มายารักเคียงดาว
...คุณเคยได้ยินไหม
ที่มีคนบอกว่า...ผู้หญิงมาจากดาวอังคาร
ส่วนผู้ชายมาจากศุกร์
แล้วจึงมาพบกันบนโลกใบนี้...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1. แรกเจอ

(ขออภัยเรื่องที่เคยลงไปแล้วนะคะ พอดีมีงานด่วนเลยต้องเบรกไว้ก่อน เลยตัดสินใจเอาเรื่องนี้มาให้อ่านไปก่อนค่ะ เขียนเสร็จแล้วจะอัพทุกวันนะคะ ขอบคุณค่ที่ยังติดตามค่ะ^^

ปล.เรื่องนี้ใช้นามปากกาว่า "นิลปานัน" นะคะ )










...คุณเคยรักใครที่ไม่สมควรจะรักบ้างไหม ฉันสงสัยมาตลอดว่าการที่ได้รักใครสักคนเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกแตกต่าง เพราะหัวใจฉันมันปวดร้าวจนแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ...

ไอริณ ตระการพินิจ














แรกเจอ



อันที่จริงวันนี้น่าจะเป็นอีกวันที่ได้นอนแผ่หลาอยู่บ้านหลังจากตรากตรำทำงานมาเป็นเดือนๆ แต่การที่ฉันได้มายืนอยู่ตรงหน้าแคทวอล์คใหญ่ดูการซ้อมเดินแบบอันน่าเบื่อหน่ายก็เป็นเครื่องเตือนใจได้อย่างดีว่า ถึงแม้ฉันจะหลบหลีกไปอยู่ที่ไหนของโลก ฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงานได้เลย

ฉันเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ที่ทุกคนต่างอิจฉา (ฉันไม่ได้เป็นยอดมนุษย์ หรือ มีพลังพิเศษที่สามารถอ่านใจผู้คนได้หรอก) มันเริ่มออกมาวาดลวดลายตอนฉันอยู่ป.4 ในวิชาคณิตศาสตร์ ตอนนั้นมันยังเด็กมาก...ฉันรู้... แต่ฉันยังจำมันได้ดีขณะที่คุณครูสุดเชยในสายตาของฉันก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าพลิ้วตัวโคร่งและกระโปรงยาวกรอมเท้า ฉันหาวออกมาโดยไม่เกรงใจสายตาดุของคุณครูคนนั้น เธอเดินตรงเข้ามาหาฉันทันทีพร้อมกับอารมณ์เดือดเต็มใบหน้า

“ไอรีณ ถ้าเธอจะมีสมาธิและตั้งใจเรียนกว่านี้อีกนิด ฉันจะขอบใจเธอมาก” เธอพยายามแสร้งยิ้มอ่อนโยนให้ฉัน แต่ถึงฉันจะเด็กฉันก็รู้ดีว่าเธอไม่ค่อยชอบขี้หน้าฉันสักเท่าไหร่

“หนูว่าคุณครูน่าจะเปลี่ยนการแต่งตัวบ้างนะคะ เพราะถ้าคุณครูยังจะแต่งตัวแบบนี้อยู่ หนูรับรองว่าปีหน้าคุณครูก็ยังคงไม่มีแฟนเหมือนปีนี้แน่” แล้วฉันก็ถูกลงโทษโดยการออกไปยืนกางแขนนอกห้องเรียนตลอดคาบนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจสักนิด กลับรู้สึกดียิ่งกว่าอยู่ในห้องเสียอีก สายตาของฉันทอดยาวออกไปมองผู้คนเบื้องล่างที่เดินขวักไขว่กันนอกรั้วโรงเรียน อ้อ...ฉันลืมบอกไปว่าตึกเรียนที่เราเรียนอยู่ติดกับย่านชุมชนของเมืองนี้ และชั้นที่ฉันเรียนอยู่ก็เป็นชั้นสูงสุดของตึก ฉะนั้นเป็นเรื่องไม่ยากที่จะมองเห็นความเป็นไปเบื้องหลังกำแพงโรงเรียน แต่แล้วก็มีสิ่งหนึ่งวูบเข้ามาในความคิดคำนึงฉัน และสิ่งนั้นก็ทำให้ฉันมีอยู่จนถึงทุกวันนี้...

“คุณไม่สนใจจะเดินเองจริงๆ เหรอคะ ลองคิดดูอีกทีก็ได้นะคะคุณไอรีน ถ้าคุณเดินแบบในคอลเล็คชั่นของตัวเอง รับรองต้องเป็นข่าวดังแน่ค่ะ” เสียงของแพรวพรรณทำฉันกลอกตาไปมาอย่างเซ็งๆ อันที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดเธอหรอกที่ถูกฉันแผ่รังสีไม่พอใจใส่ แต่ฉันเบื่อ...เบื่อกับประโยคซ้ำซากที่เจออยู่ทุกวัน เมื่อไหร่นะที่พวกนี้จะเลิกตามตื๊อฉันในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้สักที ฉันไม่เคยคิดจะเดินแบบอยู่แล้ว งานของฉันคือดีไซเนอร์เท่านั้น...

“ไม่ละค่ะ เผอิญฉันไมค่อยถูกโรคกับงานพวกนี้ ฉันว่าฉันไปดูชุดด้านหลังดีกว่า เป็นคนเบื้องหลังสนุกกว่าเยอะ” ฉันยิ้มน้อยๆ ตามแบบฉบับของตัวเอง ก่อนจะปลีกตัวออกไปยังห้องแต่งตัวของบรรดานางแบบ ฉันหาวไปด้วยเดินดูความเรียบร้อยไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเผลอทำงานดึกไปหน่อย เช้านี้คงไม่กลายสภาพเป็นซอมบี้ในร่างมนุษย์อย่างนี้แน่

“พี่ไอรีณไม่สบายรึเปล่าคะ” น้องนางแบบสูงชะลูดคนหนึ่งเอ่ยปากถามขึ้นมา เมื่อเห็นฉันหาวเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ขี้เกียจนับ

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องห่วง พี่เป็นบ่อยจนชินซะแล้ว” ฉันพูดยิ้มๆ ก่อนจะพยายามอาการง่วงเหงาหาวนอนอีกครั้งหนึ่ง

“แต่หนูว่าพี่ดูแย่” ยัยเด็กอายุสิบแปดกล่าวหาฉันว่า ‘แย่’ ฉันแค่แก่กว่าเธอห้าปี มันไม่หนักหนานักหรอกที่ฉันจะอดหลับอดนอนมาทำงาน

“ไม่เป็นไร พี่รู้ตัวว่าพี่ไม่ได้ ‘แย่’ ขนาดนั้น” แต่นั่นก็ลิดรอนความมั่นใจของฉันได้มากโข ฉันรีบเดินปลีกตัวออกไปยังห้องน้ำที่อยู่ติดกับห้องแต่งตัวเพื่อไปตรวจตราความเรียบร้อยของเสื้อผ้าหน้าผม แต่พระเจ้า...ภาพสะท้อนในกระจกบานใหญ่ทำให้ฉันตาค้าง ผู้หญิงที่อยู่ในนั้นมันเหมือนศพดีๆ นี่เอง ดวงตาที่เคยสุกใสลึกโหลยังกับศพ แก้มเนียนตอบลงอย่างเห็นได้ คงเพราะช่วงนี้โหมงานหนักจนลืมดูแลตัวเอง ฉันเริ่มสำเหนียกในใจว่า คำที่ยัยเด็กอายุสิบแปดนั่นพูดไม่หนีเค้าความจริงแต่อย่างใด

ฉันดู ‘แย่’ จริงๆ

ฉันทนดูสภาพตัวเองอย่างนี้ไม่ได้ เพราะวันพรุ่งนี้มันจะเป็นวันเปิดตัวเสื้อผ้าแนววินเทจคอลเล็คชั่นสุดกระการตาของฉัน ไม่ได้การละ...ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะถ้าวันพรุ่งนี้ฉันแบกใบหน้าโทรมแข่งกับซอมบี้ไปปรากฏกายให้บรรดานักข่าวเห็น ฉันต้องโชคร้ายไปตลอดทั้งปีแน่ๆ คิดได้ดังนี้ฉันก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องน้ำ ตรงไปลาทุกคนที่รู้จัก ก่อนจะหายตัวเข้ากลีบเมฆเพื่อไปพักผ่อนตามความต้องการของร่างกายที่มันประท้วงออกมาชัดเจนอยู่อย่างนี้



อาการของฉันมันแย่กว่าที่คิดไว้มาก ฉันมักจะเผลอหลับทุกครั้งที่สบโอกาส นั่นทำให้ความสามารถในการขับขี่ของฉันลดลงฮวบฮาบ รถเก๋งสีขาวของฉันเฉออกจากเส้นขอบถนนบ่อยครั้ง แต่ฉันก็พยายามประคองสติเรื่อยมาจนถึงสี่แยกไฟแดง ฉันบิดตัวเพื่อไล่ความง่วงออกไป พร้อมกับทอดสายตาออกไปมองกระจกข้างๆ แล้วสายตาของฉันก็ไปปะทะกับแผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่โดดเด่นอยู่บนตึกด้านข้าง ไม่แปลกอะไรถ้าตึกใหญ่จะมีป้ายเช่นนี้เช่าพื้นที่เรียงรายกันอยู่เต็มไปหมด มันเป็นโฆษณากางเกงยีนยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งหนุ่มที่เป็นแบบให้ก็หล่อลากเหลือล้น รูปร่างของเขาแน่นเปรี๊ยะไปด้วยมัดกล้ามและซิกแพ็คสวยงาม สีผิวไม่ขาวซีดเหมือนฝรั่งทั่วไป นั่นเป็นเพราะมีสายเลือดคนไทยกึ่งหนึ่งไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง

เอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ค

ฉันทวนชื่อนี้อยู่ในใจ ทำไมฉันจะไม่รู้จักพ่อหนุ่มลูกครึ่งหน้าตาหล่อเหลือร้ายคนนี้ เอริคเติบโตท่ามกลางเมืองใหญ่อย่างลอสแองเจลิส ส่วนฉันน่ะเหรอ...ได้เกิดมาเป็นคนก็บุญแค่ไหนแล้ว เขาได้รับเลือกให้เล่นหนังฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวู้ดอยู่บ่อยครั้ง ถึงแม้ไม่ใช่พระเอก...แต่ก็ถือว่าเป็นบทที่ใช้ได้เลยทีเดียว อันที่จริงฉันยอมรับอย่างหน้าไม่อายว่าอิจฉาเขา... อิจฉาที่เขามีชีวิตดีกว่าฉัน อิจฉาที่มีผู้คนรู้จักเขามากกว่าฉัน และอิจฉาที่เขาช่างหล่อได้สมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้นจากศิลปินชั้นเอกของโลกเลยจริงๆ

“ปิ๊นๆๆ!” เสียงแตรรถด้านหลังดังสนั่นขึ้น ฉันรีบเรียกสติคืนมาจากเอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ค เหลือบตาไปมองกระจกหลังเล็กน้อยด้วยความขุ่นเคืองก็เห็นรถกระบะสีดำข้างหลังที่กำลังเคลื่อนตัวมาประชิด เพราะตอนนี้ไฟเขียวแล้วแต่ฉันยังไม่ขยับไปไหน ฉันจึงใส่เกียร์รถแล้วเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว

การประคองรถของฉันก็ยังคงดำเนินไปอย่างย่ำแย่ แต่อย่างน้อยที่สุดฉันก็พยายามไม่ขับรถเร็วกว่าที่เคยทำ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจของฉันแค่ไหนก็ตาม หนังตาของฉันเริ่มปรือลง แล้วสิ่งไม่คาดฝันฉันก็เกิดขึ้น…

รถของฉันเบี่ยงเข้าไปกินเลนข้างๆ เสียงแตรรถ เสียงห้ามล้อดังครูดไปทั้งถนน สติของฉันถูกเรียกกลับมาใช้เต็มตาอีกครั้ง ด้วยสัญชาตญาณฉันรีบหักหลบไปด้านซ้ายเพื่อหนีการประสานงากับรถสิบล้อที่พุ่งเข้าหาด้วยความเร็วสูง แต่นั่นก็ไม่ใช่ผลดีมากนัก เพราะรถของฉันเสียหลักหมุนคว้างอยู่กลางถนนก่อนจะกระแทกกับราวกั้นเด้งออกมาขวางลำรถตู้ที่ตามหลังมา ฉันรู้ว่าคนขับรถตู้พยายามใช้เบรกแค่ไหน แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที ฉันรู้ดีว่าบัดนี้ฉันคงต้องถูกรถตู้สีบรอนซ์คันนั้นชนเข้าเต็มรักแน่

ฉันหลับตา ตัวเกร็งไปด้วยความกลัว ลมหายใจหอบถี่ระรัว ภาพในหัวฉันตีกันยุ่งไปหมด แต่ถึงกระนั้นภาพที่แจ่มชัดที่สุดในตอนนี้ก็คือ

วันพรุ่งนี้ฉันจะไปร่วมงานเปิดตัวคอลเล็คชั่นของฉันได้ยังไงกัน!

โครมม!! เสียงเหล็กกระทบกันดังสนั่น ฉันรู้สึกว่าตัวฉันลอยขึ้นมาจากเบาะ แต่ดีที่ฉันคาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้ ฉันจึงไม่ลอยไปกระแทกกับพวงมาลัยและกระจกรถ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีที่สุดเพราะฉันรู้สึกปวดจี๊ดที่หัวและลำคอของฉัน ภาพทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ฉันไม่มีโอกาสแม้แต่เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ และทุกอย่างรอบตัวฉันก็ดับวูบไป...



เสียงวิ้งๆ ในหูมันดังจนฉันนอนไม่ได้ ฉันจึงต้องยอมแพ้เปิดเปลือกตาขึ้นมามองไปยังเพดานห้องด้วยอาการมึนๆ ...น่าแปลกที่มันเปลี่ยนไปขนาดนี้ ทำไมโคมระย้าสุดเลิศของฉันถึงกลายเป็นหลอดนีออนธรรมดาไปได้ ฉันเริ่มกลอกตาไปทั่วห้อง ปลายเท้าฉันมีทีวีจอยี่สิบเอ็ดนิ้วตั้งอยู่ บ้าน่า...จะเป็นไปได้ยังไงเพราะฉันไม่เคยมีทีวีตั้งเอาไว้ในห้อง ขณะพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นจากเตียง ก็ต้องพบว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งในตอนนี้ เพราะมันเจ็บไปหมดทังตัว ฉันยกมือขึ้นมาเพื่อจะปลดปกเสื้อที่มันรัดคอออก แต่ให้ตายเถอะ...หลังมือฉันมีแต่สายอะไรก็ไม่รู้ห้อยระโยงระยางเต็มไปหมด ด้วยความตกใจฉันจึงหันไปด้านข้าง กร๊อบ...ฉันได้ยินเสียงกระดูกคอฉันลั่นดังขึ้นมาในหัว แล้วอีกอย่างคือมันเจ็บชะมัด ฉันกัดฟันค่อยๆ หันกลับมาด้วยความปวดระบมไปหมดทั้งคอ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่ฉันนอนแผ่อยู่ที่โรงพยาบาลต่างหาก

ฉันหลับตานิ่งพยายามคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น แน่ล่ะ...ฉันรอดจากเหตุการณ์นั้นมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ แต่ฉันกลับรู้สึกโหวงเหวงในใจว่าไม่มีใครมาอยู่ดูแลฉันแม้แต่คนเดียว อันที่จริงฉันมันก็ตัวคนเดียวมาตั้งนานแล้ว ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตขึ้นมาจากการดูแลของบรรดาญาติๆ ที่เวียนกันส่งเสียให้ฉันได้ร่ำได้เรียน พ่อแม่ฉันเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อฉันอายุได้เก้าขวบ ฉันรู้ดีว่าญาติๆ ของฉันไม่ค่อยจะปลื้มฉันเท่าไร เอ่อ...ฉันหมายความตามนั้นจริงๆ เพราะพวกเขาเพียงแค่ให้เงินส่งเสียฉัน แต่ไม่เคยหยิบยื่นความรักให้กับฉัน ซึ่งฉันก็คิดว่ามันไม่จำเป็นหรอกสำหรับความรักที่ไม่สำคัญต่อชีวิต คนเราอยู่ได้ด้วยหน้าที่และภาระที่ต้องทำมากกว่า

อืม...ฉันคงเล่าข้ามไปสินะเรื่องพรสวรรค์ของฉัน ฉันรู้ดีว่าฉันต้องทำงานในด้านเหล่านี้ได้ดีมากแน่ๆ ฉันจึงมุ่งหน้าสู่ทางนี้โดยไม่ฟังเสียงของใครทั้งสิ้น งานด้านดีไซเนอร์ยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ญาติ แต่ใครจะสน...เพราะฉันเลิกขอเงินพวกเขาใช้ไปนานแล้ว ฉันได้ทุนต่างๆ มากมายในยุคที่งานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการออกแบบเสื้อผ้ากำลังเฟื่องฟู พวกเขาสนับสนุนฉันยิ่งกว่าพวกญาติฉันเสียอีก ฉันได้รับโอกาสให้ไปเรียนที่เกี่ยวกับด้านนี้ในฝรั่งเศษ ซึ่งแน่นอน...พอฉันกลับมาก็มีแต่คนต้อนรับฉันอย่างอบอุ่น เพราะฝีมือฉันถูกยอมรับในคนที่เห็นค่าทางด้านนี้

แล้วตอนนี้ล่ะพวกเขาอยู่ที่ไหน

“สมองไม่ได้รับความกระทบเทือน แต่ยังไงเราก็ไม่ควรไว้ใจ ต้องดูแลเธอไปอีกสักระยะหนึ่ง” เสียงผู้ชายสูงวัยดังขึ้นหลังจากที่ประตูห้องเปิดออก ฉันแสร้งทำเป็นหลับต่อ เพื่อรอฟังในสิ่งที่เขาจะพูดต่อไป

“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ฟังดูนุ่มหูที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา อายุของเจ้าของเสียงคงจะไม่สูงวัยเท่าอีกคน ให้ตาย...นี่ฉันจะแกล้งทำเป็นตื่นพอดีเพื่อยลโฉมเจ้าของเสียงนุ่มคนนี้ดีรึเปล่านะ

“แล้วคุณติดต่อพ่อแม่หรือญาติเขาได้รึยังครับ” เสียงผู้ชายแก่ดังขึ้น

“ยังเลยครับ เอาเป็นว่าผมจะรับเป็นเจ้าของไข้ให้ก่อน รอจนกว่าจะมีญาติติดต่อมาก็แล้วกัน” เขาพูดขึ้นเบาๆ ฉันแอบนึกในใจ จ้างให้ชาตินี้ก็ไม่มีวันติดต่อญาติฉันได้หรอก ถึงติดต่อได้พวกเขาก็คงจะแค่ยักไหล่แล้วบอกว่า...เหรอ แล้วไม่ตายใช่ไหม... ก็แค่นั้น

“ก็ดีครับ เพราะตั้งแต่เธอสลบไปสองวันเต็มๆ ก็ยังไม่มีใครติดต่อหรือมาเยี่ยมสักคน” อะไรนะ! นี่ฉันสลบไปแล้วสองวัน ไม่! แล้วอย่างนี้งานเปิดตัวเสื้อผ้าของฉันจะเป็นยังไงกันล่ะ!

“เมื่อกี้ว่ายังไงนะคะ! ฉันนอนอยู่ที่นี่มาสองวันแล้วเหรอคะ!” ฉันตะเบ็งเสียงถามออกไปอย่างลืมตัว ชายคนที่ใส่เสื้อกาวน์สีขาวหันมายิ้มให้ฉันอย่างดีใจ ก่อนจะพาร่างผ่ายผอมเข้ามาใกล้ฉันเพื่อดูอาการ

“อ้าว...รู้สึกตัวแล้วเหรอครับคุณไอรีณ” คำถามของหมอทำให้ฉันหน้าแตกยับ ฉันได้ยิ้มแห้งๆ กลับไป รู้สึกตัวลีบลงมาเหลือแค่ฝ่ามือเดียว

“ก็เพิ่งรู้สึกตัวนี่แหละค่ะ ว่าแต่วันนี้วันที่เท่าไหร่คะ” แล้วฉันก็เห็นคุณหมอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ชั่วแวบนั้นสายตาฉันก็มองข้ามมือย่นๆ ของหมอผ่านไปยังชายหนุ่มที่ยืนกอดอกจ้องมองมาทางฉันอย่างจับผิด หน้าตาหล่อราวเทพบุตรของเขามันคุ้นตาฉันชะมัด แต่ก่อนที่ฉันจะคิดอะไรออกคุณหมอก็ตอบคำถามที่ฉันถามไว้เสียก่อน

“วันที่สิบแปดแล้วครับ” สายตาของฉันเปลี่ยนมาจับจ้องที่อยู่ใบหน้าของคุณหมออีกครั้งด้วยความตกใจ หมดกัน...กับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของฉัน นี่เป็นงานแรกที่ฉันได้รับเกียรติจากห้องเสื้อชื่อดังในการออกแบบคอลเล็คชั่นแนววินเทจในฤดูนี้

“เป็นอะไรไปรึเปล่าครับ” เสียงของหมอดังแว่วอยู่ในหูแข่งกับเสียงวิ้งๆ

“ไม่มีอะไรคะ” แต่หน้าตาของฉันมันกลับไม่เป็นอย่างที่ฉันบอก หน้าของฉันคงเป็นใบหน้าที่แย่สุดแย่ ฉันไม่รู้จะบรรยายยังไง เอาเป็นว่ามันแย่ยิ่งกว่าที่ยัยเด็กอายุสิบแปดนั่นปรามาสเอาไว้ก็แล้วกัน

“ไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะครับ คุณพักผ่อนให้สบายก่อนเถอะ เดี๋ยววันนี้ผมขอตัวก่อน คงจะเหลือแค่คุณเอริคที่จะอยู่กับคุณวันนี้” แล้วคุณหมอก็ยิ้มๆให้ฉันก่อนจะเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ฉันอยู่กับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสอง แต่เดี๋ยวก่อน...เมื่อกี้คุณหมอเรียกเขาว่ายังไงนะ

“สวัสดีครับคุณไอรีณ ตระการพินิจ” เสียงนุ่มราวกับเสียงสวรรค์ของเขาดังขึ้นจากมุมห้อง ร่างสูงโปร่งของเขาค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาฉันช้าๆ หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อใบหน้าของเขาเริ่มชัดขึ้นมาในมโนจิต

“ผม...เอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ค ยินดีที่ได้รู้จัก”

เพียงแค่นั้นฉันก็หูอื้อตาลาย อยากจะแกล้งเป็นลมให้หายไปจากตรงนี้จริงๆ





( นิลปานัน )
www.facebook.com/daranilday








ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มิ.ย. 2555, 21:54:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2555, 11:11:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 2528





   2. ค่าเสียหาย >>
หมูบูลิน 25 มิ.ย. 2555, 23:39:13 น.
ติดตามตอนต่อไปค่ะ


เจนิส 26 มิ.ย. 2555, 02:40:35 น.
อ่านเพลินเลยค่ะ


คิมหันตุ์ 26 มิ.ย. 2555, 03:25:54 น.
โอ๊ เย..รอวันพรุ่งนี้จ่ะ อิอิ


Zephyr 3 ก.ค. 2555, 23:38:42 น.
หนุ่มในฝันโผล่มาให้ยลตัวเป็นๆ แต่ชื่อพระนางคุ้นมากเลย เคยลงทั่ไหนมาก่อนป่าวคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account