ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: ไนล์ (๔)
ตอนนี้ลายลินินได้วางแผงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกันครับ ผู้อ่านสามารถติดตามผลงานของนาถลดาได้ตามแผงหนังสือในร้านหนังสือชั้นนำทั่วไปครับ
+++++++++++++++
แผ่นเงินขัดจนขึ้นเงาถูกยกมาวางกลางห้องรโหฐาน ความสูงของมันเทียบเท่าตัวผู้ยืน หญิงรับใช้สองนางในชุดลินินกรุยกรายประคองจับขอบหุ้มด้วยงานไม้สลัก วาดภาพลงสีเป็นกกปาปิรุสและดอกบัวสาย เงาสะท้อนภายในนั้น อารีสเห็นบางคน
งดงาม...เย้ายวน
ภายใต้ชุดลินินบางเบาเพียงมองผ่านก็เห็นทรวดทรงองค์เอว ไร้เครื่องประดับ ใบหน้ากระจ่างปราศจากเครื่องสำอางแต้มแต่ง ผิวเนื้อนวลเนียน ผมหยักศกยาวสยาย เอวคอดกิ่วคาดด้วยครุยสีแดงชาด มัดปมพิถีพิถัน
จากนั้น...บิดตัว...ซ้ายที...ขวาที เรียบร้อยจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงรับใช้นำกระจกเงินบานใหญ่ไปเก็บไว้ที่เดิม
“มาช่วยเราปรุงโฉม...บาสตี”
บาสตีเช่นนั้นหรือ?
อารีสเพิ่งตระหนัก บัดนี้หล่อนไม่ใช่นักโบราณคดีสาว หากเป็นบาสตี ไม่สิ...หล่อนกำลังอยู่ในร่าง...ความคิด...จิต หรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่ ทว่าเวลานี้หญิงสาวอยู่ ‘ภายใน’ ของช่างฝีมือทอผ้าประจำตัวพระนางเนเฟอร์ตารี ชายาเอกแห่งฟาโรห์รามเสสมหาราช
ดังนั้นแล้ว...สตรีที่เพิ่งแต่งองค์ทรงเครื่องหน้ากระจกเงินเมื่อครู่ ก็คงเป็น ‘พระนาง’
เรื่องราวดำเนินมาเช่นนี้ อารีสก็จนด้วยคำอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผ้าลินินโบราณผืนนั้นนำหล่อนมาสู่ความฝัน...หรือ...ความจริง เป็นเงาของอดีต...หรือ...ปัจุบันของอดีต แต่จะต่างกันอย่างไรในเมื่อเหล่านั้นคืออาณาจักรอียิปต์โบราณ ผ่านสายตาและความนึกคิดของบาสตี ช่างฝีมือทอผ้าประจำราชสำนัก
“มาบาสตี ปรุงโฉมเรา” ทรงรับสั่งหา บาสตีก็ตามเสด็จไปถึงเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทอง ที่ประทับซึ่งทรงโปรดเป็นพิเศษ
พระนางเนเฟอร์ตารีประทับนั่ง ข้างๆ เก้าอี้ไม้มีโต๊ะไม้สลักลวดลายลงสี เป็นงานฝีมือจากช่างหลวงไม่ต่างจากเก้าอี้ที่ประทับ บนโต๊ะมีกล่องเครื่องสำอางซึ่งทำจากไม้วางอยู่ เป็นกล่องสี่เหลี่ยม รอบกล่องเขียนลวดลายลงสีประณีต ข้างกล่องมีหมุดไม้สำหรับใช้ดึงออกมาเป็นลิ้นชัก
ภายในมีข้าวของเครื่องใช้เรียงรายเป็นระเบียบ ทั้งหวีไม้ โถเครื่องสำอางขนาดย่อม กระจกถือเป็นแผ่นจานกลมทำด้วยเงินขัดจนมันเงา ด้ามจับเป็นไม้เขียนลายลงสี
พระนางเนเฟอร์ตารีทรงหยิบพระฉายส่องพระพักตร์ จากนั้นจึงรับสั่งให้บาสตีพร้อมเหล่าหญิงรับใช้เตรียมเครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้าประทินโฉม ทุกนางต่างจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
หญิงรับใช้นางหนึ่งหันไปเตรียมผงเครื่องเทศเฮนนาละลายน้ำมันหอม ผสมจนเป็นเนื้อเดียว สีเขียวอ่อนๆ นำไปชโลมผมให้มันเงาแล้วรวบเกล้าเก็บพิถีพิถัน ที่เหลือใช้นวดฝ่ามือและฝ่าเท้าเพื่อบำรุง
บนโต๊ะสำหรับวางกล่องเครื่องสำอาง หญิงรับใช้ประจำโต๊ะจัดแจงหยิบโถงาช้างขนาดเล็กวางเรียงเป็นระเบียบ ทั้งยังคอยส่งของเหล่านั้นเมื่อถูกเรียก
“การีนา” บาสตีเรียกหญิงรับใช้ให้เปิดโถแรก จากนั้นจึงหันไปหยิบไม้สำหรับเขียนขอบตาจุ่มก้านเล็กเรียวยาวลงในโถ ดึงขึ้นมาปรากฏก้านไม้ติดสีดำ บรรจงวาดลงที่ขอบตาของพระนางเนเฟอร์ตารีก็กลายเป็นเส้นขอบตางดงามอย่างคาดไม่ถึง
“งาม...การีนาคราวนี้ดีกว่าคราวที่แล้ว” ตรัสชม เมื่อทอดพระเนตรเงาสะท้อนในพระฉาย “เข้มกว่าของเดิมที่เคยใช้”
“เห็นว่าองค์กษัตริย์ทรงให้นายช่างไปคุมการขุดจากทะเลทรายตะวันออกเพคะ” บาสตีกล่าวเสริม ก่อนจะหันไปจุ่มการีนาในโถอีกครั้ง แล้วบรรจงเขียนขอบพระเนตรอีกข้าง
ผ่านสายตาของบาสตี อารีสเห็นและรับรู้ทุกอย่าง สำหรับเรื่องของการีนา หล่อนเคยได้ยินไอซิสพูดถึงอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นแร่จำพวกถ่านหิน คนอียิปต์มักนำไปเขียนตา โดยเฉพาะในสมัยของพระนางเนเฟอร์ตารี แฟชั่นการเขียนขอบตายาวไปเกือบถึงใบหูเป็นที่นิยมยิ่งยวด แม้เหล่าภิกษุณีในวิหารต่างๆ ก็มักใช้มันในการศาสนา นักบวชหญิงจะเขียนขอบตายาว พร้อมทั้งเจิมรูปปั้นเทพเจ้าด้วยการีนาเช่นกัน
“มาลักไค” บาสตีหันไปบอกหญิงรับใช้ผู้ดูแลกล่องเครื่องสำอางให้เปิดโถที่สอง เตรียมเครื่องประทินโฉมถัดไป
หญิงรับใช้เปิดโถ ค่อยๆ เทผงสีเขียวอมฟ้าลงจานขนาดเล็ก จากนั้นจึงหันไปหยิบโถใบที่สาม ค่อยๆ รินของเหลวเยิ้มใสลงผสมในผงมาลักไคนั้น เพียงนิดแล้วคลุกเคล้าด้วยปลายนิ้ว ผงเครื่องสำอางก็ละลายเป็นครีมเยิ้มสีเทอร์คอยซ์
บาสตีรับจานเครื่องสำอาง จากนั้นใช้ปลายนิ้วจุ่มครีมเหลว บรรจงปาดไล้บนเปลือกตาอย่างพิถีพิถัน
“คราวนี้ผสมไขวัวเพคะ” บาสตีพูดพลางจัดแจงแต่งเปลือกพระเนตร “ใช้ได้ดีไม่แพ้ไขห่านคราวที่แล้ว”
“เยี่ยม...ไม่เสียแรงที่เราให้เจ้าทำให้ ไม่เปรอะสักนิด” ทรงรับสั่งพลางส่องพระฉาย จากนั้นจึงหันมาแย้มสรวลให้หญิงรับใช้คนสนิท
บาสตีก้มหน้ารับ จากนั้นจึงคืนจานมาลักไค แล้วเรียกหาเครื่องสำอางชิ้นต่อไป
“ชาด”
โถรองสุดท้ายถูกเปิดออก หญิงรับใช้ผู้ดูแลค่อยๆ เทผงสีแดงสมชื่อ ‘ชาด’ ลงจานใหม่สองใบ ปริมาณเพียงนิด จานหนึ่งผสมไขวัวจากโถใบเดิมที่เคยใช้กับมาลักไค อีกส่วนใช้น้ำมันในโถใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
บาสตีรับจานชาดผสมไขวัวมาเคล้าด้วยปลายนิ้วจนกลายเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงบรรจงแต้มเกลี่ยบนพระปรางนวลปลั่งทั้งสองข้างจนกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
วางจานชาดที่หนึ่งลง จานชาดที่สองก็ถูกยื่นมาให้ บาสตีรับไว้พร้อมหันไปถามย้ำกับสิ่งที่หล่อนกำลังสงสัย
“ผสมน้ำมันเมล็ดกะหล่ำใช่ไหม”
หญิงรับใช้ผู้ดูแลกล่องเครื่องสำอางก้มหน้ารับอย่างนอบน้อม อารีสมองดู ผ่านสายตาของบาสตี ไม่รู้เพราะเหตุใดหล่อนจึงรู้สึกถึงความยำเกรงที่ปรากฏชัดในแววตาของหญิงรับใช้นางนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า...นางคงทราบเรื่องบาสตีอาจได้ขึ้นเป็นชายาของกษัตริย์ ด้วยการผลักดันของพระนางเนเฟอร์ตารี
จากความฝันคราวที่แล้ว ดูเหมือนพระนางเนเฟอร์ตารีมีความพยายามยิ่งยวดที่จะผลักดันให้ช่างฝีมือประจำพระองค์ได้ขึ้นมายืนอยู่ ณ จุดของชายากษัตริย์ ทั้งยังเตรียมพร้อมสำหรับฐานอำนาจแห่งชายาเทพของอามุนไว้รอล่วงหน้า
'คงต้อง...รอดูกันต่อไป' อารีสคิด
บาสตีกำลังจะวาดชาดผสมน้ำมันเมล็ดกะหล่ำบนริมพระโอษฐ์ หากอึดใจกลับนิ่งเสีย คิ้วขมวด สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“เป็นอะไร?” พระนางเนเฟอร์ตารีทรงถาม หากหญิงรับใช้กลับไหวดวงหน้าน้อยๆ เชิงปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรเพคะ” อารีสรู้ จากความคิดของหล่อน บาสตีสงสัยความคิดของอารีสเมื่อครู่ “แค่รู้สึกเหมือน...คิดอะไร...ที่ไม่ใช่ความคิดตัวเอง”
พระนางเนเฟอร์ตารีขมวดพระขนง หากไม่นาน ทรงแย้มสรวล
“คงต้องให้หมอมาตรวจ” แล้วสรวลอย่างพอพระทัย
“พระองค์ละก็...” บาสตีก้มหน้าเคอะเขิน จากนั้นจึงตัดใจจากความคิด จัดการวาดชาดผสมน้ำมันเมล็ดกะหล่ำบนพระโอษฐ์อย่างคมชัด ไม่เปรอะเปื้อนแม้เพียงนิด ครั้นครบครันหญิงรับใช้ผู้ดูแลวิกผมก็นำวิกผมยาวหนามาสวมทับพระเกศาซึ่งรวบเก็บเรียบร้อย จบท้ายด้วยเครื่องประดับทองคำและเพชรนิลจินดาจากกล่องเครื่องประดับประจำพระองค์
สมบูรณ์ทุกประการ...อารีสมองผ่านสายตาและความนึกคิดของบาสตี รับรู้ถึงความงามอันเป็นนิรันดร์
พระนางทรงเครื่องอย่างนางกษัตริย์ สวมวิกผมยาวถึงกลางหลัง หนาด้วยขี้ผึ้ง หอมฟุ้งด้วยน้ำมันหอม ทรงศิราภรณ์ทำจากเม็ดพลอยประดิษฐ์เป็นนกแร้งสยายปีกโอบทับพระเกศาปลอม พระพักตร์อิ่มเอิบงดงามด้วยเครื่องประทิน
ส่วนวรกายทรงภูษาลินินขาวกรุยกรายประดับใยทองจีบประณีต บั้นพระองค์คาดด้วยครุยสีแดงชาด ระยิบระยับเรืองรองด้วยเครื่องประดับทองและเพชรนิลจินดา
นี่ล่ะ...ชายาเทพเนเฟอร์ตารี
มหาราชินี...แห่ง...ธีบส์
อารีสมัวแต่ชื่นชมพระโฉมผ่านสายตาของบาสตี โดยไม่ได้สังเกตเห็นหญิงรับใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา กระทั่งนางนั่งลงแล้วหมอบกรานเคารพชายาเอกนั่นล่ะ...จึงค่อยรู้ตัว
“องค์กษัตริย์มีรับสั่งทูลเชิญพระนางเสด็จขึ้นเรือที่ประทับเพคะ” นางแหงนหน้ากราบทูล “ขบวนเสด็จเตรียมพร้อมแล้วที่หน้าพระตำหนัก”
“ได้เวลาแล้วหรือ” รับสั่งถาม หากไม่ทรงรอฟังคำตอบ เพราะพอตรัสจบก็เสด็จลุกจากเก้าอี้ประทับ หันมาหาบาสตีก่อนจะเรียกให้ตามเสด็จ
“ไปกัน...บาสตี เราจะไปล่องแม่น้ำไนล์”
“หม่อมฉัน...”
ดูเหมือนบาสตีจะอึดอัดใจไม่น้อยกับรับสั่งเมื่อครู่ แต่เมื่อทรงรบเร้าอีกหน นางก็จนด้วยข้อแก้ตัว จำต้องตามเสด็จ โดยมีหญิงรับใช้นางอื่นลอบมองด้วยสายตาที่บ่งบอกอารมณ์แตกต่างกัน
ไม่พอใจ...อิจฉา...หรือเฉยเมย
บาสตีเหลียวไปเห็น หากไม่มีโอกาสอธิบาย พวกนางทั้งหลายจะรู้เหมือนที่อารีสรู้หรือไม่ ในใจของบาสตีเวลานี้เต็มไปด้วยความอึดอัดขับข้อง ในห้วงความคิด...ปรากฏภาพบุรุษหนุ่มร่างกำยำ ใบหน้าคมคายหล่อเหลาทรงชุดอย่างกษัตริย์ องอาจผยอง เขาแย้มยิ้มให้ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ
หากไม่ใช่เพียงหนึ่ง...
ในความคิดของบาสตี ใบหน้าคมเข้ม ปะปนด้วยใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนที่ดูงามชดช้อยอย่างชายเจ้าสำอาง หากรอยยิ้มนั้นพิมพ์ใจบริสุทธิ์ รูปร่างสันทัด นุ่งห่มผ้าลินินประดับแผงสร้อยสำริดงดงาม
‘ใครกัน’ อารีสสงสัย ในความคิดของบาสตีปรากฏภาพชายสองคน หนึ่งซึ่งอยู่ในชุดทรงอย่างกษัตริย์ พอจะเดาออกว่าคงเป็นฟาโรห์รามเสสมหาราช ผู้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พระนางเนเฟอร์ตารีจะใช้ผันฐานะของช่างฝีมือทอผ้าประจำพระองค์
หากอีกคนนี่สิ...เป็นใคร
ในบางภาพเขาไม่ได้ปรากฏมาตัวเปล่า ทว่าในมือยังกำดอกไม้ไว้ช่อหนึ่ง ทำท่ายื่นมันมาต่อหน้า ดอกไม้ซึ่งอารีสคุ้นตาเป็นพิเศษ กลีบดอกบาง ๔ – ๕ กลีบเรียงเป็นวง สีม่วงระเรื่อหวานขับกับสีเขียวของต้นและใบแคบเล็ก
ทำไมอารีสจะไม่รู้จัก ‘ดอกลินิน’
++++++++++++++++
+++++++++++++++
แผ่นเงินขัดจนขึ้นเงาถูกยกมาวางกลางห้องรโหฐาน ความสูงของมันเทียบเท่าตัวผู้ยืน หญิงรับใช้สองนางในชุดลินินกรุยกรายประคองจับขอบหุ้มด้วยงานไม้สลัก วาดภาพลงสีเป็นกกปาปิรุสและดอกบัวสาย เงาสะท้อนภายในนั้น อารีสเห็นบางคน
งดงาม...เย้ายวน
ภายใต้ชุดลินินบางเบาเพียงมองผ่านก็เห็นทรวดทรงองค์เอว ไร้เครื่องประดับ ใบหน้ากระจ่างปราศจากเครื่องสำอางแต้มแต่ง ผิวเนื้อนวลเนียน ผมหยักศกยาวสยาย เอวคอดกิ่วคาดด้วยครุยสีแดงชาด มัดปมพิถีพิถัน
จากนั้น...บิดตัว...ซ้ายที...ขวาที เรียบร้อยจึงโบกมือเป็นสัญญาณให้หญิงรับใช้นำกระจกเงินบานใหญ่ไปเก็บไว้ที่เดิม
“มาช่วยเราปรุงโฉม...บาสตี”
บาสตีเช่นนั้นหรือ?
อารีสเพิ่งตระหนัก บัดนี้หล่อนไม่ใช่นักโบราณคดีสาว หากเป็นบาสตี ไม่สิ...หล่อนกำลังอยู่ในร่าง...ความคิด...จิต หรือจะเรียกอะไรก็ตามแต่ ทว่าเวลานี้หญิงสาวอยู่ ‘ภายใน’ ของช่างฝีมือทอผ้าประจำตัวพระนางเนเฟอร์ตารี ชายาเอกแห่งฟาโรห์รามเสสมหาราช
ดังนั้นแล้ว...สตรีที่เพิ่งแต่งองค์ทรงเครื่องหน้ากระจกเงินเมื่อครู่ ก็คงเป็น ‘พระนาง’
เรื่องราวดำเนินมาเช่นนี้ อารีสก็จนด้วยคำอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผ้าลินินโบราณผืนนั้นนำหล่อนมาสู่ความฝัน...หรือ...ความจริง เป็นเงาของอดีต...หรือ...ปัจุบันของอดีต แต่จะต่างกันอย่างไรในเมื่อเหล่านั้นคืออาณาจักรอียิปต์โบราณ ผ่านสายตาและความนึกคิดของบาสตี ช่างฝีมือทอผ้าประจำราชสำนัก
“มาบาสตี ปรุงโฉมเรา” ทรงรับสั่งหา บาสตีก็ตามเสด็จไปถึงเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทอง ที่ประทับซึ่งทรงโปรดเป็นพิเศษ
พระนางเนเฟอร์ตารีประทับนั่ง ข้างๆ เก้าอี้ไม้มีโต๊ะไม้สลักลวดลายลงสี เป็นงานฝีมือจากช่างหลวงไม่ต่างจากเก้าอี้ที่ประทับ บนโต๊ะมีกล่องเครื่องสำอางซึ่งทำจากไม้วางอยู่ เป็นกล่องสี่เหลี่ยม รอบกล่องเขียนลวดลายลงสีประณีต ข้างกล่องมีหมุดไม้สำหรับใช้ดึงออกมาเป็นลิ้นชัก
ภายในมีข้าวของเครื่องใช้เรียงรายเป็นระเบียบ ทั้งหวีไม้ โถเครื่องสำอางขนาดย่อม กระจกถือเป็นแผ่นจานกลมทำด้วยเงินขัดจนมันเงา ด้ามจับเป็นไม้เขียนลายลงสี
พระนางเนเฟอร์ตารีทรงหยิบพระฉายส่องพระพักตร์ จากนั้นจึงรับสั่งให้บาสตีพร้อมเหล่าหญิงรับใช้เตรียมเครื่องสำอางสำหรับการแต่งหน้าประทินโฉม ทุกนางต่างจัดการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
หญิงรับใช้นางหนึ่งหันไปเตรียมผงเครื่องเทศเฮนนาละลายน้ำมันหอม ผสมจนเป็นเนื้อเดียว สีเขียวอ่อนๆ นำไปชโลมผมให้มันเงาแล้วรวบเกล้าเก็บพิถีพิถัน ที่เหลือใช้นวดฝ่ามือและฝ่าเท้าเพื่อบำรุง
บนโต๊ะสำหรับวางกล่องเครื่องสำอาง หญิงรับใช้ประจำโต๊ะจัดแจงหยิบโถงาช้างขนาดเล็กวางเรียงเป็นระเบียบ ทั้งยังคอยส่งของเหล่านั้นเมื่อถูกเรียก
“การีนา” บาสตีเรียกหญิงรับใช้ให้เปิดโถแรก จากนั้นจึงหันไปหยิบไม้สำหรับเขียนขอบตาจุ่มก้านเล็กเรียวยาวลงในโถ ดึงขึ้นมาปรากฏก้านไม้ติดสีดำ บรรจงวาดลงที่ขอบตาของพระนางเนเฟอร์ตารีก็กลายเป็นเส้นขอบตางดงามอย่างคาดไม่ถึง
“งาม...การีนาคราวนี้ดีกว่าคราวที่แล้ว” ตรัสชม เมื่อทอดพระเนตรเงาสะท้อนในพระฉาย “เข้มกว่าของเดิมที่เคยใช้”
“เห็นว่าองค์กษัตริย์ทรงให้นายช่างไปคุมการขุดจากทะเลทรายตะวันออกเพคะ” บาสตีกล่าวเสริม ก่อนจะหันไปจุ่มการีนาในโถอีกครั้ง แล้วบรรจงเขียนขอบพระเนตรอีกข้าง
ผ่านสายตาของบาสตี อารีสเห็นและรับรู้ทุกอย่าง สำหรับเรื่องของการีนา หล่อนเคยได้ยินไอซิสพูดถึงอยู่บ่อยๆ ว่าเป็นแร่จำพวกถ่านหิน คนอียิปต์มักนำไปเขียนตา โดยเฉพาะในสมัยของพระนางเนเฟอร์ตารี แฟชั่นการเขียนขอบตายาวไปเกือบถึงใบหูเป็นที่นิยมยิ่งยวด แม้เหล่าภิกษุณีในวิหารต่างๆ ก็มักใช้มันในการศาสนา นักบวชหญิงจะเขียนขอบตายาว พร้อมทั้งเจิมรูปปั้นเทพเจ้าด้วยการีนาเช่นกัน
“มาลักไค” บาสตีหันไปบอกหญิงรับใช้ผู้ดูแลกล่องเครื่องสำอางให้เปิดโถที่สอง เตรียมเครื่องประทินโฉมถัดไป
หญิงรับใช้เปิดโถ ค่อยๆ เทผงสีเขียวอมฟ้าลงจานขนาดเล็ก จากนั้นจึงหันไปหยิบโถใบที่สาม ค่อยๆ รินของเหลวเยิ้มใสลงผสมในผงมาลักไคนั้น เพียงนิดแล้วคลุกเคล้าด้วยปลายนิ้ว ผงเครื่องสำอางก็ละลายเป็นครีมเยิ้มสีเทอร์คอยซ์
บาสตีรับจานเครื่องสำอาง จากนั้นใช้ปลายนิ้วจุ่มครีมเหลว บรรจงปาดไล้บนเปลือกตาอย่างพิถีพิถัน
“คราวนี้ผสมไขวัวเพคะ” บาสตีพูดพลางจัดแจงแต่งเปลือกพระเนตร “ใช้ได้ดีไม่แพ้ไขห่านคราวที่แล้ว”
“เยี่ยม...ไม่เสียแรงที่เราให้เจ้าทำให้ ไม่เปรอะสักนิด” ทรงรับสั่งพลางส่องพระฉาย จากนั้นจึงหันมาแย้มสรวลให้หญิงรับใช้คนสนิท
บาสตีก้มหน้ารับ จากนั้นจึงคืนจานมาลักไค แล้วเรียกหาเครื่องสำอางชิ้นต่อไป
“ชาด”
โถรองสุดท้ายถูกเปิดออก หญิงรับใช้ผู้ดูแลค่อยๆ เทผงสีแดงสมชื่อ ‘ชาด’ ลงจานใหม่สองใบ ปริมาณเพียงนิด จานหนึ่งผสมไขวัวจากโถใบเดิมที่เคยใช้กับมาลักไค อีกส่วนใช้น้ำมันในโถใหม่ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
บาสตีรับจานชาดผสมไขวัวมาเคล้าด้วยปลายนิ้วจนกลายเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงบรรจงแต้มเกลี่ยบนพระปรางนวลปลั่งทั้งสองข้างจนกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ
วางจานชาดที่หนึ่งลง จานชาดที่สองก็ถูกยื่นมาให้ บาสตีรับไว้พร้อมหันไปถามย้ำกับสิ่งที่หล่อนกำลังสงสัย
“ผสมน้ำมันเมล็ดกะหล่ำใช่ไหม”
หญิงรับใช้ผู้ดูแลกล่องเครื่องสำอางก้มหน้ารับอย่างนอบน้อม อารีสมองดู ผ่านสายตาของบาสตี ไม่รู้เพราะเหตุใดหล่อนจึงรู้สึกถึงความยำเกรงที่ปรากฏชัดในแววตาของหญิงรับใช้นางนั้น จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า...นางคงทราบเรื่องบาสตีอาจได้ขึ้นเป็นชายาของกษัตริย์ ด้วยการผลักดันของพระนางเนเฟอร์ตารี
จากความฝันคราวที่แล้ว ดูเหมือนพระนางเนเฟอร์ตารีมีความพยายามยิ่งยวดที่จะผลักดันให้ช่างฝีมือประจำพระองค์ได้ขึ้นมายืนอยู่ ณ จุดของชายากษัตริย์ ทั้งยังเตรียมพร้อมสำหรับฐานอำนาจแห่งชายาเทพของอามุนไว้รอล่วงหน้า
'คงต้อง...รอดูกันต่อไป' อารีสคิด
บาสตีกำลังจะวาดชาดผสมน้ำมันเมล็ดกะหล่ำบนริมพระโอษฐ์ หากอึดใจกลับนิ่งเสีย คิ้วขมวด สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
“เป็นอะไร?” พระนางเนเฟอร์ตารีทรงถาม หากหญิงรับใช้กลับไหวดวงหน้าน้อยๆ เชิงปฏิเสธ
“ไม่มีอะไรเพคะ” อารีสรู้ จากความคิดของหล่อน บาสตีสงสัยความคิดของอารีสเมื่อครู่ “แค่รู้สึกเหมือน...คิดอะไร...ที่ไม่ใช่ความคิดตัวเอง”
พระนางเนเฟอร์ตารีขมวดพระขนง หากไม่นาน ทรงแย้มสรวล
“คงต้องให้หมอมาตรวจ” แล้วสรวลอย่างพอพระทัย
“พระองค์ละก็...” บาสตีก้มหน้าเคอะเขิน จากนั้นจึงตัดใจจากความคิด จัดการวาดชาดผสมน้ำมันเมล็ดกะหล่ำบนพระโอษฐ์อย่างคมชัด ไม่เปรอะเปื้อนแม้เพียงนิด ครั้นครบครันหญิงรับใช้ผู้ดูแลวิกผมก็นำวิกผมยาวหนามาสวมทับพระเกศาซึ่งรวบเก็บเรียบร้อย จบท้ายด้วยเครื่องประดับทองคำและเพชรนิลจินดาจากกล่องเครื่องประดับประจำพระองค์
สมบูรณ์ทุกประการ...อารีสมองผ่านสายตาและความนึกคิดของบาสตี รับรู้ถึงความงามอันเป็นนิรันดร์
พระนางทรงเครื่องอย่างนางกษัตริย์ สวมวิกผมยาวถึงกลางหลัง หนาด้วยขี้ผึ้ง หอมฟุ้งด้วยน้ำมันหอม ทรงศิราภรณ์ทำจากเม็ดพลอยประดิษฐ์เป็นนกแร้งสยายปีกโอบทับพระเกศาปลอม พระพักตร์อิ่มเอิบงดงามด้วยเครื่องประทิน
ส่วนวรกายทรงภูษาลินินขาวกรุยกรายประดับใยทองจีบประณีต บั้นพระองค์คาดด้วยครุยสีแดงชาด ระยิบระยับเรืองรองด้วยเครื่องประดับทองและเพชรนิลจินดา
นี่ล่ะ...ชายาเทพเนเฟอร์ตารี
มหาราชินี...แห่ง...ธีบส์
อารีสมัวแต่ชื่นชมพระโฉมผ่านสายตาของบาสตี โดยไม่ได้สังเกตเห็นหญิงรับใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา กระทั่งนางนั่งลงแล้วหมอบกรานเคารพชายาเอกนั่นล่ะ...จึงค่อยรู้ตัว
“องค์กษัตริย์มีรับสั่งทูลเชิญพระนางเสด็จขึ้นเรือที่ประทับเพคะ” นางแหงนหน้ากราบทูล “ขบวนเสด็จเตรียมพร้อมแล้วที่หน้าพระตำหนัก”
“ได้เวลาแล้วหรือ” รับสั่งถาม หากไม่ทรงรอฟังคำตอบ เพราะพอตรัสจบก็เสด็จลุกจากเก้าอี้ประทับ หันมาหาบาสตีก่อนจะเรียกให้ตามเสด็จ
“ไปกัน...บาสตี เราจะไปล่องแม่น้ำไนล์”
“หม่อมฉัน...”
ดูเหมือนบาสตีจะอึดอัดใจไม่น้อยกับรับสั่งเมื่อครู่ แต่เมื่อทรงรบเร้าอีกหน นางก็จนด้วยข้อแก้ตัว จำต้องตามเสด็จ โดยมีหญิงรับใช้นางอื่นลอบมองด้วยสายตาที่บ่งบอกอารมณ์แตกต่างกัน
ไม่พอใจ...อิจฉา...หรือเฉยเมย
บาสตีเหลียวไปเห็น หากไม่มีโอกาสอธิบาย พวกนางทั้งหลายจะรู้เหมือนที่อารีสรู้หรือไม่ ในใจของบาสตีเวลานี้เต็มไปด้วยความอึดอัดขับข้อง ในห้วงความคิด...ปรากฏภาพบุรุษหนุ่มร่างกำยำ ใบหน้าคมคายหล่อเหลาทรงชุดอย่างกษัตริย์ องอาจผยอง เขาแย้มยิ้มให้ นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ
หากไม่ใช่เพียงหนึ่ง...
ในความคิดของบาสตี ใบหน้าคมเข้ม ปะปนด้วยใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนที่ดูงามชดช้อยอย่างชายเจ้าสำอาง หากรอยยิ้มนั้นพิมพ์ใจบริสุทธิ์ รูปร่างสันทัด นุ่งห่มผ้าลินินประดับแผงสร้อยสำริดงดงาม
‘ใครกัน’ อารีสสงสัย ในความคิดของบาสตีปรากฏภาพชายสองคน หนึ่งซึ่งอยู่ในชุดทรงอย่างกษัตริย์ พอจะเดาออกว่าคงเป็นฟาโรห์รามเสสมหาราช ผู้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่พระนางเนเฟอร์ตารีจะใช้ผันฐานะของช่างฝีมือทอผ้าประจำพระองค์
หากอีกคนนี่สิ...เป็นใคร
ในบางภาพเขาไม่ได้ปรากฏมาตัวเปล่า ทว่าในมือยังกำดอกไม้ไว้ช่อหนึ่ง ทำท่ายื่นมันมาต่อหน้า ดอกไม้ซึ่งอารีสคุ้นตาเป็นพิเศษ กลีบดอกบาง ๔ – ๕ กลีบเรียงเป็นวง สีม่วงระเรื่อหวานขับกับสีเขียวของต้นและใบแคบเล็ก
ทำไมอารีสจะไม่รู้จัก ‘ดอกลินิน’
++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2555, 09:14:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ก.ค. 2555, 09:15:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1425
<< ไนล์ (๓) | แจ้งผู้อ่าน >> |