ชื่นหัวใจ กลิ่นอายรัก
เศร้า เคล้า โรแมนติก
Tags: โรแมนติกดราม่า
ตอน: ตอนที่ 2
ตอนที่ 2
หมอกหนาจัดในยามเช้าปกคลุมทั่วพื้นที่ ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ยอดดอยสีเขียวนั้นถูกใช้เป็นพื้นที่ปลูกชารวมเนื้อที่กว่า 100 ไร่ บรรดาคนงานของไร่บริรักษ์ศักดาค่อยๆทยอยออกมาเก็บชากันแต่เช้าตรู่ เมื่อแสงอันอบอุ่นจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมา หมอกสีขาวปนเทาก็ค่อยๆจางหายไป เหลือเพียงไออุ่นของแสงแดดมาแทนที่ ยอดอ่อนใบชาสีเขียวสดใสชูช่อเบ่งบานรับกับแสงอาทิตย์เต็มที่ แต่มันก็อยู่รับแสงแดดบนต้นได้เพียงไม่นาน เจ้ายอดอ่อนใบชาก็ถูกเด็ดดึงไปโดยฝีมือของคนงานเก็บใบชานั่นเอง
รถกระบะสี่ประตูสีบรอนซ์เงินแล่นอย่างรวดเร็วผ่านไร่ชาที่ปลูกไล่เรียงไปตามเนินเขา ลดหลั่นกันแบบขั้นบันใด บรรดาคนงานหลายสิบคนที่ทำหน้าที่เก็บชาต่างให้ความสนใจกับรถคันนี้ทันทีที่เห็น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเจ้านายของพวกเขากลับมาแล้ว
รถจอดสนิทที่บ้านไม้ทรงไทยสองชั้นสีธรรมชาติเคลือบมันวาววับ ออกแบบอย่างหรูหราบ่งบอกได้ถึงฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี โอบล้อมด้วยไร่ชาละลานตา ดูแล้วเพลินตาเพลินใจกับผู้ที่ได้มาพบเห็น
“กลับถึงไร่เช้าจนได้ เห็นไหม มัวแต่เสียเวลาซ่อมรถ วันนี้ฉันมีนัดสำคัญที่ต้องรีบไปเสียด้วย” อินทัชบ่นอย่างหงุดหงิดทันทีที่เปิดประตูลงจากรถมาได้ บรรยากาศเย็นๆในยามเช้าไม่ช่วยให้ใจของชายหนุ่มเย็นลงได้เลย และเมื่ออินทัชยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาบนข้อมืออีกครั้ง ยิ่งทำให้ใบหน้าคมนั้นดูเคร่งเครียดขึ้นไปอีก
“พ่อเลี้ยงจะไปเลยหรือครับ ยังพักผ่อนไม่เต็มที่เลย” อำพลพูดขึ้นเกร็งๆหลังจากลงจากรถตามมา เขาเองก็นึกห่วงเจ้านายไม่น้อยที่ทำงานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ในจะเครียดเรื่องงาน แล้วยังจะเรื่องครอบครัวอีก เมื่อคืนนี้ทั้งเขาและพ่อเลี้ยงอินทัชก็สลับกันขับรถจากกรุงเทพมาแม่ฮ่องสอนโดยไม่ได้พักเลย
“ฉันต้องรีบไป วันนี้มีนัดประชุมใหญ่ของเกษตรกรไร่ชา แล้วฉันจะต้องเอาตัวอย่างผลิตภัณฑ์แปรรูปของไร่เราไปโชว์ด้วย” พูดจบอินทัชก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังเหลือผลิตภัณฑ์แปรรูปอยู่ท้ายรถ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังท้ายรถอย่างไม่รอช้า
และเมื่ออินทัชเปิดผ้าใบสีเขียวเข้มผืนหนาออก มีบางอย่างภายใต้ผ้าใบผืนนี้ที่ทำให้เขาตกใจ มีเรื่องผิดปรกติเกิด ขึ้นกับเขาอีกแล้วสิ!
หญิงสาวร่างเล็กบางในชุดนักศึกษานอนขดตัวอยู่บนรถท่ามกลางเศษกระดาษที่ใช้บรรจุสตอร์เบอรี่อบแห้งและขวดชาเขียวหลายขวดกองเกลื่อนกลาด เห็นแล้วดูออกได้ทันทีว่าผลไม้และชาเขียวถูกจัดการลงท้องของหญิงสาวผู้นี้เรียบร้อยแล้ว
อินทัชยืนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตะลึงระคนแปลกใจ เธอเป็นใครและมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน แถมยังขโมยกินผลไม้ของเขาเกือบหมด ชายหนุ่มมองใบหน้าหญิงสาวที่ดูมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่เธอก็ยังดูน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้มดี ชายหนุ่มเหมือนต้องมนต์สะกดทันทีที่ได้พบเธอ หญิงสาวยังคงหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย
“อ้าวเฮ้ย! ผู้หญิงที่ไหนมานอนท้ายรถพ่อเลี้ยงนี่ครับ” อำพลร้องออกมาอย่างตกใจทันทีที่เดินมาเห็นผู้หญิงนอนอยู่ในรถ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังล่ะ มาก็มาด้วยกัน เห็นก็เห็นพร้อมกัน” อินทัชตอบลูกน้องไปด้วยความสับสนและงงงวยเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะขยับปากพูดอะไรอีก สาวน้อยร่างอ้อนแอ้นที่นอนหลับอย่างสบายอยู่นั้นก็ค่อยขยับแขนขาไปมา พร้อมกับลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวตื่นเต็มตา ภาพแรกที่เธอได้เห็นทำเอาตาสว่างถึงขีดสุด
“พวกแกเป็นใครน่ะ อย่าทำอะไรฉันนะ!” พิชชาอรร้องวายทันทีพร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นนั่งและถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว หญิงสาวกอดตัวเองด้วยรู้สึกหนาวสั่นจับใจ พลางมองไปรอบๆเธอก็พบเนินเขาสูงที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นชา
และตรงหน้าเธอก็มีผู้ชายตัวโตสองคนยืนจ้องมองเธอราวกับเธอเป็นตัวประหลาด
“นี่เธอ ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่าเธอเป็นใคร แล้วมาอยู่บนรถฉันได้ยังไง” อินทัชพูดขึ้นเสียงดัง พลางจับจ้องใบหน้าขาวที่เริ่มซีดนั่นอย่างแปลกใจ ท่าทางหวาดกลัวและลุกลี้ลุกลนของสาวน้อยตรงหน้านี้เล่นเอาเขาทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“น้องครับ พวกผมไม่ทำอะไรน้องหรอก แค่แปลกใจเฉยๆที่น้องมาอยู่บนรถเจ้านายผมได้ยังไง แถมยังแอบกินชาเขียวกับสตอร์เบอรี่ของเจ้านายผมเกือบหมดเนี่ยครับ” อำพลพยายามพูดเพื่อเรียกสติของหญิงสาวคืนมา เพราะดูเหมือนเธอจะกลัวมากเหมือนคนเสียสติ
เพราะเพิ่งผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้เพียงข้ามคืน พิชชาอรจึงไม่อยากไว้ใจใครทั้งนั้น ตอนนี้เธอก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว และดูจากที่ที่เธออยู่ตรงนี้คงจะห่างไกลกรุงเทพมากพอดู ยังไงก็คงหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เอาล่ะ เป็นไงเป็นกันวินาทีนี้เธอต้องเอาตัวเองให้รอดให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที
“ว่าไงล่ะ สาวน้อย จะบอกได้หรือยังว่าเธอเป็นใคร แล้วมาอยู่บนรถรถฉันได้ไง” อินทัชถามเสียงเข้ม พิชชาอรจ้องมองแววตาคมสีน้ำตาลเข้มอย่างเคืองๆ ดูสิ เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาไม่ได้มีพิษภัยกับใครสักหน่อย ทำไมต้องจ้องมองเธอราวกับเธอเป็นโจรก่อการร้ายก็ไม่ปาน แถมยังทำเสียงดุๆใส่อีก
“คือ หนู หนู เอ่อ” พิชชาอรกำลังสับสนว่าจะบอกชายหนุ่มว่าอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่าชีวิตเธอตอนนี้ไม่ค่อยปลอดภัย แล้วชายหน้าเข้มที่ดูท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าตรงหน้านี้ถึงแม้เขาจะดูดุไปหน่อย แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเขาจะไม่ทำอันตรายกับเธอ
“คือหนูถูกคนร้ายมันตามจะฆ่าหนูน่ะค่ะ ก็เลยแอบหลบขึ้นรถคุณมาเพื่อไม่ให้มันหาเจอ แล้วพอจะลงคุณก็ออกรถไปเลยน่ะค่ะ” พิชชาอรเล่าถึงสาเหตุที่เธอขึ้นมาอยู่บนรถคันนี้ก่อน อินทัชเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยในคำพูดของหญิงสาว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไร อำพลลูกน้องคนสนิทของเขาก็พูดขึ้น
“อ้าวแล้วทำไมน้องไม่เรียกล่ะครับ พวกผมจะได้ช่วยไปส่งที่บ้าน”
“คือหนู หนูกลับบ้านไม่ได้ค่ะ” พิชชาอรก้มหน้าตอบอย่างประหม่า
“ทำไมล่ะ” อำพลถามด้วยความอยากรู้ พิชชาอรได้แต่อ้ำอึ้งด้วยไม่รู้จะตอบอย่างไร หากพูดไปใครเขาจะเชื่อเธอ
“นี่เธอคงหนีไปเที่ยวกับแฟนใช่ไหมล่ะ ดูสิชุดนักศึกษายังไม่เปลี่ยนเลย ไม่กล้ากลับบ้านก็พ่อแม่ว่าเอาล่ะสิ เด็กสมัยนี้ จริงๆเลย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่นึกถึงใจของพ่อแม่บ้างเลย” อินทัชพูดจนเกือบจะบ่นไปตามความคิดของเขา เพราะดูจากสภาพการแต่งกายของหญิงสาวแล้วน่าจะเป็นอย่างนั้น เสื้อนักศึกษาก็ตัวเล็กเข้ารูปกับกระโปรงตัวสั้นเลยเข่าโชว์เรียวขาขาวเนียน ท่าทางการแต่งกายของเธอดูเปรี้ยวน่าดู ทว่าคำพูดของอินทัชทำให้พิชชาอรเริ่มหงุดหงิด เธอรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังดูถูกเธอ คนอะไรก็ไม่รู้ เพิ่งเคยเห็นหน้ากัน แต่พูดจาดูถูกกันได้ขนาดนี้ พิชชาอรชักเริ่มหงุดหงิดกับผู้ชายคนนี้แล้วล่ะสิ
“นี่คุณ ทำไมคุณต้องว่าหนูอย่างนี้ด้วยล่ะ” ว่าแล้วพิชชาอรก็ดีดตัวลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถทันที หญิงสาวยืนประจันหน้ากับอินทัชผู้ชายที่ตัวโตกว่าเธอมากนัก ด้วยความขุ่นเคืองที่ถูกชายหนุ่มพูดหาว่าเธอหนีเที่ยว ไม่เคยมีใครเคยพูดกับเธออย่างนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย
“หนูไม่ได้หนีเที่ยวสักหน่อย หนูถูกคนตามจะทำร้ายมานะ”พิชชาอรพูดเสียงดังพลางจ้องหน้าอินทัชอย่างไม่หวั่นเกรง อินทัชเห็นท่าทางของหญิงสาวท่าจะเอาเรื่องพอดู ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นบ้าง
“แล้วตกลงเธอจะบอกได้หรือยัง ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วแอบขึ้นรถฉันมาตอนไหน แล้วเรื่องที่มาขโมยกินชากับผลไม้ฉันอีก เธอจะว่าไง”
“นี่คุณ ถามทีละคำถามก็ได้ ถามรัวแบบนี้ใครจะตอบทันล่ะ” พิชชาอรเริ่มรู้สึกไม่ชอบท่าทางการพูดที่ดูวางอำนาจของอินทัช อีกทั้งหน้าตาท่าทางขี้เก็กของเขา ที่เธอเห็นแล้วหงุดหงิดใจอย่างไรไม่รู้
“พูดไปคุณจะเชื่อหนูไหม หนูบอกว่าหนูโดนคนตามฆ่า หนูก็เลยหนีมาเห็นรถคุณจอดอยู่ก็เลยเข้ามาหลบท้ายกระบะนี่ ส่วนเรื่องของที่หนูกินไปหนูขอโทษละกัน ตอนนั้นหนูหิวมาก แล้วเดี๋ยวหนูจะชดใช้ให้” พูดจบพิชชาอรก็ก้มมองสำรวจร่างกายร่างกายตัวเอง เธอไม่ได้พกเงินติดตัวมาเลยนี่นา โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้พกมา แม้แต่รองเท้าเธอก็ยังไม่ได้ใส่ เสื้อผ้าก็ดูมอมแมมสกปรกไปหมดเลย หญิงสาวหน้านิ่วลงทันที ด้วยจนปัญญาที่หาทางช่วยให้ตัวเองพ้นจากสภาพแบบนี้ สภาพที่เขาเรียกว่าเหลือแต่ตัวจริงๆ
“เธอจะชดใช้ยังไง เธอรู้ไหมว่าของที่เธอกินไปน่ะ ฉันต้องใช้เอาไปทำธุระนะ” คำถามของอินทัชทำเอาพิชชาอรนิ่งพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวได้แต่ยืนมองชายหนุ่มตาแป๋ว อินทัชเห็นหญิงสาวเงียบไป เขาจึงพูดต่อ
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่บ้าน เรื่องที่เธอแอบกินน้ำชากับผลไม้นั่นฉันไม่เอาเรื่องหรอก บ้านเธออยู่ไหนล่ะ” อินทัชถามเสียงเรียบ พิชชาอรไม่ตอบแต่กลับหันหน้าหนีไปทางอื่น อินทัชมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วเริ่มฉุนที่เธอไม่ยอมพูดอะไร แถมยังทำท่าเหมือนจะกวนประสาทเขาอีก
“นี่เธอ ฉันไม่มีเวลาว่างมากนะ วันนี้ฉันต้องรีบไปทำธุระ เธอจะรีบบอกได้หรือยังว่าบ้านเธออยู่ไหน” อินทัชเริ่มขึ้นเสียง ทำเอาพิชชาอรหันมามองตาขวาง ทว่าแววตาดุๆของชายหนุ่มนั่นทำให้หญิงสาวออกอาการตัวสั่นด้วยความเกรงใจ
“คือ หนูกลับบ้านไม่ได้อ่ะค่ะ” พิชชารพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะหายไปในลำคอ อินทัชและอำพลมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจในตัวหญิงสาว
“ทำไมน้องถึงกลับไม่ได้ล่ะครับ มีเรื่องอะไรให้พวกเราช่วยก็บอกได้นะครับ” อำพลออกตัวด้วยความเห็นใจ ทว่าสายตาดุๆของพ่อเลี้ยงอินทัชเจ้านายของเขาก็ส่งมาให้อย่างหงุดหงิด อำพลเริ่มรู้สึกตัวจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาเข้มนั้น
“ยังไงเธอก็ต้องกลับบ้าน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทางบ้านเธอมีเรื่องราวอะไรกัน แต่เธอจะหนีปัญหามาอย่างนี้ไม่ได้นะ คิดถึงพ่อแม่คนที่เขารักเธอบ้างสิ ป่านนี้เขาจะเป็นห่วงเธอแค่ไหนที่เธอหายไปอย่างนี้น่ะ”อินทัชพูดเตือนใจหญิงสาว หวังจะให้หล่อนคิดได้และกลับตัวกลับใจให้เขาไปส่งที่บ้าน เพราะถึงยังไง ในสายตาของเขาเธอก็ยังดูเหมือนวัยรุ่นที่รักสนุกไปวันๆ และเขาก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าสิ่งที่หล่อนบอกว่าถูกตามฆ่าจะเป็นเรื่องจริง น่าจะเป็นเรื่องแต่งซะมากกว่า
ทว่าคำพูดเพื่อเตือนสติของชายหนุ่มนั้นเหมือนยิ่งตอกย้ำให้พิชชาอรเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีก เหมือนเข็มนับร้อยทิ่มแทงเข้าไปในใจหญิงสาว เมื่อให้นึกถึงพ่อแม่หรือคนที่รักเธอนะหรือ ไม่มีสักคน เธอมองไม่เห็นใครที่จะเป็นที่พึ่งได้อีกต่อไปแล้วนี่ กลับบ้านไปก็เหมือนเดินเข้าไปหาที่ตายชัดๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งซ้ำ นี่มันเกิดอะไรกับชีวิตเธอนักหนา ทำไมมันมืดแปดด้านไปหมด มองไม่เห็นหนทางสว่างจริงๆ
คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล แต่พิชชาอรพยายามฝืนกลั้นไว้ไม่อยากให้ไหลรินออกมาต่อหน้าคนที่เธอไม่รู้จัก อินทัชพยายามจ้องใบหน้าหญิงสาวเพื่อรอคอยคำตอบ เขาเห็นหล่อนนิ่งไปหลายนาทีนัก ซ้ำขอบตายังออกแดงๆเหมือนจะร้องไห้ ภาพนั้นทำให้หัวใจที่เคยแข็งกระด้างมานานของชายหนุ่มเริ่มอ่อนลง เมื่อเขาเผลอคิดไปว่าอยากจะคว้าร่างอรชรนั้นมากอดเพื่อปลอบโยนเธอเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเธอก็ตาม
อินทัชอยากจะชกตัวเองเสียจัง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาคิดกับหญิงสาวอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็คงต้องหาทางช่วยเธอให้ได้ก่อน
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเธอยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่บังคับหรอก แต่ตอนนี้ฉันจะให้เธอไปพักผ่อนกินข้าวกินปลาที่เรือนรับรองก่อนก็แล้วกัน” อินทัชพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น จนคนฟังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงของเขา พิชชาอรหันมามองหน้าชายหนุ่มตาเป็นประกายด้วยความหวัง ก่อนเผยรอยยิ้มบางๆส่งให้เป็นการขอบคุณ
อินทัชเกือบเผลอยิ้มตอบกลับไปให้หญิงสาวเมื่อเห็นเธอส่งยิ้มมา รอยยิ้มนั้นสร้างความตื่นเต้นในหัวใจของชายหนุ่มไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าทุกอากัปกริยาของเขายังคงถูกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
แล้วอินทัชก็หันไปพยักหน้าให้กับอำพล เป็นเชิงรู้กันว่าให้พาสาวน้อยผู้นี้ไปที่เรือนรับรองด้วย ก่อนที่อินทัชจะเดินจากไปเขาก็หันกลับมาจ้องใบหน้าเรียวสวยนั้นอีกครั้ง ถึงแม้จะดูมอมแมม แต่เขาก็รู้สึกอยากจะมองนานๆยังไงไม่รู้
“เชิญทางนี้เลยครับ” อำพลผายมือเชิญชวนหญิงสาวให้เดินตามเขาไป พิชชาอรมองไปรอบกายสักพักก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปอย่างว่าง่าย
อำพลเดินนำพิชชาอรไปเรื่อยๆ ผ่านไร่ชาสีเขียวขจีที่ปลูกยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา อากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าทำให้หญิงสาวรู้สึกสดชื่นจนเผลอยิ้มเบาๆให้กับตัวเอง ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เธอไม่ได้มาสัมผัสอากาศที่เป็นธรรมชาติแท้ๆอย่างนี้ เพราะก่อนนั้นเธอใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง เจอแต่ตึกสูงใหญ่มากมาย มลพิษก็เยอะ สังคมของเธอก็มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น ไม่รู้คนที่นี่จะเป็นเหมือนคนเมืองกรุงหรือเปล่า
เดินไปได้สักพัก พิชชาอรก็เห็นพืชล้มลุกที่มีใบสีเขียวปกคลุมดิน ปลูกเรียงรายยาวทั้งสองข้างทาง เมื่อสังเกตดูใกล้ๆมันคือต้นสตอร์เบอรี่นั่นนเอง หญิงสาวเห็นผลสตอร์เบอรี่สีแดงสดติดอยู่กับต้นของมัน แล้วน้ำลายแทบไหล ผลมันใหญ่สีสดน่ากินมากเลย ที่นี่มีทั้งไร่ชาและไร่สตอร์เบอรี่เลยนะเนี่ย
เมื่อผ่านไร่สตอร์เบอรี่มาได้ไม่นาน อำพลก็พาพิชชาอรมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านไม้หลังไม่ใหญ่มากนัก ขนาดกำลังดี รอบบ้านปลูกพืชผักสวนครัวไว้หลายชนิด บรรยากาศรอบบ้านนั้นก็เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่นสบายตา
“ป้าแม้นครับ ป้าแม้น” อำพลร้องเรียกไม่นาน หญิงวัยห้าสิบกว่าเจ้าของชื่อ แม้นวาด ก็ออกมาจากบ้านหน้าตายุ่งเหยิง ในมือถือทัพพีมาด้วย พิชชาอรพอจะเดาออกว่าเธอคงกำลังปรุงอาหารอยู่แน่ๆ
“มีหยังเจ้าพล มาเรียกแต่เช้า แล้วนั่นมาใครมาด้วยล่ะนั่น” แม้นวาดพูดภาษาเหนือซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นกับอำพล พิชชาอรพอฟังออกเพราะคนเหนือจะพูดช้าเนิบนาบกันอยู่แล้ว
“พ่อเลี้ยงอินฝากแม่หญิงคนนี้ให้ป้าดูแลหน่อยครับ เปิ้นหลงทางมา รบกวนป้าช่วยหาข้าวหาน้ำให้เปิ้นโตยเน้อ” อำพลพูดภาษาท้องถิ่นกับแม้นวาดเช่นกัน และเมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็หันมายิ้มให้พิชชาอรบางๆ แล้วก็เดินจากไปทันที ปล่อยให้พิชชาอรกับแม้นวาด ยืนจ้องหน้ากันตาปริบๆ
พิชชาอรยืนเก้ๆกังๆอยู่ครู่หนึ่ง โดยไม่พูดอะไร แม้นวาดจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวเองพร้อมกับพูดกับเธอเป็นภาษากลาง
“เข้ามาก่อนสิหนู ไปนั่งพักดื่มน้ำดื่มท่าก่อน” พูดจบหญิงวัยกลางคนก็ส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างเป็นมิตร พิชชาอรเองก็ยิ้มตอบไปเช่นกัน และเมื่อเธอเห็นแม้นวาดเดินนำเธอเข้าไปในบ้าน หล่อนก็เดินตามไปทันที
ภายในบ้านนั้นถูกเก็บกวาดจัดทำอย่างเรียบร้อย ดูสะอาดตาดี ถึงแม้จะไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรูหราอะไรมากมายแต่บ้านหลังนี้ก็น่าอยู่มากในความรู้สึกของพิชชาอร
“เดี๋ยวหนูนั่งตรงนี้ก่อนนะ ป้าขอไปทำกับข้าวก่อน ใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวเราจะได้กินด้วยกัน” แม้นวาดเชิญชวนหญิงสาวน้ำเสียงอ่อนหวาน เรียกรอยยิ้มละมุนบนใบหน้าของพิชชาอรได้เป็นอย่างดี พิชชาอรทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่แม้นวาดพามานั่ง พร้อมกับมองตามแผ่นหลังของหญิงวัยกลางคนที่เดินหายเข้าไปในครัวอย่างซึ้งใจ พิชชาอรรู้สึกตื้นตันในน้ำใจของหล่อนจริงๆ ทั้งๆที่เธอเป็นแค่คนหลงทางมา แต่เขาก็ต้อนรับเธอราวกับเป็นแขกคนสนิท
“นี่เธอเป็นใคร เข้ามาอยู่ในบ้านเฮาได้จะใด” เสียงเล็กของหญิงสาวดังขึ้นทำเอาพิชชาอรสะดุ้งทันทีก่อนหันไปหาเจ้าของเสียง และพิชชอรก็พบกับหญิงสาวร่างเล็กบาง ผิวขาว ยืนทำหน้าบึ้งตึงใส่เธออย่างหวาดระแวง พิชชาอรยืนขึ้นด้วยความตกใจ หญิงสาวผู้นั้นยืนจ้องมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พิชชาอรพอจะรู้ว่าเธอคงไม่ไว้ใจเธอแน่ๆ เพราะสภาพเธอตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อนเลย
“เอ่อ คือ อย่าเข้าใจผิดนะคะ คือฉันมาดีนะ” พิชชาอรพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ทว่าหญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะไม่ฟังอะไรเลยเธอเดินเข้ามาหาแล้วใช้มือผลักที่ไหล่ทั้งสองข้างของพิชชาอรจนหล่อนเซถลา
“มาดีเหรอ ดูซิหน้าตาก็มอมแมม เสื้อผ้าก็สกปรก ขอทานหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าเธอคิดเข้ามาขโมยของในบ้านฉันหา ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” ยังไม่ทันที่พิชชาอรจะได้อธิบายอะไร เธอก็ถูกหญิงสาวร่างบางนั้นฉุดกระชากลากถูเธอจะให้ออกจากบ้านไปให้ได้ พิชชาอรก็พยายามจะขัดขืนเพราะอยากอธิบายให้เธอได้เข้าใจ แต่เมื่อยิ่งขัดขืนยิ่งทำให้สาวชาวเหนือนั้นยิ่งโมโห ทั้งสองสาวจึงยื้อยุดกันไปมาจนกระทั่งพิชชาอร พลาดท่าเมื่อเธอถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนศรีษะกระแทกกับขอบโต๊ะไม้ที่อยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ ส่งผลให้สติของพิชชาอรดับวูบลงทันที
หมอกหนาจัดในยามเช้าปกคลุมทั่วพื้นที่ ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ยอดดอยสีเขียวนั้นถูกใช้เป็นพื้นที่ปลูกชารวมเนื้อที่กว่า 100 ไร่ บรรดาคนงานของไร่บริรักษ์ศักดาค่อยๆทยอยออกมาเก็บชากันแต่เช้าตรู่ เมื่อแสงอันอบอุ่นจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงมา หมอกสีขาวปนเทาก็ค่อยๆจางหายไป เหลือเพียงไออุ่นของแสงแดดมาแทนที่ ยอดอ่อนใบชาสีเขียวสดใสชูช่อเบ่งบานรับกับแสงอาทิตย์เต็มที่ แต่มันก็อยู่รับแสงแดดบนต้นได้เพียงไม่นาน เจ้ายอดอ่อนใบชาก็ถูกเด็ดดึงไปโดยฝีมือของคนงานเก็บใบชานั่นเอง
รถกระบะสี่ประตูสีบรอนซ์เงินแล่นอย่างรวดเร็วผ่านไร่ชาที่ปลูกไล่เรียงไปตามเนินเขา ลดหลั่นกันแบบขั้นบันใด บรรดาคนงานหลายสิบคนที่ทำหน้าที่เก็บชาต่างให้ความสนใจกับรถคันนี้ทันทีที่เห็น เพราะนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเจ้านายของพวกเขากลับมาแล้ว
รถจอดสนิทที่บ้านไม้ทรงไทยสองชั้นสีธรรมชาติเคลือบมันวาววับ ออกแบบอย่างหรูหราบ่งบอกได้ถึงฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี โอบล้อมด้วยไร่ชาละลานตา ดูแล้วเพลินตาเพลินใจกับผู้ที่ได้มาพบเห็น
“กลับถึงไร่เช้าจนได้ เห็นไหม มัวแต่เสียเวลาซ่อมรถ วันนี้ฉันมีนัดสำคัญที่ต้องรีบไปเสียด้วย” อินทัชบ่นอย่างหงุดหงิดทันทีที่เปิดประตูลงจากรถมาได้ บรรยากาศเย็นๆในยามเช้าไม่ช่วยให้ใจของชายหนุ่มเย็นลงได้เลย และเมื่ออินทัชยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาบนข้อมืออีกครั้ง ยิ่งทำให้ใบหน้าคมนั้นดูเคร่งเครียดขึ้นไปอีก
“พ่อเลี้ยงจะไปเลยหรือครับ ยังพักผ่อนไม่เต็มที่เลย” อำพลพูดขึ้นเกร็งๆหลังจากลงจากรถตามมา เขาเองก็นึกห่วงเจ้านายไม่น้อยที่ทำงานยุ่งมากจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ในจะเครียดเรื่องงาน แล้วยังจะเรื่องครอบครัวอีก เมื่อคืนนี้ทั้งเขาและพ่อเลี้ยงอินทัชก็สลับกันขับรถจากกรุงเทพมาแม่ฮ่องสอนโดยไม่ได้พักเลย
“ฉันต้องรีบไป วันนี้มีนัดประชุมใหญ่ของเกษตรกรไร่ชา แล้วฉันจะต้องเอาตัวอย่างผลิตภัณฑ์แปรรูปของไร่เราไปโชว์ด้วย” พูดจบอินทัชก็นึกขึ้นได้ว่าเขายังเหลือผลิตภัณฑ์แปรรูปอยู่ท้ายรถ ชายหนุ่มจึงเดินไปยังท้ายรถอย่างไม่รอช้า
และเมื่ออินทัชเปิดผ้าใบสีเขียวเข้มผืนหนาออก มีบางอย่างภายใต้ผ้าใบผืนนี้ที่ทำให้เขาตกใจ มีเรื่องผิดปรกติเกิด ขึ้นกับเขาอีกแล้วสิ!
หญิงสาวร่างเล็กบางในชุดนักศึกษานอนขดตัวอยู่บนรถท่ามกลางเศษกระดาษที่ใช้บรรจุสตอร์เบอรี่อบแห้งและขวดชาเขียวหลายขวดกองเกลื่อนกลาด เห็นแล้วดูออกได้ทันทีว่าผลไม้และชาเขียวถูกจัดการลงท้องของหญิงสาวผู้นี้เรียบร้อยแล้ว
อินทัชยืนจ้องมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างตะลึงระคนแปลกใจ เธอเป็นใครและมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน แถมยังขโมยกินผลไม้ของเขาเกือบหมด ชายหนุ่มมองใบหน้าหญิงสาวที่ดูมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่เธอก็ยังดูน่ารัก ปากนิดจมูกหน่อยดูจิ้มลิ้มดี ชายหนุ่มเหมือนต้องมนต์สะกดทันทีที่ได้พบเธอ หญิงสาวยังคงหลับตาพริ้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย
“อ้าวเฮ้ย! ผู้หญิงที่ไหนมานอนท้ายรถพ่อเลี้ยงนี่ครับ” อำพลร้องออกมาอย่างตกใจทันทีที่เดินมาเห็นผู้หญิงนอนอยู่ในรถ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังล่ะ มาก็มาด้วยกัน เห็นก็เห็นพร้อมกัน” อินทัชตอบลูกน้องไปด้วยความสับสนและงงงวยเช่นกัน แต่ยังไม่ทันที่สองหนุ่มจะขยับปากพูดอะไรอีก สาวน้อยร่างอ้อนแอ้นที่นอนหลับอย่างสบายอยู่นั้นก็ค่อยขยับแขนขาไปมา พร้อมกับลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวตื่นเต็มตา ภาพแรกที่เธอได้เห็นทำเอาตาสว่างถึงขีดสุด
“พวกแกเป็นใครน่ะ อย่าทำอะไรฉันนะ!” พิชชาอรร้องวายทันทีพร้อมกับดีดตัวลุกขึ้นนั่งและถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว หญิงสาวกอดตัวเองด้วยรู้สึกหนาวสั่นจับใจ พลางมองไปรอบๆเธอก็พบเนินเขาสูงที่เขียวชอุ่มไปด้วยต้นชา
และตรงหน้าเธอก็มีผู้ชายตัวโตสองคนยืนจ้องมองเธอราวกับเธอเป็นตัวประหลาด
“นี่เธอ ฉันต่างหากที่ต้องถามเธอว่าเธอเป็นใคร แล้วมาอยู่บนรถฉันได้ยังไง” อินทัชพูดขึ้นเสียงดัง พลางจับจ้องใบหน้าขาวที่เริ่มซีดนั่นอย่างแปลกใจ ท่าทางหวาดกลัวและลุกลี้ลุกลนของสาวน้อยตรงหน้านี้เล่นเอาเขาทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน
“น้องครับ พวกผมไม่ทำอะไรน้องหรอก แค่แปลกใจเฉยๆที่น้องมาอยู่บนรถเจ้านายผมได้ยังไง แถมยังแอบกินชาเขียวกับสตอร์เบอรี่ของเจ้านายผมเกือบหมดเนี่ยครับ” อำพลพยายามพูดเพื่อเรียกสติของหญิงสาวคืนมา เพราะดูเหมือนเธอจะกลัวมากเหมือนคนเสียสติ
เพราะเพิ่งผ่านพ้นเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาได้เพียงข้ามคืน พิชชาอรจึงไม่อยากไว้ใจใครทั้งนั้น ตอนนี้เธอก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว และดูจากที่ที่เธออยู่ตรงนี้คงจะห่างไกลกรุงเทพมากพอดู ยังไงก็คงหนีไม่พ้นอยู่แล้ว เอาล่ะ เป็นไงเป็นกันวินาทีนี้เธอต้องเอาตัวเองให้รอดให้ได้ก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที
“ว่าไงล่ะ สาวน้อย จะบอกได้หรือยังว่าเธอเป็นใคร แล้วมาอยู่บนรถรถฉันได้ไง” อินทัชถามเสียงเข้ม พิชชาอรจ้องมองแววตาคมสีน้ำตาลเข้มอย่างเคืองๆ ดูสิ เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาไม่ได้มีพิษภัยกับใครสักหน่อย ทำไมต้องจ้องมองเธอราวกับเธอเป็นโจรก่อการร้ายก็ไม่ปาน แถมยังทำเสียงดุๆใส่อีก
“คือ หนู หนู เอ่อ” พิชชาอรกำลังสับสนว่าจะบอกชายหนุ่มว่าอย่างไรดี เพราะรู้ดีว่าชีวิตเธอตอนนี้ไม่ค่อยปลอดภัย แล้วชายหน้าเข้มที่ดูท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้าตรงหน้านี้ถึงแม้เขาจะดูดุไปหน่อย แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าเขาจะไม่ทำอันตรายกับเธอ
“คือหนูถูกคนร้ายมันตามจะฆ่าหนูน่ะค่ะ ก็เลยแอบหลบขึ้นรถคุณมาเพื่อไม่ให้มันหาเจอ แล้วพอจะลงคุณก็ออกรถไปเลยน่ะค่ะ” พิชชาอรเล่าถึงสาเหตุที่เธอขึ้นมาอยู่บนรถคันนี้ก่อน อินทัชเลิกคิ้วสูงด้วยความสงสัยในคำพูดของหญิงสาว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยอะไร อำพลลูกน้องคนสนิทของเขาก็พูดขึ้น
“อ้าวแล้วทำไมน้องไม่เรียกล่ะครับ พวกผมจะได้ช่วยไปส่งที่บ้าน”
“คือหนู หนูกลับบ้านไม่ได้ค่ะ” พิชชาอรก้มหน้าตอบอย่างประหม่า
“ทำไมล่ะ” อำพลถามด้วยความอยากรู้ พิชชาอรได้แต่อ้ำอึ้งด้วยไม่รู้จะตอบอย่างไร หากพูดไปใครเขาจะเชื่อเธอ
“นี่เธอคงหนีไปเที่ยวกับแฟนใช่ไหมล่ะ ดูสิชุดนักศึกษายังไม่เปลี่ยนเลย ไม่กล้ากลับบ้านก็พ่อแม่ว่าเอาล่ะสิ เด็กสมัยนี้ จริงๆเลย นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่นึกถึงใจของพ่อแม่บ้างเลย” อินทัชพูดจนเกือบจะบ่นไปตามความคิดของเขา เพราะดูจากสภาพการแต่งกายของหญิงสาวแล้วน่าจะเป็นอย่างนั้น เสื้อนักศึกษาก็ตัวเล็กเข้ารูปกับกระโปรงตัวสั้นเลยเข่าโชว์เรียวขาขาวเนียน ท่าทางการแต่งกายของเธอดูเปรี้ยวน่าดู ทว่าคำพูดของอินทัชทำให้พิชชาอรเริ่มหงุดหงิด เธอรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังดูถูกเธอ คนอะไรก็ไม่รู้ เพิ่งเคยเห็นหน้ากัน แต่พูดจาดูถูกกันได้ขนาดนี้ พิชชาอรชักเริ่มหงุดหงิดกับผู้ชายคนนี้แล้วล่ะสิ
“นี่คุณ ทำไมคุณต้องว่าหนูอย่างนี้ด้วยล่ะ” ว่าแล้วพิชชาอรก็ดีดตัวลุกขึ้นแล้วกระโดดลงจากรถทันที หญิงสาวยืนประจันหน้ากับอินทัชผู้ชายที่ตัวโตกว่าเธอมากนัก ด้วยความขุ่นเคืองที่ถูกชายหนุ่มพูดหาว่าเธอหนีเที่ยว ไม่เคยมีใครเคยพูดกับเธออย่างนี้มาก่อนเลยนะเนี่ย
“หนูไม่ได้หนีเที่ยวสักหน่อย หนูถูกคนตามจะทำร้ายมานะ”พิชชาอรพูดเสียงดังพลางจ้องหน้าอินทัชอย่างไม่หวั่นเกรง อินทัชเห็นท่าทางของหญิงสาวท่าจะเอาเรื่องพอดู ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นบ้าง
“แล้วตกลงเธอจะบอกได้หรือยัง ว่าเธอเป็นใคร มาจากไหน แล้วแอบขึ้นรถฉันมาตอนไหน แล้วเรื่องที่มาขโมยกินชากับผลไม้ฉันอีก เธอจะว่าไง”
“นี่คุณ ถามทีละคำถามก็ได้ ถามรัวแบบนี้ใครจะตอบทันล่ะ” พิชชาอรเริ่มรู้สึกไม่ชอบท่าทางการพูดที่ดูวางอำนาจของอินทัช อีกทั้งหน้าตาท่าทางขี้เก็กของเขา ที่เธอเห็นแล้วหงุดหงิดใจอย่างไรไม่รู้
“พูดไปคุณจะเชื่อหนูไหม หนูบอกว่าหนูโดนคนตามฆ่า หนูก็เลยหนีมาเห็นรถคุณจอดอยู่ก็เลยเข้ามาหลบท้ายกระบะนี่ ส่วนเรื่องของที่หนูกินไปหนูขอโทษละกัน ตอนนั้นหนูหิวมาก แล้วเดี๋ยวหนูจะชดใช้ให้” พูดจบพิชชาอรก็ก้มมองสำรวจร่างกายร่างกายตัวเอง เธอไม่ได้พกเงินติดตัวมาเลยนี่นา โทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้พกมา แม้แต่รองเท้าเธอก็ยังไม่ได้ใส่ เสื้อผ้าก็ดูมอมแมมสกปรกไปหมดเลย หญิงสาวหน้านิ่วลงทันที ด้วยจนปัญญาที่หาทางช่วยให้ตัวเองพ้นจากสภาพแบบนี้ สภาพที่เขาเรียกว่าเหลือแต่ตัวจริงๆ
“เธอจะชดใช้ยังไง เธอรู้ไหมว่าของที่เธอกินไปน่ะ ฉันต้องใช้เอาไปทำธุระนะ” คำถามของอินทัชทำเอาพิชชาอรนิ่งพูดอะไรไม่ออก หญิงสาวได้แต่ยืนมองชายหนุ่มตาแป๋ว อินทัชเห็นหญิงสาวเงียบไป เขาจึงพูดต่อ
“เอาอย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่บ้าน เรื่องที่เธอแอบกินน้ำชากับผลไม้นั่นฉันไม่เอาเรื่องหรอก บ้านเธออยู่ไหนล่ะ” อินทัชถามเสียงเรียบ พิชชาอรไม่ตอบแต่กลับหันหน้าหนีไปทางอื่น อินทัชมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วเริ่มฉุนที่เธอไม่ยอมพูดอะไร แถมยังทำท่าเหมือนจะกวนประสาทเขาอีก
“นี่เธอ ฉันไม่มีเวลาว่างมากนะ วันนี้ฉันต้องรีบไปทำธุระ เธอจะรีบบอกได้หรือยังว่าบ้านเธออยู่ไหน” อินทัชเริ่มขึ้นเสียง ทำเอาพิชชาอรหันมามองตาขวาง ทว่าแววตาดุๆของชายหนุ่มนั่นทำให้หญิงสาวออกอาการตัวสั่นด้วยความเกรงใจ
“คือ หนูกลับบ้านไม่ได้อ่ะค่ะ” พิชชารพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบจะหายไปในลำคอ อินทัชและอำพลมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจในตัวหญิงสาว
“ทำไมน้องถึงกลับไม่ได้ล่ะครับ มีเรื่องอะไรให้พวกเราช่วยก็บอกได้นะครับ” อำพลออกตัวด้วยความเห็นใจ ทว่าสายตาดุๆของพ่อเลี้ยงอินทัชเจ้านายของเขาก็ส่งมาให้อย่างหงุดหงิด อำพลเริ่มรู้สึกตัวจึงได้แต่ก้มหน้าหลบสายตาเข้มนั้น
“ยังไงเธอก็ต้องกลับบ้าน ฉันไม่รู้หรอกนะว่าทางบ้านเธอมีเรื่องราวอะไรกัน แต่เธอจะหนีปัญหามาอย่างนี้ไม่ได้นะ คิดถึงพ่อแม่คนที่เขารักเธอบ้างสิ ป่านนี้เขาจะเป็นห่วงเธอแค่ไหนที่เธอหายไปอย่างนี้น่ะ”อินทัชพูดเตือนใจหญิงสาว หวังจะให้หล่อนคิดได้และกลับตัวกลับใจให้เขาไปส่งที่บ้าน เพราะถึงยังไง ในสายตาของเขาเธอก็ยังดูเหมือนวัยรุ่นที่รักสนุกไปวันๆ และเขาก็ไม่อยากจะเชื่อด้วยว่าสิ่งที่หล่อนบอกว่าถูกตามฆ่าจะเป็นเรื่องจริง น่าจะเป็นเรื่องแต่งซะมากกว่า
ทว่าคำพูดเพื่อเตือนสติของชายหนุ่มนั้นเหมือนยิ่งตอกย้ำให้พิชชาอรเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีก เหมือนเข็มนับร้อยทิ่มแทงเข้าไปในใจหญิงสาว เมื่อให้นึกถึงพ่อแม่หรือคนที่รักเธอนะหรือ ไม่มีสักคน เธอมองไม่เห็นใครที่จะเป็นที่พึ่งได้อีกต่อไปแล้วนี่ กลับบ้านไปก็เหมือนเดินเข้าไปหาที่ตายชัดๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งซ้ำ นี่มันเกิดอะไรกับชีวิตเธอนักหนา ทำไมมันมืดแปดด้านไปหมด มองไม่เห็นหนทางสว่างจริงๆ
คิดแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล แต่พิชชาอรพยายามฝืนกลั้นไว้ไม่อยากให้ไหลรินออกมาต่อหน้าคนที่เธอไม่รู้จัก อินทัชพยายามจ้องใบหน้าหญิงสาวเพื่อรอคอยคำตอบ เขาเห็นหล่อนนิ่งไปหลายนาทีนัก ซ้ำขอบตายังออกแดงๆเหมือนจะร้องไห้ ภาพนั้นทำให้หัวใจที่เคยแข็งกระด้างมานานของชายหนุ่มเริ่มอ่อนลง เมื่อเขาเผลอคิดไปว่าอยากจะคว้าร่างอรชรนั้นมากอดเพื่อปลอบโยนเธอเหลือเกิน ถึงแม้เขาจะไม่รู้ที่มาที่ไปของเธอก็ตาม
อินทัชอยากจะชกตัวเองเสียจัง ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาคิดกับหญิงสาวอย่างนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็คงต้องหาทางช่วยเธอให้ได้ก่อน
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าเธอยังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่บังคับหรอก แต่ตอนนี้ฉันจะให้เธอไปพักผ่อนกินข้าวกินปลาที่เรือนรับรองก่อนก็แล้วกัน” อินทัชพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้น จนคนฟังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นในน้ำเสียงของเขา พิชชาอรหันมามองหน้าชายหนุ่มตาเป็นประกายด้วยความหวัง ก่อนเผยรอยยิ้มบางๆส่งให้เป็นการขอบคุณ
อินทัชเกือบเผลอยิ้มตอบกลับไปให้หญิงสาวเมื่อเห็นเธอส่งยิ้มมา รอยยิ้มนั้นสร้างความตื่นเต้นในหัวใจของชายหนุ่มไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทว่าทุกอากัปกริยาของเขายังคงถูกซ่อนไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย
แล้วอินทัชก็หันไปพยักหน้าให้กับอำพล เป็นเชิงรู้กันว่าให้พาสาวน้อยผู้นี้ไปที่เรือนรับรองด้วย ก่อนที่อินทัชจะเดินจากไปเขาก็หันกลับมาจ้องใบหน้าเรียวสวยนั้นอีกครั้ง ถึงแม้จะดูมอมแมม แต่เขาก็รู้สึกอยากจะมองนานๆยังไงไม่รู้
“เชิญทางนี้เลยครับ” อำพลผายมือเชิญชวนหญิงสาวให้เดินตามเขาไป พิชชาอรมองไปรอบกายสักพักก่อนจะเดินตามชายหนุ่มไปอย่างว่าง่าย
อำพลเดินนำพิชชาอรไปเรื่อยๆ ผ่านไร่ชาสีเขียวขจีที่ปลูกยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา อากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าทำให้หญิงสาวรู้สึกสดชื่นจนเผลอยิ้มเบาๆให้กับตัวเอง ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้วนะ ที่เธอไม่ได้มาสัมผัสอากาศที่เป็นธรรมชาติแท้ๆอย่างนี้ เพราะก่อนนั้นเธอใช้ชีวิตอยู่แต่ในเมือง เจอแต่ตึกสูงใหญ่มากมาย มลพิษก็เยอะ สังคมของเธอก็มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากันทั้งนั้น ไม่รู้คนที่นี่จะเป็นเหมือนคนเมืองกรุงหรือเปล่า
เดินไปได้สักพัก พิชชาอรก็เห็นพืชล้มลุกที่มีใบสีเขียวปกคลุมดิน ปลูกเรียงรายยาวทั้งสองข้างทาง เมื่อสังเกตดูใกล้ๆมันคือต้นสตอร์เบอรี่นั่นนเอง หญิงสาวเห็นผลสตอร์เบอรี่สีแดงสดติดอยู่กับต้นของมัน แล้วน้ำลายแทบไหล ผลมันใหญ่สีสดน่ากินมากเลย ที่นี่มีทั้งไร่ชาและไร่สตอร์เบอรี่เลยนะเนี่ย
เมื่อผ่านไร่สตอร์เบอรี่มาได้ไม่นาน อำพลก็พาพิชชาอรมาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านไม้หลังไม่ใหญ่มากนัก ขนาดกำลังดี รอบบ้านปลูกพืชผักสวนครัวไว้หลายชนิด บรรยากาศรอบบ้านนั้นก็เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่นสบายตา
“ป้าแม้นครับ ป้าแม้น” อำพลร้องเรียกไม่นาน หญิงวัยห้าสิบกว่าเจ้าของชื่อ แม้นวาด ก็ออกมาจากบ้านหน้าตายุ่งเหยิง ในมือถือทัพพีมาด้วย พิชชาอรพอจะเดาออกว่าเธอคงกำลังปรุงอาหารอยู่แน่ๆ
“มีหยังเจ้าพล มาเรียกแต่เช้า แล้วนั่นมาใครมาด้วยล่ะนั่น” แม้นวาดพูดภาษาเหนือซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นกับอำพล พิชชาอรพอฟังออกเพราะคนเหนือจะพูดช้าเนิบนาบกันอยู่แล้ว
“พ่อเลี้ยงอินฝากแม่หญิงคนนี้ให้ป้าดูแลหน่อยครับ เปิ้นหลงทางมา รบกวนป้าช่วยหาข้าวหาน้ำให้เปิ้นโตยเน้อ” อำพลพูดภาษาท้องถิ่นกับแม้นวาดเช่นกัน และเมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็หันมายิ้มให้พิชชาอรบางๆ แล้วก็เดินจากไปทันที ปล่อยให้พิชชาอรกับแม้นวาด ยืนจ้องหน้ากันตาปริบๆ
พิชชาอรยืนเก้ๆกังๆอยู่ครู่หนึ่ง โดยไม่พูดอะไร แม้นวาดจึงเดินเข้าไปหาหญิงสาวเองพร้อมกับพูดกับเธอเป็นภาษากลาง
“เข้ามาก่อนสิหนู ไปนั่งพักดื่มน้ำดื่มท่าก่อน” พูดจบหญิงวัยกลางคนก็ส่งยิ้มให้หญิงสาวอย่างเป็นมิตร พิชชาอรเองก็ยิ้มตอบไปเช่นกัน และเมื่อเธอเห็นแม้นวาดเดินนำเธอเข้าไปในบ้าน หล่อนก็เดินตามไปทันที
ภายในบ้านนั้นถูกเก็บกวาดจัดทำอย่างเรียบร้อย ดูสะอาดตาดี ถึงแม้จะไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรูหราอะไรมากมายแต่บ้านหลังนี้ก็น่าอยู่มากในความรู้สึกของพิชชาอร
“เดี๋ยวหนูนั่งตรงนี้ก่อนนะ ป้าขอไปทำกับข้าวก่อน ใกล้เสร็จแล้ว เดี๋ยวเราจะได้กินด้วยกัน” แม้นวาดเชิญชวนหญิงสาวน้ำเสียงอ่อนหวาน เรียกรอยยิ้มละมุนบนใบหน้าของพิชชาอรได้เป็นอย่างดี พิชชาอรทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่แม้นวาดพามานั่ง พร้อมกับมองตามแผ่นหลังของหญิงวัยกลางคนที่เดินหายเข้าไปในครัวอย่างซึ้งใจ พิชชาอรรู้สึกตื้นตันในน้ำใจของหล่อนจริงๆ ทั้งๆที่เธอเป็นแค่คนหลงทางมา แต่เขาก็ต้อนรับเธอราวกับเป็นแขกคนสนิท
“นี่เธอเป็นใคร เข้ามาอยู่ในบ้านเฮาได้จะใด” เสียงเล็กของหญิงสาวดังขึ้นทำเอาพิชชาอรสะดุ้งทันทีก่อนหันไปหาเจ้าของเสียง และพิชชอรก็พบกับหญิงสาวร่างเล็กบาง ผิวขาว ยืนทำหน้าบึ้งตึงใส่เธออย่างหวาดระแวง พิชชาอรยืนขึ้นด้วยความตกใจ หญิงสาวผู้นั้นยืนจ้องมองเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พิชชาอรพอจะรู้ว่าเธอคงไม่ไว้ใจเธอแน่ๆ เพราะสภาพเธอตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรกับคนเร่ร่อนเลย
“เอ่อ คือ อย่าเข้าใจผิดนะคะ คือฉันมาดีนะ” พิชชาอรพยายามพูดอย่างใจเย็น แต่ทว่าหญิงสาวคนนี้ดูเหมือนจะไม่ฟังอะไรเลยเธอเดินเข้ามาหาแล้วใช้มือผลักที่ไหล่ทั้งสองข้างของพิชชาอรจนหล่อนเซถลา
“มาดีเหรอ ดูซิหน้าตาก็มอมแมม เสื้อผ้าก็สกปรก ขอทานหรือเปล่าเนี่ย หรือว่าเธอคิดเข้ามาขโมยของในบ้านฉันหา ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” ยังไม่ทันที่พิชชาอรจะได้อธิบายอะไร เธอก็ถูกหญิงสาวร่างบางนั้นฉุดกระชากลากถูเธอจะให้ออกจากบ้านไปให้ได้ พิชชาอรก็พยายามจะขัดขืนเพราะอยากอธิบายให้เธอได้เข้าใจ แต่เมื่อยิ่งขัดขืนยิ่งทำให้สาวชาวเหนือนั้นยิ่งโมโห ทั้งสองสาวจึงยื้อยุดกันไปมาจนกระทั่งพิชชาอร พลาดท่าเมื่อเธอถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนศรีษะกระแทกกับขอบโต๊ะไม้ที่อยู่ตรงหน้าของทั้งคู่ ส่งผลให้สติของพิชชาอรดับวูบลงทันที

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 มิ.ย. 2555, 09:54:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 มิ.ย. 2555, 09:54:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1330
<< ตอนที่ 1 | ตอนที่ 2/3 >> |