รักเกินร้อย
น้ำหนักไม่ใช่เรื่องใหญ่...หากหัวใจที่มีให้กันนั้นเกินร้อย
มุทิตา หญิงสาวร่างยักษ์ผู้ตกกระไดพลอยโจนเป็นหนี้สองล้านบาท ต้องก้มหน้ารับกรรมใช้หนี้ด้วยการเป็นนางแบบให้กับ คริส ช่างภาพสุดหล่อด้วยความเข้าใจผิดบางประการ
เรื่องราวจะอลเวง น่ารักน่าหยิกสักแค่ไหน ติดตามได้จากนิยายรักโรแมนติคคอมเมดี้เรื่องนี้ค่ะ
Tags: รักกุ๊กกิ๊ก รักเกินร้อย

ตอน: ตอนที่ 3 :: สัญญาหนี้

ตอนที่ 3

งานอีเว้นต์เปิดตัวกล้องถ่ายรูปยี่ห้อโนโวรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งจัดขึ้น ณ ห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอย่างล้นหลาม เนื่องจากเลนส์ของกล้องถ่ายรูปรุ่นนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากสมาคมถ่ายภาพเกือบทั่วโลก บรรดาผู้มาร่วมงานล้วนแล้วแต่เป็นช่างภาพชั้นนำและเหล่าคนดังซึ่งเป็นที่รู้จักในวงสังคม ดังนั้นทางบริษัทฯจึงทุ่มทุนอย่างเต็มที่เพื่อให้จัดงานนี้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด นับตั้งแต่เวทีซึ่งใช้ระบบแสงสีเสียงตระกาลตา ไปจนถึงอาหารในงานเลี้ยงก็ต้องอร่อยและสวยงามตามคอนเซ็ปต์

นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทของมุทิตาได้งานใหญ่ ทุกคนจึงทุ่มเทเพื่องานนี้อย่างเต็มที่ ปกรณ์กับอลิสาช่วยกันทำคานาเป้ให้เป็นรูปทรงกล้องถ่ายภาพ ตกแต่งคัพเค้กให้มีสีสันสดใส รวมทั้งอาหารว่างอื่นๆก็ประดิดประดอยให้มีลักษณะคล้ายกล้องถ่ายภาพทำให้ผู้ร่วมงานตื่นเต้นกับอาหารว่างหน้าตาสวยเหล่านี้

ทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี เว้นเสียแต่พนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเกิดเบี้ยวงานกะทันหัน ลำพังแค่พนักงานสามคนที่เดินง่วนเสิร์ฟอาหารก็แทบจะวุ่นมากยู่แล้ว นี่ยังมีถาดเครื่องดื่มที่ยังไม่ได้ยกออกไปเสิร์ฟอีก มุทิตาเริ่มเครียด จะเรียกให้ปกรณ์กับอลิสาตามมาช่วยงานก็ไม่ทันแล้ว

‘เป็นไงเป็นกัน...ลุยเองก็ได้’ ว่าแล้วหล่อนก็คว้าผ้ากันเปื้อนของบริษัทมาสวมแล้วยกถาดเครื่องดื่มเดินเข้าไปในงานเพื่อช่วยเสิร์ฟเครื่องดื่ม ลูกค้าต่างพากันจ้องมองหล่อนเป็นตาเดียวกันคล้ายเห็นมนุษย์ต่างดาวที่เหยียบย่างลงบนโลกมนุษย์

มุทิตาประคองถาดแน่น หล่อนจะต้องไม่หวั่นไหวกับสายตาของใครทั้งนั้น ใครจะซุบซิบนินทาว่าหล่อนยังไงก็ช่าง ปล่อยให้เป็นเพียงลมปากที่พัดผ่านไป ถึงกระนั้นหูเจ้ากรรมก็เกิดได้ยินเสียงนินทาของผู้หญิงคนหนึ่งเข้าจนได้

“ดูยายช้างยักษ์นั่นซีคะ ไม่รู้ว่าบริษัทเคเทอริ่งกล้าจ้างงานมาเสิร์ฟเครื่องดื่มได้ยังไง ถ้าเกิดเดินสะดุดหกล้มหรือชนโน่นชนนี่ขึ้นมาคงจะขายหน้าพิลึก”

มุทิตาบอกตัวเองให้นับหนึ่งสิบ...ไม่ใช่ซีต้องถึงร้อยเลยล่ะ เพื่อระงับอารมณ์และคิดเสียว่าไม่ได้ยินคำพูดนั้น แต่ถ้าจะคิดในแง่ดี คำพูดนั้นก็มีส่วนถูกอยู่บ้าง หากหล่อนทะเล่อทะล่าเดินชนกล้องถ่ายรูปตัวใดตัวหนึ่งที่วางตั้งอยู่ คงจะต้องชดใช้ค่าเสียหายจนหมดตัวแน่ มุทิตาจึงพยายามเดินอย่างระมัดระวังกว่าเคย

“ขอเครื่องดื่มหน่อยครับ” เสียงทุ้มห้าวดังขึ้นจากด้านหลัง มุทิตารู้สึกคุ้นกับเสียงนี้เหลือเกิน และเมื่อหันไปส่งยิ้มให้กับแขกหนุ่มตามมารยาทของบริกรที่ดีก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของแขกผู้นั้นถนัดตา

‘นายช่างภาพโรคจิต...เวรกรรมใดหนอที่ทำให้หล่อนมีเหตุมาโคจรเจอกับเขาทั้งที่ยังไม่พ้นวันดี’

“พบกันอีกแล้วนะ คุณโมน่า...รู้สึกว่าชะตาของผมกับคุณจะต้องกัน”คริสยิ้มกวนๆ ทำให้มุทิตาได้แต่ระงับอารมณ์เพราะตอนนี้เขาอยู่ในฐานะแขกของงาน หล่อนจะอาละวาดหรือลงไม้ลงมือเขาไม่ได้

“อย่าเรียกฉันว่าโมน่า ฉันชื่อ มุทิตา อ้อ แล้วก็ห้ามเรียกชื่อเล่นของฉันด้วย เพราะเราไม่สนิทกัน” มุทิตาพูดด้วยน้ำเสียงเบาจนแทบเหมือนกับเสียงกระซิบ เพราะไม่อยากให้แขกในงานได้ยิน

“ตกลงครับคุณมุทิตา วันนี้คุณได้ลองคิดทบทวนเรื่องที่ผมเสนอบ้างหรือยัง เปลี่ยนใจเมื่อไหร่บอกผมได้นะ อ้อ ผมลืมบอกคุณไปว่าผมบันทึกเบอร์ของผมในเครื่องของคุณไว้แล้วว่า คริส กดดูได้เลย” สีหน้าท่าทางของเขาดูสนุกเหลือเกินที่ได้ยั่วเย้าหล่อน

“ใครจะโทรหาคนโรคจิตอย่างคุณ เดี๋ยวฉันจะไปลบเบอร์นั่นทิ้ง” มุทิตาพูดด้วยน้ำเสียงคำรามในลำคอ เพราะกลัวว่าแขกในงานจะได้ยินการสนทนาของหล่อนกับเขา หากในใจของมุทิตากลับเต้นโครมคราม เมื่อสังเกตเห็นว่าชุดสูทสีเทาเข้มที่ คริสใส่อยู่เวลานี้ทำให้เขาดูหล่อเหลากว่าเมื่อเช้าหลายเท่าตัว แต่แล้วเสียงแหลมสูงของหญิงสาวผู้หนึ่งก็เรียกสติของหล่อนให้กลับคืนมา

“มาอยู่ตรงนี้เอง อยากได้น้ำทำไมไม่บอกล่ะคะ พอลลี่จะได้เดินมาหยิบให้คุณเอง เมื่อกี้เห็นคุณคุยกับยายอ้วน...เอ้ย คุณคนนี้ตั้งนาน ไม่ทราบว่ามีอะไรกันหรือเปล่าคะ” หญิงสาวร่างผอมชะลูดมองหล่อนด้วยสายตาระแวงสงสัย

หากมุทิตาจำไม่ผิด หญิงสาวหุ่นผอมเพรียวใบหน้าเฉี่ยวที่เรียกแทนตัวเองว่า ‘พอลลี่’ คือซูเปอร์โมเดลชื่อดังในเวลานี้ใบหน้าของหญิงสาวเรียวเป็นรูปไข่ ดวงตาคม จมูกเชิดได้รูปสวย ส่วนริมฝีปากอิ่มนั้นฉาบไว้ด้วยลิปสติกสีแดงสด ผิวขาวอมเหลืองอย่างชาวเอเชีย ส่วนรูปร่างไม่ต้องพูดถึง ทุกสัดส่วนดูกระชับ อกเป็นอก เอวเป็นเอว จะว่าไปแล้วก็แลดูไม่ต่างอะไรกับหุ่นเสื้อผ้าที่ตั้งโชว์อยู่ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปดีๆนี่เอง

ท่าทางสนิทสนมของคริสกับซูเปอร์โมเดลสาวผู้นี้ทำให้มุทิตามั่นใจว่าทั้งคู่จะต้องเป็นคู่รักกันอย่างแน่นอน ผู้ชายหล่อ ผู้หญิงก็สวยสมกันดีแท้ หากลองเปลี่ยนจากผู้หญิงคนนั้นมาเป็นหล่อนยืนเคียงคู่แทนก็คงจะแลดูขันพิลึก

มุทิตาพยายามสลัดความคิดแปลกๆนี้ออกจากหัว นี่หล่อนกำลังคิดอะไรอยู่...ถึงได้คิดเทียบตัวเองกับยายนางแบบหุ่นไม้เสียบผีผู้นี้ หน้าตาท่าทางก็สวยโก้ดีอยู่หรอก แต่เมื่อเห็นท่าทางเชิดหยิ่งและสายตาดูถูกก็ทำให้ความงามของหญิงสาวผู้นี้พลอยมลายไปสิ้น

เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะคารมกับคริส มุทิตาจึงยกถาดไปบริการแขกคนอื่นต่อ หากตลอดระยะเวลาในงาน หล่อนรู้สึกเหมือนมีสายตาคู่หนึ่งจ้องตามหล่อนไปทุกย่างก้าวจนรู้สึกหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก

“ตอนนี้ได้เวลาอันสมควรแล้ว ผมขอเรียนเชิญท่านผู้อำนวยใหญ่ของบริษัทโนโวประเทศไทยจำกัด และช่างภาพชั้นนำทั้งสามท่านคือ คุณคริสโตเฟอร์ คุณคมกฤช และ คุณธราดล ขึ้นมาบนเวทีเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับกล้องถ่ายรูปรุ่นใหม่ล่าสุดของเราครับ” เสียงของพิธีกรในงานทำให้แขกในงานเริ่มเงียบเสียง และหน้าที่ในการบริการอาหารก็พลอยเสร็จสิ้นไปด้วยเช่นกัน เพราะหลังจากนี้จะเป็นการดำเนินรายการของพิธีกรตามกำหนดการของงาน

มุทิตารู้สึกโล่งอก อย่างน้อยทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ลูกค้าพอใจอาหารและเครื่องดื่มจนให้คำมั่นว่าจะใช้บริการเคเทอริ่งของทางบริษัทหล่อนอีก แถมตอนนี้ช่างภาพคู่กรณีของหล่อนก็ขึ้นไปอยู่บนเวทีแล้ว คงจะไม่มีเวลาตามมารังควาญหล่อนอีกอย่างแน่นอน เมื่องานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มุทิตาจึงสั่งลูกน้องให้ทะยอยเก็บข้าวของกลับบริษัท

“เดี๋ยวครับ...อย่าเพิ่งไป ผมอยากให้ทางคุณช่วยเสิร์ฟแชมเปญนี้ให้กับแขกบนเวทีหน่อย พอดีมันฉุกละหุก ไม่ทราบว่าพนักงานคนอื่นของคุณกลับบ้านไปแล้วหรือยัง” เอกชัย ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทกล้องโนโว กวาดตามองหาใครสักคนที่จะนำแก้วแชมเปญขึ้นไปเสิร์ฟบนเวที ท่าทางวิตกของเขาทำให้มุทิตามองออกว่าเขาไม่ต้องการให้สาวร่างยักษ์อย่างหล่อนเป็นผู้เสิร์ฟ

“ไม่มีใครอยู่แล้วล่ะค่ะ ทุกคนกลับไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ฉันกับน้องคนงานคนนี้เท่านั้น คุณก็เลือกเอาเองแล้วกันนะคะว่าจะให้ฉันหรือสมเจตน์เป็นคนยกแก้วแชมเปญขึ้นไป

เอกชัยมีสีหน้ายุ่งยากใจ เพราะมุทิตาเองก็ตัวใหญ่ยักษ์ ส่วนสมเจตน์ก็หน้าโจร ซ้ำยังตัวดำมะเหมี่ยมอีกด้วย แต่หากเทียบกันแล้วมุทิตาก็ยังดูสะอาดสะอ้านน่าดูกว่าสมเจตน์มากนัก

“งั้นคุณมุทิตาช่วยผมยกแก้วแชมเปญนี่ขึ้นไปเสิร์ฟบนเวทีได้ไหม แต่คงต้องระวังหน่อยนะครับ อย่าเดินชนกล้องที่วางโชว์อยู่ เพราะกล้องตัวนี้เป็นรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นที่ฝังด้วยคริสตัลชวารอฟสกี้เกรดเอทั้งอันคิดเป็นเงินไทยก็ราวๆสองล้านบาท”มูลค่าของกล้องฯทำให้มุทิตาเริ่มเกร็ง แต่ก็ปรับสีหน้าท่าทางยิ้มแย้มพร้อมให้บริการ

“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะระวังให้ดี” เมื่อหล่อนรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ เอกชัยก็มีสีหน้าเบาใจและบอกให้หล่อนจัดการรินแชมเปญใส่แก้วให้เรียบร้อย สิ้นคำประกาศของพิธีกรว่าลำดับต่อไปจะมีการดื่มเพื่อเฉลิมฉลองกล้องถ่ายรูปรุ่นใหม่ของบริษัท นิวัติก็ให้สัญญาหล่อนเดินขึ้นไปบนเวที

แสงไฟสปอร์ตไลท์ที่ฉายบนเวทีไม่วูบวาบเท่ากับกล้องถ่ายรูปคริสตัลชวารอฟสกี้ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเวที ประกายระยิบระยับของมันทำให้มุทิตาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความสนใจ แต่ก็เตือนตัวเองให้เดินอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะตอนที่กำลังเฉียดใกล้กล้องถ่ายรูปอันนั้น

หญิงสาวกลั้นลมหายใจยามก้าวเดินพลางเตือนตัวเองให้มีสติ อีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น หล่อนก็จะเดินผ่านกล้องถ่ายรูปอันนั้นแล้ว ทว่าเพียงชั่วเสี้ยววินาทีที่หล่อนกำลังก้าวเท้าไปข้างหน้าก็เกิดเสียหลักคล้ายมีใครสักคนขัดขาหล่อนจนเซถลา ถาดแก้วแชมเปญที่ประคองด้วยความระมัดระวังเอียงกระเท่เร่ จนแก้วแชมเปญหกไหลเยิ้มลงมาบนพื้นเวที และแก้วบางใบก็ตกลงมาแตก แต่นั่นก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับการที่หล่อนเสียหลักถลาไปชนกล้องถ่ายรูปคริสตัลชวารอฟสกี้มูลค่าสองล้านบาทนั้นกระเด็นตกลงมาจากเวทีที่พื้นด้านล่าง

“เฮ้ย...กล้องถ่ายรูปตกลงมาจากเวที ใครลองเช็คดูซีว่ากล้องเสียหรือเปล่า” ชายคนหนึ่งร้องเสียหลงเมื่อเห็นกล้องที่แวววับนั้นตกลง สติของมุทิตาเริ่มกลับมาทีละน้อย ใบหน้าของหล่อนซีดเผือดและใจของหล่อนก็หล่นวูบลงมาที่ตาตุ่ม หากกล้องถ่ายรูปนี้เสีย หล่อนจะต้องเป็นหนี้หัวโตแน่ๆ

บรรยากาศภายในงานที่เคยคึกคักกลับเงียบกริบ ทุกคนต่างรอลุ้นเพื่อฟังว่ากล้องถ่ายรูปนั้นจะเสียหรือไม่ แต่นาทีนี้ไม่มีใครลุ้นฟังคำตอบนี้เท่ากับมุทิตาอีกแล้ว

“กล้องเสียครับ...ซ่อมไม่ได้ด้วย” ช่างที่รับผิดชอบดูสภาพของกล้องมูลค่าสองล้านบาททำหน้าเสียราวกับเป็นผู้ก่อความเสียหายนี้ซะเอง

“คุณจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย”ผู้อำนวยการชาวอิตาเลียนร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดันจ้องมองหล่อนเขม็งราวกับเป็นนักโทษอาชญากรรม มุทิตารู้สึกว่าร่างใหญ่เทิ้มของหล่อนในยามนี้หดเล็กจิ๋วจนเหลือตัวเท่ามดเท่านั้น

“มันไม่ใช่ความผิดของฉันนะคะ มีใครบางคนแกล้งขัดขาฉัน”มุทิตารีบแก้ตัว น้ำเสียงสั่นด้วยความตระหนก
“ใครล่ะ...เธอชี้ตัวได้ไหม”ผู้อำนวยการคาดคั้น สีหน้าไม่เชื่อสิ่งที่มุทิตาพยายามชี้แจงเลยแม้แต่น้อย

“ฉันไม่แน่ใจว่าเป็นใคร เพราะไม่ทันมอง แต่เอาเป็นว่าคุณจะเอาผิดกับฉันไม่ได้เพราะมันไม่แฟร์”จากที่รู้สึกผิด มุทิตากลับรู้สึกฉุนแทน เรื่องอะไรจะป้ายความผิดให้หล่อนเป็นคนรับผิดชอบชดใช้ค่ากล้องราคาสูงลิบขนาดนี้ ในเมื่อหล่อนถูกกลั่นแกล้ง

มุทิตามองหน้าคริสกับพลอยชมพูสลับไป มีแค่สองคนนี้เท่านั้นที่น่าสงสัย เพราะตอนที่สะดุดล้ม หล่อนเดินผ่านสองคนนี้ แม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าใครเป็นคนที่แกล้งหล่อน แต่มุทิตาก็ปักใจเชื่อไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าคริสจะต้องเป็นคนที่แกล้งหล่อนแน่ๆ เพราะเขาเพิ่งมีเรื่องปะทะคารมกับหล่อนมาสดๆร้อนๆ

“ไม่ว่าคุณจะอ้างว่าใครแกล้งคุณก็ตามแต่มันก็ไม่มีหลักฐาน และที่สำคัญทุกคนก็เห็นเป็นตาเดียวกันว่าคุณเป็นคนทำแก้วแชมเปญหกรดกล้องตัวนี้ เพราะฉะนั้นคุณจะต้องชดใช้ค่าเสียหายสองล้านบาทโดยไม่มีข้อบิดพริ้ว ไม่อย่างนั้นผมจะจะต้องเรียกตำรวจมาจับตัวคุณไปโรงพัก”ผู้อำนวยการชาวอิตาเลียนพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ท่าทางเอาจริง จนมุทิตาพูดไม่ออกแทบจะเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น

“อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะครับ...ค่าเสียหายนั่น ผมจะเป็นคนจ่ายให้เอง” มุทิตาอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า คริสจะยอมจใช้หนี้สองล้านบาทให้หล่อนฟรีๆ มันจะต้องมีจุดประสงค์แอบแฝงแน่ๆ และที่หล่อนสงสัยว่าเขาเป็นคนขัดขาหล่อนให้สะดุดล้มก็คงจะจริง

“คริสคะ...เงินตั้งสองล้าน คุณจะจ่ายให้ยายช้างยักษ์นี่ทำไม พอลลี่ไม่ยอมนะคะ ทีตอนนั้นพอลลี่อยากได้กระเป๋าหนังจระเข้ลุ่มน้ำปาปัวนิวกีนีใบละล้านห้า คุณยังไม่ยอมซื้อให้เลย...ทำไมคุณถึงต้องใช้หนี้ให้ยายนี่ด้วยค่ะ” ซูเปอร์โมเดลอาละวาดลั่น

“เงียบเถอะน่าพอลลี่...หยุดโวยวายได้แล้ว ผมมีเหตุผลของผมก็แล้วกัน” ชายหนุ่มปรามคนรักเสียงเข้ม
เหตุผลอย่างนั้นเหรอ..ตรงตามที่มุทิตาคิดไว้ไม่มีผิดว่าไม่มีทางที่คริสจะช่วยหล่อนฟรีๆอย่างแน่นอน และหล่อนก็พอจะเดาออกแล้วว่าเหตุผลที่คริสช่วยหล่อนคืออะไร แต่อย่าคิดว่าหล่อนจะยอมหลงกลง่ายๆ

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“เซ็นสัญญานี่ซะ...แล้วผมจะยอมใช้หนี้ให้คุณ”

มุทิตามองสัญญาที่ชายหนุ่มยื่นให้อย่างใช้ความคิด หล่อนจะยอมให้เขาใช้หนี้ให้เพื่อแลกกับสัญญาบ้าๆนี่จริงเหรอ จากที่เคยคิดว่าจะคิดบัญชีที่เขากลั่นแกล้งก็ต้องเปลี่ยนท่าทีใหม่เนื่องจากทางบริษัทเรียกตำรวจมาดำเนินคดีกับหล่อนจริงๆ หากไม่ใช้หนี้ภายในวันนี้ หล่อนจะต้องถูกจับเข้าคุกหัวโตแน่ๆ ซ้ำโทรทัศน์วงจรปิดของทางห้างฯที่บันทึกไว้เพื่อยืนยันหลักฐาน กลับไม่เห็นใครขัดขาของหล่อน ดังนั้นมุทิตาจึงตกเป็นจำเลยและไม่มีหนทางใดจะแก้ต่างได้เลย

สิ่งที่หล่อนรู้เพียงอย่างเดียวตอนนี้ก็คือต้องเอาตัวรอดให้ได้ก่อน ถ้าหล่อนไม่ให้คริสใช้หนี้ให้ แล้วใครจะใช้หนี้ให้หล่อนได้กัน เงินตั้งสองล้านบาทไม่ใช่เงินน้อยๆ ใบหน้าของพ่อแม่บุญธรรมของหล่อนลอยขึ้นมาเป็นที่พึ่งอันดับแรก

แม้ว่าพ่อแม่บุญธรรมจะรักหล่อนประหนึ่งลูกแท้ๆ และมีฐานะมั่งคั่งเป็นเจ้าของกิจการรีสอร์ทที่ราชบุรี หากหล่อนเอ่ยปากขอเงินสองล้าน ท่านทั้งสองก็ย่อมเต็มอกเต็มใจให้เงินก้อนนี้แก่หล่อนด้วยความเต็มใจ แต่ด้วยความเกรงใจ มุทิตาจึงไม่กล้าเรียกร้องอะไรจากท่านทั้งสองอีก เพียงแค่บุญคุณที่ท่านรับหล่อนมาเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ให้ความรักประหนึ่งลูกแท้ๆ ซ้ำยังให้ทุนตั้งกิจการเคเทอริ่งอีกสามล้านกว่าบาทก็นับว่ามากเสียจนหล่อนไม่มีวันทดแทนบุญคุณท่านทั้งสองได้หมดสิ้น ดังนั้นมุทิตาจึงไม่ต้องการเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่บุญธรรมของหล่อนอีก

แม้จะมีเงินเหลือจากการลงทุนอีกราวๆสามแสนบาท แต่มันก็ไม่พอที่จะใช้หนี้กล้องถ่ายรูปคริสตัลอันนั้นได้ คนต่อไปที่หล่อนนึกถึงก็คือ ปกรณ์ หากเขารู้ว่าหล่อนเดือดร้อน ชายหนุ่มจะต้องวิ่งแจ้นไปหาเตี่ยของเขาเพื่อยืมเงินมาใช้หนี้ให้กับหล่อนอย่างแน่นอน ทว่าเดือนที่แล้ว ปกรณ์เพิ่งมีปากเสียงกับเตี่ยเนื่องจากเบี้ยวนัดไม่ยอมไปดูตัวกับแม่สื่อตามที่นัดไว้ เตี่ยของเขาจึงโกรธมากที่ทำให้เสียหน้าเนื่องจากฝ่ายหญิงเป็นครอบครัวที่สนิทสนมกับครอบครัวของเขาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ จึงประกาศกร้าวว่าจะไม่ยอมช่วยเหลือปกรณ์อีก หากปกรณ์ไม่ไปขอขมาครอบครัวนั้นและตกปากรับคำแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ปกรณ์ก็ยืนกระต่ายขาเดียวว่าไม่มีทางที่เขาจะแต่งงานกับลูกสาวของเพื่อนเตี่ยอย่างแน่นอน ดังนั้นเตี่ยของปกรณ์จึงยังโกรธเคืองผู้เป็นลูกชายและตัดความช่วยเหลือทางการเงินจนทุกวันนี้

“จะตัดสินใจอีกนานไหมคุณ จ้องสัญญาจนจะทะลุอยู่แล้ว ถ้าผมเป็นคุณจะไม่เสียเวลาคิดนานขนาดนี้เลย เพราะอยู่ดีๆก็มีคนใช้หนี้สองล้านบาทให้ แถมอนาคตอาจจะได้กลับมาเป็นซูเปอร์โมเดลอีก ถือเป็นโชคสองชั้นเลยนะ”

“ซวยล่ะสิไม่ว่า...ถ้าไม่ใช่เพราะคุณกลั่นแกล้ง ฉันก็คงไม่เป็นหนี้หัวโตแบบนี้หรอก ถามจริงๆเหอะว่าทำไมคุณต้องใช้แผนการสกปรกแบบนี้ด้วย” มุทิตาไม่สามารถระงับความขุ่นเคืองในใจจนต้องระเบิดออกมา

“ผมบอกคุณเป็นล้านหนแล้วว่าผมไม่ได้ขัดขาคุณ จะให้ผมไปบนบานที่ไหนก็ได้ เรื่องอะไรผมจะต้องวางแผนเพื่อให้ตัวเองต้องเสียเงินตั้งสองล้านเพื่อใช้หนี้ให้คุณด้วย แต่ในเมื่อผมมีน้ำใจจะช่วยเหลือใช้หนี้ให้คุณด้วยเงินจำนวนมหาศาลขนาดนี้ คุณก็ควรช่วยเหลือตอบแทนผมบ้าง กะอีแค่ผมให้คุณเป็นนางแบบภาพนิ่งให้กับผม มันยังน้อยเกินไปด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับเงินก้อนโตที่ผมต้องใช้หนี้ให้คุณ”

คริสสวนกลับอย่างโมโห แม้หล่อนไม่อยากจะเชื่อคำพูดของเขานัก เพราะผู้ร้ายมักปากแข็งและมีข้ออ้างในการแก้ตัวสารพัด หากสีหน้าแววตาที่จริงจังของคริสเริ่มทำให้มุทิตาไม่แน่ใจ บางทีเขาอาจจะไม่ได้โกหกหล่อนก็ได้ แต่ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนขัดขาหล่อน ก็ต้องเป็นพลอยชมพูอย่างนั้นสิ แต่หล่อนกับพลอยชมพูก็ไม่เคยมีเรื่องผิดใจกัน แล้วหญิงสาวจะแกล้งหล่อนด้วยเหตุผลใด คิดไปก็เปล่าประโยชน์เพราะไม่ว่าจะถูกใครแกล้ง มุทิตาก็ต้องใช้หนี้สองล้านบาทนั่นอยู่ดี

หากหล่อนยอมให้คริสใช้หนี้ให้ก็ต้องยอมเป็นนางแบบของเขาและเมื่อภาพถ่ายของหล่อนถูกจัดแสดงที่อาร์ตแกลอรี่ ณ มหานครนิวยอร์ก สื่อมวลชนทั่วโลกจะต้องหื่นกระจายอยากได้ข่าวของ โมน่า รวมทั้งขุดคุ้ยถึงสาเหตุที่โมน่าหายตัวไปอย่างแน่นอน

งานนี้คริสมีแต่ได้กับได้เพราะเขาจะกลายเป็นช่างภาพแฟชั่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก ในขณะที่ชีวิตของหล่อนหลังจากนั้นจะต้องถูกรุกล้ำความเป็นส่วนตัวและปราศจากความสงบสุข มุทิตาไม่อยากตกเป็นเหยื่อของสื่อมวลชน แต่ถ้าไม่มีเงินใช้หนี้ หล่อนก็ต้องถูกขังอยู่ในคุกไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแทน ไม่ว่ามุทิตาจะเลือกหนทางไหน ชีวิตของหล่อนก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้อยู่ดี’ เมื่อคิดจนถี่ถ้วนแล้ว มุทิตาก็ตัดสินใจว่าหล่อนควรจะเอาตัวรอดให้ได้ก่อน คือยอมเซ็นสัญญานี้แล้วค่อยหาทางต่อรองใช้หนี้ด้วยวิธีอื่นแทน

“สัญญาที่คุณเขียนไว้มีอะไรบ้าง” มุทิตาเอ่ยถามเพราะมัวนิ่งคิดเลยยังไม่ได้อ่าน

“พุธโธ่...ผมก็เห็นคุณมองอยู่เป็นนานสองนาน ไม่ได้อ่านเลยหรือไง เอางี้ผมจะอธิบายเงื่อนไขให้คุณฟังชัดๆก็คือ ในระยะเวลาสามเดือนนับตั้งแต่เซ็นสัญญานี้ คุณจะต้องเป็นแบบให้ผมถ่ายภาพและจะต้องย้ายมาอยู่กับผมที่บ้านเพื่อเก็บตัวฝีกฝนการเป็นนางแบบ และที่สำคัญที่สุดก็คือจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงการชดใช้หนี้ด้วยเงินหรือวิธีการอื่นๆ นอกจากเป็นนางแบบให้ผมจนครบตามระยะเวลาที่กำหนด”

“แล้วคุณแน่ใจได้ยังไงว่าภายในสามเดือนคุณจะได้รูปที่ต้องการ บางทีฉันอาจจะโพสต์ท่าห่วยก็ได้” มุทิตาถามด้วยนัยน์ตาวาบวับเมื่อนึกแผนการบางอย่างออก

“ผมมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจิ๊บๆสำหรับอดีตซูเปอร์โมเดลอย่างคุณ นกต่อให้ถูกขังอยู่ในกรงก็ไม่เคยลืมวิธีบิน คนที่เป็นนางแบบต่อให้ร้างราเวทีก็ย่อมไม่มีทางลืมวิธีโพสต์ท่าหน้ากล้องหรอก นอกเสียจากคุณจะแกล้งผมเท่านั้นเอง” คริสพูดดักคอหล่อน

“แล้วถ้าฉันไม่ได้แกล้ง แต่โพสต์ท่าไม่ได้จริงๆล่ะ คุณจะทำยังไง” มุทิตาถามกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ต้องห่วง ผมคิดเรื่องนั้นเผื่อไว้แล้ว ยังไงคุณจะต้องเป็นนางแบบที่ดีให้กับผมได้แน่นอน”

‘หล่อนจะต้องไปอยู่ร่วมบ้านกับอีตาช่างภาพลามกนี่จริงๆเหรอ” นึกแล้วมุทิตาก็อดรู้สึกพรั่นพรึงไม่ได้ สีหน้าของหล่อนคงแสดงออกถึงความวิตกจนคริสสังเกตเห็น

“เป็นอะไรขึ้นมาอีกล่ะคุณ...ผมบอกไว้ก่อนว่าผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสัญญานี้เป็นอันขาด ถ้าคุณไม่ตกลงรับข้อเสนอนี้ ก็หาเงินสองล้านบาทใช้หนี้เองก็แล้วกัน” คริสพูดอย่างคนที่เป็นต่อและตอนนี้หล่อนก็ไม่ทางเลือกเสียด้วย

“เอ่อ...มันจะดีเหรอที่ให้ฉันย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันกินจุมาก แต่ละมื้อต้องกินข้าวอย่างน้อยสามถ้วย กับข้าวต้องจัดเต็มโต๊ะทั้ง หมู ไก่ ปลา ผัก และเต้าหู้เพื่อให้ได้สารอาหารครบทั้งห้าหมู่ แล้วก็ต้องมีขนม ผลไม้ นมเปรี้ยว โยเกิร์ต แล้วก็....”

“พอๆ หยุดได้แล้ว เรื่องอาหารไม่ต้องห่วง ผมไม่ทำคุณอดตายหรอก แล้วก็ไม่ห่วงว่าคุณจะเสียชื่อที่ต้องอยู่กับผมตามลำพัง เพราะจะมีครูฝึกนางแบบจากนิวยอร์กมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับคุณด้วย เธอชื่อ ‘อีวา’ คุณน่าจะคุ้นชื่อเธออยู่บ้าง อีกสองวันคุณจะต้องเก็บเสื้อข้าวของให้พร้อม หลังจากเราไปรับอีวาที่สนามบินแล้ว คุณก็ย้ายเข้าไปอยู่บ้านผมพร้อมกับเธอได้เลย”

มุทิตาอ้าปากค้าง เถียงไม่ทัน อีตาบ้านี่ช่างเผด็จการจัดการอะไรเสร็จสรรพโดยไม่ถามความสมัครของหล่อนเลย แถมยังลงทุนจ้าง อีวา ครูฝึกนางแบบชื่อดังมาเป็นครูเฉพาะกิจมาฝึกหล่อนอีก คิดแล้วมุทิตาอยากจะบ้าตาย หล่อนเคยดูรายการแข่งขันนางแบบที่อีวาเป็นครูฝึกมาก่อน จำได้ว่าเหล่าบรรดานางแบบต่างพากันร้องห่มร้องไห้เมื่ออีวาสั่งให้งดอาหาร ฝึกซ้อมเดินแบบอย่างเข้มงวด ซ้ำยังวิจารณ์เรื่องแต่งหน้าแต่งตัวอย่างไม่ไว้หน้า แล้วยายหมูตอนอย่างหล่อนจะเหลือเหรอ คงโดนอีวาสับแหลกเป็นหมูบะช่อแน่ๆ คิดแล้วก็กลืนน้ำลายเอื้อกอย่างวิตก

“ทำไมคุณต้องลงทุนจ้างครูฝึกนางแบบชื่อดังอย่างอีวาด้วย ฉันจำได้ว่าคุณ นีน่า นิชดา นางแบบไทยที่เคยโกอินเตอร์ก็เปิดโรงเรียนฝึกสอนนางแบบ ให้ฉันไปเรียนกับคุณนีน่าก็ได้นะคะ”มุทิตาพยายามต่อรอง

“ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าจ้างครูฝึกหรอก เอาเป็นว่าคุณเตรียมย้ายไปอยู่บ้านของผมก็พอ”

“แล้วเอ่อ...คุณพอลลี่จะไม่ว่าอะไรเหรอคะที่ฉันกับคุณอีวาจะมาอยู่บ้านของคุณ” มุทิตาถามเพราะรู้ว่าพลอยชมพูหึงหวงคนรักมาก

“พอลลี่ เค้าไม่ว่าอะไรหรอก เพราะผู้หญิงอย่างคุณไม่ใช่เสป็คผม ตกลงคุณจะเซ็นสัญญานี่ไหม ถ้าไม่ตกลงผมจะได้ไม่ต้องใช้หนี้ให้คุณ” คริสเริ่มหงุดหงิด เมื่อหล่อนโยกโย้ไม่ยอมเซ็นสัญญาเสียที

มุทิตาคว้าปากกามาตวัดลายเซ็นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว หนอย ดูถูกกันเกินไปแล้ว ถึงหล่อนจะอ้วนแต่ใบหน้าของหล่อนก็สวยไม่น้อยหน้าใคร คอยดูเถอะ ถ้าคริสเผลอใจมารักหล่อนเข้า ยายนางแบบไม้เสียบผีจะต้องน้ำตาเช็ดหัวเข่า

“ฉันเซ็นแล้ว...ไหนล่ะเช็คสองล้านบาท” มุทิตากระแทกปากกาลงบนโต๊ะ

คริสยื่นเช็คสองล้านบาทให้หล่อนทันที สายตาของเขายามยื่นเช็คให้หล่อนนั้นเป็นประกายอย่างคนที่เป็นต่อ คล้ายบอกให้รู้เป็นนัยว่า นับจากนี้หล่อนคือทาสที่ต้องจำยอมทำตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง มุทิตาเกลียดสายตาลำพองใจแบบนี้ที่สุด อย่าคิดนะว่าแค่สัญญาเพียงฉบับเดียวจะทำให้ลูกหนี้อย่างหล่อนยอมก้มหัวทำตามที่เขาสั่งทุกอย่างได้อย่างใจ



นภาสรร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.ค. 2555, 09:07:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ค. 2555, 09:13:48 น.

จำนวนการเข้าชม : 1678





<< ความลับที่ถูกค้นพบ   ตอนที่ 4 :: การเริ่มต้นของสัญญาหนี้ >>
LOLIN 15 ส.ค. 2555, 22:00:42 น.
นางเอกนี่ตัวใหญ่กว่าพระเอกหรือเปล่าคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account