มายารักเคียงดาว
...คุณเคยได้ยินไหม
ที่มีคนบอกว่า...ผู้หญิงมาจากดาวอังคาร
ส่วนผู้ชายมาจากศุกร์
แล้วจึงมาพบกันบนโลกใบนี้...

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 2. ค่าเสียหาย


ค่าเสียหาย



“ที่คุณจะต้องชำระให้ผมก็มี ค่าซ่อมรถตู้สองหมื่น ค่าที่ผมต้องใช้จ่ายจิปาถะอีกห้าพัน แล้วค่าที่ผมต้องออกให้คุณก่อนที่เข้าโรงพยาบาลนี้อีกหมื่นหก รวมๆ แล้วก็สี่หมื่นหนึ่งพันบาท” เอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ค เอ่ยเสียงเรียบ หน้าตาไม่บ่งบอกถึงความสงสารสักนิด

“คุณจะบ้าเหรอ! ค่าซ่อมรถอะไรแพงหูฉี่ขนาดนี้ แล้วเรื่องค่าใช้จ่ายอีกห้าพันอีก มันคือค่าอะไรทำไมฉันจะต้องจ่ายด้วย” ฉันอดโมโหไม่ได้ เขากำลังขูดรีดฉันอยู่แน่ๆ

“แล้วผมจะเอาใบเสร็จมาให้ดู” เขากางแขนมาพิงที่ราวกั้นเตียงของฉัน กลิ่นหอมอ่อนๆ โชยมาจากตัวเขา มันทำให้สติฉันเตลิดไปครู่หนึ่ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์กรุ่นของฉันลดลงแม้แต่น้อย

“ไม่มีทาง ฉันจะจ่ายในส่วนที่มันจำเป็นเท่านั้น” ฉันยืนยันคำเดิมแม้ว่าความหล่อระดับพระกาฬของเขาจะมาสั่นคลอนความรู้สึกขนาดไหน ฉันก็จะไม่ใจอ่อนเด็ดขาด

“แล้วคุณคิดว่าที่รถของคุณที่ชนรถตู้ผมซะพังยับนี่มันไม่จำเป็นเหรอครับ คุณผู้หญิง” เขาก้มหน้าลงมามองหน้าฉัน ยอมรับว่าเขาหล่อ ดวงตาสีฟ้าอมน้ำตาลมันดูมีเสน่ห์สุดยอด แต่ก็นั่นแหละ...ฉันไม่ใจอ่อนให้กับความหล่อข้างหน้าแน่นอน

“อันที่จริงมันก็จำเป็นนะ แต่ฉันว่าคุณกำลังขูดเลือดฉันอยู่” ฉันพูดสวนขึ้นมา

“ผมไม่ได้ทำ สาบานได้”

“แต่ยังไงฉันก็ว่ามันแพงไปอยู่ดี ฉันไม่มีเงินขนาดนั้น”

“ค่อยๆ ผ่อนก็ได้ ผมไม่รีบร้อน” เขายิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก สาบานได้ว่าโคตรดูดีเลยให้ตาย

“แล้วคุณเรียนอยู่หรือว่าทำงานแล้ว” สิ้นเสียงนุ่มๆ ของเขา ฉันก็เลิกคิ้วขึ้นมา นี่เขาคงคิดว่าฉันไม่มีเงินจ่ายเขาแน่ ...ซึ่งเขาคิดถูก เฮ้อ...

“ฉันเป็นดีไซน์เนอร์” ฉันพูดอย่างภูมิใจ ที่อย่างน้อยหน้าที่การงานของฉันมันก็คงดูดีในสายตาเขาบ้าง แม้ว่าสภาพของฉันในตอนนี้มันจะต่างจากอาชีพที่ทำอยู่มากโข

“คุณเป็นดีไซน์เนอร์?” คิ้วหนาของเขายกขึ้น ช้อนตามองฉันอย่างไม่อยากเชื่อนัก

“ค่ะ ฉันเป็นดีไซน์เนอร์ แล้วไง”

“คุณไม่เหมือนผู้หญิงทำงาน อืม...ผมหมายถึงคุณยังดูเป็นเด็กอยู่” เขารีบแก้ตัว

“ฉันเรียนจบก่อนคนอื่น แล้วก็ได้ทำงานก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันก็แค่นั้น” ฉันเผลอยักไหล่ แล้วมันก็เจ็บจี๊ดไปที่คอ

“คุณควรจะนอนเฉยๆ” เขาคงเดาได้จากหน้าตาของฉันที่มันแสดงออกว่าเจ็บแค่ไหน ฉันพยักหน้ารับเบาๆ อย่างน้อยที่สุดฉันก็ต้องรีบรักษาตัวเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาลแสนแพงแห่งนี้

“ฉันต้องนอนเฉยๆ แน่ อย่างน้อยก็ขอหายให้เร็วที่สุด โรงพยาบาลอะไรสุดยอดของความแพง” ฉันบ่นอุบ

“ถ้างั้นคุณก็ต้องพักแล้วล่ะ เพราะถ้าคุณยังนอนอยู่อย่างนี้ เงินที่ผมจะได้ก็ช้าลงด้วย จริงรึเปล่าครับ” เอริคพูดยิ้มๆ แต่ขอโทษเถอะ...ฉันไม่มีอารมณ์หัวเราะด้วยสักนิด

“คุณกลัวฉันจะเบี้ยวหนี้รึไง” ฉันเริ่มอารมณ์เสีย เมื่อเห็นเขายังคงอมยิ้มอยู่

“ครับ ผมกลัว” เขาผงกหัว นั่นมันทำให้ฉันอยากจะลุกขึ้นมาทึ้งผมสีอ่อนของเขาด้วยความหมั่นไส้จริงๆ

“แล้วคุณจะนั่งเฝ้าฉันไปอย่างนี้น่ะเหรอคุณเอริค ไม่มีการมีงานทำเหรอไงคะ” ไอ้ที่ไล่ไปไกลๆ น่ะ ไม่ใช่อะไรหรอก แค่ฉันอายที่ต้องอยู่ต่อหน้าเขาในสภาพยัยป้าหน้าศพก็เท่านั้นเอง คิดดูสิว่าดาราระดับนี้มานั่งเฝ้าไข้ฉัน ไปเล่าให้ใครฟังใครจะเชื่อ!

“มีครับ แต่ไม่ทำ” เขาพูดหน้าตาเฉย สาบานได้...ไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าเขาก็โคตรกวน

“งั้นก็ตามใจค่ะ อยากเฝ้าก็เฝ้าไป ฉันคงหนีไม่ได้อยู่แล้วในสภาพนี้” ฉันยกธงขาว พยายามทำตัวให้ผ่อนคลายมากขึ้น แต่มันช่างยากเย็นจริงๆ เมื่อมีสายตาของใครบางคนยังจ้องมองฉันอยู่อย่างนี้

“แล้วคุณก็ควรจะออกไปได้สักที เพราะฉันต้องการพักผ่อน” จู่ๆ ฉันก็พูดขึ้นมาเสียงดังเพราะทนกับสายตาวาววับของเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว

“คุณไม่มีญาติ หรือว่าเพื่อนที่รู้จักบ้างเลยเหรอ” เอริคถามขึ้นมาอีก นี่เขากะจะไม่ให้ฉันได้พักผ่อนจริงๆ รึไงเนี่ย

“มี แต่พวกเขาคงไม่รู้หรอกว่าฉันเข้าโรงพยาบาล เพราะฉันไม่อยากบอก”

“ทำไมไม่บอก” ให้ตายเถอะ อีตานี่ถามเซ้าซี้เป็นบ้า!

“แล้วคุณจะรู้ไปทำไมคะคุณเอริค คุณเป็นแค่เจ้าหนี้ของฉันนะไม่ใช่เจ้านาย จะได้ถามซอกถามแซ่กอะไรขนาดนี้”

“ก็ไม่แน่นะ บางทีอาจจะมีวันนั้น” เขาพูดพลางส่งรอยยิ้มละลายหัวใจมาให้ “เอาเป็นว่าคุณนอนก่อนเถอะครับผมไม่กวนแล้ว”

“ดีค่ะ เพราะฉันก็อยากพักผ่อน” ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น หัวใจของฉันมันก็ยังเต้นโครมครามไม่หยุด ไม่ต้องมาบอกว่าฉันบ้าดารานะ เพราะถ้าเป็นพวกคุณได้มาอยู่ใกล้ผู้ชายที่แสนทรงเสน่ห์คนนี้คุณก็เป็นเหมือนฉันนั่นแหละ

ระหว่างที่ฉันกำลังต่อสู้กับอารมณ์ของตัวเอง เขาก็พาร่างสูงๆ เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ฉันนอนพักผ่อนตามความต้องการ แต่ยังไม่วายก่อนจะไปยังหันมาส่งยิ้มหวานละมุนให้ด้วยแน่ะ

แค่เห็นก็ใจสั่นแล้ว นี่เขาจะโปรยเสน่ห์ให้ฉันไปถึงไหนกันเนี่ย...



ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาโพล้เพล้ ทันที่เปลือกตาของฉันเปิดออก สิ่งแรกที่ฉันมองหาคือร่างสูงๆ ของนายแบบชื่อดังของเมืองไทยที่เคยปะทะคารมไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ถึงแม้ว่าจะบอกตัวเองว่าเขาไม่อยู่แล้วแต่สายตาเจ้ากรรมมันก็ไม่ยอมฟังเสียง แต่ทว่าก็ไร้เงาเขาเหมือนที่คาดไว้ ไม่อยากยอมรับหรอกว่าแอบผิดหวังอยู่ลึกๆ

“มองหาผมอยู่เหรอครับ” แต่ทว่าเสียงนุ่มที่ดังขึ้นจากประตูห้อง มันทำให้ฉันต้องรีบหันไปมองจนทำให้ร้าวที่คออีกรอบ

“โอ๊ย” ฉันอุทานออกมาเบาๆ ทั้งอาย ทั้งเจ็บ

“คุณอย่าเพิ่งหันไวสิ เดี๋ยวก็ไม่หายหรอก” เอริคพูดพลางเดินเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกในมือ

“ฉันมองหาพยาบาลต่างหาก” ฉันรีบแก้ตัว

“คุณต้องการอะไรรึเปล่าครับ เดี๋ยวผมเรียกให้” เอริครีบวางถุงนั่นไว้บนโต๊ะอาหารคนป่วย ก่อนจะปรี่มาเกาะขอบเตียงฉันหน้าตาเป็นห่วง

“ไม่ต้องค่ะ ฉันทำเองได้” พูดแล้วฉันก็พยายามยันกายลุกขึ้น

“จะทำอะไรครับ ผมช่วย”

“ไม่เอาค่ะ ฉันทำของฉันเองได้จริงๆ คุณไม่ต้องช่วยหรอก”

“แต่ดูท่าทางคุณไม่ไหวนะ ไม่เป็นไรหรอกแค่นี้เองให้ผมช่วยเถอะ” เอริคยังพยายามที่จะเข้ามาประคองฉันเอาไว้ แต่ฉันก็ยังดื้อไม่อยากให้เขาช่วยอยู่ดี

“ฉันเดินได้ค่ะ คุณไม่ต้องช่วยหรอก” ฉันหันไปแหวใส่เขาอีกครั้งหนึ่งก่อนจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นมาจากเตียงโดยใช้เสาห้อยน้ำเกลือเป็นตัวช่วย ดูหน้าตาของเอริคเหวอไปเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสงสัย

“คุณจะไปไหน?”

“คุณอย่าห่วงเลย ฉันไปไม่ไกลหรอก”

“คุณยังไม่หายนะ จะไปไหนบอกผมสิ เดี๋ยวผมเรียกพยาบาลให้เอารถเข็นมาให้” เอริคยังคงตื้อต่อไปโดยหารู้ไม่ว่าฉันน่ะ...

“ปวดฉี่ค่ะ ฉันปวดฉี่กำลังจะไปเข้าห้องน้ำ ชัดเจนนะคะ ฉะนั้นกรุณาปล่อยฉันไปเถอะค่ะคุณเอริค” เท่านั้นแหละ เอริคก็หัวเราะออกมาเบาๆ มันน่าขำตรงไหน แต่เขาก็ยังยิ้มไม่หยุด เชื่อเถอะ...ว่าเขาเป็นคนที่ยิ้มแล้วน่าดูที่สุดคนหนึ่งที่ฉันเคยรู้จักมา

หลังจากที่ฉันพยายามลากสังขารเดินไปยังห้องน้ำช้าๆ โดยมีเอริคเดินตามห่างๆ และเดินกลับมายังเตียงโดยสวัสดิภาพ ฉันก็เห็นเขาแกะกล่องพลาสติกที่อยู่ในถุงออกวางลงบนโต๊ะอาหารผู้ป่วยแล้วลากมาไว้ตรงหน้าฉัน มันเป็นข้าวต้มกุ้งที่ต้องยอมรับว่าหอมเย้ายวนใจมาก แต่ทว่าฉันไม่อยากกินมันสักนิด

“คุณซื้อให้ฉันเหรอคะ” ฉันถามออกไปอย่างแปลกใจ

“ครับ คิดว่าคุณคงเบื่ออาหารโรงพยาบาล” เอริคพูดยิ้มๆ มันยิ่งทำให้ฉันอดใจเต้นไม่ได้เมื่อเริ่มคิดเข้าข้างตัวเองแล้วว่าเขาเป็นห่วง

“คุณรู้มั้ยคะว่าสิ่งเดียวในโลกที่ฉันไม่สามารถกินได้คืออะไร” ฉันกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเขา

“อย่าบอกนะครับว่าคุณแพ้กุ้ง”

“แพ้แบบสุดๆ ไปเลย”

“ให้ตายเถอะ...ผมต้องขอโทษคุณจริงๆ นะ ไม่ได้ตั้งใจวางยาคุณเลย” เขาพูดพลางรีบเก็บข้าวต้มกุ้งออกไปให้พ้นหน้าฉัน อันที่จริงฉันน่าจะโกรธเขานะ แต่ท่าทางของเขามันกลับทำให้ฉันรู้สึกดีเป็นบ้าเลย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะวางยาฉันเหมือนกัน เพราะถ้าคุณทำอย่างนั้นหนี้คงสูญเลยว่ามั้ย” ฉันยิ้มให้อย่างเปิดเผย นับว่าเป็นรอยยิ้มแรกที่ฉันส่งให้เขาเลยเท่าที่จำได้นะ

“นั่นสิครับ” เอริคพยักหน้ารับ พร้อมกับลากเก้าอี้ไม้ที่ทางโรงพยาบาลจัดให้สำหรับผู้มาเยี่ยมเข้ามานั่งอยู่ข้างเตียงฉัน พอเขาเข้ามาใกล้อย่างนี้มันทำให้ฉันรู้เลยว่าเขาหล่อมากๆ หุ่นดีมากๆ ยิ่งเขาเหลือบดวงตาสีฟ้าอมน้ำตาลขึ้นมามองฉันเมื่อไหร่ใจมันสั่นทุกทีเลยให้ตายสิ!

“คุณว่าผมดูโอเครึเปล่า” จู่ๆ เอริคก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนฉันอดขมวดคิ้วไม่ได้

“ยังไงคะ โอเค?”

“ก็ดูแย่มากรึเปล่า” เขาพูดพลางโน้มตัวเข้ามาเกาะราวกั้นขอบเตียงเอาไว้ ทำเอาฉันต้องขยับตัวออกห่างอีกนิด ก็ตัวเขาหอมเป็นบ้าเลย ...ฟุ้งซ่านใหญ่เลยฉัน...

“ไม่แย่นี่คะ ถามทำไม” ฉันตอบอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก

“ก็ผมต้องแกล้งเป็นป่วยจากอุบัติเหตุเพื่อหาเรื่องหยุดงานน่ะ นานๆ จะได้หยุดที” เขาพูดพลางหลิ่วตาให้

“ได้หยุดแล้วทำไมไม่อยู่บ้านล่ะคะ จะมาตามเฝ้าฉันทำไม”

“ผมไม่ได้เฝ้า” เขาปฏิเสธหน้าตาเฉย ทำฉันหน้าชาไปเลย “ผมแค่หลบนักข่าวเท่านั้นเอง”

“อ๋อ...เหรอคะ” ฉันลากเสียงยานคาน ไม่รู้สิ...ก็คนมันเสียหน้านี่ อุตส่าห์คิดเข้าข้างตัวเองเป็นตุเป็นตะ

“คุณงอนเหรอครับ” ดูเถอะ...ถึงแม้ว่าหน้าของเขามันจะไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่น้ำเสียงนี่มันล้อเลียนฉันชัดๆ

“งอนอะไรคะ ไม่มีอะไรต้องให้งอน” ฉันบอกปัดไปอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

“คุณเชื่อมั้ย ว่าคุณเป็นผู้หญิงคนแรก ที่เหมือนอยากจะไล่ผมออกไปเสียพ้นๆ” เสียงนุ่มของเขาดังขึ้นมาปนขบขัน

“แล้วคุณเชื่อมั้ยคะ ว่าคุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ฉันคิดว่าหลงตัวเองสุดๆ ไปเลย” ฉันสวนกลับบ้าง แต่รู้สึกว่าเขาจะไม่โกรธแฮะ กลับหัวเราะออกมาอย่างนั้น

“นั่นสินะ สงสัยผมจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ” ฉันมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อสักเท่าไหร่ เพราะถ้าคุณได้รู้จักเอริคในมุมของฉัน คุณจะมองเขาเป็นเจ้าชายน้ำแข็ง บุรุษลึกลับน่าค้นหา หนุ่มยิ้มยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงแปลงไปแม้ว่าเขาจะเป็นอย่างไรนั่นก็คือ เป็นผู้ชายที่หล่อระเบิดระเบ้อไปเลยให้ตาย...

“คุณทะเลาะกับแฟนเหรอ?” จู่ๆ เขาถามขึ้นอีกครั้ง มันทำให้ฉันปรับอารมณ์แทบไม่ทันเมื่อถูกถามอย่างจู่โจมเช่นนี้

“หือ...ฉันเนี่ยนะทะเลาะกับแฟน”

“หรือไม่ก็ ติดการพนัน” เขายังคงสันนิษฐานต่อ

“หรือว่าคุณติดยา” ชักจะไปกันใหญ่แล้ว ฉันมองเขาอย่างไม่เชื่อสายตา สาบานได้นี่ฉันกับเขาเพิ่งรู้จักกันไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ในสายตาของเขาฉันคงกลายเป็นฆาตกรขี้คุกที่ทั้งทะเลาะกับแฟน ติดพนัน และยาเสพติดเรียบร้อยโรงเรียนเอริคไปแล้ว

“คุณช่วยหยุดข้อสันนิษฐานของคุณสักห้านาทีได้ไหมคะ คุณเอริค กวินทรา โรเซ็นเบิร์ค” ฉันพูดชื่อเขาไม่ผิดเพี้ยนสักคำ นั่นเป็นเพราะฉันท่องจนขึ้นใจนับตั้งแต่ได้รู้ว่าใครคือเจ้าหนี้รายใหญ่ของฉัน

ท่าทางของเขาผ่อนลงเมื่อเห็นฉันเริ่มเสียงดัง ฉันแน่ใจว่าเห็นมุมปากเขากระตุกยิ้มขึ้นมา พร้อมกับดวงตาสีสวยของเขาที่มันเต้นระริกอยู่ราวกับขบขันฉันเสียเต็มประดา

“คุณไปเอาข้อสันนิษฐานพวกนั้นมาจากไหนกัน หรือว่าในรายงานของแพทย์เขาเขียนไว้ว่าฉันทะเลาะกับแฟน”

“อย่างแรกเลย หมอบอกว่าคุณหลับในตอนขับรถ ผมก็เลยตั้งข้อสันนิษฐานว่าบางทีเมื่อคืนคุณอาจจะทะเลาะกับแฟนจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่พอผมเห็นหน้าตาของคุณตอนที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ ผมก็รู้ว่าผมคิดผิด” ฉันผงกหน้ารับเบาๆ พร้อมกับนอนนิ่งๆ เพื่อฟังข้อสันนิษฐานประหลาดของเขาต่อไป

“ดังนั้นผมก็เลยเปลี่ยนใหม่ เป็นคุณอาจจะติดการพนันงอมแงม เกิดความเครียดสะสมจึงทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อน เลยส่งผลให้คุณหลับในขณะขับรถ” ฉันมองเขาอย่างทึ่งๆ นี่เขาคิดได้ยังไงว่าฉันติดการพนัน

“แล้วอย่างสุดท้ายล่ะ” ฉันถามด้วยความอยากรู้

“อย่างสุดท้ายเหรอ...” เขายิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงรายน่ามอง “ผมยังคิดไม่ออกเลยแต่คุณกลับถามขึ้นซะอย่างนั้น” สิ้นเสียงนุ่มของเขาฉันก็เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดสิ่งที่มันกวนใจฉันออกมา

“คุณนี่ไม่เหมือนกับที่ฉันคิดเอาไว้เลยรู้ตัวรึเปล่าคะ” ฉันพูดพลางมองใบหน้าคมสันที่มีเลือดฝั่งตะวันตกครึ่งหนึ่งของเอริคเอาไว้มั่น

“แล้วภาพของผมที่คุณคิดเอาไว้เป็นยังไง” ท่าทางเขาดูสนใจขึ้นมาทันที นี่มันจะเป็นเรื่องดีรึเปล่านะถ้าฉันจะพูดออกไป

“ก็...เป็นคนที่เดาอารมณ์ยาก ยิ้มยาก ดูมีอะไรในหัวคุณอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ชอบวางตัวลึกลับไม่เหมือนใคร” สรุปว่าฉันก็พูดออกไปทุกคำ ให้ตายเถอะ...

เอริคนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะแค่นยิ้มออกมา ดูท่าทางเขาตอนนี้คงเหมือนกับคนที่รับอีกด้านของตัวเองไม่ได้แน่เลย ฉันว่านะ...

“ผมคงดูแย่มากเลยสินะในสายตาคุณ” เขาจ้องหน้าฉันเขม็ง มันทำให้รู้สึกอึดอัด ชักเริ่มทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสิ

“คุณว่าคนพูดน้อย ลึกลับ เป็นคนนิสัยแย่เหรอ ฉันว่าไม่หรอกนะคะ เพียงแต่ว่าทำไมพออยู่ต่อหน้าฉันแล้วคุณเป็นเหมือนอีกคนนึงที่ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น คนที่อยู่ในข่าวตลอดเวลา”

“แล้วคุณชอบแบบไหนล่ะ” ดวงตาสีแปลกของเขาพราวระยับ ชักเริ่มหมั่นไส้เขาขึ้นมาตงิดใจแล้วสิ

“ฉันไม่ได้ชอบแบบไหนเป็นพิเศษ แต่ถ้าจะถามจริงๆ ฉันชอบแบบไม่มีหนี้มากกว่าค่ะคุณเอริค” ฉันพูดพลางยิ้มน้อยๆ

“คงจะไม่ได้หรอกครับมิส” เขาตอบกลับมาเสียงนุ่ม

“นั่นสิคะ ฉันก็ว่าไม่ได้” อีตาดารานี่งกเป็นบ้าเลย...

“แล้วสรุปว่าแบบไหนกันล่ะคะที่เป็นตัวจริงของคุณ แบบที่ฉันเห็นในทีวีบ่อยๆ หรือว่าแบบที่คุณกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าฉันตอนนี้”

“แบบไหนก็ผมทั้งนั้นครับ แล้วแต่ว่าอยู่ในช่วงไหน”

“คุณพูดอะไรฉันไม่เข้าใจ”

“เวลาทำงานผมก็ต้องมีคาแรกเตอร์ของผม ยิ่งดูเป็นคนลึกลับมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งขายได้มากเท่านั้น” เขาพูดพลางจ้องหน้าฉันเขม็ง และนั่นก็เป็นคำตอบที่ดีทีเดียว อย่างน้อยด้วยคาแรกเตอร์นี้ก็ทำให้เขาตกเป็นที่สนใจของบรรดาสาวๆ ทั่วประเทศ เพราะแต่ละคนก็ต่างอยากจะได้สัมผัสตัวตนที่อยู่ภายในเปลือกนอกเย็นชาของหนุ่มคนนี้เพื่อจะได้เป็นคนพิเศษที่ได้รู้เรื่องราวมากกว่าใคร

“ผมว่าคุณน่าจะพักผ่อนได้แล้วนะ ผมคงอยู่กวนคุณนานแล้ว” เขาพูดพลางยกนาฬิกาเรือนเงินแวววับขึ้นมาดู ก่อนจะยืนขึ้นอวดหุ่นเพอร์เฟกต์

อันที่จริงฉันอยากจะบอกว่าที่เขาอยู่น่ะไม่กวนฉันแม้แต่นิดเดียว แต่ทว่าด้วยมารยาทฉันก็ต้องพยักหน้ารับด้วยความเสียดายก่อนจะพูดออกไป

“ขอบคุณมากนะคะที่อยู่เป็นเพื่อนฉันวันนี้” ฉันพูดจากใจจริง จากตอนแรกที่คิดว่าเขาจะต้องหงุดหงิดโมโหที่ฉันทำรถของเขาพังยับ แต่ทุกอย่างมันกลับตรงกันข้าม เขาดูเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จัก แถมยังใจดีสุดๆ อีกด้วย

“ยินดีครับ” แล้วก่อนที่เขาจะพาร่างสูงๆ ออกไปจากห้อง เขาก็หยุดชะงักแล้วหันกลับมาหาฉันอีกครั้ง “แล้วผมจะเอาใบเสร็จมาให้ดู” พูดจบเขาก็เดินจากไป ปล่อยให้ฉันยิ้มค้างอยู่อย่างนั้นไปหลายอึดใจ

ฉันขอถอนคำพูดเยินยอสรรเสริญเขาทุกอย่าง ณ บัดนาว!



หลายวันมาแล้วนับแต่วันนั้นฉันไม่ได้เห็นเงาของเอริคอีก ฉันไม่รู้ว่าฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอรึเปล่า เขาถึงหายหน้าหายตาไปอย่างนี้ เขาส่งแค่ผู้จัดการส่วนตัวมาหาฉันเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งฉันก็ยินดีเซ็นโดยไม่ปริปากบ่น ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์กดเบอร์ปลายที่คุ้นเคยทันที

“น้องไอร์!!!” เสียงแหลมแสบแก้วหูดังหลังจากที่ฉันแนะนำว่าเป็นใคร นี่ฉันคิดผิดรึเปล่านะที่โทรไปหาพี่ส้มสาวประเภทสองที่สวยหยดยิ่งกว่าของแท้ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการห้องเสื้อที่ฉันทำงานอยู่

“ทำไมไอร์ไม่บอกพี่คะ ว่าเกิดอุบัติเหตุ นี่รู้ไหมว่าพวกเราเป็นห่วงกันแทบแย่ ถ้าไอร์ไม่โทรมาวันนี้ รับรองวันพรุ่งนี้ต้องได้ลงข่าวหน้าหนึ่ง ดังเป็นพลุแตกแน่”

“ว้า งั้นสงสัยไอร์คงโทรมาผิดวัน ขอโทษนะคะพี่ส้ม” ฉันอดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงใบหน้าสวยๆของพี่ส้มที่คงกำลังสติแตกแค่ไหน

“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นกับพี่เลยนะ เอาเป็นว่าตอนนี้ไอร์รอพี่อยู่ที่โรงพยาบาลก่อน พี่ขอเวลาหนึ่งชั่วโมง จะรีบแล่นไปหาให้เร็วที่สุดเลยคอยดู”

“ได้ค่ะ ขับรถดีๆนะคะ” พูดเสร็จฉันก็วางหูโทรศัพท์ของโรงพยาบาลลง อันที่จริงวันนี้เป็นวันที่ฉันได้ออกจากโรงพยาบาล แต่ก็นะ...รถฉันก็พังยับ ยังดีที่ประกันยอมจ่าย ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องขายมันเป็นเศษเหล็กแน่ๆ ช่วงนี้ฉันจึงไม่มีรถใช้งานด้วยประการทั้งปวง

พี่ส้มมารับฉันที่โรงพยาบาลในเวลาที่หยิบยื่นให้ฉันไม่ขาดไม่เกิน พอเธอเห็นสภาพฉันก็ต้องร้องว้าย เนื่องจากฉันโทรมสุดๆ แต่ฉันก็ไม่ยี่หระอะไร เพราะอย่างน้อยฉันก็ได้เผยตัวตนที่แท้จริงให้กับผู้ชายเพอร์เฟคที่สุดได้เห็นกันจะๆ ไปแล้วที่โรงพยาบาลแห่งนี้

ฉันไม่กล้าจะถามพี่ส้มเรื่องงานเปิดตัวเสื้อผ้าคอลเลคชั่นของฉัน เพราะฉันกลัวคำตอบที่จะได้รับมันจะทำร้ายจิตใจฉันอย่างแรง เช่น ‘มันแย่มากเลยค่ะน้องไอร์ นักข่าวรุมด่ากันทั้งนั้นว่าไร้รสนิยม’ หรือ ‘พวกนักข่าวจวกกันให้เละทีเดียวว่าดีไซน์เนอร์ทนอับอายไม่ไหว ก็เลยชิ่งหนีไปก่อนที่จะโดนด่า’ ฉันจึงปิดปากเงียบมาตลอดทาง

แต่แล้วสิ่งที่ฉันไม่อยากได้ยินก็ดังขึ้นมาริมฝีปากเคลือบลิปติกสีแดงจัดของพี่ส้มขยับพูดถึงงานเดินแบบที่เพิ่งผ่านพ้นไป

“แล้วไอร์จะไม่ถามเลยเหรอว่างานได้รับผลตอบรับยังไงบ้าง” ฉันยิ้มแห้งๆให้กับพี่ส้ม ถ้าจู่ๆ ฉันจะโพล่งออกมาว่าฉันไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น ฉันกลัวว่าพี่ส้มจะรับไม่ได้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ฉันได้เพียงแต่พยักหน้ารับ พร้อมกับพูดว่า

“แล้วเป็นยังไงบ้างคะพี่ส้ม” พี่ส้มหันหน้ามามองฉันแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองถนนด้วยสีหน้าที่ฉันก็เดาอารมณ์ไม่ถูก มันทำให้ฉันรู้สึกห่อเหี่ยวใจพิกล

“มัน เอ่อ...” ไม่เอาน่าพี่ส้ม ฉันไม่ชอบอย่างนี่เลยจริงๆ

“มันดีมากๆ เลยล่ะที่รัก ทั้งนักข่าว ทั้งไฮโซ ชมกันไม่ขาดปาก พี่งี้ยิ้มจนแก้มปริเลย” เฮ้อ...ฉันอยากจะกระโดดเข้าไปหอมแก้มพี่ส้มให้สมกับที่ทำให้ฉันใจแป้วจนแทบจะยกมือขึ้นมาอุดหู

“พี่ส้มทำไอร์แทบลืมหายใจ” ฉันอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ แน่ล่ะ อย่างน้อยฉันก็ได้เกิดในระดับหนึ่งก็แล้วกัน แล้วเราสองคนก็คุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาผู้หญิงจนถึงสถานที่ซุกหัวนอนของฉัน



ฉันเดินกระเผลกๆ เข้ามาในห้องชุดของฉันที่ไมได้ใหญ่ไปกว่าห้องนอนของเศรษฐีบางคน หลายวันแล้วที่ฉันไม่ได้กลับมาที่ห้อง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ห้องเปลี่ยนแปลงอะไร ก็ฉันอยู่ตัวคนเดียวมาหลายปีดีดัก จนเกือบจะลืมการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นไปแล้วจริงๆ ฉันทรุดตัวลงนั่งกับโซฟาสีเบจตัวใหญ่กลางห้องที่เต็มไปด้วยภาพวาดมากมาย อันที่จริงพอฉันว่างจากการออกแบบเสื้อผ้า ก็มักจะระบายอารมณ์ออกมาเป็นรูปภาพบนผืนผ้าใบ จนมันมากมายขึ้นมาตามลำดับ ซึ่งฉันก็ไม่ได้เดือดร้อนหรือรู้สึกเกะกะอะไร กลับรู้สึกดีเสียอีกที่ได้นั่งดูฝีมือของตัวเอง พร้อมกับดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของแต่ละภาพ

ตรงมุมสุดของห้องเป็นภาพเด็กผู้หญิงท่ามกลางดวงดาวที่ห้อมล้อมของคืนเดือนดับ ฉันจำได้ว่าฉันวาดภาพนี้ตอนรู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยว มันเป็นคืนหนึ่งที่ฉันคิดถึงพ่อแม่ที่จากไปแล้ว พร้อมกับอิจฉาคนอื่นๆ ที่เขามีครอบครัวที่พร้อมหน้าพร้อมตา ในขณะที่ฉันต้องทนเหงาอยู่คนเดียว ฉันไล่สายตาไปมองยังกลุ่มตัวอักษรข้างๆ ของภาพด้วยความขบขัน



‘คุณเคยคิดว่าคุณอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายบนโลกนี้บ้างไหม...

ฉันไม่รู้ว่าพวกคุณจะเคยเหงาบ้างหรือเปล่า



ฉันมองขึ้นไปบนฟ้ากว้าง...

ข้างบนมีดวงดาวมากมายที่ส่องแสงเรืองรองอยู่บนนั้น

แต่ไม่มีสักดวงที่มันส่องแสงเพื่อฉัน

โลกของฉันมันช่างมืดมนจริงๆ...



ฉันเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่ง

ในจำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่เป็นจำนวนแสนล้าน

ทำไมคนยิ่งมาก ฉันถึงยิ่งเหงา...



โลกของฉันเป็นอีกโลกหนึ่งที่มันไม่เหมือนกับที่นี่

ที่นั่นทุกคนลอยไปลอยมาราวกับสายลม

เราไม่ต้องคุยกันก็สามารถเข้าใจถึงข้อความข้างในใจ

ฉันสามารถหายตัวไปได้ตามแต่ใจนึก

แต่ที่นี่ไม่ใช่...



ฉันอยากให้พวกคุณได้เห็นโลกของฉัน

อยากให้ทุกคนเปิดใจให้กว้างและใช้ใจสัมผัสใจ

เพียงแค่นี้ ... คุณจะสามารถข้ามผ่านโลกของฉันได้



ฉันเพียงอยากให้คุณได้รู้ว่าตอนนี้ฉันเหงามากมายจริงๆ...’

ไอรีณ ตระการพินิจ



ฉันอมยิ้มทันทีที่อ่านจบ เออ...แฮะ ฉันนี่ก็อารมณ์ศิลปินเหมือนกันนี่ แต่ตอนนั้นฉันอยู่ในห้วงความเหงาจริงๆ ไม่ได้โกหก หลังจากที่กวาดสายตามองภาพจากฝีมือตัวเองจำนวนเกือบยี่สิบภาพจนด้วยความภูมิใจเรียบร้อยแล้ว ฉันก็กลับมานั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากอุบัติเหตุอีกครั้ง

ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ขึ้น ฉันคงไม่ได้รู้จักกับผู้ชายรูปหล่อคนนั้นแน่ เขาคงจะเป็นเพียงจินตนาการที่เหมือนกับไม่มีตัวตน เขาเป็นผู้ชายที่ฉันไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะเจอ แต่ก็เจอพร้อมๆ กับที่เขาหายไปจากชีวิตฉัน ฉันพยายามใช้สมองอย่างหนักเพื่อนึกถึงบทสนทนาของเรา ว่าฉันไปพูดอะไรสะกิดใจเขาบ้างรึเปล่า จู่ๆ เขาจึงหายไปโดยไม่ส่งข่าวคราว ฉันรู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อย แต่ก็พยายามคิดว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉัน ที่เขาหายไปเป็นเพราะว่าเขาคือดาราคนดังต่างหาก

งานของฉันมีดีที่ไม่ต้องเข้างานตามเวลาราชการหรือต้องเข้าบริษัททุกวัน ฉันแค่มีงานส่งตามกำหนดเท่านั้นก็ถือว่าเพียงพอ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องไปประชุมกับพี่ๆ ที่ร้านอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งส่วนมากแล้วก็เหมือนกับการไปนั่งคุยเล่นกันมากกว่า เพราะงานของฉันฉันอัพเดตเทรนใหม่ตลอดเวลาอยู่แล้ว

พอนึกถึงเรื่องงานฉันก็ต้องนึกถึงเรื่องค่าเสียหายที่ฉันจะต้องจ่ายให้กับเอริค มันเป็นจำนวนที่คุณจะต้องคาดไม่ถึงทีเดียว จากวันแรกที่เขาบอกฉันว่ายอดรวมอยู่ที่สี่หมื่นหนึ่งพันบาท ตอนนี้มันขยับขึ้นมาอยู่ที่แปดหมื่นเจ็ดพันเก้าร้อยบาทถ้วน พระเจ้า!...นี่ฉันนอนโรงพยาบาลที่แพงที่สุดในเมืองไทยรึเปล่า โรงพยาบาลบ้าอะไรคืนละตั้งหมื่นเก้า เอริคนะเอริค ก็ช่างหาเหาใส่หัวให้ฉันดีจริงๆ

ฉันจึงต้องยอมเซ็นสัญญากับผู้จัดการส่วนตัวของเขาด้วยอาการน้ำตาตกใน อันที่จริงฉันอยากจะเคลียร์กับต้นเรื่องมากกว่า แต่ติดที่เขาไม่เคยโผล่หน้าหล่อๆ ของเขามาให้ฉันเห็นแม้แต่วันเดียวหลังจากวันที่เรานั่งคุยกันอย่างสนุกสนาน

อย่าให้เจอกันอีกรอบนะ ฉันเอาเขาเละแน่คอยดู






++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สวัสดีวันอังคารค่ะ

ถ้าหากใครเคยอ่านรักเล่ห์ เสน่ห์ร้าย คงจะจำได้นะคะว่าอุบัติเหตุที่รถหมอชินชนเกิดจากใคร ^^

ขอบคุณ
คุณหมูบูลิน : ขอบคุณนะคะที่ติดตาม :)
คุณเจนิส : ขอบคุณค่ะ เรื่องนี้จะเป็นแนวหวานๆ กุ๊กกิ๊กทั้งเรื่อง อิอิ
คุณคิมหันตุ์ : มาแล้วค่ะ แล้วจะมาทุกวันด้วย ^^

และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะคะ
(นิลปานัน)
www.facebook.com/daranilday

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



ดารานิล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2555, 12:49:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มิ.ย. 2555, 11:11:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 2196





<< 1. แรกเจอ   3. หรือแค่คำกล่าวอ้าง >>
หมูบูลิน 26 มิ.ย. 2555, 14:04:54 น.
สนุกมากค่ะ


โซดา 26 มิ.ย. 2555, 14:09:07 น.
มารอลุ้นอ่านนะค่ะ ^^


เทียนจันทร์ 26 มิ.ย. 2555, 19:24:36 น.
เพิ่งได้เข้ามาอ่านนะคะ แต่ชอบจัง


pattisa 26 มิ.ย. 2555, 20:11:04 น.
พระเอกน่ารักจัง อิอิ


wane 27 มิ.ย. 2555, 02:39:42 น.
สนุกค๊า ...


Zephyr 3 ก.ค. 2555, 23:51:55 น.
ขอเอาเอริคไปเพ้อด้วยคน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account