ลำนำรักสายลม
และสายลม,
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล

ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า

ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)


(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
Tags: รักโรแมนติก วัยรุ่น ผู้ใหญ่

ตอน: บทนำ.2

ร่างบอบบางสะดุ้งเฮือกจากที่นอนพร้อมแรงสะอื้น

“ยาย แม่ น้าอิน...”

อัจจิมาใช้หลังมือปาดน้ำตาลวกๆ มองมืออีกข้างซึ่งยังจับขอบที่นอนไว้ ฟูกหนานุ่มพร้อมผ้านวมสีหวานมีลวดลายเป็นดอกไม้เล็กๆ กระจายไปทั่ว ใกล้กันคือโต๊ะข้างเตียงสี่เหลี่ยมสีขาวขาโค้ง แกะสลักเป็นเถาวัลย์ช่อน้อยตามริมขอบแบบเดียวกับโต๊ะเครื่องแป้งซึ่งอยู่ถัดออกไป พื้นกระดานเก่าในฝันหายวับ เหลือเพียงพรมสีชมพูอมน้ำตาลทอเต็มจากผนังสู่อีกฟากผนัง

ฝันแบบนี้อีกแล้ว

ดวงจันทร์สีซีดถูกแทนที่ด้วยแสงตะวันสีทองอำไพจับขอบฟ้าเรื่อเรือง ลำแสงทอดผ่านกรอบหน้าต่างไม้สีขาวสะอาดสะอ้าน วิวด้านนอกคือกิ่งก้านไม้ใหญ่ชูก้านเป็นระเบียบเพราะถูกตัดแต่งอยู่เสมอ สีใบเริ่มจางตามวัฏจักรแห่งฤดู อัจจิมาเคลื่อนตัวนั่งหมิ่นเหม่ฟูกนุ่มหนา เท้าแขนแนบกรอบหน้าต่างและเอาคางพาดไว้อีกชั้น

ปลายฤดูร้อนกำลังจบสิ้น อากาศเริ่มเย็นสบาย เชื้อเชิญให้ออกไปเดินเล่นหรือออกกำลังกายในสวนสาธารณะ
อัจจิมารักเซ็นทรัลปาร์ค หล่อนชอบที่นั่น ชอบวิ่งเหยาะๆ ตามทางเล็กใหญ่เพื่อมองพืชพันธุ์ไม้ใบและไม้ดอก หล่อนชอบมองผู้คนที่มาผ่อนคลายในสวนด้วยการนั่งเล่น โยนลูกบอล เล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งนั่งทอดอารมณ์หลากหลายท่ามกลางธรรมชาติห้อมล้อม

หญิงสาวหยัดตัวยืนด้วยความเกียจคร้าน ยกขาข้างหนึ่งยกพาดบนกรอบหน้าต่างซึ่งยื่นออกมาเป็นชั้นแคบๆ ระดับเหนือเอว งุ้มปลายเท้าลงแล้วเหยียดขาทั้งสองข้างให้ตึง จากนั้น ค่อยโน้มร่างแนบสนิทลงกับขาข้างสูง ยืดแขนกลมกลึงทั้งสองจับปลายเท้าไว้หลวมๆ เมื่อรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเริ่มตื่น หญิงสาวก็กระทำแบบเดียวกันกับอีกข้าง ก่อนจะผละจากกรอบหน้าต่าง ยืนเต็มเท้า แล้วจับส้นเท้าข้างขวายกสูงจนขาทั้งสองข้างทำมุมเป็นเส้นตรง

การอบอุ่นร่างกายยังเกิดขึ้นอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนเจ้าของห้องจะวิ่งเหยาะไปที่ห้องน้ำ ยกตัวขึ้นบนเครื่องชั่งน้ำหนัก

“เก้าสิบห้าปอนด์ ฮึ เพิ่มขึ้นเพราะพายุแท้ๆ เชียว” หล่อนทำปากยื่นใส่จอตัวเลข รีบจัดการธุระส่วนตัวด้วยความว่องไว ยี่สิบนาทีต่อมา อัจจิมาก็อยู่ในชุดกางเกงเสื้อยืดเข้าตัวทะมัดทะแมงพร้อมกระเป๋าใบย่อม ลงลิฟต์มาถึงหน้าอพาร์ทเม้นท์ และพบว่า มีคนกำลังยืนรออยู่แล้ว

“นั่งรถเมล์กันนะ เบื่อรถไฟใต้ดิน ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน” พายุเสนอ “เป็นอะไรไปหรือเปล่า สีหน้ากังวล”

“เปล่านี่”

“งั้นแปลว่าเป็น” ชายหนุ่มตีสีหน้ารู้ทัน เขาก้าวขึ้นรถบัสเป็นคนแรก แล้วฉุกมือหญิงสาวตามขึ้นไป เมื่อได้ที่นั่ง พายุก็สานบทสนทนาที่ค้างไว้

“เลิกกังวลเหอะน่า อัจทำได้อยู่แล้ว เชื่อเราสิ”

“บอก-ว่า-ไม่-ได้-กัง-วล” อัจจิมาแยกเขี้ยว รถแล่นข้ามสะพานใหญ่ มองเห็นเทพีเสรีภาพยืนสง่ากลางแม่น้ำฮัตสันสายกว้าง

“ปิดเทอมหน้าหนาว พายุจะกลับบ้านไหม

“ไม่” พายุยักไหล่ “อยู่ที่นี่ดีกว่า มีอะไรจะต้องทำเยอะแยะ อย่างน้อยต้องอยู่เป็นเพื่อนอัจตลอดซีซั่นฤดูหนาว เริ่มอาชีพทั้งที เกิดประหม่าเป็นลมเป็นแล้งไปจะว่าไง”

“เราไม่เป็นงั้นแล้วน่า โอ๊ะ”

ด้านขวามือของทั้งคู่คือหอแสดงศิลปะดนตรีและนาฏศิลป์ที่มีชื่อแห่งหนึ่งของโลก...ลินคอห์นเซ็นเตอร์ อัจจิมามองตึกใหญ่ทรงเหลี่ยมสีขาวซึ่งอยู่ด้านหลังสุดด้วยประกายตาจัดจ้า

“ไม่นานหรอก” เสียงพายุลอยมาตามลม

“หือ”

“เราบอกว่า ไม่นานหรอกที่อัจจะได้เข้าไปในเดวิด คอร์ช เธียร์เตอร์อย่างคนแสดง ไม่ใช่ผู้ชม”

“ฝันไปแล้ว” อัจจิมาประสานตาจริงจังของเพื่อนชายด้วยความขบขัน “ฉันไม่มีปัญญาหรอก เท่าที่ทำได้ขนาดนี้สายตัวแทบขาดเป็นเสี่ยง เธอรู้หรือเปล่า พวกนักแสดงระบำปลายเท้าของคณะนิวยอร์คซิตี้บัลเล่ต์ต้องฝึกหนักมาก ส่วนใหญ่เรียนก่อนฉันทั้งนั้น”

“ไม่ลองไม่รู้”

อัจจิมาย่นจมูก ชี้มือไปอีกทิศเป็นการตัดบท “มาเมื่อไหร่ดี อาทิตย์นี้ไหม”

“ที่ไหน อ้อ เซ็นทรัลพาร์ค ชอบเสียจริงนะ”

“อื้มม” หญิงสาวยิ้มกว้าง “เราชอบ ต้นไม้เยอะดี ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปอยู่บ้านเก่า”

“บ้านคุณเทอดน่ะหรือ” พายุสงสัย แต่คำตอบที่ได้รับก็ไม่ช่วยให้ความสงสัยคลายลง

“เปล่า บ้านเก่า เก่ากว่านั้นน่ะ บ้านคุณเทอดไม่ใช่บ้านเรา แค่อาศัยเขาอยู่เท่านั้น เอาล่ะ ถึงแล้ว ถ้าวันนี้เหลว อย่าว่าแต่เซ็นทรัลพาร์คเลย มีหวังได้กลับเมืองไทยไปเสิร์ฟอาหารเหมือนเดิม”

ทั้งสองลงจากรถประจำทางด้วยกริยากระฉับกระเฉง พายุผิวปากเป็นทำนองเพลงฮานาเบอร่า ซึ่งเป็นหนึ่งในเพลงประกอบอุปรากรโด่งดังเรื่องคาเมน ชายหนุ่มเร่งทำนองกระชั้น ไม่ทอดเนิ่นเหมือนเพลงต้นฉบับ ฟังดูราวกับทั้งคู่คือมาธอร์ดอร์ กำลังก้าวสู่สังเวียนสู้วัวกระทิงดุ

“สร้างขวัญกำลังใจหรือบ่อนทำลายยะ” อัจจิมาแยกเขี้ยว ลำพังคนเดียวอกสั่นขวัญแขวนไว้กับเส้นด้ายบางเจียนขาดอยู่แล้ว ยังมีคนคอยขย่มเส้นด้ายจนขวัญแทบหล่นละลิ่ว มันน่าตีไหมล่ะ

“ก็เห็นเก่ง” พายุทำเสียงหงุบหงิบในลำคอ ก่อนเปลี่ยนท่วงทำนองแต่โดยดี เสียงเพลงที่ออกมาทอดหวาน

“ซาลูเดอมอร์” อัจจิมาพึมพำ

“ใช่ เพลงโปรดของอัจ”

“ใครบอก”

อัจจิมาเร่งฝีเท้า อาคารสีน้ำตาลริมน้ำโดดเด่นอยู่สุดปลายทาง

“ไม่มีใครบอกหรอก สังเกตุเอา ฟังเพลงนี้ทีไรอัจจะทำหน้าแบบว่า...อืมมม”

“แบบว่าไรยะ”

“แบบว่าโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง มีแต่อัจกับเสียงเพลงเท่านั้นแหละ”

“น้ำเน่า!!” อัจจิมาจีบปาก พายุหยุดฮัมเพลง เอามะเหงกเคาะลงศีรษะคนช่างว่าเบาๆ

“หะหนอย อย่าให้ไอ้ทอมกับเพื่อนๆ ได้ยินเชียวนะ มาหาว่าเราน้ำเน่า เสียลุคหมด จิ๊กโก๋ก็มีหัวจายนะคร๊าบบบ เฮ้อ ไม่มีใครเข้าใจเราเลยแม้แต่อัจ มีแต่อาจารย์พระพายเท่านั้นแหละที่เข้าใจวัยรุ่นโคตรๆ ถ้าป่านนี้อยู่ด้วย คงดีใจกับเราทั้งสองคนเนอะ ถึงแล้วล่ะ เข้าไปแสดงกฤกษดาอภินิหารได้แล้ว มัวแต่ยืนโงนเงนทำหน้าซีดเป็นลม เดี๋ยวได้กลับไปเสิร์ฟอาหารจริงๆ หรอก”

พายุตามมาส่งถึงหน้าห้องเปลี่ยนเสื้อ เขารวบมือหล่อน จ้องลึกที่ดวงตาประหวั่น

“อัจทำได้ เรารู้...รู้เสมอ คืนนี้เราไม่ว่าง แต่พรุ่งนี้ เราจะมารับอัจที่นี่เพื่อบอกอะไรบางอย่าง”

อัจจิมาช้อนตาตอบคนตรงหน้า รู้สึกว่าแก้มตนร้อนผะผ่าว หล่อนค่อยๆ ดึงมือออก มือเป็นอิสระของพายุจึงเคลื่อนมาที่แก้มนวล ไล้หลังมือกับเนื้อเนียนแผ่วเบา

เสียงผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ ไม่มีใครสนใจทั้งสอง

อัจจิมาค่อยๆ เคลื่อนตัวห่าง รู้สึกว่าตัวเองหน้าร้อนจัด

“อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆ จัง” พายุหัวเราะเก้อๆ คางครึ้มหนวดเริ่มเปลี่ยนสี

“เราไปก่อนนะ แล้วอย่าลืม อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันถ้าทำดีที่สุดแล้ว”

พายุจากไปแล้ว ทิ้งความรู้สึกประหลาดไว้ตรงนั้น อัจจิมากัดริมฝีปาก มองตามหลังชายหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยน





อลินน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มิ.ย. 2555, 23:01:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มิ.ย. 2555, 23:03:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1515





<< บทนำ.1   บทนำ.3 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account