ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ไนล์ (๓)

นอกจากเอื้องราหูที่ยังวางแผงอยู่แล้ว ตอนนี้ลายลินินได้วางแผงเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกันครับ ผู้อ่านสามารถติดตามผลงานของนาถลดาได้ตามแผงหนังสือ หรือที่บูธ C07 // N01 บูธสถาพรบุ๊คในงานหนังสือเด็กที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ วันที่ ๑๑ - ๑๕ กรกฎาคมนี้ นะครับ

+++++++++++++++

ออกัส แอนโทนี ยืนอยู่ที่ระเบียงห้องพักในโอล์ดคาตาแร็ก ทอดสายตามองเหล่านักโบราณคดีเดินทางกลับมายังโรงแรม กระทั่งลับหายเข้าตัวอาคารจึงหันไปมองสายน้ำยามค่ำต่อ

วันนี้ทั้งวันเขาต้องติดตามดูหญิงสาวที่ชื่อ ‘อารีส’ นักโบราณคดีซึ่งเข้ามาดูแลตรวจสอบผ้าลินินโบราณให้กับคณะสำรวจ เพื่อเป้าหมายต่อไปในคืนนี้

เขาติดตามหล่อนไปทุกที่ ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย นับแต่ไปรับจากโรงแรมเซติมาส่งที่โอลด์คาตาแร็ก กระทั่งลงเรือเที่ยวชมเกาะเอเลแฟนไทน์ ต่อไปยังสวนพฤกษศาสตร์บนเกาะคิตเชอเนอร์ ก่อนขึ้นจากลำน้ำ ตามไปยังที่อยู่ของโอบิลิสก์ที่สร้างยังไม่เสร็จ แล้วจบการเดินทางบริเวณพิพิธภัณฑ์สถานของพวกนูเบียน

จากสายตาของออกัส ผู้หญิงที่ชื่ออารีสดูไม่ได้มีพิษสงมากไปกว่าการเป็นนักโบราณคดีสาวเร่อร่า แทบสัมผัสไม่ได้ถึงพลังอำนาจพิเศษใดในตัวของอีกฝ่าย นอกเสียจากอำนาจแห่งสร้อยประดับเครื่องรางเทวีบาสต์ที่สวมอยู่รอบคอ ทว่าอำนาจเพียงแค่นั้นหรือ...จะสามารถทำให้มาดามเซติบาดเจ็บปางตาย

อาจใช่...หาก...ไม่ทั้งหมด คงมีสิ่งอื่น

เขา ‘รู้สึก’ เช่นนั้น

แสงไฟจากอาคารหลายแห่งในเมืองอัสวานสว่างระยิบระยับ แต่ไม่อาจดับแสงดาวบนฟากฟ้าสีน้ำเงิน ดาวยังคงงดงามเหมือนเมื่อคราวก่อน แม้จะมีแสงไฟจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปคุกคาม

หนุ่มรุ่นสวมชุดคลุมตัวยาว เป็นผ้าลินินขาวบาง มองผ่านเพียงผิวเผินเห็นสัดส่วนเจ้าของ แม้เพียงสันทัด หากก็ไม่สิ้นไร้ซึ่งความกำยำ

เขายืนทอดอารมณ์ หลับตารับสายลมเย็นเยือกที่โชยพัดปะทะใบหน้าและผิวเนื้อ แต่ว่าไม่รู้สึกรู้สาอีกต่อไปแล้ว ความหนาวเย็นเกือบพรากชีวิตของเขาเมื่อนานมา หนาวสะท้าน...แทบขาดใจ หากเวลานี้กลับเฉยชา อาจเพราะเลือดในตัวที่เย็นเฉียบจนแทบกลายเป็นน้ำแข็ง คนอย่างออกัส แอนโทนี จึงไร้แล้วซึ่งความรู้สึกต่อสิ่งแวดล้อม

เว้นเพียงหนึ่ง...

กลิ่นเครื่องหอม...และหมอกกำยาน

หนุ่มรุ่นถอนหายใจเหนื่อยอ่อน แม้ห่างกลิ่นหอมเหล่านั้นมา หากตามเนื้อตัวและเสื้อผ้ายังระรื่นฝังตรึง เป็นกลิ่นอย่างโบราณ ไม่ฉุนแรงเช่นในคฤหาสน์ของมาดามเซติ กระนั้นเขากลับพึงพอใจในการพำนักอยู่ที่อันอบอวลด้วยกลิ่นเครื่องหอมรุนแรงมากกว่า เพราะการต้องห่างไกลออกมา กลิ่นหอมเริ่มจืดจาง ความอ้างว้าง...ก็เริ่ม ‘ครอบงำ’

ลักซอร์กับอัสวาน...ไกลกัน...ราวสุดเหนือใต้

ยิ่งยามที่ต้องติดตามนักโบราณคดีสาวขึ้นไปบนเกาะคิตเชอเนอร์ กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ยามบ่ายยิ่งทำให้รำลึกถึงที่ซึ่งจากมา

เวลานั้นหญิงสาวอยู่ในสายตาของเขาเสมอ ไม่ว่าหล่อนจะเดินไปที่ใด เขารับรู้ได้เพียงแค่หลับตา ตั้งใจนึกถึง แล้วภาพของหล่อนก็สว่างวาบ ครั้นลืมตาก็พบว่าหล่อนอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทว่าสภาพแวดล้อมรอบๆ นั่นต่างหาก ที่ทำให้ออกัสหยุดนิ่ง คลาดจากกลุ่มนักโบราณคดีไปชั่วครู่

ทางเดินหินซึ่งปูยาวไกลท่ามกลางแมกไม้หนา กลิ่นหอมรวยรื่นชื่นโชยตามสายลม แม้จะเบาบางกว่า ทว่ากลับทำให้หวนคิดถึงใครบางคนอย่างที่สุด

มาดาม...

ออกัสไม่กล้าเอ่ยชื่อ...แม้ในใจ ที่ทำได้จึงเป็นเพียงคำนึงถึง ‘ตำแหน่ง’

หาก ‘ต้อยต่ำ’ กว่าความเป็นจริง...ออกัส แอนโทนีรู้

ที่เป็นจริงนั้นยิ่งใหญ่กว่า ‘มาดาม’

แค่ไหนหรือ...มากนัก

รายรอบทางเดินเต็มไปด้วยหมู่ปาล์ม อินทผลัม ไม่ห่างกันมีหางนกยูงออกดอกแดงสะพรั่งเต็มต้น จากนั้นก็เป็นต้นงิ้ว ลำต้นเปลาตรงประดับหนามคมรอบด้าน หากผลิดอก ทั้งต้นจะเป็นสีแดงสดไม่ต่างจากหางนกยูง

แดง...เฉกเช่น ‘ชุดคลุม’

ออกัสหยุดนิ่ง ทอดอารมณ์มองไปรอบๆ ไม้ใหญ่หลากหลายพันธุ์ยืนต้นสล้าง มีเถาวัลย์กระหวัดพันแล้วทิ้งชายระย้าห้อย กิ่งเฟื้องฟ้าทอดระทวยด้วยหนามแหลมตามแนวกำแพงก่ออิฐฉาบปูน ผลิดอกหลากสี ครั้นมองผ่านม่านไม้ใกล้รั้วเหล็กดัดสีเหลืองไกลออกไป เป็นทิวทัศน์แม่น้ำไนล์ ถัดจากนั้นคือเนินทรายกับแผ่นฟ้า ผิวแม่น้ำใส สะท้อนเหล่านั้นดังกระจกเงาเนื้อดี

‘นานเท่าไร...ที่...ไม่ได้ชื่นชม’

ออกัสไม่อาจให้คำตอบตัวเองได้เช่นกัน

หลังจากการรอดตายในอดีต ชีวิตเขาไม่สนใจสิ่งเหล่านี้นัก ความงาม ธรรมชาติ เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไกลตัวเสียแล้ว ไร้แก่นสารจะหยุดยืนพิจารณา ทว่าเวลาที่มีอยู่ ก็เพื่อบุคคลหนึ่งเดียว ตามหาสิ่งของเพียงสิ่งเดียว

หากก็ยังไม่พบ...

กระทั่งไม่นานมานี้ ดูเหมือนอำนาจแห่งเซธ...พระบิดา จะทำให้เขาพบมันจนได้ อยู่ใต้สุดแห่งแดนอียิปต์ หากในเขตของชายาเอกเนเฟอร์ตารี แน่นอนว่า ณ ที่นั้น มาดามไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้สะดวก เขาเองก็ไม่ต่าง ท้ายที่สุดจึงจำเป็นต้องยืมมือนักโบราณคดี และนายหน้าอย่างอีริค เค เกียน มาช่วยงาน

แล้วผู้หญิงคนนั้น...ก็ปรากฏตัวขึ้นมา

หลังการมาถึงของนักโบราณคดีสาว มาดามดูเปลี่ยนไป เกรี้ยวกราดง่าย หรือไม่...ก็เอาแต่นั่งครุ่นคิดจับจดอยู่หน้าเทวรูปพระบิดา กระทั่งก่อนอีริค เค เกียนกำลังจะกลับ มาดามจึงฝากของขวัญให้นายหน้าหนุ่มใหญ่นำไปให้คณะสำรวจ แล้วกำชับนักหนา

สำหรับ ‘อารีส’ ต้องให้สร้อยข้อมือทองขึ้นรูปแมงป่อง...เท่านั้น

‘ให้ตาย’ ออกัสเพิ่งตระหนัก ด้วยอานุภาพแห่งความงามและกลิ่นหอมในสวนพฤกษศาสตร์บนเกาะคิตเชอเนอร์ เขาคลาดจากอารีสไปแล้ว

แต่ไม่เป็นไร...แค่เพียง ‘หลับตา’ ตั้งจิตคิดถึงนักโบราณคดีสาว แล้วเขาก็จะไปพบหล่อน ณ จุดใดจุดหนึ่งในอัสวาน

สัมปชัญญะหวนกลับ ณ ขณะเดิม หนุ่มรุ่นทอดสายตามองแม่น้ำไนล์สีดำสนิท รายรอบพราวระยับด้วยไฟฟ้าตามโรมแรมและอาคารบ้านเรือน แสงวูบวาบไสวจากเรือสำราญล่องแม่น้ำเพิ่งเคลื่อนผ่านไปเมื่อครู่

แม่น้ำไนล์ก็เหมือนฟากฟ้า รอบข้างอาจเปลี่ยนผันตามกาลเวลาและอนาคต หากท้องฟ้า...ดวงดาว...ลำน้ำสายยาว เหล่านั้นยังคงเป็นมัน บันทึกอดีตและเรื่องราวไว้ได้อย่างดี เรื่องราวที่ดำรงอยู่ในความทรงจำของหนุ่มรุ่นมานานเนิ่น ยาวนานเกินกว่าใครหลายคนจะคาดคิด

++++++++++++

ภายหลังการร่วมโต๊ะอาหารและเรียกรวมกลุ่มคณะนักสำรวจในช่วงเย็น อีริค เค เกียน กล่าวกับทุกคนว่าอในเร็ววันนี้ มาดามซิต เซติ ประธานผู้จัดการของเนบทีจะลงมาพบคณะสำรวจเพื่อฟังรายงานที่โรงแรมเซติ อาบูซิมเบล จึงจำเป็นต้องจำกัดเวลาพักผ่อนระหว่างการรอลงเครื่องมือที่พื้นที่สำรวจแห่งใหม่ และให้ทุกคนกลับโรงแรมเซติก่อนกำหนดการณ์เดิม

อารีสรู้สึกกระวนกระวายกับข่าวนี้ไม่น้อย หล่อนเดินไปเดินมาภายในห้องนอน ข้าวของยังไม่ได้จัดเข้าที่ นี่ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นว่าจะได้พบกับประธานผู้จัดการบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่หรอก หากหล่อนไม่สบายใจกับงานตรวจสอบผ้าลินินโบราณที่ยังไม่คืบหน้าไปถึงไหน ทั้งยังรู้สึกหวาดกลัวไปก่อนหน้า เมื่อได้ยินว่าจะต้องพบกับมาดามเซติ

หญิงสาวไม่อาจแน่ใจ...เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้น...ไม่เกี่ยวข้องกันผู้หญิงคนนั้น

นอกจากนั้น...ปริศนาของผ้าลินินก็ดูเหมือนจะเริ่มคลี่คลายเมื่อหล่อนเข้าไปเยี่ยมชม พร้อมเก็บข้อมูลโบราณวัตถุ หลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่พิพิธภัณฑสถานนูเบีย

อารีสยังมีคำถามคาใจหลายอย่างที่อยากรู้

‘หรือจะเป็นชุดของชายาเทพ?’ ความคิดนี้ผุดขึ้นเมื่อหล่อนเห็นรูปสลักของเจ้าหญิงอเมเนอร์ดิส ธิดาแห่งฟาโรห์คัชทา...ชาวนูเบีย ที่พิพิธภัณฑสถานนูเบียในช่วงเย็น

ท่ามกลางห้องโถงปูกระเบื้องขัดมัน ตามเสาเหลี่ยมมีหลอดไฟเล็กคอยฉายแสงให้ความสว่างอย่างงดงาม รูปสลักหินอ่อนของสตรีในราชนิกูล ประทับยืนเด่นเป็นสง่า หัตถ์หนึ่งถืออังค์ อีกข้างประคองพระแส้ ตามจารึกอักษรบ่งบอกว่าพระนางคือ ‘ชายาเทพ’ หากในรุ่นหลังจากพระนางเนเฟอร์ตารีหลายร้อยปี

‘เจ้าหญิงอเมเนอร์ดิสก็เป็นหนึ่งในชายาเทพของอามุนครับ’ เสียงแนะนำหล่อนให้รู้จักชายาเทพอีกองค์ยังคงลอยวนในความคิด อนัตตาเพิ่งอธิบายให้หล่อนฟังเมื่อช่วงเข้าชมพิพิธภัณฑสถานนูเบีย ‘แต่หลังจากพระนางเนเฟอร์ตารีประมาณ ๑๐๐ ปีเห็นจะได้ ช่วงนั้นอียิปต์อ่อนแอถึงขีดสุด จึงเสียเอกราชให้กับเมืองภายใต้การปกครองอย่างนูเบีย ในสมัยดังกล่าว...อียิปต์จึงมีฟาโรห์เป็นคนผิวดำ’

‘ชายาเทพชาวนูเบีย’ อารีสรำพึง ทอดสายตามองรูปสลักหินอ่อนของชายาเทพอเมเนอร์ดิส

‘ครับ’ อนัตตาว่าต่อ ‘เจ้าหญิงอเมเนอร์ดิสเป็นพระธิดาของฟาโรห์คัชทากับราชินีเพบัทจ์มา ทั้งยังเป็นพี่สาวของฟาโรห์ชาบากาและฟาโรห์ปิเย แห่งราชวงศ์ที่ ๒๕’

อารีสพยักพเยิด ก่อนจะหันไปหาอนัตตาพลางขมวดคิ้ว แสดงข้อสงสัยบางอย่างในประวัติศาสตร์ของเจ้าหญิงอเมเนอร์ดิส

‘นี่คงไม่ใช่ให้ลูกสาวเป็นชายาเทพแห่งอามุนเพื่อยกฐานะตนเองเป็นกษัตริย์หรอกนะคะ’

‘ถูกต้องตามนั้นเลยครับ’ อนัตตาชมเชย ‘คัชทาให้บุตรสาวเข้าพิธีกรรมมอบตัวเป็นภิกษุณีประจำวิหารอามุนแห่งธีบส์ ให้เป็นชายาเทพ เมื่อบรรลุเสร็จสิ้น คัชทาจึงถือว่าเขาคือกษัตริย์แห่งอียิปต์ บิดาของชายาเทพย่อมเป็นเทพ มีอำนาจปกครองอียิปต์บนโดยสมบูรณ์ แต่ถึงฟาโรห์คัชทาจะฉลาด หากเจ้าหญิงอเมเนอร์ดิสกลับฉลาดล้ำกว่า’

‘เห็นได้ชัดว่าในอียิปต์...’ อารีสแสดงความเห็น ‘สิทธิของชายหญิงแทบจะเท่าเทียม ธีบส์ดูเหมือนจะกลายเป็นลานประลองอำนาจระหว่างบุรุษและสตรีที่มีอิทธิพล’

อนัตตาพยักหน้ารับพลางยิ้ม จากนั้นจึงกล่าวต่อไปด้วยเรื่องราวของอเมเนอร์ดิส เจ้าหญิงผู้ทรงอำนาจแห่งอียิปต์ในราชวงศ์ของชาวนูเบีย

‘ด้วยอำนาจทางศาสนาทำให้เจ้าหญิงอเมเนอร์ดิสกลายเป็นสังฆราชินีในช่วง ๗๑๔ ถึง ๗๐๐ ปีก่อนคริสตกาล พระนางแปรอำนาจทางศาสนาให้กลายเป็นอำนาจการเมือง...ด้วยสิทธิของชายาเทพ โดยมีอนุชาสองพระองค์คือฟาโรห์ชาบากาและฟาโรห์ปิเยนั่งบัลลังก์กษัตริย์ ดังนั้นในสมัยดังกล่าว...เจ้าหญิงอเมเนอร์ดิสจึงทรงด้วยอิทธิพลทั้งในด้านศาสนา เพราะทรงเป็นสังฆราชินี และทางด้านการเมืองในฐานะชายาเทพ อำนาจพระนางยาวนาน แม้จะสิ้นพระชนม์ พระนางก็ยังส่งต่ออำนาจดังกล่าวทั้งในฐานะชายาเทพและสังฆราชินีให้แก่พระธิดาของฟาโรห์ปิเย พระนัดดาของพระนางเอง และที่น่าทึ่งมากๆ อำนาจที่ชายาเทพอเมเนอร์ดิสสร้างไว้ดำรงอยู่ยาวนานถึง ๕๐๐ ปีเชียวครับ’

อยู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว นัยน์ตาจับจ้องรูปสลักหินอ่อนของเจ้าหญิงอเมเนอร์ดิสด้วยความยำเกรงระคนหวาดหวั่น

อิริยาบถของพระนาง...ทรงอำนาจเหลือเกิน

‘ชายาเทพ’ ยิ่งใหญ่...เหนือบุรุษ กี่รายแล้วที่มีพระราชอำนาจเลิศล้น...กษัตริย์

ฮัตเชปซัต...เนเฟอร์ตีติ...เนเฟอร์ตารี...อเมเนอร์ดิส ยังไม่นับรวม คลีโอพัตราที่ ๗ แห่งราชวงศ์ปโตเลมีที่นำเอาลัทธิดังกล่าวมาประยุกต์ใช้เพื่อนำพาอียิปต์ไปสู่ความรุ่งโรจน์

‘บางที...’ อารีสตั้งข้อสันนิษฐาน ‘ด้วยอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของชายาเทพ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของหลายอย่างที่ฉันกำลังสงสัยก็เป็นได้’

‘เช่นอะไรเหรอครับ’ อนัตตาหันมาถาม ขณะพาหญิงสาวเดินชมถ้วยโถโอชามลงสีแปลกตาของชาวนูเบีย

‘ผ้าลินินยังไงล่ะคะ’

อนัตตาพยักพเยิด จากนั้นจึงหันไปชมโบราณวัตถุอื่นของชาวนูเบีย ซึ่งปัจจุบันได้มีการเก็บรวบรวมเอาไว้ให้อนุชนรุ่นหลังได้ทราบถึงวัฒนธรรมเก่าแก่ ซึ่งเกือบสูญหายไปพร้อมการสร้างเขื่อนอัสวาน

อารีสสะบัดหน้า ความทรงจำในพิพิธภัณฑสถานนูเบียมลายหายในพริบตา บัดนี้เหลือเพียงห้องนอนสีอ่อน ประดับลวดลายกระเบื้องสลับสีสดใสตามผนัง กับความเงียบเชียบในเมืองอัสวาน

“คงต้องอาบน้ำก่อน” อารีสถอนใจ หันกลับไปเปิดตู้เสื้อผ้า จากนั้นจึงเตรียมข้าวของเครื่องใช้สำหรับการอาบน้ำชำระร่างกายให้สบายใจและสดชื่น กระทั่งแต่งตัวด้วยชุดนอนลินินยาวกรุยกรายเป็นที่เรียบร้อย หญิงสาวก็รีบเปิดกระเป๋าเดินทาง นำผ้าลินินโบราณออกมาคลี่จนเต็มเตียง หล่อนทอดมองนิ่ง ราวกำลังค้นหาบางอย่างในผ้าผืนนั้น

หาก...ไม่ได้คำตอบ

ในมือมีปากกาพร้อมสมุดบันทึกสำหรับการจดข้อสันนิษฐานและข้อมูลสนับสนุนต่างๆ เช่นที่เคยทำมา หากวันนี้ดูเหมือนยากเหลือเกิน ในหัวของหล่อนดูวุ่นวายยุ่งเหยิง แม้การจดปลายปากกาเพื่อเขียนสักตัวอักษร...ก็ยังยากเย็น

ส่วนหนึ่งอาจเพราะกังวลว่าจะไม่มีสิ่งใดนำเสนอต่อมาดามเซติก็เป็นได้

‘ลายลินิน ฉบับที่ ๓
อัสวาน, อียิปต์’

หลังจาก...

อารีสจุดไข่ปลายาวเหยียด หากก็ทำได้แค่นั้น ไม่สามารถเขียนสิ่งใดต่อไปได้อีก หล่อนทรุดตัวลงนั่ง ถอนหายใจหนักหน่วง วางปากกากับสมุดบันทึก ก่อนฟุบหน้ากับผ้าลินินโบราณซึ่งแผ่เต็มผืนบนเตียงนอน

“จากไหนกันแน่นะ” อารีสทอดสายตามองใยผ้าใกล้ชิด ค่อยๆ แตะปลายนิ้วลงตามเนื้อผ้าและเส้นใยอย่างทะนุถนอม รับรู้ถึงความนุ่มนวลระคนหยาบกระด้าง ความไม่ราบเรียบของใยผ้าพร้อมประกายสีทองระยับที่สอดแทรกยามต้องแสงไฟบนฝ้าเพดาน

แน่ล่ะ...ใยลินินที่ดีย่อมไม่สม่ำเสมอเป็นธรรมดา

“เธอมาจากไหนกันแน่นะ...ผ้าลินิน” อารีสเอ่ยปากถามราวคร้านจะค้นหาคำตอบด้วยวิธีอื่นเสียแล้ว หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาหล่อนพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับผ้าลินินผืนนี้อย่างเอาเป็นเอาตาย ทว่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

ความฝัน...ซึ่งดูเหมือนความเป็นจริง

อารีสไม่อยากเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งที่หล่อนฝันคือที่มาของผ้าลินินผืนดังกล่าว มันอาจเป็นเพียงความกดดันและสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจของหล่อนก็เท่านั้น เมื่อถึงเวลานอน ร่างกายจำเป็นต้องเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ ความฝันเกี่ยวกับที่มาของผ้าลินินจึงอาจเป็นเพียงปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อความกังวล ตึงเครียดและสิ่งที่ค้างคาในความทรงจำ

หากปฏิเสธไม่ได้ว่า...ทุกครั้ง...ความฝันของอารีสกลับเป็นตัวช่วยคลี่คลายปัญหาหลายอย่างลง และความฝันดังกล่าวนั้นมักเชื่อมโยงกับผ้าลินินที่หล่อนกำลังตรวจสอบอยู่ในปัจจุบัน ผ้านั้นช่วยเหลือหล่อนให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ ในความฝัน นำพาให้พบเรื่องราวความเป็นไปในอาณาจักรโบราณ

เป็นไปได้หรือไม่...ครั้งนี้...อารีสจะยอมเชื่อความฝันของหล่อนสักครั้ง

รวดเร็วเท่าความคิด อารีสฉวยคว้าผ้าลินินขาวบางประดับใยทองเข้าคลุมไหล่ สองมือพยายามกระชับผ้าเข้าแนบกาย จดจ้องผืนผ้าสีขาวสะอาดมาดหมาย ราวปรารถนาให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นกับมัน

“พาฉันกลับไปสู่ความฝันอีกครั้งเถอะผ้าลินิน” หญิงสาว



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.ค. 2555, 10:46:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.ค. 2555, 10:47:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1359





<< ไนล์ (๒)   ไนล์ (๔) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account