กรงรักมายาหัวใจ
ความรักที่เย็นฉ่ำดุจละอองเกล็ดหิมะ หัวใจที่รุ่มร้อนดังเพลิงเพราะรัก

ฟ้าได้ลิขิตให้ทั้งสองมาเจอกัน ก่อนจะพลัดพราก เมื่อหญิงคนรักทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น เขามีแต่ความเจ็บปวด เจ็บแค้น อันแน่นในหัวใจ เมื่อต้องกลับมาเจอเธออีกครั้ง เขาจะจัดการกับเธออย่างไร ในเมื่อไม่เคยลืมรักครั้งแรก

ปารีส (พระเอก) ชายหนุ่มลูกครึ่งไทย-แคนาดา เขารักปาริสาอย่างหมดหัวใจ ทว่าหล่อนกลับทิ้งเขาไป เมื่อต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง ทั้งที่ยังรัก และไม่เคยลืมจากหัวใจ อยากจะคว้าตัวหล่อนมากอด แต่ทำเพียงแค่แสดงความโกรธ และเย็นชาเท่านั้น โดยเก็บรักขังไว้ในกรงหัวใจ
ปาริสา (นางเอก) หรือที่ใครๆ หลายคนมักเรียกว่า ริสา เพียงแค่ไม่กี่เสี้ยววินาทีได้ตัดสินใจ เดินออกมาจากชีวิตของเขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทว่าหล่อนกลับใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อลืมเขา การต้องกลับมาเจอกับเขาอีกครั้งสร้างความไหวหวั่น หัวใจเหมือนโดนเศษแก้วบาดลึก ต่อความเย็นชา และอารมณ์โกรธของเขา หญิงสาวเก็บกักความรู้สึกซ่อนลึกในกรงหัวใจ ทำตัวเองประหนึ่งเป็นกระจกสะท้อนเงา เมื่อเขาร้ายหล่อนร้ายตอบ เจอความเย็นชา หล่อนก็พร้อมจะเป็นน้ำแข็งขั้วโลกใต้ ทว่าสิ่งที่ทำให้กลัวจับใจ คือความลับที่ปกปิดไว้ไม่ให้เขารู้
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ความลับและจุดอ่อน

ก่อนอื่นผู้เขียนต้องขออภัยค่ะที่หายไปนาน งานยุ่งมากจนต้องแบ่งเวลาเขียนสะสมวันละนิด เสร็จงานผู้เขียนก็ดันป่วยเสียหลายวัน เพิ่งกลับมาทำงานได้สองวันแล้ว...แต่อย่างไรก็จะลงให้อ่านจนจบค่ะ...ขอบคุณสำหรับผู้อ่านที่ยังคงรอคอยติดตามอ่านเรื่องนี้เสมอค่ะ

ตอนนี้อัพให้ยาวเป็นพิเสษค่ะ รวบสองตอนไว้ในตอนเดียว

เชิญชวนเข้าไปดู MV ประกอบนิยายเรื่องนี้เพื่อช่วยเพิ่มจินตนาการ ที่ผู้เขียนจัดทำขึ้นได้ที่


http://www.youtube.com/watch?v=lXeQEkwv3XY&feature=youtu.be

.....................................................

กว่าจะมาถึงจุดหมายต้องใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง ชายหนุ่มเป่าลมออกจากปากด้วยความโล่งอก เพราะหิมะถล่มลงมาก่อนหน้านี้ ห่างออกไปเพียงอีกนิดเดียวเส้นยาแดงผ่าแปด ก็จะกลบรถทั้งคันจมมิดกลืนหายไปกับบรรดาก้อนน้ำแข็งและกองเกล็ดสีขาวเย็นยะเยือกจำนวนมหาศาล ถึงกระนั้นพายุหิมะตกหนักส่งผลให้ล้อรถยนต์จมมิด แถมบนหลังคาด้านบนยังเต็มไปด้วยละอองหิมะหนาหลายนิ้ว ชายหนุ่มเปิดประตูรถแล้วเปิดฮีตเตอร์หลังเสียบกุญแจแล้วสตาร์ท เพื่อเพิ่มอุณหภูมิความร้อน หันไปบอกปาริสา

“ขึ้นมานั่งรอในรถ พี่ต้องจัดการกับหิมะพวกนี้ออกจากล้อรถด้านหน้าก่อน รถจะได้ไต่เคลื่อนขึ้นไปบนหิมะ”

“ให้ริสาช่วยด้วยดีกว่า”

“อย่าดื้อได้ไหม บอกให้ทำอะไร ทำตามหน่อยไม่ได้หรือไงครับ” คนโดนบ่นแถมได้ตำแหน่งความดื้อเม้มปากแน่น ก่อนจะบอก

“ริสาไม่ได้ดื้อ แค่อยากจะช่วยเท่านั้น”

“การเถียงไม่หยุดปาก ถือเป็นโรคดื้อชนิดหนึ่ง” เขาพูดหน้าตาเฉยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เรื่องแบบนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายเถอะ”

หล่อนย่นจมูก ก่อนจะยินยอมพาตัวเองขึ้นไปนั่งรอด้านในรถแต่โดยดี อยากจะเถียงกลับไปบ้างเหมือนกันว่า เขาเองกำลังเป็นโรค ‘จอมเผด็จการ’ เอะอะอะไรก็ชอบออกคำสั่งอยู่เรื่อย แต่หญิงสาวจำต้องสงบปากเงียบกริบเอาไว้พลางคิด ‘ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเหนื่อยเปลืองแรง เชิญทำหน้าที่ลูกผู้ชายตัวจริงได้ตามสบายเถอะ’


ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะโกยหิมะจากสองล้อด้วยพลั่วตักหิมะที่หล่อนเห็นร่างสูงเดินไปหยิบจากด้านหลังรถ ดูเหมือนเขาจะพกพาไว้ในรถตลอด เผื่อไว้ใช้ยามจำเป็น ส่วนบนหลังคารถยนต์คันเก่งชายหนุ่มปล่อยไว้แบบนั้น คงเพราะเวลาขับเคลื่อนแล่นไปตามเส้นทาง กระแสลมจะทำให้มันละลายหรือปลิวหล่นไปเอง

ลูกผู้ชายตัวจริงของปาริสาตามขึ้นมานั่งสมทบประจำตำแหน่งคนขับ ก่อนจะดึงกระดาษทิชชูสองสามแผ่นจากกล่องขนาดเล็กที่วางอยู่ตรงคอนโทรลหน้ารถ แล้วยื่นไปให้ปาริสา เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากัน ก่อนจะถามพลางลูบแก้มตัวเอง

“หน้าริสาเปื้อนเหรอคะ”

“เปล่า” เขาบอกพร้อมรอยยิ้มพรายอย่างมีเลศนัยบางอย่าง “กำลังจะบอกว่าตอนนี้เป็นหน้าที่ของริสาแล้วครับ”

“หน้าที่อะไร?” หล่อนยังคงถามอย่างสงสัย

“ซับเหงื่อให้พี่หน่อยสิ”

ถึงคราวลูกผู้หญิงตัวจริงจ้องเขาตาค้าง ไม่ใช่เพราะหล่อนไม่อยากจะทำ เพียงแต่รู้ว่าเขากำลังนึกแกล้งหยอกเล่นอย่างนึกสนุกเช่นเคยเท่านั้น ร่างบางลอบถอนหายใจแล้วถามตัวเอง ผู้ชายบุคลิกเงียบเคร่งขรึมคนเดิมหายไปไหนแล้ว กลายเป็นคนรักสนุกและชอบแกล้งคนอื่น โดยเฉพาะกับหล่อนมักถูกชายหนุ่มแหย่ล้อเลียนเกือบทุกครั้งถ้ามีโอกาส หญิงสาววางสีหน้าเรียบเฉยไว้ ไม่แสดงความรู้สึกอะไร ฉวยกระดาษบางเบาสีขาวมาไว้ในมือ ตั้งใจเช็ดเหงื่อที่ผุดซึมเล็กน้อยตรงขมับ ทว่าข้อมือเล็กกลับโดนเขาจับไว้ ไม่ทันจะสัมผัสใบหน้าเนียนเข้มของเขาด้วยซ้ำ


“พี่เปลี่ยนใจดีกว่า” เขาบอก มืออีกข้างดึงแผ่นกระดาษขาวบางโยนทิ้งโดยไม่สนใจว่ามันจะร่วงหล่นลงไปตรงไหน ข้อมือเล็กถูกปล่อยเป็นอิสระ หญิงสาวตาปริบๆ มองร่างสูงถอดถุงมือหนังสองข้าง ขณะหันมาบอกถึงความต้องการ

“ขอเป็นกำลังใจแบบอื่นให้พี่หายเหนื่อย”

ปาริสายังไม่ทันถามกลับไปด้วยซ้ำว่าเขาต้องการอะไร สองมือกว้างแผ่ไออุ่นร้อนวาบ วางนาบประคองใบหน้าของหล่อนแล้วก้มลงประทับเรียวปากบาง ปาริสาใช้วิธีเดิมในการต่อต้าน นั่นคือเม้มปากตัวเองไว้แน่นสนิท ไม่ยอมให้ชายหนุ่มลุกล้ำผ่านไปได้ เขาถอยห่างออกมาหัวเราะชิดกับริมฝีปากหญิงสาว มองดวงตาวาววับกลมโต


เจ้าหล่อนไม่ยอมปิดเปลือกตาลงด้วยซ้ำ แสดงชัดถึงความไม่พร้อมใจ เป็นเรื่องที่แปลกดีเหมือนกันเพราะตนเคยนึกสงสัยเมื่อนานมาแล้ว ประสบการณ์จูบครั้งแรกกับสาวรุ่นพี่ตอนสมัยเป็นวัยรุ่น ว่าระหว่างชายหญิงเวลาจุมพิตทำไมต้องหลับตา แต่ก็แค่สงสัยเมื่อเล็งเห็นว่าไม่ใช่เรื่องจำเป็นต้องหาคำตอบ จนกระทั่งเมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เป็นช่วงนายทวีปยังโสดสนิทเพราะยังไม่ได้เจอกับเขมิกา ระหว่างกำลังค้นคว้าหาข้อมูลทำงานวิจัยในห้องสมุด เพื่อนสนิทซึ่งกำลังศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทสัมผัส ได้ถามขึ้น

‘ปารีส นายเคยสงสัยไหม ว่าทำไมเวลาจูบต้องหลับตา’

ตอนนั้นเขาแค่เงยหน้าละสายตาจากบรรดาตัวอักษรของหนังสือขึ้นมองเท่านั้น ลองถ้านายทวีปได้เกริ่นนำมาแบบนี้แล้ว คงได้ฟังความรู้รอบตัวนอกตำราตัวเองเพิ่มเติมอีกเช่นเคย ถึงตนจะตอบว่าสงสัยหรือไม่สงสัยก็ตาม


‘ในหนังสือเล่มนี้ เขาเขียนไว้ว่า มันเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกาย เหมือนเวลาเดินแขนก็ต้องแกว่ง ถ้าเดินเอามือแนบลำตัวนิ่งๆ ไม่ขยับก็เป็นการฝืนธรรมชาติ ดวงตาเป็นประสาทสัมผัสใช้พลังงานมากที่สุด เมื่อหลับตาก็จะทำให้ระบบประสาทสัมผัสด้านอื่นทำงานดีขึ้น คนเราเมื่อต้องการความคิดหรือจินตนาการบางอย่างให้ลึกซึ้ง มักจะหลับตาเช่นกัน ถ้าเทียบระหว่างลืมตาจูบกับหลับตาจูบ อย่างหลังสมองซีกขวาจะทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดได้ชัดเจนกว่า’

ถึงแม้ปารีสจะใช้สองตาอ่านตำราของตัวเอง โดยไม่ได้ปิดตานั่งรับฟังให้ลึกซึ้ง หรือจะเรียกว่าเขาแทบจะไม่สนใจมากมายนักด้วยซ้ำ ทว่าเสียงของคนตรงข้ามมักลอยผ่านเข้ามากระทบโสตประสาท จะสมองซีกซ้ายหรือซีกขวาก็ตามอย่างต่อเนื่อง คนรับข้อมูลกลับจดจำได้หมด แม้กระทั่งเรื่องราวในวัยเยาว์เป็นเพียงเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้นสำหรับผู้ใหญ่อย่างใครบางคน แถมยังจำฝังใจได้ดีว่าสามีของผู้ปกครองที่ตนอยู่ในความดูแลได้กระทำและพูดอย่างไรไว้บ้าง เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้เด็กที่มีไอคิวสูงอย่างเขาคอยเฝ้าระวังตัวเองและจับตามองมาโดยตลอด จนกระทั่งบัดนี้ได้พบปัญหาและความผิดปกติหลายอย่าง ความลับและเงื่อนงำจากการติดตามสืบหาด้วยตัวเองอย่างเงียบๆ รอวันสะสางปิดบัญชีแค้นเท่านั้น

ชายหนุ่มลอบถอนหายใจ เหมือนมีอะไรหลายอย่างให้เขาต้องคิดต้องทำ เวลาผ่านไปเนิ่นนานสำหรับเด็กทั่วไปอาจลืมเลือนหรือหมดความทรงจำกับเรื่องนั้น ทว่าทุกเรื่องราวผ่านการรับรู้ในหลายช่วงชีวิตกลับไม่เคยลืมจางหายจากสมองที่เหมือนเครื่องบันทึกเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ ก่อนนั้นได้เปรยกับปาริสาไว้ระหว่างนั่งพักกลางป่าสน ก็แค่แกล้งพูดไปเท่านั้นเอง ว่าตนรู้สึกแปลกที่จดจำทุกคำของบิดาได้ชัดเจน ขณะยังเป็นเพียงแค่เด็กชายอายุไม่กี่ขวบ ความจริงเขาเลิกแปลกใจและสงสัยมานานแล้ว ว่าทำไมรอยหยักภายในสมองถึงไม่ลืมบางอย่างไปเสียบ้าง ในเมื่อเขามีไอคิวสูงถึง 150 อยู่ในระดับ very superior เรียกว่าฉลาดมาก ตามเกณฑ์ต้อง 130 ขึ้นไป ส่วนประเภทฉลาดปกติ 120-129 เท่านั้น ขณะคนทั่วไปจะอยู่ระดับแค่ 90-109

นึกมาถึงตรงนี้การมีไอคิวสูงย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี ทว่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่ผ่านมา ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวว่าไม่สามารถจัดการกับอีคิวได้ดีนัก เพราะขาดการควบคุมอารมณ์กับความต้องการของตัวเองให้หักห้ามใจและยับยั้งความปรารถนา หากว่าตนรักปาริสาจริงก็ควรให้เกียรติหล่อน ดูแลทะนุถนอมถึงจะถูก เหมือนกับการบ่มผลไม้ต้องอดทนเฝ้ารอเวลาจนมันสุกงอมเพื่อจะได้ชิมสัมผัสถึงรสหวาน

หากเมื่อเผลอก้าวข้ามเส้นเขตเสี่ยงอันตรายต่อหัวใจ โดยตนเป็นคนลงมือขีดกั้นขวางไว้ เพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในพื้นที่การควบคุมอย่างเคร่งครัดและรักษาระยะความปลอดภัย ในฐานะผู้ชายเมื่อรักปาริสาด้วยความรู้สึกที่แท้จริง เขายินดีและเต็มใจอย่างยิ่งสำหรับการรับผิดชอบทุกอย่าง จะคงมั่นและซื่อสัตย์ต่อหล่อนเพียงคนเดียว ปารีสไม่อยากฝืนใจหญิงคนรักจึงผละห่างออกมานั่งตัวตรง ทว่าต้องเลิกคิ้วสูงหันไปมองหญิงสาวอีกครั้งเมื่อหล่อนถาม


“ริสามีเรื่องจะขอร้องอะไรบางอย่างค่ะ”

“เรื่องอะไรครับ” ร่างบางเหมือนจะกระอึกกระอัก ราวกับรู้สึกลังเลใจและยังไม่กล้าพูด ด้วยอาการเผยอปากแล้วหุบเม้มสนิทอยู่สองสามรอบ จนเขาต้องบังคับทางอ้อม

“มีอะไรจะขอ ถ้าพูดภายในสามวินาที จะได้สิทธิ์ตามนั้น ถ้าหมดเวลาขึ้นอยู่กับพี่ในการตัดสินใจ”

“จนกว่าเราจะแต่งงานกัน ริสาจะไม่ยอมมีอะไรกับพี่อีก”
เจ้าหล่อนรีบบอกเสียงดังฟังชัด ด้วยจังหวะรัวเร็วถี่ยิบราวกับจะกลัวหมดช่วงนาทีทอง พร้อมกับรอยแดงระเรื่อชัดกว่าเดิมตรงพวงแก้ม ปารีสยกยิ้มมุมปากก่อนให้คำตอบ


“ตกลงครับ”

“จริงเหรอคะ” ดูเหมือนหล่อนจะประหลาดใจ

“ริสาตอบภายในสามวินาที ถูกต้องตามกติกา มันจึงอยู่เหนือการควบคุมของพี่ที่จะตัดสินใจ” ร่างสูงบอกก่อนจะย้ำความมั่นใจอีกครั้ง “รางวัลสำหรับการปฏิบัติตนถูกต้องตามกติกาคือ ตกลงตามที่น้องริสาขอมา” ปาริสายิ้มกว้าง


“ดีจังเลย”

“พี่ใจดีใช่ไหม” เจ้าหล่อนรีบพยักหน้าหงึกๆ

“ถ้าอย่างนั้นไม่มีรางวัลสำหรับพี่บ้างเหรอ” เขาเริ่มขอบ้าง ปาริสาหรี่ตามองประกายวาววับผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มกับรอยยิ้มมีเลศนัยบางอย่างของเขา แล้วย่นจมูกใส่ ก่อนตอบ

“ไม่ต้องมาหวังสามวินาทีจากริสาหรอก” หญิงสาวหันไปยิ้มบางๆ “แต่ถ้าพี่อยากได้รางวัลอะไรลองขอดู แล้วริสาจะตัดสินใจเองว่าควรตกลงไหม”

“การมีแฟนฉลาดไม่ยอมหลงกล รู้ทันไปหมดแบบนี้ พี่ต้องแย่แน่ๆ” ชายหนุ่มแกล้งบ่น แล้วแสร้งถอนหายใจเฮือก ฝ่ายตรงข้ามจึงทำทีเป็นถอนหายใจบ้าง

“แต่ดูเหมือนพี่จะเจ้าเล่ห์กว่า...อุ้ย!” ร่างบางรีบยกมือปิดปากชำเลืองมองไปทางปารีส ก่อนจะลดมือลงแล้วบอกอีกครั้ง “เมื่อกี้พูดผิดค่ะ ริสาตั้งใจจะบอกว่า ท่าทางพี่จะเป็นผู้ชายที่ฉลาดมาก สงสัยคงต้องไปฝึกฝนลับสมองให้แหลมคม จะได้ไม่ต้องเผลอเดินตกลงไปในหลุมที่พี่ตั้งใจขุดรอไว้”

ร่างสูงหัวเราะชอบใจกับท่าทางแกล้งทำของหล่อนตลอดจนคำพูดเหล่านั้น เขาเห็นว่าน่ารักดีและชักคันไม้คันมือ อยากจะหยิกแก้มนวลด้วยความหมั่นเขี้ยว จนต้องรีบบังคับตัวเองโดยการเปลี่ยนความสนใจหันไปจับพวงมาลัยรถไว้แน่น ก่อนจะจุดรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าคมเข้มหันไปพูด

“แล้วไม่รู้ตัวหรือไงครับ ว่าก่อนนั้นได้เดินตกลงไปในหลุมที่พี่ขุดรอไว้แล้ว” เรียวคิ้วบางขมวดย่นเข้าหากัน

“หลุมอะไรคะ”

“ก็หลุมรักพี่ไงครับ” ปาริสาเผยอปากเหมือนปลาผุดขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ คาดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นคำตอบของเขา ถึงจะรู้ดีว่าอาการแบบนี้ไม่ว่าจะฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายมักจะเรียกว่าการตกหลุมรัก หรือรักแรกพบ หล่อนยังคงใบ้กินได้แต่นั่งฟังเขาพูดอย่างต่อเนื่อง

“จะโทษริสาที่ไม่รู้สึกตัวก็คงไม่ถูกนัก ถึงจะขุดไว้ลึกมากกันเธอปีนหนีออกไป แต่ในนั้นมีหัวใจของพี่รองรับอยู่ เป็นเบาะหนานุ่มคุณภาพชั้นเยี่ยมขนาดนั้น จึงไม่แปลกหากไม่รู้สึกตัวว่าเจ็บหรือสะเทือน”

ปาริสาเอียงคอมองเขาอย่างจริงจังสีหน้าครุ่นคิด

“ทำไมถึงจ้องพี่แบบนั้น หรือว่ามีอะไรผิดปกติ” เขาถาม

“มีค่ะ” หล่อนตอบเสียงเรียบขณะยังคงมองอยู่แบบนั้น “ตอนนี้ไม่รู้ว่าริสาเองเป็นฝ่ายผิดปกติ หรือพี่ปารีสกันแน่ที่เป็นคนผิดปกติ”

“พี่ไม่ได้เป็นคนบ้านะครับ” ปารีสตอบเสียงกลั้วหัวเราะ

“คือไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมานั่งคิดว่าพี่เป็นคนยังไงกันแน่” หญิงสาวรีบเฉลย “ผู้ชายมาดนิ่งขรึมมีความสุขุม ผู้ชายที่เป็นนักรักและเจ้าคารม ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา นักปรัชญาผู้ถ่ายทอดคำคมกับบทกวี หรือพี่เป็นผู้ชายอารมณ์ดี ดูอบอุ่น บางทีก็ชอบทำเข้มเสียงดุ แต่ก็มีใจดีแล้วชอบพูดตลก แต่ที่แน่นอนคือริสาเพิ่งรู้ว่าพี่เป็นคนสนุกในการชอบแกล้งคนอื่น ต้องให้วงเล็บต่อท้ายไหมคะว่า...ริสา”

คนฟังถึงกับโคลงศีรษะพร้อมกับหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนจะรีบสรุปให้หายข้องใจ

“ไอ้ที่พูดมาทั้งหมดมันก็คือตัวพี่ไม่ใช่หรือไง ทำไมต้องคิดแยกแยะจัดเข้าหมวดผู้ชายประเภทไหน ให้ปวดสมองด้วยครับ” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบก่อนจะมีรอยยิ้มกริ่มแล้วถามออกไป

“หรือน้องริสากำลังมีงานอดิเรกสะสมชายหนุ่มเป็นคอลเลคชั่น จะได้จัดเก็บได้ถูกชนิด”

“คนบ้า!”
ปาริสาหลุดเสียงอุทานพร้อมกำหมัดทุบท่อนแขนที่มีมัดกล้ามแข็งแรงกับความตลกร้ายของเขา แต่ดูเหมือนเจ้าตัวแทบไม่สะดุ้งสะเทือน กลับเป็นหล่อนที่รู้สึกเหมือนเอามือไปโดนแผ่นยางเนื้อหนาเสียมากกว่า ก่อนจะตวัดปลายหางตาค้อน

“พี่แค่แกล้งพูดหยอกเล่นเอง ไม่ได้ถามจริงจังเสียหน่อย เลิกงอนเถอะ”

“ไม่ได้งอนสักหน่อย” หล่อนตอบน้ำเสียงปกติ เพียงแต่ยังไม่ยอมหันมามองหน้าเขาเท่านั้น

“ก็ได้พี่จะไม่แกล้งพูดแล้ว แต่ขอวงเล็บต่อท้ายไว้หน่อยแล้วกันว่า...ตอนนี้”

ปาริสาพยายามกลั้นยิ้ม เมื่อเขาเอาประโยคสนทนาของตนก่อนหน้านั้น มากล่าวล้อเลียน คิดไปคิดมาหล่อนเองก็ชักจะชอบบุคลิกด้านนี้ไม่น้อย หญิงสาวบอกตัวเองว่าสักวันคงมีโอกาสบอกให้ปารีสได้รับรู้ว่า ตั้งแต่มีเขาเดินเข้ามาในชีวิต หัวใจที่เหน็บหนาวเพราะความโดดเดี่ยวต่อการจากไปของบิดา ต้องเสียใจ ร้องไห้จนน้ำตาแทบกลายเป็นสายน้ำ มาตอนนี้ดูเหมือนสิ่งที่ยังคงเต้นอยู่อย่างสั่นสะท้าน กำลังถูกห่อหุ้มด้วยอุ่นไอรักจากผู้ชายคนนี้


ปารีสเหมือนยาขนานเอก ชีวิตราวกับเศษแก้วที่ปริแตกได้หลอมละลายประสานกันจนเห็นแค่รอยร้าวบางๆ จากการมีเขาคอยปลอบประโลม คำพูดมากมายเป็นกำลังใจให้เธอคลายเหงา หญิงสาวหวังไว้ในใจลึกๆ ตราบใดยังมีเขาอยู่เคียงข้าง ความเจ็บปวดคงจะค่อยจางหายไปทีละน้อย อีกไม่นานหล่อนคงจะกลายเป็นแก้วใบใหม่ที่แวววาวสดใสเหมือนเดิม หรือเขาคือคนที่บิดาได้กล่าวถึงในความฝัน เป็นโชคชะตาและคนที่รอคอย ความคิดมาพร้อมกับความสงสัยบางอย่างในคำพูดของท่าน ‘จะกลับมาอยู่กับหล่อนแต่ไม่ใช่ตอนนี้’ หมายถึงสิ่งใด ท่ามกลางความไม่ชัดเจนในคำตอบ หูทั้งสองข้างยังคงทำหน้าที่ฟังชายหนุ่มใกล้ตัวร่ายมนต์สะกดอย่างเงียบๆ


“คราวนี้จะพูดอย่างจริงจังแล้วนะ” เขาเว้นจังหวะแล้วกระแอมในลำคอเล็กน้อยก่อนพูดขึ้นอีกครั้ง “น้องริสาไม่ต้องกังวลหรอกหากไม่เข้าใจตัวเอง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่เถอะ แค่พี่เข้าใจในตัวเธอก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวเบือนหน้าหันไปมองคนพูด ฟังแล้วรู้สึกลึกซึ้งจนจับใจ หล่อนเห็นรอยยิ้มอบอุ่นรออยู่แล้ว

“ส่วนที่ว่าพี่เป็นคนแบบไหน อย่าไปคิดให้เสียเวลาเลย เดี๋ยวพี่คิดแทน จะกลับไปพิจารณาตัวเองว่าผู้ชายคนนี้” ปารีสใช้นิ้วชี้หน้าตัวเอง “เป็นประเภทไหนกันแน่ จะคิดให้หนัก ถ้ายังให้คำตอบเธอไม่ได้ ก็จะคิดให้หนักขึ้น คิดให้เป็นบ้าไปเลย ให้ตายเถอะ...ไอ้หมอนี่มันสมควรโดนลงโทษ บังอาจมาทำให้ริสาของพี่ต้องคิดมากจนปวดสมอง”


‘ริสาของพี่’ เริ่มอมยิ้ม จากนั้นก็แย้มริมฝีปากจนเห็นไรฟันขาว ร่างสูงรู้สึกพอใจขณะนั่งฟังเสียงหญิงสาวข้างตัวหลุดเสียงหัวเราะพลิ้วเบา เขาไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร เมื่อครู่หล่อนถึงได้เผลอแสดงสีหน้าเศร้าหมองอีกครั้ง ก่อนจะมีท่าทางครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ ผู้หญิงคนนี้ถึงจะดูเร้าใจเมื่อมีแววตาเศร้า ทว่างดงามยิ่งกว่าหากเห็นรอยยิ้มและได้ยินเสียงหัวเราะแบบในตอนนี้

“อย่าลงโทษเขาเลยนะคะ” เจ้าหล่อนหันมาบอกด้วยรอยยิ้มเกลื่อนใบหน้าหลังจากหยุดหัวเราะ “เขาสมควรได้รางวัลมากกว่า ที่ทำให้ริสานึกสนใจ ไม่รู้หรือไงคะว่าเป็นการอยากรู้จักผู้ชายคนนั้นให้มากขึ้น เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ เขาชอบอะไรและไม่ชอบอะไร ยังมีอีกหลายอย่างที่ริสาอยากรู้”

“ไม่มีทาง” ปารีสปฏิเสธเสียงเข้มจริงจัง “นายนั่นสมควรโดนโทษประหารสถานเดียว มันเป็นใครกัน ถึงทำให้ริสาเบนความสนใจไปจากแฟนตัวเองได้ จนอยากรู้เรื่องของเขานัก”

หญิงสาวจ้องนักโทษประหารที่อยู่ตรงหน้าเขม็ง เม้มปากแน่น เพราะเสียความตั้งใจของตัวเอง หลายครั้งที่หล่อนรู้สึกซาบซึ้งกับคำพูดของเขา จึงอยากกล่าวอะไรให้เขาได้ชื่นใจบ้างเล็กน้อย แต่พ่อเจ้าพระคุณดันไม่รับทราบและรับซึ้ง ทว่าอารมณ์บูดของตนเริ่มทุเลาลง กับการกล่าวแสดงให้เห็นว่าเขารู้สึกดีกับถ้อยคำเหล่านั้น

“ชักเริ่มรู้สึกอิจฉาแล้วสิ ถ้าเขาได้ยินคงปลื้มหัวใจพองโตคับอก” ร่างสูงพยักพเยิดหน้า “เอาเถอะพี่อนุญาตให้ริสาสนใจอยากรู้เรื่องเขาได้ แต่ริสาต้องเป็นแฟนตัวจริงของพี่ ส่วนหมอนั่นให้เป็นแค่แฟนคลับก็พอ คอยติดตามถามถึงอยู่ห่างๆ อย่างเป็นห่วง ได้ไหมครับ”

“ก็ได้ค่ะ”
หญิงสาวเออออพลางถอนใจ เรื่องเจ้าคารมหล่อนคงต้องยกให้เขา ส่วนเรื่องหน้าตาคงต้องเว้นข้อนี้ไป ด้วยเหตุคงเทียบกันลำบากระหว่างหญิงกับชาย เพราะไม่รู้จะจัดไว้ในหมวดสวยหรือหล่อกันแน่ เอาเป็นว่าเขาหน้าตาดีสุดๆ สมแล้วกับการมีบรรดาสาวหลายคนยกขบวนตามกรี๊ด ส่วนหล่อนขอแค่หน้าตาพอจะเข้าไปทำบุญในวัดได้ก็พอ

“ถ้าอย่างนั้น พี่จะรับภาระเพิ่มอีกหน้าที่แล้วกัน”

“หน้าที่อะไรคะ” หล่อนถามอย่างสนใจ

“หน้าที่เป็นไปรษณีย์หัวใจให้ปาริสาไงครับ” เขาตอบพลางยิ้มกริ่ม “พี่ยินดีรับฝากคำถามวันละหนึ่งข้อที่ริสาอยากรู้ เมื่อได้คำตอบพี่จะเป็นตัวแทนบอกริสาเอง”

“เหรอคะ” รอยยิ้มเล็กน้อยแต้มบนเรียวปากของปาริสา เพราะรู้สึกถูกใจเป็นพิเศษ “ถ้าไม่ลำบากจนเกินไป คงต้องรบกวนเวลาหน่อยแล้วกัน ริสาขอฝากคำถามถึงเขาว่า...” หล่อนชะงักเพราะร่างสูงแสดงอาการส่ายหน้าไปมา


“ไม่ใช่วันนี้ครับ ให้เริ่มพรุ่งนี้” เขาบอก ปาริสาจึงต้องหุบปากจบคำพูดที่อยากจะถามไว้แค่นั้น

“ค่ะ”

“เราโชคดีมากเลย” ชายหนุ่มพยักหน้าไปยังฝั่งที่หล่อนกำลังนั่งอยู่ “อีกนิดเดียวรถคันนี้ก็จะโดนพวกกองหิมะตรงนั้นฝังจมมิด ความจริงพี่กะระยะถูกแล้วนะ แต่ครั้งนี้อาจจะถล่มหนักมากไปหน่อย เกือบได้เดินกลับหรือรอคนมาช่วยแล้ว”


“ระยะอะไรคะ?” หล่อนถาม

“ระยะในการจอดรถ ในสถานที่แบบนี้ ไม่ควรจอดชิดกับริมเชิงเขามากเกินไป เพราะจะมีความเสี่ยงอาจเกิดแบบกรณีอย่างที่เห็นนี่แหละ” ร่างบางพยักหน้าเข้าใจ

“อย่างรถยนต์เหมือนกันถ้าใช้น้ำมันเครื่องธรรมดาทั่วไป ทิ้งไว้ในอากาศหนาวจัดแบบนี้นานๆ ไม่มีทางสตาร์ทติดง่ายแบบนี้หรอก คือมันต้องเสี่ยงอาจจะติดหรือไม่ติด อีกอย่างมันจะทำให้เครื่องยนต์พังเร็วด้วย ถ้าน้องริสาจะใช้รถในอากาศหนาวติดลบหลายองศาแบบนี้ ต้องใช้น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แท้”

“อ๋อ ค่ะ” อันนี้หล่อนรู้มาก่อนแล้ว แต่ทำแกล้งเพิ่งได้ยินจากเขาเท่านั้นเอง

ปารีสช่างเหมือนเงาสะท้อนของใครอีกคนเหลือเกิน เพราะบิดาเป็นนักแข่งรถ เคยเดินทางไปลงสนามแข่งยังต่างประเทศภูมิอากาศหนาวจัดอยู่บ้าง ท่านจึงพูดให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะตัดสินใจเลิกอาชีพนี้ เพราะบริษัทกำลังมีปัญหา ด้วยถูกซีอีโอที่จ้างมาดูแลบริษัทหลังมารดาเสียชีวิตโกงเงินไปจำนวนมาก จนต้องมาบริหารเสียเองทั้งที่ไม่ใช่งานถนัดและชำนาญนัก อาจเป็นจริงตามที่ญาติอีกฝ่ายกล่าวอ้าง ว่าบิดามีความประสงค์จะคืนทรัพย์สินให้ตระกูลของมารดาดูแลแทนก็เป็นได้

“เป็นไงบ้างได้นั่งพักในรถที่เริ่มอุ่นมากขึ้นแล้ว หายหนาวยังครับ” เขาถาม

“อุ่นขึ้นแล้วค่ะ” หล่อนตอบก่อนจะถามกลับบ้าง “แล้วพี่ล่ะหายเหนื่อยหรือยัง”

“ขอนั่งพักอีกแป๊บ” เขาไม่ยอมตอบว่ายังเหนื่อยหรือว่าหายแล้ว “อยากนั่งคุยกับริสาแบบนี้ไปเรื่อยๆ อีกสักหน่อย”

หญิงสาวพยักหน้ายิ้มๆ อย่างเข้าใจ พลางคิดอย่างนึกตลก ว่าเขาคงอยากคุยกับหล่อนมากจริงๆ เพราะตลอดเวลาหลายนาทีผ่านมาที่อยู่ในรถจอดนิ่งกันตามลำพังสองต่อสอง ก็มีแต่เขาเอาแต่คุยเยอะกว่าเสียอีก แถมพูดแต่ละประโยคไม่รู้ไปสรรหาคำมาจากไหน

ร่างบางลอบถอนหายใจกับตัวเอง เมื่อไหร่ถึงจะสนทนากับเขาให้มากกว่าคำว่า ‘ได้ค่ะ’ ‘ก็ได้ค่ะ’ ‘อ๋อ ค่ะ’ ‘อะไรคะ’ หรือ ‘ค่ะ’ ทำนองนี้เสียที แต่รู้สึกมีเพียงคำเดียวถึงจะสั้น ทว่าก็รู้สึกดีเมื่อได้พูดออกไป หากโดนเขาแหย่แกล้งเอาอีกนั่นคือ ‘คนบ้า!’

“พี่ยังไม่ลืมนะ สิ่งที่ริสาพูดไว้ก่อนนั้น” เสียงของเขาลอยเข้ามาทำลายความคิดหล่อนไว้แค่นั้น ก่อนจะรู้ตัวว่าได้หลุดคำอะไรออกไป ก็ต่อเมื่อหูได้ยินเสียงตัวเองว่า

“อะไรคะ” ร่างบางขบริมฝีปาก หล่อนควรจะพูดให้ยาวกว่านี้

“ก็ที่น้องริสาบอกว่าจะให้รางวัลกับความใจดี เพราะพี่ยินยอมทำตามคำขอไงครับ”

“ขออะไรคะ” หญิงสาวเกือบจะหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ ว่าเขากำลังหมายถึงสิ่งใดและควรกล่าวให้ยาวกว่านี้ ที่สำคัญต้องย้ำให้เขารู้อย่างชัดเจน ไม่อย่างนั้นอาจมีเผลอคล้อยตามเขาโดยไม่รู้ตัว จึงรีบหันไปบอกทันทีว่า
“ลองบอกมาได้เลยค่ะ แล้วริสาเองก็ยังไม่ลืมเหมือนกัน ว่าจะตกลงหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของริสา”

“แต่ก่อนอื่น พี่มีเรื่องสงสัยบางอย่างจะถาม”

“จะถามเกี่ยวกับอะไรคะ อย่าถามยากเกินไปแล้วกัน ถึงริสาจะฉลาดก็คงฉลาด รู้เท่าทันความคิดพี่ไม่ได้อยู่ดี” เป็นคำพูดที่หล่อนตั้งใจมาก หลังจากเกือบเผลอหลุด ‘อะไรคะ’

“รับรองไม่ยากหรอก เป็นคำถามแบบพื้นๆ ทั่วไป ใครๆ ก็รู้และตอบได้กันทั้งนั้น พอดีเพื่อนคนหนึ่งกำลังมีปัญหา พี่เลยอยากจะรู้ว่าริสามีแง่คิด หรือมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง”

ปาริสาพยักพเยิดหน้ารับรู้ พลางหันหน้าไปทางเขา ตั้งใจเตรียมตอบ มองเขาทำท่าลูบปลายคางโดยมีปลายนิ้วบังริมฝีปากไว้ คนกำลังมองไม่มีทางรู้ว่าเขากำลังพยายามซ่อนรอยยิ้มบางอย่าง แต่หญิงสาวกำลังนึกอยู่ในใจว่าคนข้างตัวกำลังคิดหนักว่าการขอคำปรึกษาจากหล่อน จะสามารถไขข้อข้องใจปัญหาของเพื่อนคนนั้นได้หรือไม่...ลองถามมาเถอะคนอย่างปาริสาไม่มีทางจะตอบไม่ได้...เพื่อไม่ให้เขาปรามาสหรือมีความคิดว่า ‘รู้อย่างนี้ไม่น่าจะถามตั้งแต่แรก’ หล่อนต้องตอบด้วยความมั่นใจและชัดถ้อยชัดคำ

ปาริสามีความคิดเสมอว่าอยากเป็นคนรักของผู้ชายคนหนึ่ง ในสถานะที่ไม่ใช่มีไว้ให้เรียกเฉยๆ ว่า ‘เป็นแฟนผม’ หรือ ‘ภรรยาของผม’ ทว่าอยากเป็นคู่คิด คอยให้คำปรึกษากันได้เสมือนเพื่อนรู้ใจคนหนึ่ง อยากเป็นคนปลอบโยนให้กำลังใจเมื่อเขามีปัญหา ไม่อยากเป็นช้างเท้าหลัง แต่อยากเป็นขาอีกข้างของเขา เพื่อจะได้เดินไปด้วยกัน


“พอดีเพื่อนคนนี้ กำลังคบอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เขาไม่กล้าแสดงกระทำบางอย่าง เพราะกลัวว่าจะโดนคิดว่าเป็นผู้ชายจำพวกชอบฉวยโอกาสทำนองนี้”

“อ๋อ...อย่างนี้นี่เอง” ปาริสาพยักพเยิดหน้าเข้าใจปัญหาก่อนจะกล่าวพึมพำแบบตั้งใจให้เขาได้ยิน “รู้สึกเพื่อนคนนี้นิสัยจะตรงกันข้ามกับพี่เลยเนอะ”

หญิงสาววางหน้าตายเมื่อปารีสหันมาแยกเขี้ยวใส่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะพูด

“แสดงว่าพวกเขารักกันแต่ไม่กล้าแสดงออก สงสัยคงต้องทำความเข้าใจกับผู้หญิงให้มากกว่านี้สักหน่อย ในฐานะที่ริสาเป็นผู้หญิงเหมือนกัน อาจจะได้คำตอบในแง่มุมความคิดของผู้หญิง”

“ก็ดีเหมือนกัน เพราะมันรบเร้าชอบมาถามความเห็นจากพี่อยู่เรื่อย พอแนะนำไป ไม่รู้ผลเป็นยังไง เห็นกลับมานั่งเงียบถอนหายใจไม่หยุด ถ้าได้ความคิดอีกแง่มุมที่เป็นผู้หญิงเหมือนกัน จะลองกลับไปถามถึงเรื่องนี้กับเพื่อนอีกครั้ง”


“ได้ค่ะ ริสาจะลองตอบดู”

“ริสาคิดว่าคนเป็นแฟนกัน สามารถจับกุมมือแล้วเดินไปด้วยกันได้ไหม”

“ได้สิคะ ทำไมจะไม่ได้ แฟนของเพื่อนไม่ยอมให้จับมือเหรอคะ คนเป็นแฟนกันส่วนใหญ่เขาก็มีจับมือกันทั้งนั้น ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ยอม สงสัยสมองกำลังมีปัญหาทางด้านความคิดอะไรสักอย่าง” หล่อนรีบตอบอย่างมั่นใจสุดชีวิต


“แล้วถ้ารักกันและคิดถึงกันมาก พอเจอกัน จะผิดไหมถ้าเขาจะเข้าไปกอดให้หายคิดถึง”

“ได้สิคะ” ปาริสาตอบรวดเร็วกับคำถามที่สองอีกเช่นเคย แถมพยักหน้าหงึกๆ ย้ำคำตอบตัวเองอย่างมั่นใจ “แค่กอดเองไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ขนาดระหว่างเพื่อนผู้หญิงกับผู้หญิงก็ยังมีกอดกันด้วยซ้ำ แสดงออกถึงมิตรภาพ ริสาว่าการกอดกันเป็นการแสดงความรักที่ดูนุ่มนวลและอบอุ่นมาก ถ้าสาวคนนั้นไม่ยอมให้กอดสงสัยหล่อนคงเป็นพวกขี้ร้อน ชอบอากาศหนาวมากกว่า”

“เท่าที่สังเกตจากประสบการณ์ตัวเองที่ได้พบเห็น เธอคนนั้นทนกับสภาพอากาศหนาวแบบนานๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ อาจเพราะมาจากประเทศเขตเมืองร้อน”

ปาริสาชักรู้สึกแปลกๆ กับคำ ‘จากประสบการณ์ตัวเอง’ ก่อนจะตัดความสงสัยอย่างเข้าใจ

“อ๋อ พี่เคยเจอแฟนเพื่อนคนนี้เหรอ มาจากเขตเมืองร้อนน่าจะเป็นเอเชียหรือไม่ก็ทางตะวันออกกลาง”

“ใช่ เคยเจอตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รู้จัก จนกระทั่งตอนนี้ยังได้เห็นอยู่”

“หล่อนก็ไม่น่าจะเป็นคนขี้ร้อน ที่จะไม่ยอมให้กอดเพราะเหตุผลนี้แน่นอน เอ...หรืออาจเกิดจากความไม่มั่นใจ ทางแก้พี่ควรให้เพื่อนกล่าวชมเธอบ่อยๆ ว่าเธอน่ารัก หรือสวย อะไรทำนองนี้ ถ้าให้ดีบอกรักบ่อยๆ บอกทุกวันไปเลย ถ้าผู้หญิงคนไหนไม่ใจอ่อนโผเข้ากอด สงสัยเซลล์สมองไม่ซีกซ้ายก็ซีกขวาอาจทำงานผิดปกติ”

ปาริสาขมวดคิ้วสงสัยเมื่ออยู่ดีๆ ชายหนุ่มตรงหน้าหลุดเสียงหัวเราะร่วน แถมเอามือกุมท้อง อย่างกับก่อนนั้นเขาได้พยายามอดกลั้นไว้ ใบหน้าขาวเนียนของเขาเริ่มแดง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หญิงสาวได้เห็นว่าผู้ชายก็หน้าแดงเป็น เหมือนกัน ทว่าเขาไม่ได้หน้าแดงเพราะความอาย แต่หัวเราะจนหน้าแดงเท่านั้น

“ริสาพูดอะไรออกไปให้พี่ตลกขนาดนั้นคะ” หล่อนถามอย่างมึนงง

“เปล่าๆ ไม่ใช่อย่างนั้น” เขาโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะรีบบอกโดยไม่ได้แต่งเสริมเอง แต่เป็นเรื่องจริงขึ้นมาอธิบายแทน “พอดีตอนริสาพูดถึงสมองซีกซ้ายซีกขวา หน้าเพื่อนคนนี้ก็ลอยมาทันที เขาชอบอ่านตำราเรียนเสียงดังให้พี่ฟังบ่อยจนต้องเลิกสนใจหรือรำคาญ กลายเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวันไปเสียแล้ว โดยเฉพาะไอ้เรื่องเกี่ยวกับสมองซีกซ้ายซีกขวาพี่ได้ยินบ่อยมาก”

“เพื่อนพี่กำลังเรียนทางด้านพวกแพทย์เหรอคะ” ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า

“ไม่ไหวแล้ว ขืนถามคำถามเธออีกมีหวังกล้ามท้องเป็นตะคริวจากการพยายามกลั้นหัวเราะแน่”

“ไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน ริสาตอบทุกคำถามด้วยความจริงจังทั้งนั้น ถึงพี่จะมีเหตุผลในการหัวเราะกับคำถามที่เพิ่งผ่านมาก็เถอะ” หญิงสาวพูดน้ำเสียงกระเง้ากระงอดอย่างรู้สึกขัดใจ มองเขาตาค้อน ก่อนจะตัดพ้ออย่างน้อยใจ

“พี่คงเห็นว่าริสาไม่ใช่คู่คิดหรือคนที่คอยให้คำปรึกษาเวลาพี่มีปัญหาได้ใช่ไหม”

“ไม่เลย และควรจะภูมิใจด้วยซ้ำ” เขาบอกด้วยรอยยิ้ม

“ภูมิใจกับเรื่องอะไรคะ”

“ก็พี่ไม่เคยหัวเราะแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย หรือแม้แต่กับเพื่อนสนิท ตั้งแต่ได้รู้จัก ได้พูดคุยกับน้องริสา พี่กำลังรู้สึกเหมือนได้วิญญาณของตัวเองที่หายสาบสูญไปนาน กลับคืนมา”

ปาริสาบอกกับตัวเองว่าเป็นคำพูดที่ฟังแล้วจับใจเหมือนเดิม และก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างภาคภูมิอยู่ข้างในลึกๆ เมื่อเขาไม่เคยแสดงท่าทางอารมณ์แบบนี้มาก่อน ทว่าหญิงสาวไม่อยากให้เขาได้ใจจนเกินไป หากรู้ว่าหล่อนรู้สึกปลาบปลื้มแค่ไหน จึงพูดสวนทางกับความรู้สึกออกไป

“ริสาเป็นแฟนพี่นะ ไม่ใช่คณะแสดงตลก” ร่างสูงยกริมฝีปากยิ้มก่อนจะบอก

“ทีนี้เข้าใจความรู้สึกพี่ตอนนั้นหรือยัง ที่พูดว่าพี่เป็นนักกีฬานะ ไม่ใช่นักแสดง” ฝ่ายหญิงสาวถึงกับอึ้งสนิทไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ กลัวเขาจะไม่ยอมทำตามคำที่เคยขอร้องไว้

“ก็ได้ค่ะ ริสาเข้าใจแล้ว” หล่อนมองเขาตาปริบๆ รีบสำทับอีกครั้ง “แต่ทุกอย่างยังคงไปตามแผนเดิมนะคะ ริสาแค่รู้สึกอายเท่านั้น ผ่านไปสักสัปดาห์ริสาจะคบกับพี่อย่างเปิดเผย ตอนนี้ต้องทำเนียนไปก่อนนะคะ”
ร่างสูงพยักหน้าไม่ได้ตอบอะไร แค่นี้หล่อนก็รู้สึกเบาใจแล้ว ก่อนจะฉุกใจถามบางอย่างเพราะนึกสงสัย

“ริสาถามหน่อยได้ไหมคะ ว่าพี่ปารีสมีไอคิวเท่าไหร่”

ปารีสหันขวับกลับไปมองหญิงคนรัก รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะไม่เคยเจอใครตั้งคำถามแบบนี้กับเขามาก่อน แม้แต่กับเพื่อนสนิทอย่างทวีป ถึงจะสนิทแค่ไหนก็มีบางเรื่องที่ตนเว้นไว้เพราะไม่เคยคิดจะอวดเรื่องแบบนี้ให้ใครฟัง เพราะมันเปรียบเสมือนดาบสองคม บางอย่างเมื่อมีข้อดีย่อมต้องมีข้อเสียเช่นกัน

“ทำไมถึงถามแบบนั้น เป็นคำถามที่ฟังแล้วแปลกดี” ร่างสูงพูดกลั้วหัวเราะ

“ก็ริสามีความรู้สึกว่าความคิดของพี่เหมือนข้อมูลถูกจัดเรียบเรียงเป็นตู้เอกสารอย่างเป็นระบบ เมื่อพี่นึกต้องการอะไร ก็สามารถเปิดลิ้นชักดึงข้อมูลมาใช้ได้ทันที ก่อนนั้นพี่บอกว่ารู้สึกแปลกใจว่าจำคำพูดทุกอย่างจากคุณพ่อได้ไม่เคยลืมทั้งที่ตอนนั้นเป็นเด็ก อยู่ๆ คำถามนี้ก็ผุดขึ้นมาเอง”

ปารีสจุดประกายรอยยิ้มมุมปากได้รูป หล่อนช่างเป็นผู้หญิงที่แปลกเสียจริง และก็ดูจะไม่ธรรมดาเสียด้วย ที่สามารถพูดให้เขาเห็นภาพการทำงานระบบสมองของคนไอคิวสูงอย่างเขา ถึงแม้นึกอยากจะลบอะไรออกไปบ้างแต่ก็ไม่สามรถทำได้ ข้อมูลมากมายวิ่งวุ่นอยู่ในเซลล์สมองแทบทุกส่วน คำพูดง่ายๆ แต่ทำให้เข้าใจได้ชัดเจนกว่าขณะเริ่มศึกษาอ่านหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังตอนสมัยวัยเยาว์เสียอีก หลังจากได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ตอนช่วงเรียนประถม เมื่อมีแพทย์โดยทางโรงเรียนเชิญมาทำแบบทดสอบวัดระดับไอคิวเด็กๆ ในชั้นเรียน


จากนั้นบรรดาครูหลายคนจึงเลิกสงสัยว่าทำไมเด็กชายปารีสถึงทำข้อสอบได้เต็มทุกวิชาไม่เคยมีพลาด จดจำทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว แถมเคยเกิดเหตุการณ์เป็นที่โจษจันพูดกันในเหล่าผู้ถ่ายทอดวิชา เมื่อเขาเขียนลงในกระดาษคำถามว่า ‘คำถามผิดมันจึงไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง’ ความโปรดปราณอีกอย่างของเด็กชายตอนนั้นคือชอบอ่านหนังสือนอกตำราเรียน สมองเขาไปไกลเกินกว่าที่จะอ่านแค่หนังสือเรียนเหมือนเด็กปกติคนอื่นในห้อง

ความกังวลบางอย่างทำให้ต้องขอร้องครูประจำชั้น ไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกกับครอบครัวที่รับอุปการะเลี้ยงดู หลังผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตทั้งคู่ ท่านคงเข้าใจว่าเด็กฉลาดแบบเขาย่อมมีเหตุผลที่ต้องการแบบนั้น จึงยินดีทำตามคำขอร้อง หากไม่ติดอยู่ในความคิด ‘ต้องกลับไปสานต่อธุรกิจของบิดา’ และดูแลจัดการสิ่งที่ท่านสร้างมากับมือ ด้วยตัวของลูกชายคนเดียวของท่านเท่านั้น เพื่อรักษาทุกอย่างให้คงเดิม ไม่อยากให้สิ่งมีค่าทางจิตใจเหล่านั้นต้องตกไปอยู่กับใคร เขาคงเลือกเรียนแพทย์ตามนายทวีปอีกคน หรือไม่ก็อาจเป็นนักวิทยาศาสตร์

ทว่าสำหรับหญิงผู้เป็นเจ้าของหัวใจรายนี้ ปารีสอยากบอกไปตามความจริง แต่ไม่รู้อะไรมาอุดปากเขาไว้จนพูดไม่ออก ฉับพลันคงเป็นข้อมูลในลิ้นชักสมองอันใดอันหนึ่งตามคำของปาริสา เขาจึงนึกได้ทันทีว่าสมัยตอนอายุสิบขวบ คุณหญิงป้าซึ่งเป็นพี่สาวของมารดาและเป็นผู้รับอุปการะเลี้ยงดูเขาตลอดมา พาไปรับประทานอาหารในร้านแห่งหนึ่ง ได้หยิบหนังสือที่หล่นอยู่ใต้โต๊ะ เป็นเล่มบางขนาดเล็กพกพาอ่านติดตัวสะดวก ขึ้นมาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรออาหารที่ได้สั่งไว้ก่อนนั้น ส่วนคนพามาก็ไม่สนใจอะไรในตัวเด็กชาย นอกจากกำลังคุยธุระกับเพื่อนในแวดวงทางโทรศัพท์


เจ้าของคงเป็นผู้หญิงแน่นอน เพราะบทความสั้นประเภทคำคม ล้วนกล่าวถึงแต่ผู้ชายทั้งในแง่ดีและไม่ดี จนเด็กอย่างเขาตอนนั้นหยุดชะงักตรงข้อความสั้นๆ แล้วรีบปิดหนังสือที่เจอโดยบังเอิญแล้วตัดสินใจอ่านแก้เบื่อ ดันกลายเป็นเซ็งจัดแทน ก่อนจะทิ้งลงไปที่พื้นใต้โต๊ะตามเดิม ไม่คิดอยากจะอ่านอีก

เขียนมาได้ยังไงกัน ‘ไม่ควรคบผู้ชายที่ไอคิวสูงมากนักเพราะความรักมักมีปัญหา ดังเช่นมีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่าชายใดอ่านสามก๊กจบครบสามรอบคบไม่ได้’ ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กฉลาดไอคิวสูง แต่ก็ยังไม่เข้าใจดีเกี่ยวกับความรักระหว่างชายหญิงได้ลึกซึ้งเพียงพอ อย่างไรเสียก็อดหงุดหงิดไม่ได้อยู่ดี หลังจากนั้นไม่อยากจะเชื่อตัวเอง ว่าตนจะเป็นเด็กชายสิบขวบเข้าห้องสมุดเพื่ออ่านสามก๊กจนครบสามรอบ ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ต้องการประชด แค่อยากรู้อยากเห็นเพียงเท่านั้น


และกลับพบว่าเป็นหนังสือที่ให้ข้อคิดหลายอย่างหากอ่านอย่างเข้าใจ ทว่าหลายคนกลับมองว่า ‘การเข้าใจในข้อคิด’ คือคนเจ้าเล่ห์และกลายเป็นนักวางแผนที่แยบยล ชิงไหวชิงพริบเพื่อความได้เปรียบเสมอ จึงเป็นพวกที่ไม่ควรคบ สำหรับเขากลับคิดว่า การเป็นคนรู้เท่าทันคนอื่นและไม่ยอมเสียเปรียบง่ายๆ ถูกเรียกว่าเป็นคน ‘เจ้าเล่ห์’ ยังดีเสียกว่าต้องเป็นคนสิ้นท่าเพราะหลงกลเหลี่ยมจัดของใครบางคนเข้าจนกลายเป็น ‘เจ้าคนโง่ของแท้’

สวนทางกับความคิดของผู้หญิงหลายคน อาจจะรวมทั้งสาวตรงหน้า ตนอาจกลายเป็นผู้ชายไม่น่าคบและไว้วางใจทบเท่าทวีคูณ คงเป็นจำนวนตัวเลขหลายหลัก โดยไม่ต้องถอดสแควรูทหรือหารสองให้เสียเวลา ไอคิวสูงอย่างเดียวไม่พอ ยังดันไปอ่านสามก๊กจนครบสามรอบอีกต่างหาก

“พี่บอกแล้วไง ว่าให้ใช้สิทธิ์ถามด้วยความอยากรู้ได้ในวันพรุ่งนี้” ในที่สุดเขาเลือกใช้วิธีเดิม คือการปฏิเสธอย่างหลีกเลี่ยง โดยไม่โกหกแค่ตอบไม่ตรงคำถาม

“ริสาไม่ได้ขอใช้บริการไปรษณีย์ฝากหัวใจสักหน่อยและก็ไม่ได้ฝากถามเรื่องของคนนั้น” หล่อนรีบแย้งแกล้งพาซื่อ ทำไม่รู้ไม่ชี้ “แต่อยากรู้เรื่องของพี่ปารีสต่างหาก อย่ารีบเข้าใจผิดแบบนั้นสิคะ”

ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ยังไงเขาก็ไม่จนมุมง่ายๆ ตัวอักษรยังตามหลอกหลอนติดตา เหมือนไวรัสที่มีชื่อว่า ‘ไม่ควรคบกับผู้ชายที่มีไอคิวสูง’ ฝังจมอยู่ในความทรงจำ

“แต่ตอนนี้พี่กลับอยากรู้ไอคิวของน้องริสามากกว่า” เขาเอาตัวรอดด้วยการเปลี่ยนตำแหน่งเป็นผู้ถามเสียเอง ก่อนจะหยอดคำชม “ฉลาดพูดอย่างนี้ คงไม่ธรรมดาแน่ๆ”

“ริสาไม่เคยรู้ว่าตัวเองไอคิวเท่าไหร่ ก็คงระดับปกติมั่งคะ ไม่ได้โง่เกินไป และฉลาดมากแบบสุดๆ” หล่อนตอบ ปารีสพยักหน้า

“เอาไว้ก่อนแต่งงานเราสองคนค่อยไปวัดไอคิวพร้อมกันไหมครับ”

หญิงสาวตวัดหางตามองพลางคิด ‘เขาพูดราวกับเป็นเรื่องจำเป็น เหมือนต้องตรวจเลือดก่อนแต่ง’ แล้วถ้าเกิดบังเอิญหล่อนดันมีไอคิวต่ำ คนชวนคงไม่อยากแต่งงานด้วยหรืออย่างไร

“เจ้าสาวของพี่ต้องไอคิวเท่าไหร่ถึงได้มาตรฐาน” ปาริสาออกปากเร็วเท่าความคิด ชายหนุ่มหันไปยิ้มอย่างนึกขำกับคำถามสาวคนรัก

“ริสาคงเคยได้ยินว่า ผู้ชายมักชอบผู้หญิงฉลาดแต่แกล้งโง่ในบางครั้ง”

“ทราบค่ะ แล้วยังไงคะ?”

“แต่พี่ชอบผู้หญิงธรรมดา มีความจริงใจแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ มากกว่าต้องเก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ คอยอยู่ใกล้ๆ ให้พี่ได้เห็นทุกครั้งเมื่อหันไปมอง ส่วนไอคิวระดับไหนไม่เคยคิดสนใจ เพราะพี่มั่นใจว่าลูกที่เกิดมาต้องเป็นเด็กฉลาดแน่นอน”

หญิงสาวรู้สึกถึงพวงแก้มทั้งสองข้างร้อนวูบวาบเมื่อปารีสกล่าวถึงอนาคตข้างหน้า ซึ่งยังไม่ทันได้คิดวาดภาพมาก่อน ‘ลูก’ หล่อนอยากมีบุตรชายที่หน้าตาดีถอดแบบมาจากคนเป็นพ่อ

“พี่อยากมีลูกสาวที่น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนกับริสา” อยู่ๆ เขาก็พูดขึ้น ทำไมฟังแล้วมันจักจี้ในหัวใจพิลึก แถมรู้สึกกระดากอายมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก จนหล่อนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง

“อ๋อ เพราะอย่างนี้เอง เลยไม่คิดจะปรึกษาอะไรอีก” ร่างบางหันไปย่นจมูก “ก็ได้ค่ะ ริสายินดีเป็นผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ต้องฉลาดมาก” ชายหนุ่มยิ้มเขารู้ว่าหล่อนแกล้งพูดประชด

“แน่ใจนะว่าอยากให้พี่ถามปรึกษาอีก”

“ริสาอยากเป็นคู่คิดที่ดี มากกว่าจะเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่ทำตัวเหมือนกับแมว” ร่างสูงเลิกคิ้วสูงก่อนจะถามขึ้น


“ยังไงที่เรียกว่าผู้หญิงที่ทำตัวเหมือนแมว”

“ก็วันๆ ไม่ทำอะไรไงคะ” ปาริสาหันไปตอบน้ำเสียงจริงจัง “คอยแต่ตามคลอเคลียพันแข้งพันขาเจ้าของไม่ยอมไปไหน” ชายหนุ่มพยักพเยิดหน้าเข้าใจพลางหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ

“ฟังแล้ว ชักชอบแฮะ นึกอยากลองให้ริสาเป็นแมวเหมียวของพี่สักวัน”

หญิงสาวเห็นสีหน้ากรุ่มกริ่มของคนพูดยามทอดสายตาอ้อยอิ่งมายังหล่อนแล้ว ชักอยากเอานิ้วจิ้มลูกตาแพรวพราวคู่นั้นเสียเหลือเกิน...เขาคงกำลังนั่งมโนภาพยามคนรักแปลงกายเป็นแมวสาว...คนทะลึ่ง!

“ถ้าไม่มีอะไรจะถาม เรากลับกันเลยดีกว่า” หล่อนรีบบอกแก้เขินกับประกายสายตาคม ปลายเสียงฟังเหมือนสะบัดงอนเล็กน้อย

“ก็ได้ เพื่อไม่ให้ริสาเสียความรู้สึก จะถามคำถามสุดท้าย แล้วอย่าเสียใจทีหลังล่ะ พี่อุตส่าห์เปลี่ยนความคิดแล้วนะ” เรียวคิ้วบางขมวดแทบจะผูกโบว์ นึกสงสัยว่าทำไมหล่อนต้องเสียใจ

“การที่ผู้ชายอยากจะแสดงความรักกับแฟนสาวด้วยการจูบเมื่อเขาต้องการ สามารถทำได้ไหม” คำถามนี้ปาริสาใช้เวลาหยุดคิด ทว่าเพียงไม่นานก่อนจะตอบน้ำเสียงจริงจังเหมือนเดิม

“มันก็ไม่ผิดหรอกค่ะ แต่อันนี้ค่อนข้างร้อนแรงไปนิด แต่สำหรับหนุ่มสาวชาวตะวันตกคงเป็นเรื่องปกติที่จะทำแบบนั้นอย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ สำหรับคนไทยมันคงไม่เหมาะ เอาเป็นว่าทำได้นานๆ ครั้ง แต่ขอให้อยู่ในที่มิดชิดไม่ต้องไปโชว์ให้คนอื่นเห็น”

“ขอบคุณครับสำหรับคำตอบ”

“ไม่เป็นไรค่ะ แค่เรื่องเล็กน้อย ริสารู้สึกดีใจค่ะที่สามารถช่วยพี่ได้บ้าง”

“ครับ ช่วยได้มากทีเดียว” ร่างสูงพยักหน้า “ต่อไปนี้พี่สามารถจับมือ กอด และจูบน้องริสาได้ โดยจะไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้”

ปาริสาอ้าปากค้างก่อนจะหุบฉับลง หากหล่อนปฏิเสธเท่ากับเป็นทุกอย่างที่ก่อนนั้นตนได้กล่าวเอาไว้ ‘ผู้หญิงสมองกำลังมีปัญหาทางด้านความคิด’ ‘เซลล์สมองซีกซ้ายกับซีกขวาทำงานผิดปกติ’ ร่างบางเม้มปากแน่นก่อนจะสะบัดหน้าหันไปพูด

“คนเจ้าเล่ห์ คนโกหก ไหนว่าเป็นเรื่องของเพื่อนไง เรื่องของตัวเองชัดๆ”

“พี่ไม่ได้โกหก” ปารีสรีบตอบปฏิเสธ “เป็นเรื่องของเพื่อนจริงๆ แค่บังเอิญตอนนี้พี่กำลังมีปัญหาเดียวกันเท่านั้นเอง” หล่อนชักหมั่นไส้กับรอยยิ้มของเขาที่ตามมาหลังจากนั้น

“เพื่อนที่กำลังพูดถึง คงเป็นพี่ทวีปใช่ไหมคะ” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเพิ่งนึกได้ว่าเขมิกาเคยพูดให้ฟังว่าชายคนรักกำลังศึกษาเพื่อกลับไปเป็นแพทย์รับช่วงต่อธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่เมืองไทย

“ไม่รู้ล่ะ พี่ปารีสไม่ใช่พี่ทวีปสักหน่อย ริสาเองก็ไม่ใช่เขมิกา มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ความร่วมมือหรือยินยอมทุกครั้ง ที่พี่นึกอยากจะ...” ปาริสาเว้นไว้แค่นั้นอายเกินกว่าจะพูดต่อให้จบ ก่อนจะรีบสรุป “เอาเป็นว่าให้อยู่ในการพิจารณาอนุญาตเป็นครั้งๆ ไป”
ปารีสมองหญิงสาวนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก

“ยายเด็กดื้อ” เขาบอกเสียงกลั้วหัวเราะ ยื่นมือขยี้เส้นผมบนศีรษะอย่างนึกเอ็นดู หล่อนไม่ได้สวมหมวกไหมพรม คงหลุดหายไปตอนเกิดเหตุการณ์หิมะถล่ม

ปารีสหันไปจับพวงมาลัยมืออีกข้างขยับปรับเปลี่ยนเกียร์รถยนต์ เท้าเหยียบคันเร่งเต็มที่จนสามารถไต่เนินหิมะ ก่อนจะหมุนบังคับให้รถคันเก่งเคลื่อนมุ่งหน้าไปตามเส้นทางเดิม จุดหมายคือโรงแรมที่พัก ปาริสาหันไปมองร่างสูงขณะกำลังเพ่งสมาธิกับการจับพวงมาลัยไว้ให้มั่นบังคับทิศทางไปยังถนนที่เต็มไปด้วยหิมะอย่างระมัดระวัง พลางนึกสะท้อนอยู่ในหัวอกแสนเศร้า ท่าทางตลอดจนคำพูดของเขาเมื่อครู่คล้ายกับใครบางคนมาก


‘ยายเด็กดื้อ’ พ่อของหล่อนพูดแบบนี้บ่อยแล้วหัวเราะในลำคอ ใช้มือแสนอบอุ่นขยี้ศีรษะ หญิงสาวคลี่ยิ้มไปพร้อมกับความรู้สึกมั่นใจว่า เขาต้องเป็นผู้ชายที่บิดาตั้งใจส่งมาให้คอยดูแลและปกป้องบุตรสาวแทนท่านอย่างแน่นอน คำว่า ‘รัก’ เริ่มพองโตขยายจนแทบล้นหัวใจ ดวงตาเหมือนมีหยาดน้ำผึ้งอยู่ในนั้นมากกว่าจะเห็นเป็นเพียงน้ำตาคลอด้วยความรู้สึกตื้นตันและอิ่มเอมในหัวใจ

“พะ...พี่จอดรถทำไม” หญิงสาวถามเสียงตื่น อารมณ์หวานปนซึ้งเมื่อครู่หายวาบทันที เมื่อเขาหักรถจอดสนิทริมขอบทางอย่างกะทันหัน

ชายหนุ่มพยายามซ่อนรอยยิ้มภายใต้สีหน้าเรียบเฉย...มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ก็เพราะผู้หญิงของเขาคนนี้ หล่อนช่างน่ารักมากจนเขาอดใจไม่ไหวทุกที ทว่าการเล่นสนุกกับปาริสานั้น ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นหล่อนเป็นเพียงแค่ของเล่น สำหรับปารีสแล้วเป็นการแสดงความรักอย่างหนึ่ง รักมากจนกระทั่งหวงแหนว่าเขาคนเดียวเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำแบบนี้

“ทำไมต้องมองพี่ด้วยสายตาแบบนั้นด้วย ทำให้พี่เสียสมาธิ” เขาแกล้งพูด “จะให้ลงโทษแบบไหนดี จับมือ กอด หรือจูบ” หญิงสาวจ้องเขาตาโตกำลังจะอ้าปากตอบ ทว่าเขาดันดักทางอย่างรู้ทันเสียก่อน

“ตัดอันแรกออกเพราะรู้สึกเป็นโทษที่เบาไป ให้เหลือกอด กับ จูบ เลือกเอา”

“ริสามองนิดเดียวเอง พี่บอกว่าให้มองได้ แต่อย่ามองนานๆ นี่นา” หล่อนรีบตั้งตนเป็นจำเลยรีบฟ้องศาลเตี้ยที่อยู่ตรงหน้า

“พี่จับเวลาอยู่ นานเกินกำหนด” ปาริสาเม้มปาก

“เสียสมาธิเพราะคงมัวแต่จ้องจับเวลามากกว่า” หล่อนโต้กลับ “แล้วสงสัยนาฬิกาพี่คงเป็นชิ้นเดียวในโลกที่เดินเร็วผิดปกติ”

ระหว่างนั้นร่างสูงหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา สังเกตเห็นว่ามีข้อความหลายจำนวนปรากฏตรงไอคอนหน้าจอ ถึงกระนั้นเขายังไม่คิดสนใจจะเปิดดูตอนนี้ หันไปพูดกับหญิงสาว

“ก็ได้ ครั้งนี้จะยินดียกโทษให้ แต่ต้องคิดค่าเสียหายเป็นตัวเลขหลายหลักหน่อย” หล่อนกำลังจะอ้าปากเถียงหากคำพูดหยุดไว้แค่ปลายลิ้นกับคำพูดของเขา
“พี่ยังไม่มีเบอร์ติดต่อริสา ช่วยบอกเบอร์โทรของเธอหน่อย”

หญิงสาวปรับอารมณ์แทบไม่ทัน...บ้าที่สุด! แค่ต้องการเบอร์โทรศัพท์เท่านั้น ขอกันตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง ทำไมต้องชอบแกล้งกันทุกที หล่อนย่นจมูกก่อนจะบอกสิ่งที่เขาอยากได้ออกไป ร่างสูงใช้ปลายนิ้วสัมผัสตัวเลขจนครบแล้วกดโทรออก ระหว่างนั้นหันไปพูดกับปาริสา

“ว่าแต่คิดค่าปรับโดยการขอกอดจะดีไหม” เขาขอเอาดื้อๆ

หญิงสาวยังไม่ทันจะอ้าปากพูดอะไรออกมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเสียก่อน หญิงสาวรีบเบนความสนใจหันไปหยิบออกจากกระเป๋าสะพาย คิ้วเรียวบางขมวดอย่างสงสัย เพราะมันโชว์แต่ตัวเลขไม่มีชื่อปรากฏ แถมเป็นหมายเลขแปลกตาไม่คุ้นเคยอีกต่างหาก หล่อนยกขึ้นแนบหู

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ” เสียงตอบกลับชัดเจนราวกับปลายสายมานั่งกระซิบข้างหู...ทำไมจะไม่รู้สึกอย่างนั้น เมื่อหล่อนหันไปเห็น ปารีสกำลังยกโทรศัพท์แนบหูตัวเองเช่นกัน จากตอนแรกเห็นเพียงแค่ถือค้างไว้ในมือ

“ว่าไงครับ จะเซย์โนหรือเซย์เยสในการยินยอมจ่ายค่าปรับ” เขากรอกเสียงถามหล่อนผ่านทางโทรศัพท์ที่ยังไม่ยอมวางสาย

“ไม่ตกลงค่ะ” หล่อนตอบก่อนจะตัดสายทิ้ง จ้องโทรศัพท์ที่อยู่ในมือนิ่งนาน ฝ่ายปารีสต้องรีบถามเมื่อสังเกตเห็นอาการ

“มีอะไร โทรศัพท์มีปัญหาเหรอ”

“เปล่าคะ เพียงแค่...” หล่อนหยุดชะงักคำพูด สีหน้ายังคงครุ่นคิดเหมือนเดิม

“เพียงแค่อะไร” เขาถาม

“เพียงแค่ริสายังนึกไม่ออก ว่าจะเก็บเบอร์พี่ไว้ในชื่ออะไรดี” คำตอบของหญิงสาวทำเอาปารีสถึงกับต้องโคลงศีรษะ

“นึกว่าเรื่องอะไร มีให้เลือกตั้งเยอะแยะ พี่ปารีสก็ได้ ถ้าให้ดีก็แฟนของฉัน จะพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษว่า My boyfriend แทนก็ยังได้ แนะนำสุดที่รักของฉัน My beloved แต่ถ้าให้ดีแบบสุดๆ ริสาจัดไปอย่าช้า พิมพ์คำว่า สามี”


“สะ...สะ...สามี” ร่างบางตะกุกตะกักอย่างขัดเขิน

“ตอนนี้เราก็เหมือนคนคนเดียวกันแล้วไม่ใช่หรือไง คำว่าสามีภรรยาก็เปรียบเสมือนเป็นคนเดียวกัน”

“พี่เป็นไปคนเดียวเถอะ”

“พี่ไม่ใช่ แบคทีเรียหรือเชื้อราสักหน่อย ที่จะสืบสกุลโดยใช้เซลล์ของตัวเอง” เขาบอกเสียงราบเรียบ ทว่าความถี่เล็กน้อยนั้น สามารถกระตุ้นใครบางคนได้ชะงัด

“เรียบร้อยแล้วค่ะ”

“อะไรเรียบร้อย”

“ริสาตั้งชื่อเบอร์พี่ไว้ในเครื่องเรียบร้อยแล้ว”

“ตกลงน้องริสาเลือกใช้อะไรครับ”

“ปีศาจค่ะ” หล่อนบอกพร้อมรอยยิ้ม “ริสาเห็นว่ามันเหมาะกับพี่ดี อีกอย่างพี่ทวีปกับเขมิกาจะได้ไม่รู้ไงคะ ว่าเป็นเบอร์ของใคร”
ถึงแม้เจ้าหล่อนจะยกเหตุผลข้ออ้างต่อท้าย แต่มีชื่อควรตั้งอีกร้อยแปดพันอย่างให้เลือก เอะอะอะไรก็ชอบบอกว่าเขาเป็นปีศาจอยู่เรื่อยเชียว....ให้ตายเถอะ

“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องบันทึกไว้ในชื่อที่สองคนนั้นไม่มีทางรู้ว่าเป็นริสาด้วยใช่ไหมครับ”

“ค่ะ” หล่อนตอบชัดถ้อยชัดคำ ชายหนุ่มพยักหน้า ไม่นานก็หันหน้าจอโทรศัพท์มาให้ดู ปาริสามองเม้มปากแน่น เพราะเขาเก็บเบอร์หล่อนไว้ในชื่อ ‘ยายแม่มด’

“ปีศาจกับยายแม่มดเหมาะสมกันดี” เขาพูดให้ฟังก่อนจะบรรยายต่ออย่างไม่สะทกสะท้านกับใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งของอีกฝ่าย “แถมมาคิดดูให้ดีเป็นชื่อที่เหมาะกับน้องริสาที่สุดแล้ว เพราะคงไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาแน่ๆ ที่สามารถทำลายความตั้งใจของพี่ว่าจะไม่มีแฟนจนกว่าจะเรียนจบ”

“พี่โชคร้ายจังเลยนะคะ” ปาริสากล่าวเสียงเห็นใจอย่างล้อเลียน “ความจริงริสาไม่ได้ตั้งใจ กำลังจะร่ายมนต์ดำใส่หนุ่มอีกคนแท้ๆ แต่พี่ดันบังเอิญเดินผ่านมาขวางทางพอดี”

“ใครบอกครับ พี่ตั้งใจกระโดดไปขวางไว้เพื่อช่วยชีวิตหนุ่มคนนั้นต่างหาก ต้องเจอปีศาจอย่างพี่ถึงจะคู่ควร แม่มดใจร้ายจะได้กลายเป็นนางฟ้าเสียที”

ปาริสาถอนหายใจเฮือก รู้สึกสงสารตัวเองที่ไม่เคยพูดหรือโต้ตอบอะไรชนะเขาได้เลย เพราะโดนดักทางได้
หมด หญิงสาวแอบหวังไว้ว่าบางทีสักวันคงมีโอกาสทำให้เขาจนด้วยคำพูด มีอาการพูดไม่ออกเหมือนหล่อนบ้าง ปารีสนำรถเคลื่อนออกเพื่อเดินทางต่อ ผ่านไปไม่นานนักเมื่อนึกบางอย่างขึ้นได้ จึงหันไปถามสาวคนรักที่กำลังนั่งนิ่งมองหน้าจอโทรศัพท์

“หิวมากไหม เราจะแวะกินอะไรระหว่างทาง หรือจะกลับไปกินที่โรงแรม”

“กลับไปกินที่โรงแรมดีกว่า” หล่อนตอบ “ตรงนี้มีคลื่นสัญญาณพอดีค่ะ มีสายจากเขมิกาค้างหลายครั้งมาก เดี๋ยวริสาจะโทรหาเขมิกา พวกเขาจะได้หายกังวลที่เราเงียบหายไป”

ชายหนุ่มพยักหน้าก่อนจะนั่งเงียบขับรถไปเรื่อยๆ ระหว่างฟังปาริสาคุยกับเขมิกาผ่านทางโทรศัพท์ ปารีสอดยิ้มไม่ได้ สงสัยคนปลายสายต้องถามอะไรสักอย่าง เจ้าหล่อนจึงออกอาการตอบตะกุกตะกัก นึกถึงตอนที่เขาโดนสั่งให้แสดงบทบาทแนบเนียนเพื่อตบตาคนอื่น แต่เจ้าตัวดันออกอาการพิรุธแบบนี้มีหวังถูกจับได้ไปไหนไม่รอด ดูเหมือนปาริสารีบตัดบทเพื่อเอาตัวรอดโดยการรีบบอกว่า ‘กลับไปค่อยเล่าให้ฟัง’ ก่อนจะกดสายทิ้ง

“รู้สึกอีกไม่นานจะผ่านร้านแฮมเบอร์เกอร์เล็กๆ ริมทาง จะแวะซื้อกินรองท้องไปก่อนไหม จะได้ไม่หิวมาก” เขาถามขึ้น

“ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงท้องร้องครวญครางได้ยินชัดทันทีเมื่อพูดจบ หญิงสาวรีบเอามือกุมท้องตัวเองรู้สึกอายเล็กน้อย

“สงสัยต้องเป็นแล้วล่ะ ลองพยาธิรีบออกมาเดินขบวนประท้วงขนาดนี้”
ร่างสูงพูดไปยิ้มไป ร่างบางเหลือบมองทำหน้ายุ่ง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงชอบทำให้ตัวเองต้องหน้าแตกอยู่เรื่อย แถมยังเผลอหลงกลในคารมความเจ้าเล่ห์ของเขาเป็นประจำ คงเพราะเหตุนี้คนที่กำลังนั่งอมยิ้มอย่างนึกขันถึงได้สนุกกับการหาโอกาสจะแกล้งหล่อนเล่น


ปาริสารีบปรับอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติ ก่อนจะหันไปเอื้อมหยิบบางอย่างที่สังเกตเห็นนานแล้ว ระหว่างกำลังนั่งรอเขาจัดการกับหิมะออกจากล้อรถยนต์ ฉวยติดมือมาได้ก็วางบนหน้าตักตัวเอง เป็นถุงพลาสติกที่มีของกินเล่นในนั้น โดยตนก็ยังไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง โชคดีจริงที่เขมิกาลืมทิ้งไว้

“ริสาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าไม่หิว” หล่อนพึมพำบอกเขา “แต่จะบอกว่าไม่เป็นไรเพราะมีของกินในรถแล้ว” คนฟังเหลือบหันมามองก่อนจะเบือนหน้ากลับไปจดจ่ออยู่ยังเส้นทางตั้งใจขับรถโดยไม่พูดอะไร

ร่างบางเริ่มลงมือคุ้ยหาของกินในถุงหิ้วพลาสติกใบขนาดย่อม ขนมขบเคี้ยวห่อเล็กๆ สองสามชนิด ปาริสาไม่ชอบอาหารจำพวกนี้นักจึงมองผ่าน จนเจอพิซซ่าตัดแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ห่อกระดาษฟอยด์บรรจุในกล่องสามเหลี่ยม กำลังจะเอาส่วนที่ตนฉีกแบ่งเป็นคำเล็กพอกินเข้าปาก ก่อนจะเปลี่ยนใจหันไปทางชายหนุ่ม

“พี่ปารีสทานไหมคะ ริสาป้อน” หล่อนยื่นไปแทบชิดปาก เห็นเขามองอย่างสังเกต ก่อนถาม

“หน้าอะไร”

“หน้าซีฟู้ดค่ะ” หล่อนบอกขณะมือยังถือค้างไว้อยู่อย่างนั้น

“พี่ไม่กินซีฟู้ด”
ปาริสาหรี่ตามองคนตัวโต ทำราวกับเด็กกินอาหารแล้วชอบเขี่ยผักไว้ข้างจานไม่ยอมเอาเข้าปาก ร่างบางชักมือกลับเสียอารมณ์คนนึกอยากทำหวานเอาอกเอาใจ พลันนึกถึงคำพูดว่าเขาเคยบอกว่ามักเลือกกินเฉพาะบางอย่างเท่านั้น กำลังจะเอาเข้าปากตัวเองอยู่แล้วเชียว ดันถูกมือแข็งแรงจับยึดไว้ พร้อมกับคำถามชวนสงสัย

“ไม่มีอย่างอื่นกินอีกแล้วหรือไง นอกจากอันนี้” แต่มันน่าโมโหตรงที่เขาดึงไปจากมือแล้วทิ้งลงถังขยะขนาดเล็กที่มีติดอยู่ในรถ

“ทำไมพี่ต้องทิ้งของกินแบบนี้ มันยังไม่เสียจนกินไม่ได้สักหน่อย” หญิงสาวเริ่มโวย

“พี่แพ้อาหารทะเล”
ปาริสานิ่งไปเมื่อได้ยินข้อมูลใหม่เกี่ยวกับตัวเขา หล่อนไม่เคยทราบมาก่อน ความหงุดหงิดหรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า ‘โมโหหิว’ เริ่มจางลง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันเกี่ยวอะไรกันในเมื่อ...

“แต่ริสาไม่ได้แพ้อาหารทะเลสักหน่อยนะคะ” ก่อนจะย้ำชัดๆ “ริสากินได้”

“พี่กินไม่ได้ น้องริสาก็ไม่ควรกิน”

“ทำไมคะ”

“เพราะถ้าเกิดนึกอยากจูบเธอขึ้นมา แต่ริสาดันกินอาหารทะเลไปแล้วตอนนั้น พี่คงทำไม่ได้”


หญิงสาวพยายามกลั้นยิ้มกับคำตอบ ถ้าไม่ติดว่าเขาทิ้งลงไปในถังขยะเสียแล้ว จะรีบยัดเข้าปากอย่างไว...แต่ไม่เป็นไรในที่สุดก็รู้วิธีทำตัวเป็น ‘ยายเด็กดื้อ’ บางทีโอกาสหน้าอาจอยากแกล้งเขาด้วยการกินอาหารทะเลให้เต็มคราบไปเลย


ร่างบางหยิบถุงขนมเคี้ยวที่ไม่ใช่ของโปรดเปิดห่อหยิบเข้าปาก แล้วเบือนหน้ามองออกไปนอกกระจกรถ หล่อนไม่ได้สนใจจะมองวิวทิวทัศน์ข้างทางหรอก เพียงแต่หันไปยิ้มกับตัวเองเพื่อไม่ให้คนนั่งข้างเห็น แปลกนักทำไมถึงรู้สึกดีและผ่อนคลาย เมื่อผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างปารีสกลับมีจุดอ่อน ก่อนนั้นปาริสาแอบอัดอึดอยู่บ้างเป็นบางครั้งกับความเพียบพร้อมไปทุกด้านแทบหาที่ติไม่เจอ

........
โปรดติดตามตอนต่อไป



มุกมาดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ส.ค. 2555, 18:44:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ส.ค. 2555, 18:44:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1798





<< ตอนที่ 10 ต้นเมเปิ้ลกับกำแพงต้นสน   ตอนที่ 12 เมนูรัก >>
ฝนปราย 2 ส.ค. 2555, 21:57:18 น.
ดีใจจังกลับมาแล้ว


pseudolife 3 ส.ค. 2555, 01:22:24 น.
พี่ปารีสน่ารัก แต่เจ้าเล่ห์เกินไป คนอ่านเหนื่อยแทนน้องริสาค่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account