ภากร แต่ภากรไม่มีทีท่าว่าจะสั่นกลัวให้เห็นแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังออกแรงฮึดมากขึ้นกว่าเดิม
“ปัง!” เสียงปืนดังขึ้น ทำเอาดวงตาคู่สวยที่กำลังมองลอดผ่านช่องประตูห้องนั้นเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด หญิงสาวมองเห็นชายวัยกลางคนที่ค่อยๆทรุดร่วงลงไปนอนกับพื้นอย่างเจ็บปวด ซึ่งชายคนนั้นคือพ่อของเธอนั่นเอง
“คุณพ่อ!” พิชชาอรพูดเสียงสั่นอย่างอ่อนแรง พลางใช้มือปิดปากทันควัน แล้วน้ำตาใสๆ ก็รินไหลออกมาอย่างปวดร้าว ที่ต้องเห็นผู้เป็นพ่อถูกสังหารต่อหน้าต่อตา
“หึ ไปดีนะพี่ชาย ไม่ต้องห่วงทางนี้ เดี๋ยวกิจการ ทรัพย์สินและมรดกทั้งหมด เดี๋ยวผมจะดูแลให้เอง รวมถึงยัยทับทิมลูกสาวของพี่ด้วย ผมจะดูแลให้อย่างดีเลย” พิพัฒน์พูดกับร่างพี่ชายต่างมารดาที่นอนหายใจรวยริน มือหนาของภากรยังคงกุมบาดแผลที่ถูกยิงบริเวณหน้าอกข้างซ้ายพอดี แต่ทว่าสายตาอาฆาตของภากรยังคงส่งไปให้พิพัฒน์ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่พิพัฒน์ก็ไม่มีทีท่าสะทกสะท้านแม้แต่น้อย จนกระทั่งลมหายใจเฮือกสุดท้ายของภากรหมดสิ้นลง แล้วเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของพิพัฒน์และนงลักษณ์ก็ดังขึ้นตามมา
พิชชาอรสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ความรู้สึกสับสน มึนงง เสียใจ พากันวิ่งเข้าหาเธอโดยไม่ทันตั้งตัว หญิงสาวยืนนิ่ง มือสั่นชาไปหมด กับการที่ต้องมารับรู้เห็นเหตุการ์ณ์เลวร้ายเช่นนี้ เธอได้แต่ส่ายหัวไปมาเบาๆพร้อมกับบอกตัวเองในใจว่าขอให้สิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ความฝัน อย่าได้เป็นความจริงเลย
แต่แล้วพิชชาอรก็ขนลุกตั้งชันขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินสองสามีภรรยาคุยกันในห้อง
“แล้วลูกสาวของมันล่ะ เราจะจัดการยังไง” นงลักษณ์พูดขึ้น พิพัฒน์หันมามองหน้าภรรยาสีหน้าครุ่นคิด
“ยังไงยัยทับทิมก็ไม่มีพิษสงอะไรกับเราอยู่แล้ว ท่าทางโง่ๆ เซ่อๆ อย่างนั้น ทำอะไรเราไม่ได้หรอก”
“หมายความว่าไง คุณจะปล่อยให้นังเด็กนั่นอยู่เป็นเสี้ยนหนามของเราหรือไง” นงลักษณ์โวยวายทันทีที่พิพัฒน์พูดจบ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างร้อนรน
“คุณอย่าลืมนะว่าไอ้แก่นี่มันทำพินัยกรรมเอาไว้ แล้วในพินัยกรรมมันอาจจะยกทรัพย์สมบัติให้ลูกสาวมันคนเดียวก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้น เราสองคนอาจจะไม่ได้อะไรเลยนะ อย่างดีก็อาจจะได้แค่เศษเงินเล็กๆน้อยๆจากมันเท่านั้น” พิพัฒน์พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ภรรยาพูด
“แล้วจะให้ผมทำยังไง” พิพัฒน์เอ่ยถามหยั่งเชิง ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าภรรยาต้องการจะทำอะไรกับหลานสาวตนเอง
“ส่งมันไปอยู่กับพ่อมันซะ!” พิชชาอรเบิกตากว้างทันทีที่สิ้นสุดคำพูดอย่างเลือดเย็นของนงลักษณ์ หญิงสาวน้ำตาร่วงอีกครั้ง พร้อมกับหัวใจดวงน้อยของเธอเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว พิชชาอรคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ใหญ่ทั้งสองคนที่เธอเคยเคารพนับถือ จะมีจิตใจที่ร้ายกาจเลือดเย็นและเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ หญิงสาวได้แต่ร้องไห้และส่ายหัวไปมาด้วยความเสียใจสุดชีวิต ที่เธอต้องสูญเสียผู้บังเกิดเกล้าไป พร้อมกับต้องมารับรู้ธาตุแท้อันโหดเหี้ยมของอาของเธอเอง ที่ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่ชายของตัวเอง เพียงเพราะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติอันมหาศาล และผลประโยชน์ส่วนตน ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจนัก นี่เท่ากับว่าในเวลานี้เธอเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกแล้วอย่างนั้นหรือ เธอไม่เหลือใครให้เป็นที่พึ่งแล้วใช่ไหม และตอนนี้เธอก็กำลังจะถูกกำจัดเป็นรายต่อไป
พิชชาอรบอกตัวเองในใจอย่างนั้น แล้วสัญชาตญาณก็บอกกับเธออีกว่า เธอต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด หล่อนจึงค่อยๆถอยหลังออกมาอย่างช้าๆ มือเล็กๆบางๆของเธอก็ยังคงปาดน้ำตาที่รินไหลออกมาไม่หยุด ทว่าพิชชาอรรู้สึกว่าตัวเองพลาดเข้าให้แล้วเมื่อเธอถอยหลังอย่างไม่ระวัง พลาดไปชนกับโต๊ะที่วางแจกันหล่นเสียได้
“เพล้ง!”
“เสียงอะไร” พิพัฒน์พูดขึ้นกับนงลักษณ์ทันที ที่ได้ยินเสียงของตกดังมาจากหน้าห้อง
“มีคนแอบฟังเราอยู่หน้าห้อง!” นงลักษณ์พูดพลางหันมามองหน้าพิพัฒน์หน้ายุ่ง แล้วทั้งสองคนก็พากันเดินออกไปเพื่อจะดูข้างนอกห้องทันที พิพัฒน์จับปืนในมือให้กระชับและอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเสมอ
พิชชาอรเองก็ไม่รอช้าเช่นกัน หญิงสาวรู้สึกเหมือนมัจจุราชกำลังไล่ล่าเอาชีวิตเธอเสียจริง เพราะฉะนั้นเธอต้องรีบหนี หนี และหนีไปให้ไกลที่สุด
พิพัฒน์และนงลักษณ์เดินออกมานอกห้องและเห็นหลังไวๆวิ่งลงบันใดไปอย่างลุกลี้ลุกลน สองสามีภรรยาเดาได้ทันทีว่าเป็นใคร
“นังทับทิมนี่ แสดงว่ามันรู้เห็นทุกอย่างหมดแล้ว!” นงลักษณ์พูดอย่างแค้นใจ ก่อนจะคว้าปืนในมือของพิพัฒน์มาแล้วไล่ตามไปทันที พิพัฒน์จึงวิ่งตามไปติดๆ
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย มีใครอยู่ในบ้านนี้บ้าง ช่วยทับทิมด้วย!” พิชชาอรจนมุมไม่รู้จะทำอย่างไร เมื่อเธอถูกนงลักษณ์และพิพัฒน์ไล่ตามมาจนเกือบจะถึงตัวเธออยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เธออยู่ในชุดนักศึกษาทำให้วิ่งได้ลำบากนัก หญิงสาวรู้สึกว่าบ้านตัวเองหลังนี้ช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน กว่าจะวิ่งไปข้างนอกได้หนทางช่างยาวไกลจริงๆ
“หยุดนะ จะหนีไปไหน นังทับทิม!” นงลักษณ์ตวาดดังลั่น เมื่อไล่ตามสาวน้อยมาจนเกือบถึงตัว แต่พิชชาอรไม่ยอมหยุดง่ายๆ เธอยังคงวิ่งหนีไปอย่างไม่ลดละ มือบางทั้งสองของหญิงสาวยังคงปาดน้ำตาที่รินไหลออกมาไม่หยุด นงลักษณ์โกรธเลือดขึ้นหน้า เธอจึงเล็งปืนไปยังร่างเล็กบางที่กำลังวิ่งหนีตายอยู่ตรงหน้า หวังจะส่งสาวน้อยไปอยู่กับบิดาของเธอ เหมือนเคราะซ้ำกรรมซัด เจ้ากระโปรงนักศึกษาตัวสั้นแค่เข่าทำพิษจนได้ ทำให้พิชชาอรสะดุดขาตัวเองล้มลงไปนอนกับพื้น นงลักษณ์ยิ้มเยาะที่หญิงสาวหมดทางหนี พิพัฒน์เดินตามมาเห็นหลานสาวของตัวเอง นอนตัวสั่นเทาน้ำตาร่วงอยู่บนพ้นแล้วก็ให้น่าสงสารไม่น้อย
“ปล่อยทับทิมไปเถอะนะคะ คุณอาพัฒน์ กับอานง อย่าทำอะไรหนูเลย ฮือๆ” พิชชาอรร่ำไห้อ้อนวอนขอชีวิต ทว่าไม่มีแววตาสงสารจากนงลักษณ์แม้แต่น้อย
“หึ ปล่อยให้แกไปแจ้งตำรวจมาจับชั้นงั้นเหรอ แกเห็นหมดทุกอย่างแล้วนี่ ว่าฉันกับอาของแกฆ่าพ่อแกตาย เพราะฉะนั้น แกก็อย่าอยู่เลย” นงลักษณ์พูดพลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็น พิชชาอรได้ฟังแล้วขนลุกไปทั้งร่าง น้ำตายังคงรินไหลไม่หยุด เธอไม่รู้จะเอาตัวรอดอย่างไรแล้ว นี่คือความกลัวที่สุดในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้ หล่อนมองเห็นอาวุธในมือของนงลักษณ์ที่เล็งมาที่เธออย่างมั่นเหมาะ และเตรียมพร้อมที่จะเหนี่ยวไก และผู้เป็นอาแท้ๆของเธอก็ได้แต่ยืนดูเธอด้วยสายตาเย็นชาเหลือเกิน นี่เธอไม่เหลืออะไรแล้วใช่ไหม เธอสูญเสียทุกอย่างแล้ว เมื่อไม่มีพ่อ ชีวิตเธอก็ไม่มีความหมาย ในเมื่ออาทั้งสองคนที่เธอเคยเคารพรักก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ เธอก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร
“หนูไม่คิดเลยว่าคุณอาที่หนูเคยรักและนับถือจะใจร้ายใจดำได้ขนาดนี้ ฆ่าได้แม้กระทั้งพี่ชายของตัวเอง เพียงเพราะหวังผลประโยชน์ของตระกูล เห็นแก่ตัวที่สุด!” พิชชาอรสบถออกมาทั้งน้ำตา ด้วยคิดว่าคงไม่มีอะไรจะเสียแน่แล้ว ยังไงวันนี้เธอคงไม่รอดแน่
“ปากดีนักนะ นี่แน่ะ!” นงลักษณ์ฟาดฝ่ามือไปที่แก้มเนียนใสของพิชชาอรเต็มแรง ทำให้หญิงสาวหน้าหงายไปตามแรงตบของหญิงวัยกลางคน แล้วเลือดสีแดงสดไหลออกมาซึมๆที่มุมปากของหญิงสาว
“นี่คุณ ทำอะไรน่ะ” พิพัฒน์พูดขึ้นอย่างเคืองๆ ด้วยนึกสงสารหลานสาวคนเดียวของเขาขึ้นมา ทำให้นงลักษณ์หันมามองสามีตาเขียว
“ทำไม ฉันแตะต้องหลานสาวคุณไม่ได้หรือไง หรือว่าคุณจะใจอ่อนยอมปล่อยมันไปอย่างนั้นหรือ คุณอย่าลืมนะว่ามันรู้ว่าคุณฆ่าพ่อมันนะ” พิพัฒน์ได้ฟังคำพูดของภรรยาแล้วชั่งใจอยู่นาน พิชชาอรเป็นหลานสาวที่เขาเอ็นดูมาแต่เล็กแต่น้อย และถึงแม้จะมีลูกแล้ว เขาก็ยังเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากเป็นพิเศษ และเขาก็ไม่เคยคิดจะทำกับหลานสาวคนนี้เหมือนที่ทำกับพ่อของเธอด้วย แต่เมื่อเธอได้มารู้เห็นหมดทุกอย่างแล้ว ตัวเขาเองคงไม่กล้าปล่อยให้หลานสาวคนนี้พาเข้าคุกเข้าตะรางแน่
“เอาเลยสิคะ อยากทำอะไรก็ทำเลย อยากจะยิงหนูก็รีบๆยิงเลยสิคะ ทรัพย์สมบัติของพ่อจะได้ตกเป็นของพวกคุณไงล่ะ ถ้าอยากจะได้กันนัก ก็รีบๆจัดการหนูเลย”
“แกท้าฉันเหรอ นังตัวดี” นงลักษณ์กัดฟันพูดพลางใช้มือจิกผมหนานุ่มของพิชชาอรอย่างแรง จนหญิงสาวร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“ไม่ต้องกลัว วันนี้ฉันจะส่งแกไปลงนรกพร้อมกับพ่อแกแน่ๆ” นงลักษณ์เค้นเสียงลอดไรฟันออกมา ก่อนหันปลายกระบอกปืนเล็งเข้าหาศรีษะของหญิงสาว
พิชชาอรสู้สายตากับนงลักษณ์อย่างกล้าๆกลัวๆ ใบหน้างามหมดจดนั้นตอนนี้เปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา นงลักษณ์เตรียมจะลั่นไก พิพัฒน์หันหน้าหนีไปทางอื่นด้วยใจไม่แข็งพอ น่าแปลกที่เขากล้าลงมือฆ่าพี่ชายของเขา แต่เขาไม่กล้าที่จะลงมือฆ่าหลานสาวของเขา
“ปี๊นๆๆๆ” เสียงบีบแตรรถดังขึ้น ทำลายสถานการ์ณตึงเครียดภายในคฤหาสน์หลังนี้ได้เป็นอย่างดี นงลักษณ์รีบชักปืนกลับด้วยความตกใจ ก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“ใครมาอะไรตอนนี้เนี่ย” เสียงแตรรถยังดังต่อเนื่องไม่หยุด พิชชาอรอาศัยจังหวะที่นงลักษณ์และพิพัฒน์ให้ความสนใจกับเสียงแตรรถข้างนอก เธออาศัยจังหวะนี้ลุกขึ้นยืนแล้วใช้ร่างทั้งร่างทิ้งน้ำหนักใส่ร่างนงลักษณ์เต็มที่ ทำให้นงลักษณ์เสียหลักล้มลงกับพื้นและปืนก็หลุดหล่นจากมือและกระเด็นไปไกลพอสมควร พิพัฒน์ได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยตั้งตัวไม่ทัน พิชชาอรเริ่มมองเห็นทางรอดแล้วหล่อนก็ไม่รอช้ารีบพาตัวเองวิ่งหนีไปจากตรงนั้นทันที
“นังเด็กบ้า! มันหนีไปแล้วรีบตามมันไปสิ” นงลักษณ์ออกคำสั่งกับพิพัฒน์ อย่างบ้าคลั่ง ในขณะที่เสียงแตรรถยนต์ด้านนอกก็ยังคงดังไม่ขาดสาย ทำให้นงลักษณ์ต้องรีบลุกขึ้นวิ่งออกไปดูหน้าบ้านด้วยความสงสัย พิพัฒน์ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะวิ่งตามไปเช่นกัน
นงลักษณ์วิ่งออกไปดูหน้าบ้านอย่างร้อนรน พลางสอดส่ายสายตาออกไป จนทั่ว หล่อนมองหาทั้งพิชชาอรและมองไปยังนอกประตูรั้วเพื่อจะดูว่าใครคือผู้มาเยือน ที่บีบแตรรถเสียงดังรัวไม่หยุด
“หายไปไหนแล้วเนี่ย!” นงลักษณ์พูดน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อมองหาพิชชาอรจนทั่วแล้วก็ยังไม่เจอ ไม่คิดว่าหญิงสาวจะหายไปเร็วขนาดนี้ หล่อนจึงหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาแล้วกดโทรหาลูกน้องของเธอ
“ฮัลโหล นังทับทิมมันหนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แกรีบตามหามันให้เจอแล้วจัดการกับมันซะ” นงลักษณ์สั่งกับลูกน้องของตนเองอย่างร้อนรน เพื่อพูดจบก็รีบวางสายทันที
“ใครหายไปเหรอครับพี่นง” นงลักษณ์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มที่ฟังคุ้นๆหู หล่อนจึงหันหลังกลับไปดูพร้อมกับพิพัฒน์
“อินทัช!” นงลักษณ์และพิพัฒน์อุทานขึ้นพร้อมกัน เมื่อหันไปพบกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวสองสี ใบหน้ารกไปด้วยหนวดเคราแต่ทว่าไม่อาจปิดบังความหล่อเหลาได้เลย ชายหนุ่มคนนี้ก็คือ อินทัช บริรักษ์ศักดา น้องชายของนงลักษณ์ที่อายุห่างกันถึงสิบปี การมาเยือนของชายหนุ่มสร้างความประหลาดใจให้กับนงลักษณ์และพิพัฒน์ไม่น้อย เนื่องจากอินทัชเป็นเจ้าของไร่ชาและไร่สตอเบอรี่ที่แม่ฮ่องสอน เขานับว่าเป็นพ่อเลี้ยงผู้กว้างขวางคนหนึ่งของจังหวัดเลยทีเดียว และเขาก็ไม่เคยมาหาพี่สาวที่กรุงเทพเลย นับตั้งแต่นงลักษณ์แต่งงาน
“อินมาที่นี่ได้ยังไง ร้อยวันพันปีไม่เคยมา วันนี้นึกยังไงมาหาพี่เนี่ย” นงลักษณ์ทักทายน้องชายอย่างงงๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อยที่อินทัชมาได้จังหวะที่หล่อนกำลังทำเรื่องไม่ดีอยู่
“อ๋อ พอดีผมมาส่งของกับลูกน้องแถวนี้นะครับ คิดถึงพี่ก็เลยแวะมา” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบๆ พลางหันไปยิ้มให้พิพัฒน์ก่อนจะยกมือไหว้ทักทายอย่างนอบน้อม
“สวัสดีครับ พี่พัฒน์” พิพัฒน์รับไหว้พลางส่งยิ้มบางๆไปให้อย่างใจเย็น ต่างกับนงลักษณ์ที่มองดูน้องชายของตนเองอย่างสงสัย
“บ้านดูเงียบๆจังเลย ครับ คุณอาภากรไม่อยู่หรือครับ” อินทัชถามหาเจ้าของบ้านตามปรกติ แล้วชายหนุ่มก็สังเกตุเห็นว่าทั้งนงลักษณ์และพิพัฒน์ต่างมีสีหน้าซีดลงทันที ทั้งคู่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เมื่อเห็นอินทัชทำท่าจะอยากเข้าไปดูภายในบ้าน อินทัชจ้องหน้าทั้งคู่อย่างจับผิด และรอคอยคำตอบอยู่
ในขณะนั้นเอง อำพล ลูกน้องคนสนิทของอินทัชก็ดินเข้ามาพร้อมกับกระเช้าใส่ของพวกผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกลุ่มเกษตรกรแม่บ้านในไร่ของเขา ชายหนุ่มหันไปมองกระเช้าในมือของอำพล แล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบกระเซ้านั้นมาถือไว้ก่อนจะยื่นให้พี่สาวและพี่เขย
“นี่เป็น ชาและผลไม้แปรรูปจากไร่บริรักษ์ ที่ผลิตโดยกลุ่มแม่บ้านในไร่ของผมเองครับ นำมาฝากครับ” นงลักษณ์เอื้อมมือไปรับกระเช้าใบโตนั้นมาถือไว้ พลางส่งยิ้มไปให้เป็นการขอบคุณ อินทัชสังเกตเห็นสีหน้าและแววตาวอกแวกของพี่สาวแล้วอดสงสัยไม่น้อย ชายหนุ่มจึงลองถามหาเจ้าของบ้านอีกครั้ง
“แล้วตกลงคุณภากรอยู่ไหมครับ ผมอยากไปกราบสวัสดีท่านเสียหน่อย”
“เอ่อ พี่กรนอนแล้วน่ะ” พิพัฒน์ตอบอย่างไม่ค่อยเต็มปากเท่าไหร่ อินทัชขมวดคิ้วเข้มอย่างแปลกใจในความมีพิรุธของทั้งคู่ ทั้งๆที่เพิ่งจะหัวค่ำแท้ๆ ทำไมภากรเข้านอนเร็วจัง
“นี่เพิ่งจะสองทุ่มเองนะครับ คุณอาทำไมรีบนอนจัง” ทั้งพิพัฒน์และนงลักษณ์ ต่างยืนนิ่งราวกับหิน เหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังถูกชายหนุ่มจับผิดอยู่ แล้วนงลักษณ์ก็ฝืนยิ้มสู้ออกมาก่อนจะตอบออกมา
“อ๋อ พอดีพี่กรเขาไม่สบายน่ะจ้ะ เห็นบ่นว่าปวดหัวมาก ก็เลยนอนเร็วจ้ะวันนี้” อินทัชพยักหน้าเบาๆ เมื่อได้คำตอบจากพี่สาว ชายหนุ่มหันไปมองรอบๆบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ ดูเงียบๆวังเวงชอบกล
“แล้ว นี่คนรับใช้ไปไหนหมดล่ะครับ อย่าบอกนะว่าบ้านหลังใหญ่โตแต่ไม่มีคนรับใช้เลยน่ะ”
นงลักษณ์รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างอีกครั้งเมื่อถูกถามอย่างนี้ ด้วยรู้ดีว่าน้องชายของหล่อนนั้นช่างสังเกต และฉลาดรอบรู้แค่ไหน และดูท่าทางเหมือนเขาจะอยากรู้ให้ได้ด้วย เธอคงต้องรีบทำให้เขากลับไปให้เร็วที่สุดเสียแล้ว
“อ้อคือ คนรับใช้เขาก็ทำหน้าที่ของใครของมันอยู่ในบ้านนั่นแหละ เอ่อนี่อิน พี่ต้องขอโทษทีนะ ที่ไม่ได้ต้อนรับอะไรน้องเลย พอดีพี่กับคุณพัฒน์เราต้องรีบไปธุระข้างนอกน่ะ เดี๋ยวยังไงวันนี้เธอกลับไปก่อนแล้วกันนะ ไว้วันหลังจะมาโทรบอกพี่ก่อนละกัน พี่จะได้เตรียมตัวต้อนรับ แล้วก็ขอบใจสำหรับของฝากนะจ๊ะ” อินทัชและอำพลมองหน้ากันอย่างสงสัยในความลุกลี้ลุกลนของนงลักษณ์ อินทัชคิดอยู่แล้วว่าจ้ะต้องเกิดอะไรขึ้นในบ้านหลังนี้แน่ๆ เพราะเขารู้ดีว่าพี่สาวเขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานมากแค่ไหน และที่แต่งงานกับพิพัฒน์ก็เพราะทรัพย์สมบัติของตระกูลวิริยะอนันต์นั้นล่อตาล่อใจเหลือเกิน และเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งที่ต้องการแล้ว นงลักษณ์ก็ยินยอมที่จะทำทุกอย่าง ที่เขาลงมากรุงเทพวันนี้ก็เพราะรู้ข่าวจากคนของนงลักษณ์ที่ยังภักดีกับเขานั้นส่งข่าวไปบอกว่าหล่อนกำลังคิดการใหญ่ เขาจึงรีบมาหวังเพื่อจะห้ามพี่สาวได้ทัน แต่ดูท่าทางเขาคงมาสายไปเสียแล้ว ถ้าหากว่านงลักษณ์คิดจะทำเรื่องเห็นแก่ตัวจริงๆ
“งั้นผมลากลับก่อนนะครับ สวัสดีครับ” อินทัชกล่าวลาพี่สาวและพี่เขย แล้วส่งยิ้มให้ทั้งคู่อย่างเป็นกันเอง ก่อนหันหลังกลับ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบนคฤหาสน์หลังงามอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกวังเวงชอบกล เขาไม่เคยรู้จักกับภากร วิริยะอนันต์ เป็นการส่วนตัว แต่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขาในแวดวงนักธุรกิจ แล้วเคยพบกันเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในงานแต่งงานของนงลักษณ์กับพิพัฒน์เมื่อหลายปีก่อน แต่วันนี้อินทัชรู้สึกเป็นห่วงเจ้าของบ้านหลังนี้ขึ้นมาอย่างมาก และหวังลึกๆในใจว่าทุกคงในบ้านหลังนี้คงปลอดภัยดี
พิชชาอรยังคงทั้งวิ่งทั้งเดินหนีไปอย่างไม่ลดละ เธอเดินลัดเลาะไปตามรั้วบ้านหลังงาม เวลานี้ค่อนข้างมืด เป็นคืนเดือนมืดเสียด้วย แต่ยังพอมีแสงไฟจากไฟส่องทางตามถนนส่องให้หญิงสาวได้มองเห็นทาง หล่อนยังคงเดินไปเรื่อยๆอย่างไร้จุดหมายปลายทาง ออกจากบ้านมาไม่ไกลเท่าไรนัก แต่พิชชาอรรู้สึกเหมือนมันช่างไกลแสนไกลเหลือเกิน แล้วนี่เธอจะเดินไปที่ไหน และไปหาใครก็ยังไม่รู้เลย เพราะมันคิดอะไรไม่ออก มันสับสนและอ้างว้างไปหมดแล้ว
พิชชาอรยังคงเดินไปเรื่อยโดยไม่ได้ระมัดระวังตัวเท่าไหร่นัก เธอจึงไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีภัยที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาอีกครั้ง
ชายหนุ่มลอบมองร่างอรชรอ้อนแอ้นแล้วให้นึกเสียดายนักถ้าหากจะจัดการกับเธอไปเฉยๆ โดยไม่ได้ชื่นชมเรือนร่างที่งดงามนั้น แล้วหล่อนก็เป็นถึงลูกสาวมหาเศรษฐีที่เขาไม่มีวันเอื้อมถึงเสียด้วย วันนี้แหละได้โอกาสเหมาะเลย ก่อนจะทำตามคำสั่งเจ้านาย ขอทำตามสัญชาตญาณดิบของตัวเองสักหน่อย
สิ้นสุดความคิดชั่วร้าย ชายร่างโตก็เร่งฝีเท้าก้าวเดินให้ทันหญิงสาว แล้วในที่สุดเขาก็ใช้ฝ่ามือใหญ่และหนาปิดปากพิชชาอรทันที พร้อมกับรวบแขนทั้งสองของเธอไพล่หลัง พิชชาอรตกใจอย่างสุดขีด นี่เธอเจออะไรเข้าอีกแล้วล่ะเนี่ย แต่ที่รู้ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หญิงสาวจึงพยายามดิ้นจนสุดกำลังพร้อมกับกรีดร้องให้คนช่วย แต่เสียงร้องของเธอก็ดังออกมาแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะปากถูกปิดด้วยฝ่ามือหนาและเหม็นสาบ
แล้วพิชชาอรก็จำต้องหยุดดิ้นโดยอัตโนมัติเมื่อแผ่นหลังของเธอสัมผัสเข้ากับวัตถุบางอย่าง
“หยุดร้องหยุดดิ้น แล้วเดินตามชั้นมาดีๆ ถ้าไม่อยากตาย” ชายนิรนามส่งเสียงขู่เบาๆ พร้อมกับปืนจี้ที่หลังเธอ พิชชาอรกลัวจนตัวสั่น พร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมาอีกครั้ง แต่หญิงสาวก็พยายามตั้งสติและยอมปล่อยให้ชายผู้นั้นพาเธอไปอย่างที่มันต้องการ
ชายนิรนามดันร่างพิชชาอรช้าๆ หญิงสาวก็จำต้องเดินไปข้างหน้าตามที่มันบอก เธออยากจะเห็นหน้าชายคนนี้นักเชียว อยากรู้ว่าจะเป็นคนที่เธอรู้จักหรือเปล่า
เดินมาไม่นานพิชชาอรก็ถูกผลักอย่างแรงจนล้มลง แล้วเธอก็พบว่าตัวเองนอนกองอยู่บนพงหญ้ารกทึบ ที่แสนจะมืดมิดและเปล่าเปลี่ยว ไม่อยากเชื่อเลยว่าย่านคนรวยที่มีแต่คฤหาสน์จะมีที่ๆเปลี่ยวและน่ากลัวขนาดนี้ พิชชาอรหันกลับไปมองหน้าชายผู้คิดจะทำมิดีมิร้ายกับเธอ แต่มันค่อนข้างมืดมองเห็นไม่ค่อยชัดเลย ทันใดนั้นเองอาวุธปืนก็เล็งมาที่เธออีกครั้งพร้อมกับเสียงดุๆที่สั่งกับเธอ
“ถอดเสื้อผ้าออก เร็วๆเข้า อยากตายหรือไง” พิชชาอรสะดุ้งและตกใจจนปากซีดตัวสั่น หญิงสาวลนลานทำอะไรไม่ถูก หล่อนมองซ้ายมองขวาเพื่อหาคนช่วยเหลือ แต่แล้วก็พบแต่ความมืดและพงหญ้าที่รกทึบ พิชชาอรหลับตาลงอย่างอ่อนล้าด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว ฉับพลัน ใบหน้าของภากรผู้เป็นพ่อของเธอก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้เธอตั้งสติขึ้นได้อีกครั้ง
“เร็วๆเข้า นังคุณหนู”ชายร่างโตตวาดใส่อีกครั้ง พิชชาอรค่อยยืนขึ้นช้าๆแล้วส่งยิ้มหวานอ่อนระทวยไปให้ ทำเอาชายหนุ่มถึงกับอึ้งไป ไม่คิดว่าหญิงสาวจะมีจริตจะก้านขนาดนี้
“วางปืนลงก่อนเถอะพี่ชาย” พิชชาอรกล้ำกลืนฝืนทนพูดจาอ่อนหวานใส่หวังให้ชายหนุ่มตายใจ ถึงตอนนี้ เธอเห็นหน้าลางๆและพอจะรู้แล้วว่าเป็นใคร หญิงสาวลอบกัดฟันกรอดอย่างแค้นใจ ชายผู้นี้ก็คือลูกน้องของนงลักษณ์ อาสะใภ้ของเธอนั่นเอง นงลักษณ์คงส่งมาเพื่อที่จะกำจัดเธอให้พ้นทาง แต่ชายผู้นี้เกิดอารมณ์เปลี่ยวกับเธอขึ้นมาก่อน ก็เลยคิดจะทำมิดีมิร้ายกับเธอก่อนแล้วค่อยลงมือฆ่าเธอนั่นเอง
พิชชาอรใช้มือบางเนียนนุ่มดันกระบอกปืนเบาๆ ชายหนุ่มก็ค่อยลดปืนลงทันใดราวกับต้องมนตร์สะกดของหญิงสาว จนปืนกระบอกที่อยู่ในมือชายร่างโตร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้า พิชชาอรฝืนยิ้มให้ชายผู้กระหายสวาทอย่างเจ้าเล่ห์ แต่ในใจหล่อนสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
“ทำไมต้องให้ทับทิมถอดเสื้อผ้าก่อนล่ะ พี่ชายน่ะ น่าจะถอดก่อนนะ” พิชชาอรแสร้งพูดอย่างออดอ้อนทั้งๆที่ในใจกลัวจนลนลาน สายตาหื่นกามจ้องใบหน้าสวยสะอาดผ่านแสงไฟสลัวอย่างเคลิบเคลิ้ม และเมื่อพิชชาอรขยับมือขึ้นไปลูบไล้บริเวณแผงอกของเขาทำเอาคนถูกกระทำแทบละลายอยู่ตรงนั้น มือบางของสาวน้อยยังคงไล่ต่ำมาเรื่อยๆ จนมาป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณเป้ากางเกง
แหวะ อยากจะอ้วก อี๋ พิชชาอรนึกขยะแขยงอยู่ในใจ ที่เธอต้องมาทำเรื่องบัดสีอย่างนี้ แต่เพื่อเอาตัวเองให้รอด ยังไงก็ต้องทำ
“นี่แน่ะ!”
“โอ้วววว โอ๊ยย” คนร้ายร้องเสียงหลงแทบไม่เป็นภาษาพร้อมกับล้มลงตัวงอคดคู้อยู่บนพื้น หลังจากรู้ตัวว่าถูกหญิงสาวหลอกใช้มารยาบีบกล่องดวงใจของเขาอย่างแรงจนแทบจะหลุดออกจากกาย เพราะเธอทั้งบีบทั้งดึงจนสุดแรงเกิด ความรู้สึกทั้งจุกทั้งเจ็บรวมกันเป็นทวีคูณ แต่เมื่อหันไปหาตัวคนที่ทำร้ายเขากลับหนีหายไปอย่างรวดเร็ว
“หายไปไหนแล้วนะ ไวยังกับลิงเลย อูย” ชายหนุ่มลูกน้องของนงลักษณ์บ่นอย่างเจ็บใจ ก่อนจะพยายามฝืนร่างกายของตัวเองลุกขึ้นเพื่อออกตามหาเธอให้พบแล้วรีบจัดการกับเธอ
พิชชาอรรีบวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอดอย่างรวดเร็ว หญิงสาวทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บเท้าระบมไปหมด เนื่องจากรองเท้าของเธอหล่นตอนที่ถูกคนร้ายพาไปที่พงหญ้านั่น หลังจากใช้อุบายจัดการกับมันแล้วเธอก็ต้องรีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตและไม่มีเวลาหยิบรองเท้าขึ้นมาสวมใส่
บริเวณนี้มีแต่บ้านหลังใหญ่โตและไม่ค่อยมีคนออกมาเดินกันนัก หญิงสาวมองหาใครสักคนเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่พบใครเลย ทว่าพิชชาอรมองเห็นรถกระบะสี่ประตูสีบรอนซ์เงินคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทาง แต่ดูเหมือนจะไม่มีคนนั่งอยู่ในรถ หญิงสาวมองรถคันนั้นอย่างพิจารณาแล้วก็พบว่ากระโปรงรถนั้นเปิดอยู่ พิชชาอรยิ้มอย่างดีใจว่าจะได้มีคนที่ช่วยเหลือเธอสักที หญิงสาวพอจะเดาออกว่ามีคนกำลังซ่อมรถอยู่ข้างหน้า เธออยากจะเดินเข้าไปขอความช่วยเหลือ และเมื่อเธอเดินไปดูหน้ากระโปรงรถที่เปิดอยู่ก็ไม่พบใครเลย หญิงสาวหน้ายุ่งขึ้นมาทันที เมื่อเธอมองไปด้านหลัง พิชชาอรก็เบิกตากว้างทันทีเมื่อพบว่าคนร้ายที่ถูกเธอบีบกล่องดวงใจเมื่อสักครู่นี้กำลังเดินโซซัดโซเซพยายามมองหาเธออยู่
แย่แล้วเรา เอาไงดี พิชชาอรหันซ้ายหันขวาเพื่อหาที่กำบังให้ได้ก่อน แล้วหญิงสาวก็ตัดสินใจโดดขึ้นกระบะคันงามตรงหน้าที่ท้ายกระบะนั้นมีลังกระดาษใส่ผลไม้และผ้าใบผืนหนาคลุมอยู่ พิชชาอรซ่อนตัวภายใต้ผ้าใบผืนนั้นทันที
หวังว่ามันคงไม่สงสัยนะ ว่าเราอยู่ในนี้ พิชชาอรคิดหวังอยู่ในใจในขณะที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าใบ สักพักหนึ่งนั้นเธอก็ได้ยินเสียงคนพูดดังขึ้น
“เฮ้อ ได้ปลดปล่อยแล้วค่อยยังชั่วหน่อย อั้นมาตั้งนานแล้ว” อำพลพูดขึ้นหลังจากออกมาจากพุ่มไม้ข้างทางที่เขาได้ไปปล่อยทุกข์มา แล้วชายหนุ่มก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อพบเจ้านายยืนทำหน้าเคร่งขรึมอยู่หน้ากระโปรงรถ
“อะอ้าว พ่อเลี้ยง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
“ก็มาตั้งแต่นายไปปลดปล่อยนั่นแหละ” อินทัชพูดเสียงดุๆอย่างไม่พอใจที่อำพลทิ้งรถไว้ไปทำธุระส่วนตัว
“ผมขอโทษครับพ่อเลี้ยง คือผมปวดฉี่จนทนไม่ไหวจริงๆครับก็เลยแอบไปฉี่ข้างหลังนี่เองครับ”
“น่าจะรอให้ฉันมาก่อน ถ้าของในรถฉันหายจะทำอย่างไร เงินทั้งนั้นเลยนะ” อินทัชพูดอย่างหงุดหงิดโดยไม่ฟังคำตอบใดๆจากอำพลอีก แล้วเขาก็เดินไปดูสภาพเครื่องยนต์ที่อยู่ก็มาดับเอาดื้อๆระหว่างทาง ชายหนุ่มหยิบอุปกรณ์ซ่อมรถแล้วลองตรวจเช็คเครื่องยนต์ดูด้วยตัวเอง เพื่อหาสาเหตุที่เครื่องดับไป
“เมื่อสักครู่นี้ผมลองตรวจเช็คไปรอบหนึ่งแล้วครับ สงสัยว่าแบบเตอรี่จะเสื่อมน่ะครับนาย” อำพลรายงานให้อินทัชฟัง ทำให้เห็นใบหน้าเข้มของเจ้านายเคร่งเครียดอีกครั้ง
“ฉันเดินไปหาดูร้านซ่อมรถแล้วก็ร้านขายอะไหล่ก็ไม่มีเลย เราคงต้องออกจากซอยนี้ให้ได้ก่อนแล้วค่อยหาศูนย์ซ่อมกัน” อินทัชพูดพลางเช็คเครื่องยนต์ต่างๆ
“ลองไปสตาร์ทรถดูซิ อำพล” อินทัชสั่งลูกน้องเบาๆ อำพลพยักหน้าแล้วเดินขึ้นรถไปติดเครื่องยนต์ทันที
“ติดแล้วครับพ่อเลี้ยง รถสตาร์ทติดแล้ว” อำพลร้องอย่างดีใจเมื่อเขาสตาร์ทรถติด อินทัชปิดกระโปรงรถลง แล้วเดินขึ้นรถไปนั่งข้างๆอำพล
“ไปได้แล้ว เราต้องกลับถึงไร่ก่อนสว่างนะ พรุ่งนี้ฉันมีงานต้องทำต่อ” อินทัชพูดเสียงเรียบๆโดยไม่หันมามองหน้าอำพลแม้แต่น้อย อำพลรีบออกรถทันทีเพราะไม่อยากทำให้เจ้านายของเขาฉุนมากไปกว่านี้
“ทีหลังก่อนจะออกเดินทางก็หัดเช็คสภาพเครื่องยนต์ซะบ้างนะ จะได้รู้ว่ามีอะไรสึกหรอไปบ้าง เกิดเครื่องมีปัญหาระหว่างเดินทางจะได้หาทางแก้ใขถูก” อินทัชอบรมลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยรอบคอบเท่าที่ควร ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเดินทางไกลจากแม่ฮ่องสอนมากรุงเทพ แต่กลับไม่เตรียมเช็ครถให้ดี เวลาเกิดปัญหาทีไรไม่พ้นเขาต้องคอยตามแก้เสมอ
พิชชาอรรู้สึกได้ถึงการขับเคลื่อนของรถ หญิงสาวเบิกตาโพลงพร้อมกับดีดตัวขึ้นด้วยความตกใจ
“เอ๊ะ รถเคลื่อนแล้ว จะพาไปไหนน่ะ” พิชชาอรรำพึงรำพันเบาๆ แล้วหล่อนก็โผล่ศีรษะออกมานอกผ้าใบเล็กน้อยเพื่อดูภายนอกเธอก็พบว่ารถกำลังขับเคลื่อนอยู่บนถนนใหญ่ ที่ห่างไกลบ้านของเธอไปทุกที
“ตายแล้ว ทำไงดีล่ะ เขาจะไปไหนกันก็ไม่รู้ เราจะเรียกเขาดีไหมนะ” พิชชาอรพูดกับตัวเองเบาๆอย่างครุ่นคิด หญิงสาวสองจิตสองใจว่าจะเรียกเจ้าของรถแล้วขอความช่วยเหลือจากเขา หรือจะอยู่เฉยๆในนี้แล้วปล่อยให้เขาขับรถไปเรื่อยๆจนถึงที่หมายของเขาดี เมื่อเขาจอดรถเธอค่อยหาทางกลับเองดีไหม แต่เธอก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเธอจะไปที่ไหนเหมือนกัน เพราะตอนนี้ชีวิตของเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าหากว่านงลักษณ์รู้ว่าตอนนี้เธอหนีรอดไปได้ จะต้องส่งคนมาตามหาตัวเธอจนเจอและจัดการเก็บเธอแน่ๆเลย
“จริงสิ แจ้งตำรวจดีกว่า” พิชชาอรตาเป็นประกายอย่างมีความหวังขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเอง คิ้วสวยก็ต้องขมวดเข้าหากัน เมื่อมีบางสิ่งส่งสัญญาณเตือนมาจากร่างกายภายใน
“โอ๊ย ท้องร้อง หิวจังเลย นี่เรายังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยงเลยนี่นา” หญิงสาวโอดครวญ แล้วเธอก็หันไปรอบกายก็พบว่าข้างกายเธอนั้นรายล้อมไปด้วยของกินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำชาเขียว ผลสตอร์เบอรี่สด และมีแบบแปรรูบเป็นแบบตากแห้งด้วย ซึ่งทุกอย่างห่อด้วยกระดาษและบรรจุไว้ในกล่องกระดาษอย่างเรียบร้อย พิชชาอรแอบน้ำลายหกด้วยความอยากกิน และด้วยความหิวที่ไม่ปรานีกับใคร เธอจึงอดรนทนไม่ไหวแล้ว มันยั่วน้ำลายเหลือเกิน
“ขอกินหน่อยนะ เดี๋ยวจะชดใช้ให้ทีหลัง” หญิงสาวขออนุญาตกับผู้เป็นเจ้าของผลไม้นี้เบาๆแม้เขาจะไม่ได้ยินก็ตาม แล้วเธอก็ถือวิสาสะหยิบผลสตอร์เบอรี่สดจากลังกระดาษมาหยิบใส่ปากด้วยความหิว
อื้อหือ เปรี้ยวหวาน อร่อยกำลังดีเลย หญิงสาวชื่นชมอยู่ในใจ เธอรู้สึกชอบใจสตอร์เบอรี่ที่ไร่นี้จริง ทั้งหวานทั้งสดทั้งนุ่มลิ้นดีจริงถึงแม้จะไม่ใช่อาหารที่หนักท้องแต่ก็สามารถช่วยบรรเทาความหิวได้เป็นอย่างดี พิชชาอรพลิกกล่องกระดาษไปมาเพื่อดูแหล่งที่มาของผลไม้แสนอร่อยนี้
ไร่บริรักษ์ศักดา พิชชาอรอ่านข้างกล่องอยู่ในใจ แล้วหญิงสาวก็ขมวดคิ้วหากันอีกครั้งด้วยความรู้สึกคุ้นๆกับชื่อไร่นี้อย่างบอกไม่ถูก แต่นึกเท่าไหร่ก็ยังนึกไม่ออก
น่าจะมีรูปเจ้าของไร่ติดไว้ข้างกล่องนะ จะได้รู้ว่าเป็นใคร พิชชาอรนึกในใจ แล้วหญิงสาวก็ไม่สนใจข้างกล่องอีก เธอหันมาสนใจกับผลไม้แสนอร่อยตรงหน้าแทน หญิงสาวหยิบสตอร์เบอรี่ใส่ปากลูกแล้วลูกเล่า อย่างไม่รู้จักอิ่ม เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังหันไปจัดการกับเจ้าสตอร์เบอรี่อบแห้งที่อยู่ในแพ็คเกตสะอาดตาอีก และยังหยิบขวดชาเขียวที่ข้างขวดบอกชื่อแบรนด์ บริรักษ์ศักดา มาดื่มกินอย่างเพลิดเพลิน
เวลาแห่งความอร่อยผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกของพิชชาอร เมื่อหญิงสาวเรอออกมาเบาๆอย่างไม่ทันตั้งตัว แทบไม่น่าเชื่อเลย เผลอแป๊บเดียวเธอกินทั้งผลไม้และน้ำชาตรงหน้าเกือบหมด เพราะความหิวแท้ๆเชียว พิชชาอรรู้สึกอิ่มมาก จนอยากจะพัก และด้วยความอ่อนเพลีย บวกกับความเหนื่อยล้า ทำให้พิชชาอรหยุดคิดเรื่องเครียดที่เพิ่งประสบมา แล้วค่อยๆเอนกายลงนอนบนพื้นที่ปูด้วยกล่องกระดาษที่แผ่เป็นแผ่นราบเรียบบนพื้นรถกระบะ หญิงสาวบอกกับตัวเองในใจว่าอยากพักสักงีบ เธอรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจเหลือเกิน ทั้งเหนื่อยทั้งเจ็บปวดมากมายกับเรื่องเลวร้ายที่เจอในวันนี้ และก่อนที่เธอจะพบกับความเจ็บปวดที่รอเธออยู่ในอนาคต ตอนนี้เธออยากพักกายพักใจเสียก่อน และเมื่อหญิงสาวหลับตาลง ภาพเหตุการ์ณเลวร้ายเมื่อสักครู่ก็ยังตามมารบกวนจิตใจเธอจนได้ ภาพที่สูญเสียพ่อไปต่อหน้าต่อตา มันช่างทำร้ายจิตใจหล่อนได้เป็นอย่างดี พิชชาอรปล่อยให้ภาพอันเหตุการ์ณเลวร้ายกับคนใจร้ายที่เธอนึกถึงนั้นคอยทิ่มแทงหัวใจที่บอบซ้ำของหล่อนอย่างเต็มที่ จนกระทั่งน้ำใสๆนั้นก็ไหลรินลงมาจากนัยน์ตา แม้เปลือกตาจะปิดอยู่ เธอก็ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มเนียนทั้งสองข้าง โดยไม่ยอมใช้มือปาดมันทิ้งแม้แต่น้อย แย่แล้วสิ ความอ่อนแอภายในจิตใจเริ่มทำหน้าที่ของมันแล้วใช่ไหม แล้วทำไมเธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ครอบครัวเธอก็ดูรักกันดี ไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันเลย เพราะผลประโยชน์อันมากมายมหาศาลที่ล่อตาล่อใจอย่างนั้นหรือที่เป็นต้นเหตุให้พ่อของเธอต้องตาย
ยิ่งคิดยิ่งเสียใจ สมองหนักอึ้ง พิชชาอรนอนหลับตาอย่างอ่อนเพลีย ยังไม่รู้แม้แต่ว่าเธอจะหนีไปอยู่ที่ไหน แล้ววันพรุ่งนี้ เธอจะทำอย่างไรดีกับชีวิต




พราวเพชร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 มิ.ย. 2555, 16:28:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มิ.ย. 2555, 16:28:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1248





   ตอนที่ 2 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account