รักเกินร้อย
น้ำหนักไม่ใช่เรื่องใหญ่...หากหัวใจที่มีให้กันนั้นเกินร้อย
มุทิตา หญิงสาวร่างยักษ์ผู้ตกกระไดพลอยโจนเป็นหนี้สองล้านบาท ต้องก้มหน้ารับกรรมใช้หนี้ด้วยการเป็นนางแบบให้กับ คริส ช่างภาพสุดหล่อด้วยความเข้าใจผิดบางประการ
เรื่องราวจะอลเวง น่ารักน่าหยิกสักแค่ไหน ติดตามได้จากนิยายรักโรแมนติคคอมเมดี้เรื่องนี้ค่ะ
มุทิตา หญิงสาวร่างยักษ์ผู้ตกกระไดพลอยโจนเป็นหนี้สองล้านบาท ต้องก้มหน้ารับกรรมใช้หนี้ด้วยการเป็นนางแบบให้กับ คริส ช่างภาพสุดหล่อด้วยความเข้าใจผิดบางประการ
เรื่องราวจะอลเวง น่ารักน่าหยิกสักแค่ไหน ติดตามได้จากนิยายรักโรแมนติคคอมเมดี้เรื่องนี้ค่ะ
Tags: รักกุ๊กกิ๊ก รักเกินร้อย
ตอน: ความลับที่ถูกค้นพบ
ตอนที่ 2
“คะน้า รับโทรศัพท์หน่อยสิ ใครไม่รู้โทรมาหลายรอบแล้ว”
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นไม่หยุดติดๆกันหลายครั้งไม่ได้ทำให้ มุทิตา หรือ คะน้า คิดเขยื้อนกายเอื้อมมือไปหยิบมือถือในกระเป๋าหนีบบนโต๊ะข้างเตียงเลยแม้แต่น้อย หล่อนกำลังหลับสบายอยู่เชียว ใครนะบังอาจทำลายเช้าที่แสนสุขของหล่อนได้ กำลังเข้าได้เข้าเข็มฝันหวานถึงเจ้าชายสุดหล่ออยู่เชียว ทว่าเมื่อได้ยินอลิสาเอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘ลูกค้า’ ออกมา แขนอวบๆของหล่อนก็เอื้อมไปคว้ามือถือจากกระเป๋าหนีบทันที เพราะสำหรับมุทิตาแล้ว ลูกค้าคือพระเจ้าที่หล่อนพร้อมจะให้บริการทุกสถานการณ์เสมอ
“สวัสดีค่ะ Trio Catering...มุทิตารับสาย ยินดีให้บริการค่ะ” มุทิตาพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ผมไม่ได้โทรมาติดต่อเรื่องงาน...คือว่าผมเป็นเจ้าของมือถือที่คุณใช้อยู่ตอนนี้” มุทิตางงไปชั่วขณะ ถ้าเขาไม่โทรผิดก็ต้องเป็นพวกโรคจิตแหงๆ เห็นอยู่ชัดๆว่านี่คือมือถือของหล่อน จึงถามกลับด้วยเสียงยียวน
“คุณเป็นใครกันแน่...แล้วมือถือของคุณจะมาอยู่ที่ฉันได้ยังไงมิทราบ”
“ผมชื่อคริส เมื่อวานนี้ผมทำมือถือตกที่ผับ คุณใช่ คากิ เอ้ย คะน้า หรือเปล่า”
‘ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่...ทำไมถึงรู้จักชื่อหล่อนด้วย’ มุทิตาเริ่มตกใจ ‘เดี๋ยวนะ...เท่าที่จำได้เมื่อคืนหล่อนไม่ได้คุยกับใครเลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่เต้นอย่างเมามัน จะมีอีกทีก็ตอนเสียหลักล้มลงมาจากเวทีแล้วทับไอ้ผู้ชายลามกนั่น เอ หรือว่าจะเป็นตอนที่หล่อนเสียหลักผลัดตกลงมาจากเวทีแล้วข้าวของตกกระจายจากกระเป๋าทำให้มือถือของหล่อนถูกหยิบสลับกับคนอื่น
มุทิตากดดูเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้ในเครื่องซึ่งไม่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเช็คหมายเลขที่โทรเข้ามาก็เห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของหล่อนจริงๆ แสดงว่ามือถือของหล่อนกับผู้ชายคนนี้ต้องสลับกันอย่างที่เขาว่า
“ตกลงเราจะแลกมือถือกันที่ไหน ผมมีธุระที่สตูดิโอถ่ายภาพแถวบางนา คุณมาเจอได้ไหมล่ะ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ฉันไม่สะดวก นั่นมันคนละโยชน์กับบ้านฉันเลย” มุทิตาปฏิเสธทันควัน ธุระอะไรจะต้องให้หล่อนเป็นฝ่ายเดินทางไปตั้งไกล...ไม่มีทางเสียล่ะ
“งั้นบ้านคุณอยู่ไหน...เดี๋ยวผมไปหาก็ได้”น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด
“ว้าย คุณจะมาที่บ้านฉันได้ยังไง เอางี้...คุณไปหาฉันแถวหลังสวนได้ไหมล่ะ บริษัทของฉันชื่อทรีโอ เคเทอริง เป็นตึกเล็กๆตั้งอยู่ข้างๆ โชว์รูมบีเอ็ม หาไม่ยากหรอก งั้นอีกสักชั่วโมงเจอกันนะ”พูดจบหล่อนก็วางสายทันที ไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้มีโอกาสโต้แย้งก่อนจะหันไปโวยวายกับ อลิสา
“แนน เมื่อคืนหล่อนหยิบมือถือใครมากันยะ”
“อ้าว...นี่มันไม่ใช่มือถือของแกหรอกเหรอ...โทษทีนะ ใครจะไปรู้ล่ะ ก็มันยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันเป๊ะ แล้วมันก็มืดด้วยเลยมองไม่เห็น” อลิสาแก้ตัวด้วยเสียงอ่อยๆ
“ก็จริงของแก...ว่าแต่เมื่อเช้าจะมีลูกค้าติดต่อมาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”มุทิตาพึมพำด้วยความกังวลใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าลูกค้าโทรหาแกไม่ได้ ก็คงโทรหาเคนแทนนั่นแหละ” อลิสาหมายถึง เคน หรือ ปกรณ์ หุ้นส่วนอีกคนของทรีโอเคเทอริ่ง
ทรีโอ เคเทอริ่ง คือ บริษัทรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ก่อตั้งขึ้นโดยเพื่อนพ้องสามคนคือ ตัวหล่อน อลิสา และ ปกรณ์ หล่อนกับอลิสาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ส่วนปกรณ์ เป็นเพื่อนชายที่รู้จักสนิทสนมกับมุทิตาช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ปกรณ์มีนิสัยเหมือนผู้หญิง จุกจิกและปากจัด จึงไม่มีใครแน่ใจเรื่องเพศของเขานัก แต่มุทิตากลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากปกรณ์เป็นเพื่อนที่ดี จริงใจ และ เอาการเอางาน ทำให้มุทิตาตัดสินใจชวนทั้งอลิสาและปกรณ์ให้ร่วมหุ้นเปิดบริษัทฯเล็กๆหลังจากเรียนจบคณะคหกรรมศาสตร์
นอกจากมุทิตาจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับอลิสาแล้ว ทั้งคู่ยังเช่าบ้านอยู่ด้วยกันอีกด้วย ดังนั้นนอกจากความสนิทสนมฉันท์เพื่อนแล้ว ทั้งคู่ยังรักกันประหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือด
“ฉันต้องอาบน้ำแต่งตัวแล้วล่ะ นัดกับอีตาคนนั้นไว้” มุทิตาพูดพลางลุกขึ้นจากเตียง แล้วย้ายร่างตุ้ยนุ้ยเดินเข้าห้องน้ำ
“งั้นเดี๋ยวฉันไปด้วย อยากเห็นผู้ชายคนที่หยิบมือสลับไปว่าจะใช่คนที่แกล้มทับเมื่อคืนหรือเปล่า ถ้าใช่ จะต้องเป็นบุพเพอาละวาดแน่ๆ” อลิสาพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ
“แกเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสอะไรนี่ด้วยเหรอ แนน” มุทิตาถามด้วยความสงสัย เพราะตัวหล่อนไม่เชื่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และเรื่องราวชวนฝันแบบนี้ก็คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับสาวร่างยักษ์อย่างหล่อนได้หรอก จะมีผู้ชายคนไหนที่ชอบผู้หญิงตัวอ้วนใหญ่ ประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาสอนให้มุทิตาตระหนักความเป็นจริงข้อที่ว่า ก่อนที่ใครสักคนจะเห็นเนื้อแท้ที่งดงามในจิตใจ ก็มักจะมองที่รูปลักษณ์ภายนอกเสียก่อน หากมองแล้วไม่ต้องตา...ก็คงไม่มีทางต้องใจ เพียงแค่นึก หัวใจของหล่อนก็รู้สึกเจ็บแปลบอย่างประหลาด
“ฉันเชื่อนะว่า บุพเพสันนิวาสมีจริง มันอาจจะเกิดขึ้นกับเธอชั่วนาทีใดก็ได้นะ คะน้า” อลิสาผู้มองโลกของความรักเป็นสีชมพูแย้งขึ้นมาด้วยท่าทางเคลิ้มฝัน
“งั้นคงจะเป็นบุพเพอาละวาดของแกมากกว่านะแนน เพราะแกเป็นคนหยิบมือถือนี้สลับมา”
“บ้าน่า....พูดอะไรก็ไม่รู้ ไปอาบน้ำซะ ฉันจะได้อาบต่อ” อลิสาใบหน้าแดงก่ำอย่างเขินจัดพลางรุนหลังหล่อนเข้าไปในห้องน้ำ”
ทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดลง มุทิตาก็เปลื้องชุดนอนออกจนเหลือแต่ร่างเปล่าเปลือยที่ปรากฏอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ แล้วถอดใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากให้มีบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นกับหล่อนหรอก เพียงแต่มันเป็นไปได้ ดูกองเนื้อไขมันที่เกาะตามตัวหล่อนนี่ซี ใครที่ไหนจะเกิดอารมณ์พิศวาส กระนั้นมุทิตาก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังกับรูปร่างของตัวเองสักนิด แม้รูปร่างของหล่อนจะอ้วนพีแต่มุทิตาก็ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ความอ้วนไม่ใช่สิ่งน่าอับอาย เพราะครั้งหนึ่งในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนกลาง ภาพวาดวีนัสที่มีชื่อเสียงก้องโลกก็เป็นหญิงอ้วนเช่นเดียวกับหล่อน...หากหล่อนเกิดในยุคนั้น ป่านนี้ก็คงเป็นหญิงงามที่มีชายหนุ่มรุมตามจีบจนหัวกระไดไม่แห้งไปแล้ว
มุทิตายิ้มให้กับตัวเองที่หน้ากระจกพลางบอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร...ไม่มีคนรักก็ไม่เห็นจะตาย รอบตัวหล่อนยังมีความรักดีๆโอบล้อมอยู่ และที่แน่ๆ หล่อนรักและเห็นคุณค่าของตัวเอง ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แม้จะอับโชคเรื่องความรัก แต่งานของหล่อนกำลังรุ่ง กิจการของหล่อนกำลังจะไปได้สวยเพราะมีงานดีๆเข้ามาไม่เคยขาด
+++++++++++++++++++++++
กลิ่นหอมของขนมเค้กที่ฟุ้งจากเตาอบขนมชั้นบน ทำให้ทั้งมุทิตาและอลิสาต่างกลืนน้ำลายเอื้อก เพราะตั้งแต่ตื่นนอนและออกมาที่บริษัทฯ ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อได้สูดกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อย ท้องของสองสาวจึงส่งเสียงร้องประท้วงว่าหิวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“หิวจังเลย...ฉันว่าเราบุกไปดูว่าเคนกำลังอบเค้กอะไรอยู่ดีกว่า” อลิสาชวนให้มุทิตาขึ้นไปชั้นสองของบริษัทฯที่ทำเป็นห้องครัว
มุทิตาและเพื่อนๆเช่าตึกเล็กๆสามชั้นนี้ได้ในราคาเดือนละหมื่นต้นๆทั้งที่ราคาค่าเช่าอาคารในทำเลกลางเมืองตามปกติแล้วจะตกอยู่ที่หลักแสน การที่บริษัทฯของหล่อนเช่าอาคารทำเลทองได้ถูกขนาดนี้เป็นเพราะเตี่ยของปกรณ์เป็นเจ้าของตึกแห่งนี้ หล่อนและอลิสาเลยพลอยได้อานิสงค์จากการเป็นหุ้นส่วนของชายหนุ่ม ส่วนเงินทุนที่เหลือก็สามารถนำมาตกแต่งอาคารและซื้ออุปกรณ์ต่างๆได้อีกมาก
บริเวณชั้นล่างตกแต่งให้เป็นหน้าร้านสำหรับขายขนมและกาแฟ รวมทั้งใช้เป็นสถานที่ในการติดต่อรับลูกค้า ชั้นที่สองเป็นห้องครัวสำหรับปกรณ์เพื่อทำขนมและเตรียมอาหาร ส่วนชั้นสามคือห้องเก็บอุปกรณ์ต่างๆจำพวกโต๊ะ ถาดอาหาร หรือแม้แต่ภาชนะซึ่งจัดเรียงไว้เป็นชุดๆอย่างมีระเบียบ
“ฉันว่าอย่าดีกว่า เธอก็รู้นี่นาว่าเวลาเคนทำขนม เขาไม่ชอบให้ใครไปยุ่ง” มุทิตารีบห้ามอลิสาก่อนจะเกิดเรื่อง เพราะรู้นิสัยของปกรณ์ดีว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปิน หากเขากำลังคร่ำเคร่งกับการทำขนม จะไม่อนุญาตให้ใครรบกวนเพราะจะทำให้เสียสมาธิ ครั้งหนึ่งเคยมีพนักงานคนหนึ่งพรวดพราดเข้าไปก็ถูกปกรณ์เอ็ดเสียงลั่น จนเป็นที่รู้กันว่าหากเมื่อไหร่ ปกรณ์คิดสูตรขนมอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามรบกวน
“ไม่ไปก็ได้...โอ้ย ฉันหิวจนไส้กิ่วแล้ว งั้นเดี๋ยวขอออกไปซื้ออะไรกินที่มินิมาร์ทแถวนี้ก่อนแล้วกัน จะเอาแซนด์วิช หรือ ชากาแฟอะไรไหม จะซื้อมาเผื่อ”
ยังไม่ทันที่มุทิตาจะเอ่ยปากสั่งอาหาร ก็เห็นรถเบนซ์สปอร์ตสีขาวคันหนึ่งจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าบริษัทฯ แต่ที่ทำให้ตะลึงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกก็คือ ชายหนุ่มผู้กำลังก้าวออกมาจากรถคันนั้น
‘โอ้...พระเจ้าจอร์จ ผู้ชายคนนี้หล่อเทพมากๆ’ ใจของมุทิตาที่เคยสงบนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ
นี่ขนาดสวมแว่นตาดำบังหน้าเอาไว้ยังหล่อชวนให้ใจละลายขนาดนี้ ถ้าเกิดถอดแว่นออกจะหล่อสักขนาดไหน ดวงตาของหล่อนเริ่มแสกนชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีเทากับกางเกงยีนส์สีซีด ต้นแขนของเขาดูกำยำด้วยมัดกล้ามเช่นเดียวกับแผงอกที่แนบกระชับไปเสื้อยืด เพียงเสี้ยววินาทีที่แว่นตากันแดดถูกดึงออกจากใบหน้าคมสัน หล่อนก็แทบจะหยุดหายใจ เครื่องหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลาราวกับรูปปั้นของเดวิด ผิวของเขาขาวจัด ดวงตาคู่นั้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน คิ้วหนาเป็นแผง จมูกโด่งแบบชาวตะวันตก และมีริมฝีปากแดงอย่างคนสุขภาพดี ส่วนผมหยักศกเป็นคลื่นนั้นถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ แม้จะดูเซอร์อย่างศิลปินแต่ก็ห่างไกลจากคำว่าโทรมและสกปรก เมื่อชายหนุ่มกำลังจะเปิดประตูเข้ามาในร้าน อลิสาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักอย่างตื่นเต้น
“ใช่สุดหล่อคนนั้นจริงๆด้วย เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของแกเมื่อคืนไง คะน้า”
“ไอ้ลามกนั่นน่ะเหรอ” มุทิตาถามด้วยเสียงสูง อลิสาพยักหน้ารับ ทำให้หัวใจที่เต้นตึกตักเมื่อครู่หยุดลงในบัดดล ผู้ชายคนนี้คือซาตานในคราบของเทพบุตรชัดๆ ต่อให้หล่อหยาดฟ้ามาดินแค่ไหนแต่ลามกวิปริตแบบนี้หล่อนก็ไม่ปลื้ม ความคิดของหล่อนสะดุดลงเมื่อร่างสูงใหญ่เดินมาประจันหน้าหล่อนในระยะประชิดจนได้กลิ่นหอมของอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ทำเอามุทิตาเก้อเขินพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เอ้านี่...มือถือของคุณ” ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง ยื่นมือถือคืนให้หล่อนทันที แต่มุทิตาไม่ได้ยื่นมือไปรับเพราะมัวแต่ใจลอยจ้องหน้าหล่อเหลานั้นเสียเพลิน
“มองหน้าผมแบบนี้ กำลังทึ่งว่าผมหล่องั้นซิ” ดวงตาของชายหนุ่มแพรวพราวจนหล่อนรู้สึกหมั่นไส้คนหลงตัวเอง
“แหวะ หน้าตาดีตรงไหนไม่ทราบ...วิน มอเตอร์ไซค์แถวนี้ก็หน้าตาคล้ายๆคุณทั้งนั้นแหละ เมื่อกี้ฉันนึกว่าคุณเป็นพี่ วินมอเตอร์ไซค์ที่ฉันใช้บริการส่งของต่างหาก...แล้วนี่ก็มือถือของคุณ ได้แล้วก็ไปเสียซี หมดธุระแล้ว ฉันจะรีบไปทำงาน”ข้อแก้ตัวของหล่อนฟังไม่ขึ้นสักนิด ไม่มีวินมอเตอร์ไซค์คนไหนจะหล่อล่ำขนาดนี้ได้หรอก ไม่งั้นก็คงไปเป็นดารากันหมดแล้ว
“เดี๋ยวก่อนซี อย่าเพิ่งไป นี่ผมมาตั้งไกลไม่คิดจะหาน้ำท่ามาบริการบ้างเลยเหรอ”
“อยากดื่มอะไรละคะ เดี๋ยวแนนจัดให้เอง ว่าแต่คุณชื่ออะไรเอ่ย” อลิสาเสนอตัวบริการอย่างออกหน้าออกตา ทำให้มุทิตาหมั่นไส้
“ผมชื่อคริสครับ...ถ้าได้กาแฟร้อนสักถ้วยก็คงจะดี”
“ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้ร้านเรายังไม่พร้อมให้บริการ” มุทิตาปฏิเสธด้วยเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
“โห ใจร้ายจังคุณ ไม่ดื่มก็ได้...คุณคะน้า...อย่าเพิ่งไปได้ไหม ผมมีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับคุณ ขอเวลาแป๊ปนึงได้ไหม”
“ไม่ได้ ฉันไม่ว่าง คุณกลับไปเถอะ ว่าแต่...คุณรู้ชื่อฉันได้ยังไง” มุทิตาถามด้วยความสงสัย
“ก็เมื่อคืนผมได้ยินเพื่อนของคุณเรียกชื่อก็เลยจำได้ ชื่อแปลกดีนะ ใครตั้งชื่อให้คุณเหรอ”
“ขอโทษนะ ฉันไม่มีเวลาคุยเล่นกับคุณหรอกนะ โดยเฉพาะคนโรคจิตอย่างคุณ” มุทิตาแผดเสียงลั่น เสียงของหล่อนคงดังไปถึงห้องครัวชั้นบนเลยทำให้ปกรณ์วิ่งลงมาเหตุการณ์
“เกิดอะไรขึ้น คะน้า...แล้วนี่ใครกัน” ปกรณ์มองหน้าคริสอย่างไม่ไว้วางใจ
“นี่คือคุณคริส เขาเอามือถือมาคืนคะน้า เมื่อคืนสองคนนี้เขาทำมือถือสลับกัน” อลิสาเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ
“แล้วทำไมคะน้าถึงได้ตะโกนลั่น เขาทำอะไรคุณหรือเปล่า” ปกรณ์ถามมุทิตาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก เคน นายไปทำขนมต่อเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาโทรหาลูกค้าเพื่อคอนเฟิร์มเรื่องจำนวนอาหารงานอีเวนต์ค่ำนี้เหมือนกัน” ปกรณ์ทำหน้าไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหล่อนยืนยันหนักแน่นจึงยอมกลับขึ้นไปทำขนมต่อแต่โดยดี
“เดี๋ยวสิคุณ นี่ผมซีเรียสนะ เรื่องเมื่อวานผมขอโทษ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะลวนลาม มือมันไปโดนโดยบังเอิญ คือว่าเรื่องที่ผมจะคุยกับคุณมันเป็นความลับสุดยอด”
คำว่า ‘ความลับสุดยอด’ ทำให้มุทิตาชะงัก หรือว่าคริสจะรู้อะไรที่ไม่ควรรู้เกี่ยวกับตัวหล่อนเสียแล้ว
“คุณคงไม่ได้กดดูรูปในมือถือของฉันใช่ไหม” มุทิตาถามด้วยเสียงแผ่วๆ ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มผู้นั้น นอกจากสีหน้าเจื่อนอย่างรู้สึกผิดและนั่นก็แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี มุทิตาหน้าซีดเผือด ตั้งสติครู่หนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับอลิสา
“แนน...ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ขอไปคุยกับเขาในห้องประชุมสักครู่นะ” อลิสาพยักหน้ารับอย่างไม่เข้าใจว่าหล่อนกับคริสมีความลับอะไรต่อกัน
เมื่ออยู่ในห้องประชุมกันตามลำพัง มุทิตาก็เปิดประเด็นทันที
“ไหนบอกสิว่าคุณเห็นอะไรในมือถือของฉัน”
“ใจเย็นๆก่อนนะคุณ ขออธิบายก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งจะเปิดดูรูปหรือข้อมูลส่วนตัวของคุณเลย ผมแค่สงสัยว่าคุณจะเป็นเจ้าของมือถือเครื่องนี้หรือเปล่าก็เลยลองกดดูรูป แล้วก็เลยบังเอิญเห็นรูปถ่ายของคุณโมน่าหลายรูป”
“คุณเห็นรูปของโมน่าอย่างนั้นเหรอ”มุทิตาถามเสียงสูง ใบหน้าแสดงออกถึงความร้อนใจก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วคุณบอกเรื่องนี้กับใครหรือเปล่า”
“ไม่...ผมไม่ได้บอกใครเลย ตกลงว่าคุณคือ โมน่า จริงๆใช่ไหม” ชายหนุ่มถามพลางจ้องหน้าหล่อนอย่างคาดคั้น
“จะใช่หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญหรอก แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าคุณเอารูปของโมน่าไปเผยแพร่ ฉันจะดำเนินคดีคุณทางกฎหมายให้ถึงที่สุด” มุทิตาจ้องตาชายหนุ่มเขม็งให้รู้ว่าเอาจริง
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า แต่ผมมีข้อเสนอดีๆมาคุยกับคุณว่าสนใจจะเป็นนางแบบภาพ portrait ให้กับผมไหมล่ะ ผมเองก็เป็นช่างภาพแฟชั่นที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่เหมือนกันนะ ถ้าคุณตกลง ผมจะผลักดันให้คุณกลับคืนสู่วงการนางแบบให้ได้ ใครจะไปรู้ การปรากฏตัวอีกครั้งของคุณในรูปโฉมใหม่อาจจะทำให้คุณดังยิ่งกว่าเก่า”
“นี่คุณคิดจะเอาความอ้วนของฉันมาเป็นจุดขายงั้นเหรอ ขอบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าคนที่ฉันรังเกียจที่สุดคือคนที่เอาปมด้อยของคนอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือ ออกไปเลยนะ...แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าคุณอีก” มุทิตาโกรธเสียจนน้ำตาพาลจะไหล นี่เขากำลังดูถูกหล่อนอย่างที่สุด
“คุณเข้าใจผมผิด ผมไม่เคยคิดดูถูกคุณเลย ถึงคุณจะอ้วน ผมก็คิดว่าคุณมีใบหน้าที่สวยเป็นเอกลักษณ์ สายตาช่างภาพอย่างผมมองไม่พลาดหรอกว่า คุณจะต้องกลับมาเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียง ลองคิดดูดีๆ ผมไม่ได้หลอกใช้คุณ งานนี้เราวินๆกันทั้งคู่”
“ถ้าคุณยังไม่หยุดพล่ามและออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะจัดการคุณให้เข็ดหลาบ แสดงว่าเมื่อคืนที่ถูกฉันล้มทับนี่ยังไม่เข็ดใช่ไหม” คริสเห็นท่าหล่อนเอาจริงจึงถอยกรูดเพื่อตั้งหลัก แต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือยิ้มกว้างให้
“นายจะทำอะไรคะน้าน่ะ ” ปกรณ์เปิดประตูเข้ามา ในมือของชายหนุ่มมีมีดเล่มยาวแหลมเฟี้ยวอยู่ด้วย หน้าตาขึงขังของปกรณ์ทำให้คริสหน้าซีดด้วยความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
“ผมไปก็ได้...แต่ช่วยลดมีดในมือของคุณลงก่อน ไม่อย่างนั้นผมไม่กล้าเดินออกไปแน่” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ มุทิตารู้สึกสะใจ สมควรแล้วที่ผู้ชายเห็นแก่ตัวแบบนี้จะต้องเจอของแข็ง
ทันทีที่ปกรณ์ลดมีดในมือลง คริสก็โกยแน่บออกจากบริษัทของหล่อนทันที
“คะน้า...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ผมเป็นห่วงแทบแย่ เป็นผู้หญิงไม่ควรจะอยู่กับตามลำพังกับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองแบบนี้ เกิดมันทำอะไรคะน้าขึ้นมาจะทำยังไง” ปกรณ์อดไม่ได้ที่จะเอ็ดหล่อน คงจะมีปกรณ์เพียงคนเดียวกระมังที่เห็นหล่อนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีเรี่ยวแรงต่อกรกับผู้ชายได้
มุทิตารู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยที่ปกรณ์มีให้หล่อนมาโดยตลอด จนนึกอยากให้เขาเป็นชายแท้ จะได้ไม่ต้องแสวงหารักแท้จากที่ไหนไกล ทว่าจนกระทั่งป่านนี้ หล่อนก็ยังไม่แน่ใจว่าปกรณ์เป็นชายแท้หรือเปล่า ซ้ำเขายังไม่เคยแสดงทีท่าว่าสนใจผู้หญิงคนไหนหรือคบหาใครเป็นแฟนจริงจังเลยสักคนโดยให้เหตุผลว่ายังไม่พบคนที่ถูกใจ
“ระดับคะน้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก แค่ออกแรงผลักเบาๆ ผู้ชายก็กระเด็นติดผนังแล้ว รู้สึกว่านายจะเป็นห่วงคะน้าออกนอกหน้าไปหน่อยไหม ทีฉันไม่เห็นนายเป็นห่วงแบบนี้เลย” อลิสาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงงอนๆ อลิสาและปกรณ์เป็นไม้เบื่อไม้เมาที่คุยกันได้ไม่กี่คำก็มีเรื่องเถียงกันทุกที
“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ แนน เธอมันคล่องปรู้ดปร้าด ส่วนคะน้า เป็นคนซื่อๆตามเล่ห์เหลี่ยมคนไม่ทันหรอก” ยิ่งปกรณ์พูดให้ท้ายหล่อนเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้อลิสากว่าเดิม
“อย่าเพิ่งเถียงกันตอนนี้เลย...เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงเราจะต้องเตรียมของสำหรับไปงานอีเวนต์แล้วนะ แล้วฉันก็ต้องรีบโทรหาคุณนิวัติด้วย” คำเตือนของมุทิตา ทำให้คู่กัดทั้งสองนึกได้ว่ายังมีงานค้างที่ต้องเร่งมืออยู่
“ผมเกือบลืมเค้กที่อบในเตาไว้เลย ดีนะที่คะน้าเตือน ขอไปวิ่งขึ้นไปดูเตาอบก่อนนะ” พูดเสร็จปกรณ์ก็วิ่งแจ้นขึ้นไปที่ครัวชั้นบน เช่นเดียวกับอลิสาที่ทำหน้าตกใจเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“ว้าย...ฉันลืมจัดดอกไม้ ตายแล้ว จะจัดทันไหมเนี่ยะ” อลิสาพูดพลางรีบหยิบช่อดอกไม้ที่แช่น้ำไว้มาจัดมือเป็นระวิง
มุทิตาโคลงศีรษะอย่างระอากับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเพื่อนทั้งสอง พอทะเลาะกันทีไรก็มักจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียหมด ทำให้หล่อนต้องคอยเตือน แม้จะผิดใจกันบ่อย น้อยใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่หากขาดปกรณ์ซึ่งมีความสามารถด้านการทำขนมเป็นเลิศ และอลิสาผู้มีความสร้างสรรค์เรื่องการประดับประดาตกแต่ง ทรีโอเคเทอริ่งก็คงไม่เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วจนถึงวันนี้
แม้คริสจะกลับไปได้ครู่หนึ่งแล้ว และมุทิตาเองก็มีงานเร่งด่วนที่จะต้องรีบสะสางให้เสร็จ ทว่าหล่อนกลับไม่สามารถรวบรวมสมาธิให้จดจ่อกับงานได้เพราะเรื่องของโมน่ายังคงรบกวนจิตใจอยู่ เป็นความผิดของผู้ชายคนนั้นแท้ๆที่รื้อฟื้นเรื่องราวของโมน่าขึ้นมา มุทิตาก็สังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูกว่าเขาจะไม่หยุดเรื่องราวของโมน่าไว้เพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
“คะน้า รับโทรศัพท์หน่อยสิ ใครไม่รู้โทรมาหลายรอบแล้ว”
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นไม่หยุดติดๆกันหลายครั้งไม่ได้ทำให้ มุทิตา หรือ คะน้า คิดเขยื้อนกายเอื้อมมือไปหยิบมือถือในกระเป๋าหนีบบนโต๊ะข้างเตียงเลยแม้แต่น้อย หล่อนกำลังหลับสบายอยู่เชียว ใครนะบังอาจทำลายเช้าที่แสนสุขของหล่อนได้ กำลังเข้าได้เข้าเข็มฝันหวานถึงเจ้าชายสุดหล่ออยู่เชียว ทว่าเมื่อได้ยินอลิสาเอ่ยคำศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘ลูกค้า’ ออกมา แขนอวบๆของหล่อนก็เอื้อมไปคว้ามือถือจากกระเป๋าหนีบทันที เพราะสำหรับมุทิตาแล้ว ลูกค้าคือพระเจ้าที่หล่อนพร้อมจะให้บริการทุกสถานการณ์เสมอ
“สวัสดีค่ะ Trio Catering...มุทิตารับสาย ยินดีให้บริการค่ะ” มุทิตาพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
“ผมไม่ได้โทรมาติดต่อเรื่องงาน...คือว่าผมเป็นเจ้าของมือถือที่คุณใช้อยู่ตอนนี้” มุทิตางงไปชั่วขณะ ถ้าเขาไม่โทรผิดก็ต้องเป็นพวกโรคจิตแหงๆ เห็นอยู่ชัดๆว่านี่คือมือถือของหล่อน จึงถามกลับด้วยเสียงยียวน
“คุณเป็นใครกันแน่...แล้วมือถือของคุณจะมาอยู่ที่ฉันได้ยังไงมิทราบ”
“ผมชื่อคริส เมื่อวานนี้ผมทำมือถือตกที่ผับ คุณใช่ คากิ เอ้ย คะน้า หรือเปล่า”
‘ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่...ทำไมถึงรู้จักชื่อหล่อนด้วย’ มุทิตาเริ่มตกใจ ‘เดี๋ยวนะ...เท่าที่จำได้เมื่อคืนหล่อนไม่ได้คุยกับใครเลยด้วยซ้ำเพราะมัวแต่เต้นอย่างเมามัน จะมีอีกทีก็ตอนเสียหลักล้มลงมาจากเวทีแล้วทับไอ้ผู้ชายลามกนั่น เอ หรือว่าจะเป็นตอนที่หล่อนเสียหลักผลัดตกลงมาจากเวทีแล้วข้าวของตกกระจายจากกระเป๋าทำให้มือถือของหล่อนถูกหยิบสลับกับคนอื่น
มุทิตากดดูเบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้ในเครื่องซึ่งไม่คุ้นตาเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเช็คหมายเลขที่โทรเข้ามาก็เห็นว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์ของหล่อนจริงๆ แสดงว่ามือถือของหล่อนกับผู้ชายคนนี้ต้องสลับกันอย่างที่เขาว่า
“ตกลงเราจะแลกมือถือกันที่ไหน ผมมีธุระที่สตูดิโอถ่ายภาพแถวบางนา คุณมาเจอได้ไหมล่ะ” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“ฉันไม่สะดวก นั่นมันคนละโยชน์กับบ้านฉันเลย” มุทิตาปฏิเสธทันควัน ธุระอะไรจะต้องให้หล่อนเป็นฝ่ายเดินทางไปตั้งไกล...ไม่มีทางเสียล่ะ
“งั้นบ้านคุณอยู่ไหน...เดี๋ยวผมไปหาก็ได้”น้ำเสียงของชายหนุ่มเริ่มหงุดหงิด
“ว้าย คุณจะมาที่บ้านฉันได้ยังไง เอางี้...คุณไปหาฉันแถวหลังสวนได้ไหมล่ะ บริษัทของฉันชื่อทรีโอ เคเทอริง เป็นตึกเล็กๆตั้งอยู่ข้างๆ โชว์รูมบีเอ็ม หาไม่ยากหรอก งั้นอีกสักชั่วโมงเจอกันนะ”พูดจบหล่อนก็วางสายทันที ไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้มีโอกาสโต้แย้งก่อนจะหันไปโวยวายกับ อลิสา
“แนน เมื่อคืนหล่อนหยิบมือถือใครมากันยะ”
“อ้าว...นี่มันไม่ใช่มือถือของแกหรอกเหรอ...โทษทีนะ ใครจะไปรู้ล่ะ ก็มันยี่ห้อเดียวกัน รุ่นเดียวกันเป๊ะ แล้วมันก็มืดด้วยเลยมองไม่เห็น” อลิสาแก้ตัวด้วยเสียงอ่อยๆ
“ก็จริงของแก...ว่าแต่เมื่อเช้าจะมีลูกค้าติดต่อมาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”มุทิตาพึมพำด้วยความกังวลใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ถ้าลูกค้าโทรหาแกไม่ได้ ก็คงโทรหาเคนแทนนั่นแหละ” อลิสาหมายถึง เคน หรือ ปกรณ์ หุ้นส่วนอีกคนของทรีโอเคเทอริ่ง
ทรีโอ เคเทอริ่ง คือ บริษัทรับจัดเลี้ยงนอกสถานที่ ก่อตั้งขึ้นโดยเพื่อนพ้องสามคนคือ ตัวหล่อน อลิสา และ ปกรณ์ หล่อนกับอลิสาเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ส่วนปกรณ์ เป็นเพื่อนชายที่รู้จักสนิทสนมกับมุทิตาช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ปกรณ์มีนิสัยเหมือนผู้หญิง จุกจิกและปากจัด จึงไม่มีใครแน่ใจเรื่องเพศของเขานัก แต่มุทิตากลับไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ เนื่องจากปกรณ์เป็นเพื่อนที่ดี จริงใจ และ เอาการเอางาน ทำให้มุทิตาตัดสินใจชวนทั้งอลิสาและปกรณ์ให้ร่วมหุ้นเปิดบริษัทฯเล็กๆหลังจากเรียนจบคณะคหกรรมศาสตร์
นอกจากมุทิตาจะเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับอลิสาแล้ว ทั้งคู่ยังเช่าบ้านอยู่ด้วยกันอีกด้วย ดังนั้นนอกจากความสนิทสนมฉันท์เพื่อนแล้ว ทั้งคู่ยังรักกันประหนึ่งพี่น้องร่วมสายเลือด
“ฉันต้องอาบน้ำแต่งตัวแล้วล่ะ นัดกับอีตาคนนั้นไว้” มุทิตาพูดพลางลุกขึ้นจากเตียง แล้วย้ายร่างตุ้ยนุ้ยเดินเข้าห้องน้ำ
“งั้นเดี๋ยวฉันไปด้วย อยากเห็นผู้ชายคนที่หยิบมือสลับไปว่าจะใช่คนที่แกล้มทับเมื่อคืนหรือเปล่า ถ้าใช่ จะต้องเป็นบุพเพอาละวาดแน่ๆ” อลิสาพูดด้วยน้ำเสียงล้อๆ
“แกเชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาสอะไรนี่ด้วยเหรอ แนน” มุทิตาถามด้วยความสงสัย เพราะตัวหล่อนไม่เชื่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย และเรื่องราวชวนฝันแบบนี้ก็คงไม่มีโอกาสเกิดขึ้นกับสาวร่างยักษ์อย่างหล่อนได้หรอก จะมีผู้ชายคนไหนที่ชอบผู้หญิงตัวอ้วนใหญ่ ประสบการณ์ความรักที่ผ่านมาสอนให้มุทิตาตระหนักความเป็นจริงข้อที่ว่า ก่อนที่ใครสักคนจะเห็นเนื้อแท้ที่งดงามในจิตใจ ก็มักจะมองที่รูปลักษณ์ภายนอกเสียก่อน หากมองแล้วไม่ต้องตา...ก็คงไม่มีทางต้องใจ เพียงแค่นึก หัวใจของหล่อนก็รู้สึกเจ็บแปลบอย่างประหลาด
“ฉันเชื่อนะว่า บุพเพสันนิวาสมีจริง มันอาจจะเกิดขึ้นกับเธอชั่วนาทีใดก็ได้นะ คะน้า” อลิสาผู้มองโลกของความรักเป็นสีชมพูแย้งขึ้นมาด้วยท่าทางเคลิ้มฝัน
“งั้นคงจะเป็นบุพเพอาละวาดของแกมากกว่านะแนน เพราะแกเป็นคนหยิบมือถือนี้สลับมา”
“บ้าน่า....พูดอะไรก็ไม่รู้ ไปอาบน้ำซะ ฉันจะได้อาบต่อ” อลิสาใบหน้าแดงก่ำอย่างเขินจัดพลางรุนหลังหล่อนเข้าไปในห้องน้ำ”
ทันทีที่ประตูห้องน้ำปิดลง มุทิตาก็เปลื้องชุดนอนออกจนเหลือแต่ร่างเปล่าเปลือยที่ปรากฏอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ แล้วถอดใจออกมาเฮือกใหญ่ ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่อยากให้มีบุพเพสันนิวาสเกิดขึ้นกับหล่อนหรอก เพียงแต่มันเป็นไปได้ ดูกองเนื้อไขมันที่เกาะตามตัวหล่อนนี่ซี ใครที่ไหนจะเกิดอารมณ์พิศวาส กระนั้นมุทิตาก็ไม่ได้รู้สึกชิงชังกับรูปร่างของตัวเองสักนิด แม้รูปร่างของหล่อนจะอ้วนพีแต่มุทิตาก็ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น ความอ้วนไม่ใช่สิ่งน่าอับอาย เพราะครั้งหนึ่งในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาตอนกลาง ภาพวาดวีนัสที่มีชื่อเสียงก้องโลกก็เป็นหญิงอ้วนเช่นเดียวกับหล่อน...หากหล่อนเกิดในยุคนั้น ป่านนี้ก็คงเป็นหญิงงามที่มีชายหนุ่มรุมตามจีบจนหัวกระไดไม่แห้งไปแล้ว
มุทิตายิ้มให้กับตัวเองที่หน้ากระจกพลางบอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร...ไม่มีคนรักก็ไม่เห็นจะตาย รอบตัวหล่อนยังมีความรักดีๆโอบล้อมอยู่ และที่แน่ๆ หล่อนรักและเห็นคุณค่าของตัวเอง ชีวิตของคนเราไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ แม้จะอับโชคเรื่องความรัก แต่งานของหล่อนกำลังรุ่ง กิจการของหล่อนกำลังจะไปได้สวยเพราะมีงานดีๆเข้ามาไม่เคยขาด
+++++++++++++++++++++++
กลิ่นหอมของขนมเค้กที่ฟุ้งจากเตาอบขนมชั้นบน ทำให้ทั้งมุทิตาและอลิสาต่างกลืนน้ำลายเอื้อก เพราะตั้งแต่ตื่นนอนและออกมาที่บริษัทฯ ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อได้สูดกลิ่นหอมยั่วน้ำย่อย ท้องของสองสาวจึงส่งเสียงร้องประท้วงว่าหิวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“หิวจังเลย...ฉันว่าเราบุกไปดูว่าเคนกำลังอบเค้กอะไรอยู่ดีกว่า” อลิสาชวนให้มุทิตาขึ้นไปชั้นสองของบริษัทฯที่ทำเป็นห้องครัว
มุทิตาและเพื่อนๆเช่าตึกเล็กๆสามชั้นนี้ได้ในราคาเดือนละหมื่นต้นๆทั้งที่ราคาค่าเช่าอาคารในทำเลกลางเมืองตามปกติแล้วจะตกอยู่ที่หลักแสน การที่บริษัทฯของหล่อนเช่าอาคารทำเลทองได้ถูกขนาดนี้เป็นเพราะเตี่ยของปกรณ์เป็นเจ้าของตึกแห่งนี้ หล่อนและอลิสาเลยพลอยได้อานิสงค์จากการเป็นหุ้นส่วนของชายหนุ่ม ส่วนเงินทุนที่เหลือก็สามารถนำมาตกแต่งอาคารและซื้ออุปกรณ์ต่างๆได้อีกมาก
บริเวณชั้นล่างตกแต่งให้เป็นหน้าร้านสำหรับขายขนมและกาแฟ รวมทั้งใช้เป็นสถานที่ในการติดต่อรับลูกค้า ชั้นที่สองเป็นห้องครัวสำหรับปกรณ์เพื่อทำขนมและเตรียมอาหาร ส่วนชั้นสามคือห้องเก็บอุปกรณ์ต่างๆจำพวกโต๊ะ ถาดอาหาร หรือแม้แต่ภาชนะซึ่งจัดเรียงไว้เป็นชุดๆอย่างมีระเบียบ
“ฉันว่าอย่าดีกว่า เธอก็รู้นี่นาว่าเวลาเคนทำขนม เขาไม่ชอบให้ใครไปยุ่ง” มุทิตารีบห้ามอลิสาก่อนจะเกิดเรื่อง เพราะรู้นิสัยของปกรณ์ดีว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปิน หากเขากำลังคร่ำเคร่งกับการทำขนม จะไม่อนุญาตให้ใครรบกวนเพราะจะทำให้เสียสมาธิ ครั้งหนึ่งเคยมีพนักงานคนหนึ่งพรวดพราดเข้าไปก็ถูกปกรณ์เอ็ดเสียงลั่น จนเป็นที่รู้กันว่าหากเมื่อไหร่ ปกรณ์คิดสูตรขนมอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ห้ามรบกวน
“ไม่ไปก็ได้...โอ้ย ฉันหิวจนไส้กิ่วแล้ว งั้นเดี๋ยวขอออกไปซื้ออะไรกินที่มินิมาร์ทแถวนี้ก่อนแล้วกัน จะเอาแซนด์วิช หรือ ชากาแฟอะไรไหม จะซื้อมาเผื่อ”
ยังไม่ทันที่มุทิตาจะเอ่ยปากสั่งอาหาร ก็เห็นรถเบนซ์สปอร์ตสีขาวคันหนึ่งจอดเทียบริมฟุตบาทหน้าบริษัทฯ แต่ที่ทำให้ตะลึงอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกก็คือ ชายหนุ่มผู้กำลังก้าวออกมาจากรถคันนั้น
‘โอ้...พระเจ้าจอร์จ ผู้ชายคนนี้หล่อเทพมากๆ’ ใจของมุทิตาที่เคยสงบนิ่งเป็นพระอิฐพระปูนเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ
นี่ขนาดสวมแว่นตาดำบังหน้าเอาไว้ยังหล่อชวนให้ใจละลายขนาดนี้ ถ้าเกิดถอดแว่นออกจะหล่อสักขนาดไหน ดวงตาของหล่อนเริ่มแสกนชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาสวมเสื้อยืดคอกลมสีเทากับกางเกงยีนส์สีซีด ต้นแขนของเขาดูกำยำด้วยมัดกล้ามเช่นเดียวกับแผงอกที่แนบกระชับไปเสื้อยืด เพียงเสี้ยววินาทีที่แว่นตากันแดดถูกดึงออกจากใบหน้าคมสัน หล่อนก็แทบจะหยุดหายใจ เครื่องหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลาราวกับรูปปั้นของเดวิด ผิวของเขาขาวจัด ดวงตาคู่นั้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน คิ้วหนาเป็นแผง จมูกโด่งแบบชาวตะวันตก และมีริมฝีปากแดงอย่างคนสุขภาพดี ส่วนผมหยักศกเป็นคลื่นนั้นถูกรวบไว้อย่างหลวมๆ แม้จะดูเซอร์อย่างศิลปินแต่ก็ห่างไกลจากคำว่าโทรมและสกปรก เมื่อชายหนุ่มกำลังจะเปิดประตูเข้ามาในร้าน อลิสาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงละล่ำละลักอย่างตื่นเต้น
“ใช่สุดหล่อคนนั้นจริงๆด้วย เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของแกเมื่อคืนไง คะน้า”
“ไอ้ลามกนั่นน่ะเหรอ” มุทิตาถามด้วยเสียงสูง อลิสาพยักหน้ารับ ทำให้หัวใจที่เต้นตึกตักเมื่อครู่หยุดลงในบัดดล ผู้ชายคนนี้คือซาตานในคราบของเทพบุตรชัดๆ ต่อให้หล่อหยาดฟ้ามาดินแค่ไหนแต่ลามกวิปริตแบบนี้หล่อนก็ไม่ปลื้ม ความคิดของหล่อนสะดุดลงเมื่อร่างสูงใหญ่เดินมาประจันหน้าหล่อนในระยะประชิดจนได้กลิ่นหอมของอาฟเตอร์เชฟอ่อนๆ ทำเอามุทิตาเก้อเขินพูดอะไรไม่ออกขึ้นมาซะอย่างนั้น
“เอ้านี่...มือถือของคุณ” ชายหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง ยื่นมือถือคืนให้หล่อนทันที แต่มุทิตาไม่ได้ยื่นมือไปรับเพราะมัวแต่ใจลอยจ้องหน้าหล่อเหลานั้นเสียเพลิน
“มองหน้าผมแบบนี้ กำลังทึ่งว่าผมหล่องั้นซิ” ดวงตาของชายหนุ่มแพรวพราวจนหล่อนรู้สึกหมั่นไส้คนหลงตัวเอง
“แหวะ หน้าตาดีตรงไหนไม่ทราบ...วิน มอเตอร์ไซค์แถวนี้ก็หน้าตาคล้ายๆคุณทั้งนั้นแหละ เมื่อกี้ฉันนึกว่าคุณเป็นพี่ วินมอเตอร์ไซค์ที่ฉันใช้บริการส่งของต่างหาก...แล้วนี่ก็มือถือของคุณ ได้แล้วก็ไปเสียซี หมดธุระแล้ว ฉันจะรีบไปทำงาน”ข้อแก้ตัวของหล่อนฟังไม่ขึ้นสักนิด ไม่มีวินมอเตอร์ไซค์คนไหนจะหล่อล่ำขนาดนี้ได้หรอก ไม่งั้นก็คงไปเป็นดารากันหมดแล้ว
“เดี๋ยวก่อนซี อย่าเพิ่งไป นี่ผมมาตั้งไกลไม่คิดจะหาน้ำท่ามาบริการบ้างเลยเหรอ”
“อยากดื่มอะไรละคะ เดี๋ยวแนนจัดให้เอง ว่าแต่คุณชื่ออะไรเอ่ย” อลิสาเสนอตัวบริการอย่างออกหน้าออกตา ทำให้มุทิตาหมั่นไส้
“ผมชื่อคริสครับ...ถ้าได้กาแฟร้อนสักถ้วยก็คงจะดี”
“ขอโทษด้วยค่ะ ตอนนี้ร้านเรายังไม่พร้อมให้บริการ” มุทิตาปฏิเสธด้วยเสียงมะนาวไม่มีน้ำ
“โห ใจร้ายจังคุณ ไม่ดื่มก็ได้...คุณคะน้า...อย่าเพิ่งไปได้ไหม ผมมีเรื่องสำคัญจะต้องคุยกับคุณ ขอเวลาแป๊ปนึงได้ไหม”
“ไม่ได้ ฉันไม่ว่าง คุณกลับไปเถอะ ว่าแต่...คุณรู้ชื่อฉันได้ยังไง” มุทิตาถามด้วยความสงสัย
“ก็เมื่อคืนผมได้ยินเพื่อนของคุณเรียกชื่อก็เลยจำได้ ชื่อแปลกดีนะ ใครตั้งชื่อให้คุณเหรอ”
“ขอโทษนะ ฉันไม่มีเวลาคุยเล่นกับคุณหรอกนะ โดยเฉพาะคนโรคจิตอย่างคุณ” มุทิตาแผดเสียงลั่น เสียงของหล่อนคงดังไปถึงห้องครัวชั้นบนเลยทำให้ปกรณ์วิ่งลงมาเหตุการณ์
“เกิดอะไรขึ้น คะน้า...แล้วนี่ใครกัน” ปกรณ์มองหน้าคริสอย่างไม่ไว้วางใจ
“นี่คือคุณคริส เขาเอามือถือมาคืนคะน้า เมื่อคืนสองคนนี้เขาทำมือถือสลับกัน” อลิสาเล่าให้ฟังอย่างคร่าวๆ
“แล้วทำไมคะน้าถึงได้ตะโกนลั่น เขาทำอะไรคุณหรือเปล่า” ปกรณ์ถามมุทิตาด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรหรอก เคน นายไปทำขนมต่อเถอะ เดี๋ยวฉันจะหาโทรหาลูกค้าเพื่อคอนเฟิร์มเรื่องจำนวนอาหารงานอีเวนต์ค่ำนี้เหมือนกัน” ปกรณ์ทำหน้าไม่เชื่อ แต่เมื่อเห็นหล่อนยืนยันหนักแน่นจึงยอมกลับขึ้นไปทำขนมต่อแต่โดยดี
“เดี๋ยวสิคุณ นี่ผมซีเรียสนะ เรื่องเมื่อวานผมขอโทษ คือผมไม่ได้ตั้งใจจะลวนลาม มือมันไปโดนโดยบังเอิญ คือว่าเรื่องที่ผมจะคุยกับคุณมันเป็นความลับสุดยอด”
คำว่า ‘ความลับสุดยอด’ ทำให้มุทิตาชะงัก หรือว่าคริสจะรู้อะไรที่ไม่ควรรู้เกี่ยวกับตัวหล่อนเสียแล้ว
“คุณคงไม่ได้กดดูรูปในมือถือของฉันใช่ไหม” มุทิตาถามด้วยเสียงแผ่วๆ ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่มผู้นั้น นอกจากสีหน้าเจื่อนอย่างรู้สึกผิดและนั่นก็แทนคำตอบได้เป็นอย่างดี มุทิตาหน้าซีดเผือด ตั้งสติครู่หนึ่งก่อนจะหันไปพูดกับอลิสา
“แนน...ฉันมีเรื่องต้องคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว ขอไปคุยกับเขาในห้องประชุมสักครู่นะ” อลิสาพยักหน้ารับอย่างไม่เข้าใจว่าหล่อนกับคริสมีความลับอะไรต่อกัน
เมื่ออยู่ในห้องประชุมกันตามลำพัง มุทิตาก็เปิดประเด็นทันที
“ไหนบอกสิว่าคุณเห็นอะไรในมือถือของฉัน”
“ใจเย็นๆก่อนนะคุณ ขออธิบายก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งจะเปิดดูรูปหรือข้อมูลส่วนตัวของคุณเลย ผมแค่สงสัยว่าคุณจะเป็นเจ้าของมือถือเครื่องนี้หรือเปล่าก็เลยลองกดดูรูป แล้วก็เลยบังเอิญเห็นรูปถ่ายของคุณโมน่าหลายรูป”
“คุณเห็นรูปของโมน่าอย่างนั้นเหรอ”มุทิตาถามเสียงสูง ใบหน้าแสดงออกถึงความร้อนใจก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วคุณบอกเรื่องนี้กับใครหรือเปล่า”
“ไม่...ผมไม่ได้บอกใครเลย ตกลงว่าคุณคือ โมน่า จริงๆใช่ไหม” ชายหนุ่มถามพลางจ้องหน้าหล่อนอย่างคาดคั้น
“จะใช่หรือไม่ มันก็ไม่สำคัญหรอก แต่ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าคุณเอารูปของโมน่าไปเผยแพร่ ฉันจะดำเนินคดีคุณทางกฎหมายให้ถึงที่สุด” มุทิตาจ้องตาชายหนุ่มเขม็งให้รู้ว่าเอาจริง
“ผมไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า แต่ผมมีข้อเสนอดีๆมาคุยกับคุณว่าสนใจจะเป็นนางแบบภาพ portrait ให้กับผมไหมล่ะ ผมเองก็เป็นช่างภาพแฟชั่นที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่เหมือนกันนะ ถ้าคุณตกลง ผมจะผลักดันให้คุณกลับคืนสู่วงการนางแบบให้ได้ ใครจะไปรู้ การปรากฏตัวอีกครั้งของคุณในรูปโฉมใหม่อาจจะทำให้คุณดังยิ่งกว่าเก่า”
“นี่คุณคิดจะเอาความอ้วนของฉันมาเป็นจุดขายงั้นเหรอ ขอบอกให้รู้ไว้เลยนะว่าคนที่ฉันรังเกียจที่สุดคือคนที่เอาปมด้อยของคนอื่นมาใช้เป็นเครื่องมือ ออกไปเลยนะ...แล้วอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าคุณอีก” มุทิตาโกรธเสียจนน้ำตาพาลจะไหล นี่เขากำลังดูถูกหล่อนอย่างที่สุด
“คุณเข้าใจผมผิด ผมไม่เคยคิดดูถูกคุณเลย ถึงคุณจะอ้วน ผมก็คิดว่าคุณมีใบหน้าที่สวยเป็นเอกลักษณ์ สายตาช่างภาพอย่างผมมองไม่พลาดหรอกว่า คุณจะต้องกลับมาเป็นนางแบบที่มีชื่อเสียง ลองคิดดูดีๆ ผมไม่ได้หลอกใช้คุณ งานนี้เราวินๆกันทั้งคู่”
“ถ้าคุณยังไม่หยุดพล่ามและออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันจะจัดการคุณให้เข็ดหลาบ แสดงว่าเมื่อคืนที่ถูกฉันล้มทับนี่ยังไม่เข็ดใช่ไหม” คริสเห็นท่าหล่อนเอาจริงจึงถอยกรูดเพื่อตั้งหลัก แต่ก็พยายามทำใจดีสู้เสือยิ้มกว้างให้
“นายจะทำอะไรคะน้าน่ะ ” ปกรณ์เปิดประตูเข้ามา ในมือของชายหนุ่มมีมีดเล่มยาวแหลมเฟี้ยวอยู่ด้วย หน้าตาขึงขังของปกรณ์ทำให้คริสหน้าซีดด้วยความหวาดกลัวมากกว่าเดิม
“ผมไปก็ได้...แต่ช่วยลดมีดในมือของคุณลงก่อน ไม่อย่างนั้นผมไม่กล้าเดินออกไปแน่” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ มุทิตารู้สึกสะใจ สมควรแล้วที่ผู้ชายเห็นแก่ตัวแบบนี้จะต้องเจอของแข็ง
ทันทีที่ปกรณ์ลดมีดในมือลง คริสก็โกยแน่บออกจากบริษัทของหล่อนทันที
“คะน้า...ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ผมเป็นห่วงแทบแย่ เป็นผู้หญิงไม่ควรจะอยู่กับตามลำพังกับผู้ชายแปลกหน้าสองต่อสองแบบนี้ เกิดมันทำอะไรคะน้าขึ้นมาจะทำยังไง” ปกรณ์อดไม่ได้ที่จะเอ็ดหล่อน คงจะมีปกรณ์เพียงคนเดียวกระมังที่เห็นหล่อนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่ไม่มีเรี่ยวแรงต่อกรกับผู้ชายได้
มุทิตารู้สึกซาบซึ้งกับความห่วงใยที่ปกรณ์มีให้หล่อนมาโดยตลอด จนนึกอยากให้เขาเป็นชายแท้ จะได้ไม่ต้องแสวงหารักแท้จากที่ไหนไกล ทว่าจนกระทั่งป่านนี้ หล่อนก็ยังไม่แน่ใจว่าปกรณ์เป็นชายแท้หรือเปล่า ซ้ำเขายังไม่เคยแสดงทีท่าว่าสนใจผู้หญิงคนไหนหรือคบหาใครเป็นแฟนจริงจังเลยสักคนโดยให้เหตุผลว่ายังไม่พบคนที่ถูกใจ
“ระดับคะน้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก แค่ออกแรงผลักเบาๆ ผู้ชายก็กระเด็นติดผนังแล้ว รู้สึกว่านายจะเป็นห่วงคะน้าออกนอกหน้าไปหน่อยไหม ทีฉันไม่เห็นนายเป็นห่วงแบบนี้เลย” อลิสาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงงอนๆ อลิสาและปกรณ์เป็นไม้เบื่อไม้เมาที่คุยกันได้ไม่กี่คำก็มีเรื่องเถียงกันทุกที
“มันเหมือนกันที่ไหนล่ะ แนน เธอมันคล่องปรู้ดปร้าด ส่วนคะน้า เป็นคนซื่อๆตามเล่ห์เหลี่ยมคนไม่ทันหรอก” ยิ่งปกรณ์พูดให้ท้ายหล่อนเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้อลิสากว่าเดิม
“อย่าเพิ่งเถียงกันตอนนี้เลย...เดี๋ยวอีกสองชั่วโมงเราจะต้องเตรียมของสำหรับไปงานอีเวนต์แล้วนะ แล้วฉันก็ต้องรีบโทรหาคุณนิวัติด้วย” คำเตือนของมุทิตา ทำให้คู่กัดทั้งสองนึกได้ว่ายังมีงานค้างที่ต้องเร่งมืออยู่
“ผมเกือบลืมเค้กที่อบในเตาไว้เลย ดีนะที่คะน้าเตือน ขอไปวิ่งขึ้นไปดูเตาอบก่อนนะ” พูดเสร็จปกรณ์ก็วิ่งแจ้นขึ้นไปที่ครัวชั้นบน เช่นเดียวกับอลิสาที่ทำหน้าตกใจเหมือนเพิ่งนึกอะไรออก
“ว้าย...ฉันลืมจัดดอกไม้ ตายแล้ว จะจัดทันไหมเนี่ยะ” อลิสาพูดพลางรีบหยิบช่อดอกไม้ที่แช่น้ำไว้มาจัดมือเป็นระวิง
มุทิตาโคลงศีรษะอย่างระอากับท่าทางลุกลี้ลุกลนของเพื่อนทั้งสอง พอทะเลาะกันทีไรก็มักจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสียหมด ทำให้หล่อนต้องคอยเตือน แม้จะผิดใจกันบ่อย น้อยใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่หากขาดปกรณ์ซึ่งมีความสามารถด้านการทำขนมเป็นเลิศ และอลิสาผู้มีความสร้างสรรค์เรื่องการประดับประดาตกแต่ง ทรีโอเคเทอริ่งก็คงไม่เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วจนถึงวันนี้
แม้คริสจะกลับไปได้ครู่หนึ่งแล้ว และมุทิตาเองก็มีงานเร่งด่วนที่จะต้องรีบสะสางให้เสร็จ ทว่าหล่อนกลับไม่สามารถรวบรวมสมาธิให้จดจ่อกับงานได้เพราะเรื่องของโมน่ายังคงรบกวนจิตใจอยู่ เป็นความผิดของผู้ชายคนนั้นแท้ๆที่รื้อฟื้นเรื่องราวของโมน่าขึ้นมา มุทิตาก็สังหรณ์ใจอย่างบอกไม่ถูกว่าเขาจะไม่หยุดเรื่องราวของโมน่าไว้เพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
นภาสรร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2555, 09:43:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 มิ.ย. 2555, 09:43:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1800
<< ตอนที่ 1 :: ตามหาโมนาลิซ่า | ตอนที่ 3 :: สัญญาหนี้ >> |
อลินน์ 28 มิ.ย. 2555, 06:57:18 น.
เรื่องใหม่ใช่ไหมคะ งั้นพี่เริ่มเรื่องนี้ก่อนนะหนูแตม
เรื่องใหม่ใช่ไหมคะ งั้นพี่เริ่มเรื่องนี้ก่อนนะหนูแตม
นภาสรร 3 ก.ค. 2555, 09:57:12 น.
ใช่ค่ะพี่บี ^_^
ใช่ค่ะพี่บี ^_^