กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก

ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก

ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 10 ต้นเมเปิ้ลกับกำแพงต้นสน

พ้นจากแนวป่าสนภูมิทัศน์ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นลานหิมะขาวโพลน มีบางอย่างเด่นสะดุดตา จนทำให้หญิงสาวชะงักเท้าหยุดเดินกะทันหัน เมื่อคนที่เขาจับมือไม่ยอมขยับร่างสูงจำต้องหยุดเดินลงเช่นกัน แล้วหันกลับไปมองเห็นปาริสากำลังทอดสายตาจับนิ่งกับอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มหันไปยังทิศทางที่หล่อนกำลังสนใจพลางถาม


“ริสา กำลังมองอะไร?”

“ดูตรงนั้นสิคะ”
ร่างบางหันไปตอบพลางชี้นิ้วไปยังทางฝั่งขวาเยื้องไปไม่ไกลมากนัก ถัดจากแนวขอบป่าสนมีบางอย่างดูโดดเด่น

“ต้นเมเปิ้ล ยังมีใบสีเหลืองส้มอมแดงแทบไม่มีร่วง ต้นเล็กขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะทนอยู่ในสภาพอากาศแบบนี้ได้”

ปาริสาถอนหายใจก่อนจะพูดน้ำเสียงหดหู่หน้าเศร้าเล็กน้อย “น่าสงสารมันจังเลย ดูสิยืนโดดเดี่ยวอยู่ต้นเดียวไม่มีใครเป็นเพื่อน”

ร่างสูงยกริมฝีปากยิ้มกับท่าทางมองตาละห้อย ราวกับอยากจะเดินไปยืนอยู่เป็นเพื่อนคลายความเหงา ให้กับเจ้าต้นเมเปิ้ลขนาดเล็กตรงนั้น ปารีสแอบคิดแบบติดตลก หากเขาไม่จับมือไว้สงสัยเจ้าหล่อนคงวิ่งถลาเข้าไปหาเรียบร้อยแล้ว


“ก่อนจะสงสารมัน สงสารตัวเองก่อนดีกว่า” เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะ คิ้วเข้มเลิกสูงก่อนจะพูด “น้องริสาดูเป็นผู้หญิงจิตใจอ่อนไหวง่ายแบบนี้เสมอเหรอครับ”


คนอ่อนไหวหันไปมองร่างสูงพร้อมกับหยดน้ำตาไหลลงสองข้างแก้ม ปารีสถึงกับแสดงสีหน้าตกใจด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเห็นปาริสาร้องไห้ก็ตาม

“ริสาเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม พี่พูดอะไรผิดไปจนทำให้เธอต้องเสียใจ”
เขาถามน้ำเสียงรัวเร็วด้วยความข้องใจ มองหญิงสาวส่ายหน้าพลายยกมือเรียวปาดน้ำตาทิ้ง พร้อมๆ กับมีหยดใหม่ไหลแทนที่

“พี่พูดถูกแล้วค่ะ ตอนนี้ริสากำลังสงสารตัวเอง” ร่างบางพูดเสียงปนสะอื้น “เห็นต้นเมเปิ้ลแล้วทำให้นึกถึงตัวเอง ริสาจะไม่ร้องไห้แล้วค่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว”

หล่อนบอกเขารีบเช็ดน้ำตา สูดลมหายใจเข้าปอดลึกเพื่อเรียกสติตัวเอง ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไปง่ายๆ

“ทำไมต้องสงสารตัวเอง”

“ไม่มีอะไรค่ะ” หล่อนรีบปฏิเสธ “ริสาแค่เป็นผู้หญิงอ่อนไหวง่ายอย่างที่พี่บอกเท่านั้นเองค่ะ”

เสร็จสิ้นคำตอบแบบขอผ่านไปที หญิงสาวจึงก้มหน้าเดินจากตรงนั้น หากทว่าขยับไปได้เพียงแค่สองช่วงแขนระหว่างเขากับหล่อน เพราะคนตัวสูงยังคงหยุดอยู่ตรงจุดเดิม ลำแขนของคนทั้งคู่เหยียดยาวจากการที่เขาไม่ยอมปล่อยมือแถมกระชับแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมเสียอีก หนุ่มสาวยังคงอยู่ในลักษณะท่าทางแบบนั้นเพราะไม่มีใครคิดจะขยับเข้าไปหาอีกฝ่าย ร่างบางยืนมองสีหน้าเคร่งเครียด ริมฝีปากได้รูปของเขาเม้มสนิทเป็นแนวเส้นตรงเหมือนเจ้าตัวกำลังพยายามข่มกลั้นอารมณ์ความไม่พอใจอะไรบางอย่าง ดวงตาที่เคยมีแววหวานบัดนี้มีประกายคมดุสอดแทรกให้เห็น


“มันต้องมีอะไรสิ” เขาเสียงเข้ม “ไม่ใช่ครั้งแรกนะที่พี่เห็นเธอร้องไห้ คนเราจะมีน้ำตาได้ สาเหตุเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น คือกำลังมีความสุขปลาบปลื้มดีใจมากจนน้ำตาไหล กับกำลังเสียใจเท่านั้น” เขาเว้นจังหวะไปนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวดักคอ

“แล้วก็ไม่ต้องอ้างว่าเพราะฝุ่นกำลังเข้าตาด้วย สำหรับเธอมันฟังไม่ขึ้น”

ปาริสาเม้มเรียวปากแน่น มันกำลังสั่นระริกด้วยอารมณ์หลากหลาย กำลังเศร้าเสียใจกับชีวิตตัวเอง แถมยังต้องมารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังถูกมดกัดแสบๆ คันๆ พิลึก เมื่อโดนเขาดุเสียงเข้ม

“แล้วริสาควรอ้างอะไรดีคะ พี่ถึงจะยอมเชื่อ”
หล่อนขอคำแนะนำเหมือนจะประชดตัวเองและประชดเขาไปพร้อมๆ กัน ร่างสูงสูดหายใจเข้าปอดลึกเพื่อรวบรวมอารมณ์ให้สงบนิ่ง ก่อนจะบอกเสียงเรียบ


“ไม่ต้องอ้างอะไรทั้งนั้น แค่พูดความจริง”
หญิงสาวหลุบเปลือกตามองปลายเท้าตัวเอง อยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าควรบอกเขาไปตามตรง หรือควรยกข้ออ้างอื่นแทน


“ริสา” เขาเรียกเสียงเบา หล่อนรีบเงยหน้าขึ้นมอง

“คะ”

“ใช่ มองหน้าพี่ไว้แบบนี้แหละ ห้ามหลบตาเด็ดขาด” ร่างสูงออกคำสั่งเสียงจริงจัง “ระหว่างที่ริสากำลังตัดสินใจ มองหน้าพี่ แล้วก็ตั้งใจฟังให้ดี ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ทำเพียงแค่พยักหน้ากับส่ายหน้าเท่านั้น”

ชายหนุ่มหยุดพูดไว้แค่นั้นเหมือนรออะไรบางอย่าง ปาริสาเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัวจึงรีบพยักหน้าหงึกๆ ทันที จากนั้นเหมือนเขาจะเริ่มเล่นเกมยี่สิบคำถามกับหล่อน เพียงแค่ครั้งนี้ต่างกันตรงที่อีกฝ่ายถาม คนตรงข้ามทำหน้าที่ตอบอย่างเดียว แถมห้ามพูดอีกต่างหาก

“พี่เป็นคนรักของเธอ ไม่ใช่คนอื่น”
ร่างบางพยักหน้า เขาหรี่ตามองเหมือนมีรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยภายใต้สีหน้าเรียบขรึม

“พี่เป็นคนที่เธอไว้ใจ และสามารถปรึกษาหรือระบายความในใจได้”
ปฏิกิริยาหญิงสาวยังคงเหมือนเดิม แต่เจ้าตัวกลับมีวงเล็บไว้ในใจโดยไม่บอกเขา ‘ตอนนี้แค่บางเรื่องเท่านั้น’


“ทั้งเมื่อวานและวันนี้ ได้บอกริสาว่าพี่รักเธอใช่ไหม” หล่อนรีบพยักหน้า

“ตอนนี้น้องริสาได้คำตอบของตัวเองแล้ว ถ้าต้องการจะพูดให้พี่ได้รับรู้ถึงปัญหา พี่ก็จะไม่ยอมปล่อยมือจากริสาและจะคอยช่วยเหลือเป็นหลักพักพิงยามที่รู้สึกอ่อนล้าหมดกำลัง แต่ถ้าหากพี่ไม่สำคัญพอ ที่เธอควรจะพูดเรื่องของตัวเองให้ฟัง ก็จะไม่บังคับ แล้วพี่ก็จะยอมปล่อยมือให้ริสาเดินไปข้างหน้าโดยไม่ดึงรั้งไว้อีกแล้ว”


คิ้วเรียวบางของหญิงสาวขมวดมุ่น อย่างครุ่นคิดกับคำพูดที่ได้ยิน เหมือนเขากำลังต้องการบอกอะไรโดยมีนัยยะบางอย่าง หมายความว่าหากหล่อนยังคงปิดบังไม่บอกในสิ่งที่เขาสงสัยและอยากรู้ นั่นคือตนไม่ได้เห็นว่าเขามีความสำคัญอะไรเลยแม้แต่น้อย คำว่า ‘ปล่อยมือ...ไม่ดึงรั้งไว้’ หรือผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดจะเลิกสนใจผู้หญิงที่ยืนหัวโด่คนนี้อีกแล้ว การบอกให้เดินไปข้างหน้า คือการปล่อยหล่อนให้จากไปเพื่อมีชีวิตอิสระเป็นของตัวเองอย่างนั่นใช่ไหม? ปาริสาได้แต่ย้ำถามความคิดของตัวเองอยู่ในใจกลับไปกลับมาหลายตลบ

ใบหน้าเรียวเล็กเริ่มซีดขาวราวกระดาษ เหมือนขาดเลือดจากหัวใจไปล่อเลี้ยงกะทันหัน...ไม่นะ หล่อนไม่อยากถูกเขาทอดทิ้งให้อยู่เพียงลำพังคนเดียว เหมือนเมเปิ้ลที่ยืนต้นโดดเดี่ยวท่ามกลางความเหน็บหนาวเช่นนี้ ความเปราะบางที่ผ่านการสูญเสียมาแล้ว หากปล่อยให้เขาเดินออกไปจากชีวิต หล่อนคงต้องล้มทั้งยืน...ผู้ชายคนนี้ช่างเป็นนักจิตวิทยาที่ร้ายกาจนัก

“พี่ควรปล่อยมือ หรือคว้าตัวเธอมากอดดีนะ”

ร่างสูงเปรยขึ้นท่ามกลางความหวาดหวั่นของหล่อน หญิงสาวใจหายวาบเมื่อรู้สึกว่ามือเขาที่กำกระชับแน่น ค่อยๆ คลายลงเล็กน้อย ปารีสช่างเป็นผู้ชายที่น่ากลัวและเกรงขาม และเก่งกาจนักในเรื่องกดดัดคนอื่นไม่ให้มีทางเลือกนอกจากต้องคล้อยตามเท่านั้น

“ทำไมถึงเงียบไม่ยอมตอบพี่ล่ะ”
ปาริสาชักหงุดหงิดบ้างที่เขาคอยเอาแต่ต้อนเธอให้จนมุม ด้วยคำถามอย่างต่อเนื่อง รีบตอบเสียงกระเง้ากระงอดกลับไป

“ก็พี่เป็นคนบอกริสาเองว่าไม่ให้พูดอะไรทั้งนั้น”

“น่ารักจริง ทำตามคำสั่งพี่อย่างเคร่งครัด”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ร่างบางเห็นแล้วจึงโต้ตอบไปบ้าง เพียงแค่เสียงที่ก้องอยู่ในสมองตัวเองเท่านั้นโดยเขาหมดสิทธิ์ได้ยิน ‘พี่ก็ช่างน่านัก...น่าเอาหิมะเย็นๆ อุดให้เต็มปาก จะได้หยุดวาจาที่ทำเอาคนฟังแทบหูร้อน’

“ถ้าอย่างนั้น หากต้องการให้พี่ปล่อยมือก็พยักหน้า” ร่างสูงกล่าวเสียงเนิบๆ เป็นจังหวะ “แต่ถ้าส่ายหน้าคำตอบคือตรงกันข้าม”

ตาบ้า! คือเสียงที่หล่อนตะโกนก้องในโสตประสาท ก่อนจะส่ายหน้าพลางส่งสายตาค้อน เพียงแค่นั้นหญิงสาวจึงโดนกระชากดึงเข้าไปหา แล้วสวมกอดไว้ในวงแขนแข็งแรงแน่น ร่างบางปล่อยโฮท่ามกลางคำพูดระบายต่อว่าต่อขานเขาเป็นชุด

“คนบ้า คนร้ายกาจ คนไม่มีหัวใจ ทำไมต้องทำกับริสาแบบนี้ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาแบบนั้นได้ยังไงกัน...ปล่อยมือ จะไม่ดึงรั้งไว้ ดูจริงจังเกินกว่าที่ริสาจะคิดว่าพี่แค่พูดขู่เล่นไปเท่านั้น คิดจะทิ้งกัน ก็ทิ้งกันง่ายๆ เพียงเรื่องแค่นี้เองหรือไง ไหนว่าจะรักตลอดไปไงละ คนโกหก”

“พูดจบแล้วใช่ไหมครับ” เขาถาม หล่อนพยักหน้าหงึกๆ ชิดแผงอกกว้างและอบอุ่นของชายหนุ่ม “เลิกบ่อน้ำตาตื่นได้แล้ว เดี๋ยวน้ำก็แห้งหมดตัวหรอก”

เขาไม่วายกล่าวล้อเลียนหล่อน ก่อนจะจับไหล่กลมกลึงทั้งสองข้างของหล่อนดันออก แล้วก้มลงจุมพิตตรงเปลือกตาทั้งสองข้าง

“พี่ขอโทษ ที่ต้องทำให้ริสาต้องร้องไห้”

ร่างสูงจับประคองใบหน้าหญิงสาวแล้วใช้ปลายนิ้วโป้งเช็ดคราบน้ำตา พลางคิดแม้กระทั่งตอนร้องไห้หล่อนก็ยังคงดูน่ารักน่าทะนุถนอมและยังน่าแกล้งเล่นเหมือนเดิม เขาเคยเห็นผู้หญิงบางคนที่ชอบเขียนขอบตากรีดอายไรเนอร์เวลาร้องไห้มันเห็นเป็นน้ำสีดำจางๆ ไหลเป็นทางสองข้างแก้ม คงเพราะปาริสาแทบไม่ตกแต่งสีสันอะไรลงไปบนผิว ทำเพียงแค่ทาครีมบำรุงแล้วทาแป้ง ริมฝีปากบางทว่าอวบอิ่มกำลังดีแลดูชมพูระเรื่อชุ่มฉ่ำเพียงแค่ทาลิปกรอสเท่านั้น


“คนบ้า คนร้ายกาจคนนี้ ทำไมจะไม่มีหัวใจ” เขาพูดให้หล่อนฟังน้ำเสียงปลอบประโลม “เพราะตอนที่พูดไปแบบนั้น ไม่รู้หรือไงว่าหัวใจพี่กำลังเต้นรัวระทึก”

ปารีสหยุดพูดก่อนจะคว้าร่างบางมากอดไว้อีกครั้งประคองศีรษะหล่อนให้แนบตรงตำแหน่งอกด้านซ้าย
“ตึกตัก ตึกตัก ได้ยินไหม” เขาถามโดยไม่รอคำตอบ “นั่นแหละคือเสียงหัวใจมันกำลังบอกว่า รักนะ รักนะ”

ปาริสากะพริบตาปริบๆ รู้สึกร้อนซู่ซ่า โชคดีที่เขากอดเธอไว้แบบนี้ จึงไม่เห็นว่าหล่อนกำลังหน้าแดงจัดขนาดไหน และรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้นไปอีกกับคำพูดต่อมา

“และตอนนั้นคนที่มีหัวใจอย่างพี่ เกรงว่าริสาจะทำในสิ่งที่พี่กำลังนึกกลัว กลัวว่าเธอจะยอมปล่อยมือพี่ไปจริงๆ”

“จริงเหรอคะ” หญิงสาวพูดงึมงำอยู่กับแผงอกกว้าง

“จริงสิ ทำไมจะไม่จริง ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนกำลังกำมีดอยู่ในมือเป็นเดิมพัน หากริสาชนะ พี่คงต้องทนเจ็บปวดเฉือนหัวใจทิ้งให้เธอเอามันไปด้วย“

เวลาเขาสนทนาแต่ละคำแต่ละประโยค ปาริสารู้สึกว่าหล่อนชอบและประทับใจเสมอ ราวกับเขากำลังร่ายเวทมนต์สะกด ไม่ใช่กำลังพูดให้ฟัง

“ถามจริง ตอนนี้พี่กำลังศึกษาทางด้านจิตวิทยา หรือปรัชญาอะไรทำนองนี้อยู่ใช่ไหมคะ”
หล่อนหลุดปากถามเหมือนคนละเมอ ปารีสปล่อยเสียงหัวเราะ จนหญิงสาวรู้สึกได้ถึงกล้ามอกที่ขยับกระเพื่อมตามจังหวะ

“เปล่า พี่เรียนทางด้านบริหารธุรกิจ” เขาตอบตามความจริง “อาจจะซึมซับมาจากคุณแม่ท่านเป็นแพทย์หญิงผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ส่วนคุณพ่อของพี่ท่านชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักปรัชญาให้ฟังเสมอตอนเป็นเด็ก น่าแปลกนักมันฝังใจจำจนกระทั่งวันนี้ไม่เคยลืมทุกคำที่ท่านเคยบอกแง่คิดหลายอย่างในการใช้ชีวิต”

เป็นอีกครั้งที่ปาริสาคิดว่าได้รู้จักเขามากขึ้น ดูเหมือนปารีสจะเป็นฝ่ายเปิดเผยความรู้สึก และเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองให้หล่อนฟังเสียมากกว่า ซึ่งตรงข้ามกับตนที่ยังคงเก็บงำเรื่องของตัวเองไว้ในใจ ไม่ยอมบอกคนที่กำลังกอดให้ความอบอุ่น หญิงสาวคิดมาถึงตรงนี้ จึงเริ่มรู้สึกผิด

“เขมิกาบอกว่าพี่ก็เป็นคนไทย ถึงไม่บอกแต่หน้าตาแบบแนวผสม แถมพูดไทยชัดขนาดนี้ ก็ต้องสงสัยอยู่ดี ตกลงพี่เป็นลูกครึ่งอะไรคะ”

เมื่อจบสิ้นคำถาม ร่างบางกลับรู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม พลางตำหนิตัวเองขนาดหล่อนยังอยากรู้เรื่องของเขา แล้วทำไมถึงไม่เข้าใจว่าปารีสเองก็คงต้องการอยากรู้เรื่องราวของหญิงคนรักบ้าง หญิงสาวน้ำตาซึมเล็กน้อยระหว่างฟังคำตอบของเขา ทุกครั้งที่ถามเขามีคำตอบให้หล่อนเสมอ

“แม่พี่เป็นคนไทย ส่วนคุณพ่อเป็นชาวแคนาดา ก็เลยเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทยแคนาดา แต่ถ้าให้สืบสาวความยาวบรรพบุรุษมากกว่านี้ น่าจะเรียกว่าลูกเสี้ยวมากกว่า เพราะคุณปู่เป็นลูกครึ่งฝรั่งเศสกับอังกฤษ คุณย่าเป็นลูกครึ่งแคนาดากับอเมริกัน อยากเอาแบบเชิงลึกกว่านี้อีกไหมครับ พี่จะได้อธิบายต่อ”

“มะ...ไม่ต้องแล้วค่ะ”

แค่นี้เธอก็รู้สึกละอายใจตัวเองจะแย่อยู่แล้ว ที่ทราบความเป็นมาของเขาเยอะขนาดนี้ หล่อนจึงถามเขาเสียงอ่อยๆ กลับไป

“แล้วพี่มีอะไรจะถามริสาบ้างคะ” เขาเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะตอบ

“ถ้าริสายังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้ พี่ก็ไม่มีอะไรจะถาม ไว้พร้อมเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้พี่ฟังแล้วกัน”
หล่อนผงกใบหน้าขึ้นจากการขลุกอยู่กับแผงอกกว้างเงยมองเขา รีบพูดลิ้นแทบพันด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ริสาพร้อมสำหรับพี่แล้วค่ะ”

ร่างสูงก้มลงมองใบหน้าแดงระเรื่อที่กำลังแหงนสบตาเขาอยู่ แทบไม่กะพริบขนตางอนยาว แล้วหัวเราะหึๆ ในลำคอ ริมฝีปากมีรอยยิ้มพราย แววตาระยับเหมือนมีเลศนัยบางอย่าง ปาริสาหรี่ตามอง

“พี่กำลังคิดทะลึ่งกับริสาอีกแล้วละสิ”
หล่อนพูดขึ้นเมื่อนึกได้ พร้อมมีรอยซับสีแดงบนพวงแก้มเด่นชัดมากขึ้น เขายักไหล่

“คิดไปก็เท่านั้น สถานที่ไม่เอื้ออำนวยความสะดวก”
ชายหนุ่มบอกหน้าตาเฉย หล่อนจึงอดไม่ได้ที่จะตีต้นแขนที่มีกล้ามเนื้อแน่นไปหนึ่งป๊าบ ทว่าแรงแค่ราวกับแมวข่วนกำแพงหินคงไม่ทำให้เขาสะเทือน หญิงสาวคลายวงแขนจากรอบเอวของชายหนุ่ม แล้วผละออกมายืนค้อนตาปะหลับปะเหลือก


“โอเค โอเค พี่ไม่แกล้งพูดหยอกน้องริสาแล้ว” เขาบอกเว้นจังหวะไว้นิดหนึ่ง ก่อนจะทิ้งท้ายด้วย “แต่แค่ตอนนี้นะ”

ปาริสาหลุดยิ้มแล้วหัวเราะขลุกขลักในลำคอแผ่วเบา

“ตอนนี้เราทั้งคู่ คงจะอารมณ์ดีทั้งสองฝ่ายแล้ว ตกลงน้องริสาจะบอกพี่ตอนนี้เลยใช่ไหมครับ ว่าทำไมถึงพูดว่ารู้สึกสงสารตัวเอง เมื่อเห็นต้นเมเปิ้ลตรงนั้น” หญิงสาวพยักหน้ารับ

“ค่ะ ริสาจะบอกถึงความรู้สึกตอนนั้นให้ฟังค่ะ”
หล่อนเบือนหน้าหันไปมองเมเบิ้ลที่ยืนต้นโดดเดี่ยวเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหันมาพูดกับปารีส
“พอเห็นแล้ว ทำให้นึกสงสารที่มันอยู่เพียงลำพัง เหมือนกับริสาตอนนี้ จนต้องรู้สึกสงสารตัวเองไปด้วย ก่อนหน้านั้นพี่คงทราบแล้วว่าคุณแม่ริสาท่านเสียชีวิตแล้ว”
ร่างสูงพยักพเยิดหน้ารับ โดยไม่พูดอะไรขัดจังหวะ ยืนกอดอกตั้งใจฟังหญิงคนรักเล่าทุกอย่างให้ฟัง
“แต่ไม่นานมานี้คุณพ่อท่านเพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ริสาจึงรู้สึกว่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใคร”

ร่างสูงเมื่อได้ฟังเสียงเศร้าๆ ของหญิงสาวก็พลอยรู้สึกสลดใจไปด้วย มิน่าวันก่อนที่เห็นเจ้าหล่อนแอบร้องไห้ขณะนั่งอยู่ในรถระหว่างการเดินทาง ตอนนั้นคงกำลังคิดถึงบิดาจนน้ำตาไหล ชายหนุ่มเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวหลายอย่างด้วยกัน ก่อนจะถาม

“ริสาทราบข่าวในวันที่พี่ไปเจอเธอสลบอยู่กลางพายุหิมะหลายวันก่อนใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ วันนั้นญาติทางฝ่ายคุณแม่เดินทางมาบอกข่าวด้วยตัวเอง ทำให้ริสาทั้งตกใจ และเสียใจอะไรหลายอย่าง เลยวิ่งหนีออกมาจากที่นั่น” ร่างบางถอนหายใจยาว ก่อนจะพึมพำเหมือนจะพูดกับตัวเองมากกว่า “กลับไปญาติก็ยังรอไม่ยอมกลับ”

คิ้วเข้มของชายหนุ่มเลิกสูงอย่างสงสัย

“ทำไมถึงบอกว่าตัวคนเดียวไม่มีใคร ทั้งที่ก็มีญาติทางฝ่ายคุณแม่”

“ท่านมาหาหลังจากทำพิธีเผาศพคุณพ่อไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ยอมแจ้งริสา จุดประสงค์ก็แค่มาให้ริสาเซ็นยกทรัพย์สินทุกอย่างคืนตระกูลของคุณแม่ อ้างว่าเป็นความประสงค์ของคุณพ่อเคยพูดไว้ ว่าจะยกทุกอย่างคืน คุณพ่อท่านเป็นแค่ผู้ชายฐานะปานกลาง เป็นนักแข่งรถ แต่ได้มาแต่งงานกับลูกสาวคนมีฐานะ”

“แล้วได้เซ็นยินยอมให้เขาไปไหม” ปาริสาพยักหน้า คงฟังถึงกับถอนหายใจเฮือก

“ทำไมถึงทำแบบนั้น ในเมื่อริสาก็เป็นทายาทถูกต้องตามกฎหมาย”

“ริสาแค่ทนรับอะไรไม่ไหวแค่นั้น และตัดความรำคาญ ตอนนี้มีญาติก็เหมือนไม่มี เมื่อเขาบอกชัดเจนว่าห้ามติดต่อกันอีก”

“ญาติของเธอเนี่ยมันอะไรกัน ใจดำผิดมนุษย์แล้ว”

เขาสบถออกมาอย่างเหลืออด มองดวงตาแดงก่ำ หยาดน้ำเริ่มเออคลอเต็มหน่วยลูกตากลมโตสองข้าง เจ้าหล่อนกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว ปารีสรีบขยับเข้าไปโอบหล่อนไว้ในวงแขนก่อนจะคลายออก แล้วประคองพาเดินไปยังที่หมายตาไว้ ไม่ต้องบอกหญิงสาวก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายของเขาคือที่ไหน ทิศทางเบื้องหน้าใกล้เข้าไปเรื่อยๆ คือเมเปิ้ลสีสวยที่ยืนต้นตระหง่านเพียงลำพัง ปารีสจับมือของหญิงสาวหยุดยืนอยู่ตรงนั้น พอมายืนอยู่ระยะประชิดทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่ต้นขนาดเล็กอย่างที่คิด เพราะมีความสูงพ้นระดับศีรษะของปารีสขึ้นไปเสียอีก ประมาณเกือบเท่าครึ่งตัว

“ริสาไม่สงสัยบ้างเหรอว่าทำไมมันถึงอยู่รอดท่ามกลางพายุ” เขาหันมาถาม

“เปล่าคะไม่ได้คิด แต่ก็แอบแปลกใจเหมือนกัน”

“ก็เพราะมันไม่ได้อยู่เพียงลำพังไงครับ”
เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ก็เห็นชัดอยู่ว่ามันมีเพียงต้นเดียว ส่วนต้นอื่นอาจจะโดนโค่นหักปลิวหายไปกับสายลมพัดแรง หรือไม่อาจหักจมอยู่ภายใต้กองหิมะหนาหลายฟุต


“ยังไงคะ ที่ว่ามันไม่ได้อยู่เพียงลำพัง” หล่อนถาม

“มันคงเป็นเพียงต้นเมเปิ้ลต้นเดียวที่อยู่ชิดกับแนวขอบป่าต้นสน จึงช่วยกันลมกันพายุ มันถึงอยู่รอดมาได้จนถึงตอนนี้ไง” ปารีสบอกเสร็จจึงบุ้ยใบ้ไปทางด้านเบื้องหน้าถัดออกไป “เพราะฉะนั้นแนวต้นสนเหล่านี้คือเพื่อนและเป็นผู้คุ้มครองความปลอดภัย” หญิงสาวหันไปยิ้มบางๆ อย่างเข้าใจ

“จึงควรเลิกสงสารมัน เพราะมันเป็นต้นเมเปิ้ลที่โชคดีมาก” หล่อนพยักหน้า

“ค่ะ”

“และนี่คือสิ่งที่น้องริสาควรคิด หากริสาเปรียบเทียบตัวเองกับเมเปิ้ลต้นนี้ พี่ก็จะเป็นแนวกำแพงต้นสนที่คอยดูแลและปกป้อง จากนี้ไปให้เลิกสงสารตัวเองและคิดว่าไม่มีใคร เพราะพี่ยืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ใกล้น้องริสาทั้งคน”


........
โปรดติดตามตอนต่อไป ขอบคุณทุกกำลังใจค่ะ ^___^



มุกมาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มิ.ย. 2555, 20:56:11 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ก.ค. 2555, 09:48:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1833





<< ตอนที่ 9 ( I love you and will love you always and forever)   ความลับและจุดอ่อน >>
มุกมาดา 30 มิ.ย. 2555, 20:57:48 น.
Wane ขอบคุณค่ะที่ยังคงติดตามอ่านเป็นกำลังใจให้ผู้เขียน ^^


Pseudolife ขอบคุณค่ะที่ยังคงติดตามเป็นกำลังใจ ส่วนน้องเปียจะเป็นคนเดียวกันกับน้องริสาหรือเปล่า ต้องติดตามลุ้นค่ะ 555 ผู้เขียนขออุบไว้ก่อนนะคะ ^^


pseudolife 1 ก.ค. 2555, 10:36:36 น.
พี่ปารีสนี่คมจนคนอ่านเคลิ้ม แล้วก็น่ารักน่าหยิกจริงๆ
ชีวิตน้องริสาเศร้าเนอะ แต่ก็น่าอิจฉาที่มีพี่ปารีส ฮ่าๆๆ
น้องริสาคนความลับเยอะ คนอ่านรอติดตามจ้า


pseudolife 1 ก.ค. 2555, 11:24:40 น.
ทำเพียงแค่ท่าครีมบำรุง ---> ทา
เพียงแค่ท่าลิปกรอส ---> ทาลิปกลอส


มุกมาดา 2 ก.ค. 2555, 10:52:57 น.
ขอบคุณค่ะ สำหรับช่วยตรวจคำผิดให้ ไปแก้เรียบร้อยแล้วค่ะ ผู้เขียนบางทีมือไวพิมพ์แบบสัมผัส มือชอบไปเองอยู่เรื่อย แถมตอนตรวจยังพลาดอีก ขออภัยค่ะ ^^


ปลากัด 12 ก.ค. 2555, 19:49:00 น.
เป็นกำลังใจเสมอนะคะ ^^


ฝนปราย 26 ก.ค. 2555, 19:55:36 น.
งานยุ่งหรือคะ แวะมาอัพซักตอนก็ยังดีนะคะ รออยู่เสมอค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account