ลำนำรักสายลม
และสายลม,
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล
ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า
ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)
(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล
ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า
ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)
(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
Tags: รักโรแมนติก วัยรุ่น ผู้ใหญ่
ตอน: บทนำ.1
เสียงสุนัขเห่ากระโชกทำให้เด็กหญิงซึ่งกำลังหลับสนิทถึงกับสะดุ้งตื่น มือผอมจนเห็นรอยปูดโปนของกระดูกผวาตะปบข้างกายด้วยความเคยชิน ทว่าสิ่งที่คว้าได้มีเพียงความเวิ้งว้างเย็นชืดของฟูกเย็บมือข้างกาย สายลมวูบใหญ่พัดผ่านหน้าต่างไม้กระทบผ้ามุ้งสีขุ่นจนกระพือไหว ใบต้นมะม่วงริมหน้าต่างดังเกรียวกราว เด็กหญิงห่อไหล่บอบบาง นึกหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล บอกไม่ถูกว่าเพราะความเย็นเยียบของละอองน้ำค้างใกล้รุ่ง หรือเป็นเพราะเงาทะมึนรูปร่างอัปลักษณ์เคลื่อนทาบหลังคามุ้ง
อัจจิมาหลับตาแน่น พยายามข่มใจยึดเหนี่ยวกรอบมุ้งสีเหลี่ยมดั่งเป็นที่พึ่ง หากใจเจ้ากรรมไม่วายประหวัดถึงร่างสูงบิดเบี้ยวของเปรตขอส่วนบุญ หน้าตาของมันบูดเบี้ยว ตาโปนเกือบถลน เสียงของมันโหยหวนน่ากลัว
เด็กหญิงไม่เคยเห็นเปรตมาก่อน แต่คำบอกเล่าแกมขู่ของผู้ใหญ่รอบกายทำให้ภาพอสูรร้ายเด่นชัดในมโนสำนึกอย่างไม่น่าเชื่อ ท้ายสุดความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กมีอำนาจเหนือกว่า คนนอนหลับตาแน่นจึงเผยอเปลือกตาช้าๆ
ไอ้เหมียวเห่าอย่างนี้ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่
ไอ้เหมียวเป็นหมาพันทางตัวเมีย อายุประมาณเจ็ดปี เป็นยามเตือนภัยประจำบ้าน น้าอินเก็บตกจากข้างถนนเมื่อสองปีก่อน ยายอิ่มเห็นมันครั้งแรกถึงกับทำตาค้าง
“ลำพังสามปากสามท้อง เลือดตายังแทบกระเด็น”
ยายค้านหน้าเคร่ง แต่น้าอินก็คือน้าอิน ลองว่ามุ่งมั่นจะทำอะไรแล้ว ช้างทั้งโขลงก็ฉุดไม่อยู่
“ให้มันกินของเหลือจะกระไรหนักหนาล่ะแม่ก้อ ดีเสียอีก ฉันว่า ไอ้เหมียวมันจะได้เฝ้าบ้าน รั้วไม้ของแม่แข็งแรงนักนี่”
“เดี๋ยวมันมาลักไก่” ยายยืนกราน เสียงเกรี้ยวบางลงบ้างเมื่อเห็นอาการแข็งขืนของลูกสาวคนเล็ก
“สอนมัน ตีมัน มันก็ไม่ลัก จะได้ห้ามไอ้ด่างบ้านโน้นไม่ให้เข้ามาลักแม่ไก่ด้วย คนอะไร เลี้ยงหมาแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฉันบอกให้แม่ไปว่าเขาก็ไม่เห็นจะจัดการอะไรให้มันเด็ดขาดลงไป อ้างแต่ว่าเพื่อนบ้านกัน” น้าอินพุ่งไปยังปมโต้เถียงเดิมราวกับมีตาทิพย์ว่ายายอิ่มจะหยุดปากได้
นับจากวันนั้น ไอ้เหมียวก็กลายเป็นหมามีเจ้าของ ร่างหุ้มกระดูกของมันดูดีขึ้นมาบ้างเมื่อน้าอินหมั่นอาบน้ำให้ ความเจียมตนและกตัญญูของมันสะท้อนผ่านการเฝ้ายามแข็งขัน หากคนแปลกหน้าเข้าใกล้รั้วบ้านเกินควร ไอ้เหมียวจะวิ่งรี่เห่ากรรโชกจนคนในบ้านต้องออกมาดู วีรกรรมสำคัญก็คือไล่ไอ้ด่างพ้นรั้วบ้านเป็นการถาวร ทำให้ยายเลิกบ่นเรื่องเปลืองข้าวสุก และดูเหมือนไอ้เหมียวจะเข้าใจความชอบของตน จึงหมั่นเห่าหมั่นขู่คนแปลกหน้าเพื่อแจ้งบอกเจ้าของอยู่เสมอ
ไอ้เหมียวยังเห่าไม่เลิก เสียงมุ้งอีกฟากห้องขยับ อัจจิมาคิดว่าจะได้ยินเสียงบ่นพึมพำของน้าสาวหรือยาย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอินนอนค้างที่ร้านคืนนี้
ยายอิ่มลุกจากที่นอนว่องไวและเงียบกริบเหมือนกลัวหลานสาวจะตื่น นางค่อยๆ แง้มประตูบานไม้ให้เสียงเอียดอาดเกิดน้อยที่สุด เสียงยายปรามแว่วๆ สักพัก เสียงไอ้เหมียวถึงหยุดลงได้
อัจจิมาคงจะหลับต่ออย่างวางใจถ้าไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกันแว่วเข้ามาเสียก่อน
แปลกจริง แสงตะวันยังไม่จับขอบฟ้า ใครมาหานะ
“หลับหรือยัง”
เสียงทุ้มแปลกหูผ่านรอยแตกของผนังเรือน เด็กหญิงลืมตาโผลง ลืมกลัวผีเปรตขอส่วนบุญเสียสิ้น หล่อนควานหาเจ้าส้มเช้ง ตุ๊กตาเย็บมือเก่าแก่จนกระทั่งพบมันแทรกซุกระหว่างรอยต่อของฟูกและชายมุ้ง จึงหยิบมันขึ้นมากอด
ร่างผอมค่อยๆ มุดผ่านมุ้ง แล้วกระถดเข้าหาผนังทางต้นเสียง
“หลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว คงเพลียมากอยู่ คุณคะ เจ้าอัจยังเด็กแท้ๆ ฉันอยากจะขอ...” เสียงยายแหบเครือของยายค่อยๆ ดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นเรือน
“มีใครอยู่อีกบ้าง” เสียงเดิมดังขึ้นอีก อัจจิมาอดนึกไม่ได้ว่ามันเป็นคำถามปนสั่งในที ความฉงนมีมากกว่าความกลัวแล้วบัดนี้ รอยแยกห่างของแผ่นไม้ซ้อนกันพอมีอยู่บ้าง น้าอินเคยอุดทิ้งไปเสียหลายแห่ง แต่ไม่หมดเสียทีเดียว อัจจิมาไล่สายตาจับแสงเพียงชั่วประเดี๋ยวก็พบช่องเหมาะตา
นี่เป็นครั้งที่สามภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน ที่อัจจิมาพบเทอดยศ!
เทอดยศเป็นชายวัยกลางคน อายุราวสี่สิบห้าปี ผมสั้นเป็นระเบียบไม่ดำขลับหมดจดแต่แซมสีดอกเลาแถบข้างหูและขมับ รูปร่างของเขาไม่ท้วมลงพุงหน้าเกลียดหรือผอมเก้งก้างซีดเซียว ร่างค่อนข้างสูงผึ่งผายสมส่วนอยู่ในชุดลำลองเรียบร้อย คือเสื้อยืดมีปกสีอ่อนกับกางเกงผ้าสีน้ำตาลยาวเรียบกริบ ต่อมาภายหลัง อัจจิมาจึงทราบว่าการแต่งกายแบบนั้นเป็นเพราะนิสัยชอบให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอของเขาเอง
“ไม่มีใครอยู่บนเรือนนอกจากนังอัจ” หลังของยายค้อมลงจนดูราวกับว่ากำลังรายงานความเป็นไปในบ้านให้กับชายแปลกหน้า อัจจิมาพยายามนึกทบทวน โลกของเด็กหญิงบ้านนอกมีแค่บ้าน ตลาด โรงเรียน และศาลเจ้าแม่ตะเคียน อัจจิมาพบคนมากมายก็จริง แต่คนพวกนี้วนเวียนป้วนเปี้ยนจนพอคุ้นหน้าตา ครั้นความคิดไล่เลียงไปถึงยายเตย เจ้าคณะรำแก้บนประจำศาล เด็กหญิงก็เบิกตากว้าง
“ดีแล้ว” เทอดยศมองผ่านยายอิ่มมายังห้องนอนของเด็กหญิง ซึ่งเป็นห้องกั้นเป็นสัดส่วนห้องเดียวของเรือนไม้ใต้ถุนสูง แม้รู้ว่าเทอดยศมองไม่เห็นตัว แต่ประกายตาบางอย่างของเขาทำให้เด็กหญิงหลบวูบ
ผืนมุ้งสะบัดตามแรงลม อัจจิมากระชับเจ้าส้มเช้งเข้ากับอ้อมกอด
เสียงยายอิ่มดังขึ้นอีก
“คุณคะ อิฉันอยากจะขอความเมตตา นี่มันหลาน หลานของฉันคนเดียว เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ได้โปรดอย่าทิ้งขว้างนังอัจ”
น้ำเสียงปนแหบร้องอ้อนวอน ใจดวงน้อยของอัจจิมากระตุก ร่างเล็กผวา ดวงตาไล่จับแสงเมื่อครู่ ก่อนภาพนอกชานเรือนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แล้วหล่อนก็ได้เห็นมือเหี่ยวของยายยกขึ้นพนม ดวงตาฝ้าฟางวับวาวด้วยน้ำตาคลอหน่วยจับดวงหน้าแขกยามวิกาล ความเย็นวาบแล่นปราดตั้งแต่โคนผมถึงปลายนิ้ว
ลมด้านนอกพาลนิ่งไม่ไหวติง แต่ความรู้สึกหนาวสะท้านบังเกิดกับหล่อนมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่า
ยายกำลังพูดเรื่องอะไรกัน!
“เราคุยกันแล้ว” เทอดยศเม้มปาก ตวัดมองร่างโอนเอนของยายอิ่มอย่างไม่ชอบใจ
“ยายยังมีลูกสาวอีกคนไม่ใช่หรือ ได้ข่าวว่าเรียนหนังสือไม่เก่งนัก เอาเงินที่ตกลงกันไปส่งเสียลูกสาว ส่วนอัจจิมาถือเป็นสิทธิขาดของฉันแล้ว ฉันให้คนเอาเงินมาให้วันก่อนแล้วนี่ ได้ครบหรือเปล่า”
“ครบอยู่จ๊ะ”
ยายก้มหน้ากลั้นสะอื้น
ยาย ยายจ๋า บอกเขาสิว่ายายจะไม่ยอมให้หลานไปอยู่กับเขา อัจของยายกินข้าวไม่เปลืองหรอก ไม่เรียนหนังสือก็ได้ ต่อไปนี้อัจจะเชื่อฟังยายทุกอย่างและจะไม่หนีร้อยมาลัยไปรำอีก
...นะจ๊ะยายจ๋า บอกเขาไปว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยายก็จะไม่ยอมยกหลานสาวคนเดียวให้….
หยาดน้ำใสร่วงหล่นตามร่องแก้ม ภาพห้องสี่เหลี่ยมคับแคบพลอยพร่าเลือน
มือผอมยกพนม ปากซีดไร้สีเลือดบริกรรมบทสวดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
‘เจ้าแม่เจ้าขา ลูกช้างกราบขอความเมตตา ช่วยดลบันดาลให้ทุกอย่างที่ลูกกำลังประสบเป็นเพียงฝันร้าย’
“เอานี่ ฉันให้เพิ่มอีกก้อน รวมกันเป็นสี่แสนบาท เป็นก้อนสุดท้ายแล้วนะ ฉันไม่ชอบอะไรยืดยาวสาวความไม่จบสิ้น หมดนี้แล้วก็แล้วกัน ยายใช้เงินก้อนนี้ส่งเสียลูกสาวคนเล็กให้จบ ส่วนอัจจิมาก็ขอให้เป็นดั่งที่ตกลง”
เด็กหญิงเอามืออุดปากเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดขณะมองเห็นผู้เป็นยายรับเงินก้อนนั้น ใจดวงน้อยเจ็บร้าวดั่งถูกบีบ เทอดยศกวักมือเรียกใครซึ่งคงรออยู่ด้านล่าง ครู่เดียว เสียงฝีเท้าหนักอีกสองคู่ก็ดังกระทบกระดานพื้นเรือน
อัจจิมาผวาเฮือก กวาดมองไปรอบห้องคับแคบอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูก เหงื่อผุดซึมตามอุ้งมือซึ่งยังกระชับเจ้าส้มเช้งไว้มั่นราวกับมันคือหลักยึดเหนี่ยวมั่นคงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ห้องน้อยไม่มีตู้ไม้แข็งแรงเหมือนโรงเรียน เสื้อผ้าทุกชิ้นพับวางไว้ในตู้โครงเหล็กง่อนแง่นหุ้มผ้าพลาสติกราคาถูกซึ่งน้าอินเพิ่งซื้อเมื่อปีก่อน สายตาเด็กหญิงแล่นไปหยุดที่หน้าต่างห้อง
จะกระโดดลงไปดีไหม ขาแข้งจะหักหรือเปล่า แล้วถ้าลงไปได้ จะหนีไปไหนเล่า
บ้านแพรวตาสิ แพรวตาอาศัยอยู่กับป้าที่เรือนแถวไม้กลางตลาด ชั้นบนมีห้องกว้างขวางพอสมควร ป้าพรแก่แล้ว ถ้าหล่อนอาสาไปขอทำงานแลกที่นอน ป้าพรคงจะไม่ใจไม้ไส้ระกำ
แต่ถ้าเทอดยศตามไปพบล่ะ ยายรับเงินเขาแล้ว คงต้องบอกเขาให้ตามไปเอาตัวอัจจิมาที่นั่นแน่
หรือจะเป็นบ้านยายเตย
ยายเตยไม่กลัวยายอิ่ม ถึงจะเกรงใจกันก็เถอะ หญิงชราอาศัยอยู่บนเรือนไม้หลังศาลเจ้าแม่คนเดียว ห้องบนเรือนนอกจากหีบเก็บเครื่องละครแล้ว ยายเตยแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใด แต่อัจจิมาไม่สนใจหรอก หล่อนนอนที่ไหนก็ได้ คอยอาสาบีบนวดหรือหยิบยาให้คนแก่ บางที หล่อนจะออกจากโรงเรียนเป็นนางรำเต็มเวลาเพื่อหาเงิน
แต่เทอดยศรู้จักยายเตยเหมือนกัน
ถึงอัจจิมาจะยังเล็ก แต่หล่อนพอรู้เรื่องกฎหมายอยู่บ้าง
ข้อตกลง การจ่ายเงิน
ยายขายหล่อนให้กับเทอดยศ!!!
เสียงพูดคุยด้านนอกเงียบไปแล้ว คนเดินไหล่ตกกลับฟูกเก่าตาแดงก่ำ ม่านน้ำตาเอ่อเคลือบแก้วสีนิล หูจับเสียงฝีเท้ากระทบเรือนอย่างจดจ่อ
มันใกล้เข้า...ใกล้เข้า เหงื่อกาฬผุดเต็มอุ้งมือชื้น
ไม่นาน เสียงเปิดประตูดังขึ้น ร่างน้อยสะดุ้งเฮือก มือกระชับตุ๊กตาน้อยแนบอกก่อนมือข้างนั้นจะเลื่อนไปจับขอบฟูกไว้มั่น
เสียงฝีเท้าหนักตรงคืบคลานจนประชิด มือแข็งแรงอย่างน้อยสี่มืออุ้มเด็กหญิงขึ้นจากฟูก เมื่อเห็นมือเล็กจับฟูกไว้แน่น ร่างหนาทั้งหมดก็เริ่มออกแรง...กระชาก
“ยาย... ยาย อัจไม่อยากไป ยายจ๋า” เสียงร้องโหยหวนแรกหลุดปาก ร่างเครียดเกร็งก็เปลี่ยนเป็นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มือเล็กจิกยึดฟูกบางดั่งเป็นที่มั่นป้อมปราการสุดท้าย
หล่อนไม่อยากไป...ที่นี่คือบ้านของหล่อน
แม่จ๋า แม่ทิ้งอัจไปแล้ว นี่ยายกำลังจะทิ้งอัจด้วยอีกคน
แรงน้อยหรือจะสู้ชายฉกรรจ์ทั้งหมดได้ สิ่งที่คว้าไว้จึงเป็นเพียงอากาศเวิ้งว้าง แรงกระชากทำให้เจ้าส้มเช้งกลิ้งห่างจากอก จังหวะคว้าตุ๊กตาน้อย ฟูกบางก็ถูกพรากจากอย่างสมบูรณ์ มือแกร่งราวเหล็กคว้าเด็กหญิงพาดบ่าราวกับยกนุ่น
ร่างคุ้มงอยืนนิ่ง เลือนลางในม่านน้ำตา
“รีบออกรถเร็ว” เสียงเดิมสั่งการ รถคันโตกระชากออกตามคำสั่ง ทิ้งเรือนไม้กลางสวนไว้ด้านหลัง ห่างออกไป ออกไปทุกที
อัจจิมาหลับตาแน่น พยายามข่มใจยึดเหนี่ยวกรอบมุ้งสีเหลี่ยมดั่งเป็นที่พึ่ง หากใจเจ้ากรรมไม่วายประหวัดถึงร่างสูงบิดเบี้ยวของเปรตขอส่วนบุญ หน้าตาของมันบูดเบี้ยว ตาโปนเกือบถลน เสียงของมันโหยหวนน่ากลัว
เด็กหญิงไม่เคยเห็นเปรตมาก่อน แต่คำบอกเล่าแกมขู่ของผู้ใหญ่รอบกายทำให้ภาพอสูรร้ายเด่นชัดในมโนสำนึกอย่างไม่น่าเชื่อ ท้ายสุดความอยากรู้อยากเห็นประสาเด็กมีอำนาจเหนือกว่า คนนอนหลับตาแน่นจึงเผยอเปลือกตาช้าๆ
ไอ้เหมียวเห่าอย่างนี้ ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นแน่
ไอ้เหมียวเป็นหมาพันทางตัวเมีย อายุประมาณเจ็ดปี เป็นยามเตือนภัยประจำบ้าน น้าอินเก็บตกจากข้างถนนเมื่อสองปีก่อน ยายอิ่มเห็นมันครั้งแรกถึงกับทำตาค้าง
“ลำพังสามปากสามท้อง เลือดตายังแทบกระเด็น”
ยายค้านหน้าเคร่ง แต่น้าอินก็คือน้าอิน ลองว่ามุ่งมั่นจะทำอะไรแล้ว ช้างทั้งโขลงก็ฉุดไม่อยู่
“ให้มันกินของเหลือจะกระไรหนักหนาล่ะแม่ก้อ ดีเสียอีก ฉันว่า ไอ้เหมียวมันจะได้เฝ้าบ้าน รั้วไม้ของแม่แข็งแรงนักนี่”
“เดี๋ยวมันมาลักไก่” ยายยืนกราน เสียงเกรี้ยวบางลงบ้างเมื่อเห็นอาการแข็งขืนของลูกสาวคนเล็ก
“สอนมัน ตีมัน มันก็ไม่ลัก จะได้ห้ามไอ้ด่างบ้านโน้นไม่ให้เข้ามาลักแม่ไก่ด้วย คนอะไร เลี้ยงหมาแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน ฉันบอกให้แม่ไปว่าเขาก็ไม่เห็นจะจัดการอะไรให้มันเด็ดขาดลงไป อ้างแต่ว่าเพื่อนบ้านกัน” น้าอินพุ่งไปยังปมโต้เถียงเดิมราวกับมีตาทิพย์ว่ายายอิ่มจะหยุดปากได้
นับจากวันนั้น ไอ้เหมียวก็กลายเป็นหมามีเจ้าของ ร่างหุ้มกระดูกของมันดูดีขึ้นมาบ้างเมื่อน้าอินหมั่นอาบน้ำให้ ความเจียมตนและกตัญญูของมันสะท้อนผ่านการเฝ้ายามแข็งขัน หากคนแปลกหน้าเข้าใกล้รั้วบ้านเกินควร ไอ้เหมียวจะวิ่งรี่เห่ากรรโชกจนคนในบ้านต้องออกมาดู วีรกรรมสำคัญก็คือไล่ไอ้ด่างพ้นรั้วบ้านเป็นการถาวร ทำให้ยายเลิกบ่นเรื่องเปลืองข้าวสุก และดูเหมือนไอ้เหมียวจะเข้าใจความชอบของตน จึงหมั่นเห่าหมั่นขู่คนแปลกหน้าเพื่อแจ้งบอกเจ้าของอยู่เสมอ
ไอ้เหมียวยังเห่าไม่เลิก เสียงมุ้งอีกฟากห้องขยับ อัจจิมาคิดว่าจะได้ยินเสียงบ่นพึมพำของน้าสาวหรือยาย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าอินนอนค้างที่ร้านคืนนี้
ยายอิ่มลุกจากที่นอนว่องไวและเงียบกริบเหมือนกลัวหลานสาวจะตื่น นางค่อยๆ แง้มประตูบานไม้ให้เสียงเอียดอาดเกิดน้อยที่สุด เสียงยายปรามแว่วๆ สักพัก เสียงไอ้เหมียวถึงหยุดลงได้
อัจจิมาคงจะหลับต่ออย่างวางใจถ้าไม่ได้ยินเสียงพูดคุยกันแว่วเข้ามาเสียก่อน
แปลกจริง แสงตะวันยังไม่จับขอบฟ้า ใครมาหานะ
“หลับหรือยัง”
เสียงทุ้มแปลกหูผ่านรอยแตกของผนังเรือน เด็กหญิงลืมตาโผลง ลืมกลัวผีเปรตขอส่วนบุญเสียสิ้น หล่อนควานหาเจ้าส้มเช้ง ตุ๊กตาเย็บมือเก่าแก่จนกระทั่งพบมันแทรกซุกระหว่างรอยต่อของฟูกและชายมุ้ง จึงหยิบมันขึ้นมากอด
ร่างผอมค่อยๆ มุดผ่านมุ้ง แล้วกระถดเข้าหาผนังทางต้นเสียง
“หลับไปตั้งแต่หัวค่ำแล้ว คงเพลียมากอยู่ คุณคะ เจ้าอัจยังเด็กแท้ๆ ฉันอยากจะขอ...” เสียงยายแหบเครือของยายค่อยๆ ดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าย่ำขึ้นเรือน
“มีใครอยู่อีกบ้าง” เสียงเดิมดังขึ้นอีก อัจจิมาอดนึกไม่ได้ว่ามันเป็นคำถามปนสั่งในที ความฉงนมีมากกว่าความกลัวแล้วบัดนี้ รอยแยกห่างของแผ่นไม้ซ้อนกันพอมีอยู่บ้าง น้าอินเคยอุดทิ้งไปเสียหลายแห่ง แต่ไม่หมดเสียทีเดียว อัจจิมาไล่สายตาจับแสงเพียงชั่วประเดี๋ยวก็พบช่องเหมาะตา
นี่เป็นครั้งที่สามภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือน ที่อัจจิมาพบเทอดยศ!
เทอดยศเป็นชายวัยกลางคน อายุราวสี่สิบห้าปี ผมสั้นเป็นระเบียบไม่ดำขลับหมดจดแต่แซมสีดอกเลาแถบข้างหูและขมับ รูปร่างของเขาไม่ท้วมลงพุงหน้าเกลียดหรือผอมเก้งก้างซีดเซียว ร่างค่อนข้างสูงผึ่งผายสมส่วนอยู่ในชุดลำลองเรียบร้อย คือเสื้อยืดมีปกสีอ่อนกับกางเกงผ้าสีน้ำตาลยาวเรียบกริบ ต่อมาภายหลัง อัจจิมาจึงทราบว่าการแต่งกายแบบนั้นเป็นเพราะนิสัยชอบให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอของเขาเอง
“ไม่มีใครอยู่บนเรือนนอกจากนังอัจ” หลังของยายค้อมลงจนดูราวกับว่ากำลังรายงานความเป็นไปในบ้านให้กับชายแปลกหน้า อัจจิมาพยายามนึกทบทวน โลกของเด็กหญิงบ้านนอกมีแค่บ้าน ตลาด โรงเรียน และศาลเจ้าแม่ตะเคียน อัจจิมาพบคนมากมายก็จริง แต่คนพวกนี้วนเวียนป้วนเปี้ยนจนพอคุ้นหน้าตา ครั้นความคิดไล่เลียงไปถึงยายเตย เจ้าคณะรำแก้บนประจำศาล เด็กหญิงก็เบิกตากว้าง
“ดีแล้ว” เทอดยศมองผ่านยายอิ่มมายังห้องนอนของเด็กหญิง ซึ่งเป็นห้องกั้นเป็นสัดส่วนห้องเดียวของเรือนไม้ใต้ถุนสูง แม้รู้ว่าเทอดยศมองไม่เห็นตัว แต่ประกายตาบางอย่างของเขาทำให้เด็กหญิงหลบวูบ
ผืนมุ้งสะบัดตามแรงลม อัจจิมากระชับเจ้าส้มเช้งเข้ากับอ้อมกอด
เสียงยายอิ่มดังขึ้นอีก
“คุณคะ อิฉันอยากจะขอความเมตตา นี่มันหลาน หลานของฉันคนเดียว เลี้ยงมาแต่อ้อนแต่ออก ได้โปรดอย่าทิ้งขว้างนังอัจ”
น้ำเสียงปนแหบร้องอ้อนวอน ใจดวงน้อยของอัจจิมากระตุก ร่างเล็กผวา ดวงตาไล่จับแสงเมื่อครู่ ก่อนภาพนอกชานเรือนจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แล้วหล่อนก็ได้เห็นมือเหี่ยวของยายยกขึ้นพนม ดวงตาฝ้าฟางวับวาวด้วยน้ำตาคลอหน่วยจับดวงหน้าแขกยามวิกาล ความเย็นวาบแล่นปราดตั้งแต่โคนผมถึงปลายนิ้ว
ลมด้านนอกพาลนิ่งไม่ไหวติง แต่ความรู้สึกหนาวสะท้านบังเกิดกับหล่อนมากกว่าเมื่อครู่หลายเท่า
ยายกำลังพูดเรื่องอะไรกัน!
“เราคุยกันแล้ว” เทอดยศเม้มปาก ตวัดมองร่างโอนเอนของยายอิ่มอย่างไม่ชอบใจ
“ยายยังมีลูกสาวอีกคนไม่ใช่หรือ ได้ข่าวว่าเรียนหนังสือไม่เก่งนัก เอาเงินที่ตกลงกันไปส่งเสียลูกสาว ส่วนอัจจิมาถือเป็นสิทธิขาดของฉันแล้ว ฉันให้คนเอาเงินมาให้วันก่อนแล้วนี่ ได้ครบหรือเปล่า”
“ครบอยู่จ๊ะ”
ยายก้มหน้ากลั้นสะอื้น
ยาย ยายจ๋า บอกเขาสิว่ายายจะไม่ยอมให้หลานไปอยู่กับเขา อัจของยายกินข้าวไม่เปลืองหรอก ไม่เรียนหนังสือก็ได้ ต่อไปนี้อัจจะเชื่อฟังยายทุกอย่างและจะไม่หนีร้อยมาลัยไปรำอีก
...นะจ๊ะยายจ๋า บอกเขาไปว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยายก็จะไม่ยอมยกหลานสาวคนเดียวให้….
หยาดน้ำใสร่วงหล่นตามร่องแก้ม ภาพห้องสี่เหลี่ยมคับแคบพลอยพร่าเลือน
มือผอมยกพนม ปากซีดไร้สีเลือดบริกรรมบทสวดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
‘เจ้าแม่เจ้าขา ลูกช้างกราบขอความเมตตา ช่วยดลบันดาลให้ทุกอย่างที่ลูกกำลังประสบเป็นเพียงฝันร้าย’
“เอานี่ ฉันให้เพิ่มอีกก้อน รวมกันเป็นสี่แสนบาท เป็นก้อนสุดท้ายแล้วนะ ฉันไม่ชอบอะไรยืดยาวสาวความไม่จบสิ้น หมดนี้แล้วก็แล้วกัน ยายใช้เงินก้อนนี้ส่งเสียลูกสาวคนเล็กให้จบ ส่วนอัจจิมาก็ขอให้เป็นดั่งที่ตกลง”
เด็กหญิงเอามืออุดปากเพื่อไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดขณะมองเห็นผู้เป็นยายรับเงินก้อนนั้น ใจดวงน้อยเจ็บร้าวดั่งถูกบีบ เทอดยศกวักมือเรียกใครซึ่งคงรออยู่ด้านล่าง ครู่เดียว เสียงฝีเท้าหนักอีกสองคู่ก็ดังกระทบกระดานพื้นเรือน
อัจจิมาผวาเฮือก กวาดมองไปรอบห้องคับแคบอย่างคนจับต้นชนปลายไม่ถูก เหงื่อผุดซึมตามอุ้งมือซึ่งยังกระชับเจ้าส้มเช้งไว้มั่นราวกับมันคือหลักยึดเหนี่ยวมั่นคงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ห้องน้อยไม่มีตู้ไม้แข็งแรงเหมือนโรงเรียน เสื้อผ้าทุกชิ้นพับวางไว้ในตู้โครงเหล็กง่อนแง่นหุ้มผ้าพลาสติกราคาถูกซึ่งน้าอินเพิ่งซื้อเมื่อปีก่อน สายตาเด็กหญิงแล่นไปหยุดที่หน้าต่างห้อง
จะกระโดดลงไปดีไหม ขาแข้งจะหักหรือเปล่า แล้วถ้าลงไปได้ จะหนีไปไหนเล่า
บ้านแพรวตาสิ แพรวตาอาศัยอยู่กับป้าที่เรือนแถวไม้กลางตลาด ชั้นบนมีห้องกว้างขวางพอสมควร ป้าพรแก่แล้ว ถ้าหล่อนอาสาไปขอทำงานแลกที่นอน ป้าพรคงจะไม่ใจไม้ไส้ระกำ
แต่ถ้าเทอดยศตามไปพบล่ะ ยายรับเงินเขาแล้ว คงต้องบอกเขาให้ตามไปเอาตัวอัจจิมาที่นั่นแน่
หรือจะเป็นบ้านยายเตย
ยายเตยไม่กลัวยายอิ่ม ถึงจะเกรงใจกันก็เถอะ หญิงชราอาศัยอยู่บนเรือนไม้หลังศาลเจ้าแม่คนเดียว ห้องบนเรือนนอกจากหีบเก็บเครื่องละครแล้ว ยายเตยแทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นใด แต่อัจจิมาไม่สนใจหรอก หล่อนนอนที่ไหนก็ได้ คอยอาสาบีบนวดหรือหยิบยาให้คนแก่ บางที หล่อนจะออกจากโรงเรียนเป็นนางรำเต็มเวลาเพื่อหาเงิน
แต่เทอดยศรู้จักยายเตยเหมือนกัน
ถึงอัจจิมาจะยังเล็ก แต่หล่อนพอรู้เรื่องกฎหมายอยู่บ้าง
ข้อตกลง การจ่ายเงิน
ยายขายหล่อนให้กับเทอดยศ!!!
เสียงพูดคุยด้านนอกเงียบไปแล้ว คนเดินไหล่ตกกลับฟูกเก่าตาแดงก่ำ ม่านน้ำตาเอ่อเคลือบแก้วสีนิล หูจับเสียงฝีเท้ากระทบเรือนอย่างจดจ่อ
มันใกล้เข้า...ใกล้เข้า เหงื่อกาฬผุดเต็มอุ้งมือชื้น
ไม่นาน เสียงเปิดประตูดังขึ้น ร่างน้อยสะดุ้งเฮือก มือกระชับตุ๊กตาน้อยแนบอกก่อนมือข้างนั้นจะเลื่อนไปจับขอบฟูกไว้มั่น
เสียงฝีเท้าหนักตรงคืบคลานจนประชิด มือแข็งแรงอย่างน้อยสี่มืออุ้มเด็กหญิงขึ้นจากฟูก เมื่อเห็นมือเล็กจับฟูกไว้แน่น ร่างหนาทั้งหมดก็เริ่มออกแรง...กระชาก
“ยาย... ยาย อัจไม่อยากไป ยายจ๋า” เสียงร้องโหยหวนแรกหลุดปาก ร่างเครียดเกร็งก็เปลี่ยนเป็นสั่นเทิ้มไปทั้งตัว มือเล็กจิกยึดฟูกบางดั่งเป็นที่มั่นป้อมปราการสุดท้าย
หล่อนไม่อยากไป...ที่นี่คือบ้านของหล่อน
แม่จ๋า แม่ทิ้งอัจไปแล้ว นี่ยายกำลังจะทิ้งอัจด้วยอีกคน
แรงน้อยหรือจะสู้ชายฉกรรจ์ทั้งหมดได้ สิ่งที่คว้าไว้จึงเป็นเพียงอากาศเวิ้งว้าง แรงกระชากทำให้เจ้าส้มเช้งกลิ้งห่างจากอก จังหวะคว้าตุ๊กตาน้อย ฟูกบางก็ถูกพรากจากอย่างสมบูรณ์ มือแกร่งราวเหล็กคว้าเด็กหญิงพาดบ่าราวกับยกนุ่น
ร่างคุ้มงอยืนนิ่ง เลือนลางในม่านน้ำตา
“รีบออกรถเร็ว” เสียงเดิมสั่งการ รถคันโตกระชากออกตามคำสั่ง ทิ้งเรือนไม้กลางสวนไว้ด้านหลัง ห่างออกไป ออกไปทุกที
อลินน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 มิ.ย. 2555, 21:29:47 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2555, 07:02:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 1492
บทนำ.2 >> |
อลินน์ 26 มิ.ย. 2555, 21:37:18 น.
ช่องไฟและการจัดหน้ากระดาษป่วยขนาดหนัก ขออนุญาตพักดมส้มโอมือก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาแก้ไขให้ - อลินน์ ค่ะ
ช่องไฟและการจัดหน้ากระดาษป่วยขนาดหนัก ขออนุญาตพักดมส้มโอมือก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาแก้ไขให้ - อลินน์ ค่ะ
นภาสรร 27 มิ.ย. 2555, 12:48:55 น.
แวะมาเชียร์ค่ะพี่...เรื่องสนุกน่าอ่านมาก หนูจะคอยอ่านคอยติดตามนะคะ ^_^
แวะมาเชียร์ค่ะพี่...เรื่องสนุกน่าอ่านมาก หนูจะคอยอ่านคอยติดตามนะคะ ^_^
อลินน์ 28 มิ.ย. 2555, 06:54:31 น.
ขอบคุณมากค่ะ หนูแตม พี่แวะไปอ่านของหนูมาเหมือนกัน แต่เนื่องจากเมื่อวานติดปลาชุมทั้งวัน จึงอ่านไม่จบ อีกประการหนึ่งคือ มันหลายบท รอแป๊บนะคะ จะเร่งรีบในบัดดล : )
ขอบคุณมากค่ะ หนูแตม พี่แวะไปอ่านของหนูมาเหมือนกัน แต่เนื่องจากเมื่อวานติดปลาชุมทั้งวัน จึงอ่านไม่จบ อีกประการหนึ่งคือ มันหลายบท รอแป๊บนะคะ จะเร่งรีบในบัดดล : )