พิศวาสใต้รอยทราย
ความโกรธใดๆ จะร้ายแรงและฝังลึกในหัวใจได้เท่าการโดนหักหลัง และความรักใดๆ จะมากมายไปกว่าความรู้สึกรักที่เปี่ยมล้นไปด้วยแรงพิศวาส

วางแผงวันเสาร์ที่ 11 ส.ค. 55 นี้ ราคาเพียง 99.- บาท ที่ร้านเซเว่นอีเลเว่นทั่วประเทศจ้า ^^ หรือถ้าหาไม่ได้ก็สั่งจองในเวปได้เลยนะคะ www.greenmindbook.com ราคาพิเศษค่ะ หรือไม่ก็สั่ง 'แพรพริมา' ทางจดหมายน้อยได้เลยจ้า

Tags: ความรัก ความแค้น ทะเลทราย

ตอน: นางฟ้าหรือวิญญาณ

สวัสดีค่า 14 ปี กำลังจะออกมาวางแผงแล้ว ^^ ฝากอุดหนุนด้วยนะคะ

ส่วนเล่มนี้เป็นมินิซีรีย์เล่มเล็กของกรีนมายด์ค่ะ ออกสิ้นเดือนนี้เช่นกัน

ตอนแรกไม่ค่อยกล้าลงกลัวว่าจะขัดนโยบายของเวปเรื่องฉากอีโร แต่มาดูๆ ขอเราไม่ขนาดนั้นหรอกน่า

เขียนแบบสวยงามสุดๆ อิอิ (เข้าข้างตัวเองก็ได้เนอะ 55) ถ้าละก็ยังไงเตือนกันด้วยนะคะ กลัวโดนลบเป็นที่สุด



1. นางฟ้า หรือวิญญาณ



ยามเที่ยงวันบนผืนทะเลทรายแสนร้อนระอุ ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูร้อนจนแทบจะกลายเป็นสีแดงเพลิงทว่าท่ามกลางความแห้งแล้งนั้นกลับมีร่างของสิ่งมีชีวิตซึ่งไม่น่าจะปรากฏ ณ ที่แห่งนี้

“ท่านชี้คครับ” เสียงอานีสบอดี้การ์ดร่างสูงซึ่งกำลังขับรถโฟล์วิลล์หนึ่งในสี่คันตะลุยเข้ามาในทะเลทรายแดงเอ่ยปากเรียกเจ้านายวัย 35 ปีซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง

“มีอะไร” ชี้คอัลฟารอสถามกลับ ใบหน้าคมคร้าม ผิวขาวที่ไม่จัดว่าขาวจนเกินไปมองออกไปยังทิวทัศน์ซึ่งล้วนมีแต่ทรายและทรายข้างทาง

“ผมว่าผมเห็นบางอย่าง”

คนเรียกขมวดคิ้วเพ่งมองไปที่สันทรายเบื้องหน้า ทำให้เจ้านายมองตามบ้างและพบว่ามีบางอย่างเข้ามาเติมสีสรรให้แก่ทิวทัศน์สีน้ำตาลเบื้องหน้า สิ่งนั้นคล้ายดั่งผ้าขาวบริสุทธิ์ตัดกับสีทรายร้อนระอุอย่างเด่นชัด หนำซ้ำแรงลมที่พัดพามาวูบหนึ่งยังทำให้ผ้าขาวผืนนั้นปลิวขึ้นจนสามารถเห็นเรียวขางามซึ่งซ่อนอยู่และกำลังถูกความร้อนแผดเผาจนกลายเป็นสีชมพูจัด

“จอดรถ!”

อัลฟารอสร้องสั่ง และทันทีที่รถโฟล์วิลล์คันแรกจอดลง อีกสามคันข้างหลังก็ต้องเหยียบเบรคตาม อาดีนบอดี้การ์ดอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างคนขับจึงพุ่งออกจากรถพร้อมขยับปืนก่อนที่จะเปิดประตูให้เจ้านายแต่พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเดินตรงไปเขากลับห้าม

“ให้ผมไปดูเองท่านชี้ค” อาดีนขวางไว้

“ไม่ต้อง ไม่น่าจะมีอะไรหรอก...ข้างหน้านั่นดูก็รู้ว่ามีคนสลบอยู่” อะไรบางอย่างดลจิตดลใจให้อัลฟารอสอยากเดินไปด้วยตัวเองและตอบเช่นนั้นโดยไม่สนใจผู้ร่วมทางจากซีกโลกตะวันตกและแขกผู้ใหญ่บางคนในแมนซัวร์ที่เข้ามาสำรวจผืนที่ทะเลทรายแดงด้วยกัน น่าแปลกที่ตอนนี้ชี้คหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับร่างเบื้องหน้านั้นอย่างที่สุด

“แต่มันน่าสงสัยนะครับ ไม่มีอะไรมีชีวิตอยู่ทะเลทรายแดงได้”

อาดีนเตือนอย่างระวังระไวตามประสาบอดีการ์ดเพราะใครๆ ก็รู้ดีว่าทะเลทรายแดงของแมนซัวร์นั้นขึ้นชื่อว่าร้อนแสบแผดเผาที่สุดยามเที่ยงวันและหนาวจนสุดขั้วเกินจะทนทานยามเที่ยงคืน

“ที่นี่มีแต่วิญญาณ เทวดา นางฟ้า หรือไม่ก็ปีศาจ”

“นายพูดถูกอาดีน” อัลฟารอสเหลือบมองอีกฝ่ายพร้อมพูดต่อ “แล้วตอนนี้ฉันก็แน่ใจว่าคนที่นอนอยู่นั่นคงกลายเป็นวิญญาณแน่ๆ ถ้าเรามัวเถียงกันอยู่แบบนี้”

คำพูดคล้ายยืนยันว่า ‘ฉันจะไปอย่างมาขวาง’ ของเจ้านายทำให้อาดีนก้มหัวลงยอมรับและเดินตามหลังแต่โดยดี ก็ใครล่ะจะกล้าขัดคำสั่งของชี้คอัลฟารอส บินฮามาร์ อัลชีราห์ ทายาทผู้ยิ่งใหญ่คนเดียวของท่านฟาบาร์ชี้คผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชสกุลชีราห์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่รวมแมนซัวร์ให้เป็นปึกแผ่น อีกทั้งมารดาของอัลฟารอสยังเป็นเจ้าหญิงในราชสกุลโบราณของเกาะสุมาตราผู้ครอบครองเพชรสีชมพูเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก เพชรในตำนานของราชวงศ์บาสุรีซึ่งมีน้อยคนนักในโลกที่เคยได้ยลโฉม และเป็นที่ล่ำลือกันว่าใครได้เป็นเจ้าของจะมีทั้งอำนาจและความร่ำรวยแฉกเช่นที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้

ร่างสูงกำยำของชี้คหนุ่มก้าวลงจากรถสีดำคันใหญ่ ดวงตาสีน้ำตาลดั่งทะเลทรายอันกว้างใหญ่นั้นยังมองตรงไปยังจุดที่มีผ้าสีขาวทับร่างที่นอนอยู่ ขายาวๆ แข็งแกร่งภายใต้ชุดคลุมขาวตามแบบฉบับของชาวแมนซัวร์ก้าวอย่างมั่นคงเคียงข้างบอดี้การ์ดคู่ใจ

และวูบนั้นเองที่เรียวขางามกลับขยับเล็กน้อย ทำให้อาดีนกระชับปืนมั่น แต่อัลฟารอสกลับยกมือห้ามและทรุดตัวลงข้างๆ ร่างที่นอนอยู่

ลมทะเลทรายยังพัดเรื่อยๆ บางครั้งแผ่วเบา แต่บางครั้งก็กรรโชกแรง แรงจนกระทั่งเมื่ออัลฟารอสพลิกร่างที่คว่ำหน้าอยู่กับผืนทราย ผ้าขาวๆ ที่คลุมตัวเธอก็ปลิวหวืดออกไปแทบหมด เผยให้เห็นร่างงามในชุดยาวสีทับทิมแบบหญิงแมนซัวร์ ทว่าใบหน้านั้นกลับไปคล้ายคลึงกับผู้หญิงอีกสองคนที่อัลฟารอสเคยรู้จัก

ผิวที่ขาวอมชมพู ผมตรงยาว กับรูปร่างเพรียวสวยนั้น งามตามแบบฉบับคนเอเชียจนทำให้เขานึกถึงสาวชาวไทยนามวรันธรซึ่งเคยทำให้เขาตะลึงในความงามและอยากได้เธอมาครอบครอง...แต่ก็ต้องยอมหลีกทางให้กับบอดี้การ์ดซึ่งเป็นคล้ายเพื่อนนามเซสทัส

และรูปหน้าเครื่องเคราจมูกเล็กๆ โด่งสวยรับริมฝีปากอิ่มสีชมพู ขนตาหนางอนยาวนั้นกลับทำให้เขานึกถึงนีน่า สาวชาวแมนซัวร์ผู้ทำให้ตนเองรู้จักกับความรักที่แสนอ่อนหวาน แต่เธอก็ทำให้ต้องรู้จักคำว่าพลัดพรากอันเจ็บปวดเช่นกันเมื่อหญิงสาวต้องจากไปก่อนเวลาอันควรด้วยอุบัติเหตุระหว่างเดินทางกลับจากการไปเยี่ยมวรันธรกับเซสทัสที่ไคโร ประเทศอียิปต์

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

อาดีนสังเกตกิริยาชะงักของเจ้านายหนุ่มจึงถามขึ้นและทำให้อัลฟารอสซึ่งนั่งย่ออยู่ข้างๆ ร่างหญิงสาวรู้สึกตัว เขาส่ายศีรษะน้อยๆ ก่อนสั่ง

“เอาเธอกลับไปด้วย”

ทว่าเมื่ออาดีนขยับเข้ามาทำท่าจะอุ้มหรือแบก ชี้คหนุ่มกลับทำเสียงห้าม

“อย่าเพิ่ง!” และสอดมือช้อนร่างเพรียวสวยเข้าในอ้อมแขนเสียเองก่อนจะรู้สึกว่าเปลือกตาของหญิงสาวนั้นปรือขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังพอที่จะทำให้เขาเห็นความมันวับที่เต็มไปด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง ริมฝีปากของเธอขยับเหมือนพึมพำอะไรบางอย่าง และปิดลงอีกครั้งเมื่อเขาเดินจนเกือบถึงรถ

อานีสบอดี้การ์ดผู้น้องยืนคุมเชิงอยู่ที่รถ เขามีรูปร่างสูงพอๆ กับพี่ชายแต่ไม่หนาและใหญ่เท่า ชายหนุ่มกำลังคุยอยู่กับชายชุดดำอีกคนชื่ออิมบาซึ่งเป็นบอดี้การ์ดของอัลหร่าน บินอัสราห์ อัลชีราห์ ที่เป็นอาแท้ๆ ของชี้คอัลฟารอส

เมื่ออานีสมองเห็นเจ้านายอุ้มร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกลับมาที่รถ เขาจึงก้าวเข้าไปหาแต่ยังไม่ทันถึงตัวพี่ชายก็รีบวิ่งล่วงหน้ามาบอก

“ผู้หญิง...นอนสลบอยู่ เจ้านายบอกให้พากลับไปด้วย”

“แหม ท่านชี้คอัลฟารอสนี่มีดวงเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงจริงๆ เลยนะ สมแล้วล่ะที่เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในวัง ใช้ชีวิตอิสระแบบนี้คงดีกว่าเยอะสินะ” อิมบาพูดยิ้มๆ ท่าทางดูกำกวมทำให้อาดีนขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจแต่อานีสบอดี้การ์ดผู้น้องซึ่งดูใจเย็นกว่าจับมือพี่ชายไว้และตอบอีกฝ่าย

“แต่ผมว่า...ที่ท่านชี้คไม่อยากเข้าไปอยู่ในวังเพราะกลัวทำให้คนในราชวงศ์ฮาบาสลำบากใจมากกว่านะ”

“กล้าใช้คำว่าลำบากใจเชียวเหรออานีส” อิมบามองอีกฝ่ายปรามๆ เนื่องจากราชวงศ์ฮาบาสที่อานีสพูดถึงนั้นก็คือราชวงศ์ของสุลต่านองค์ปัจจุบันและอิมบาก็มีเพื่อนสนิทเป็นบอดี้การ์ดใกล้ชิดในราชสกุลฮาบาส

“นอกจากจะกล้าแล้วยังยืนยันได้อีกต่างหากนะว่าที่ท่านชี้คไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนราชวงศ์ก็เพราะกลัวว่าประชาชนจะยกให้ชาวชีราห์เป็นเจ้าของแมนซัวร์ทั้งพฤตินัยและนิตินัย” อาดีนซึ่งตัวหนาใหญ่รีบต่อคำน้องชาย เนื่องจากตอนนี้ทางด้านพฤตินัยนั้นชี้คอัลฟารอสก็มีอำนาจล้นฟ้าจนแทบจะไม่มีใครคนไหนในแมนซัวร์ไม่รู้จักไม่เกรงใจเขาอยู่แล้ว แต่นิตินัยนั้นรัฐแห่งนี้อยู่ภายใต้การปกครองของสุลต่านอัลบาร์ต่างหาก

“กล้าพูดนะอาดีน อยากให้เจ้าชายการิมได้มาฟังนักเชียว” อิมบาเขม่นอีกฝ่ายเพราะความหมั่นไส้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาดีจึงมองตอบอย่างไม่เกรงกลัว

“จะได้ยินได้ยังไงในเมื่อทีนี่มีพวกเราแค่สามคน และถ้านายไม่ลืมว่าตัวเองเป็นบอดีการ์ดของคุณอัลหร่าน นายก็ควรเก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ เพราะถ้ามีคนรู้ละก็คง ท่านชี้คคงไม่ต้องคิดมากก็รู้แล้วล่ะว่าใครเป็นคนปากสว่าง”

“อาดีน!” อิมบาแค่นเสียง

“ทำอะไรกัน!” เสียงเปี่ยมอำนาจที่ดังขึ้นนั้นทำให้ทั้งสามเงียบและยืนก้มหน้าทันที

“ท่านชี้ค”

ชี้คอัลฟารอสอุ้มร่างของสาวที่หน้าตามีส่วนละม้ายเป็นลูกครึ่งเอเชียและแขกอาหรับนางนั้นไว้พร้อมมองทั้งสามอย่างปรามๆ ก่อนเปรยขึ้น

“อิมบา แอร์ในรถที่นั่งทำให้นายอึดอัดหรือไง ถึงต้องลงมาที่นี่”

“เอ่อ...เอ่อ...” สายตาและเสียงมีอำนาจเช่นนั้นทำให้บอดี้การ์ดประจำตัวลีน่าลูกสาวคนเล็กของของอัลหร่าน บินอัสราห์ อัลชีราห์ ติดอ่างทันควันก่อนรีบอ้าง

“คือคุณหนูลีน่าให้ผมลงมาดูว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า เผื่อผมจะช่วยได้”

“ช่วย?” ชี้คอัลฟารอสเหยียดมุมปากเพราะท่าทางที่ยืนสังเกตการณ์อยู่นั้นน่าจะเรียกว่ามาสอดแนมแทนญาติสาวจอมเฮี้ยวมากกว่า “งั้นช่วยกลับไป! แล้วก็ปิดปากให้เงียบก็พอ”

ริมฝีปากหยักของชี้คหนุ่มเอ่ยดังๆ ก่อนพยักหน้าให้บอดี้การ์ดของตนเปิดรถให้และอุ้มร่างสลบไสลนั้นขึ้นไป ทำให้อิมบาถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความเสียหน้า เขาเดินดุ่มๆ กลับมาที่รถของของอัลหร่าน บินอัสราห์ อัลชีราห์ ผู้มีอายุประมาณ 50 ปีซึ่งอยู่ข้างๆ สาวสวยวัยกำดัดพร้อมอึกอักไม่กล้าพูดอะไรก่อนตัดสินบอกแต่เพียงว่า

“ท่านชี้คให้บอกว่ามีปัญหานิดหน่อยแต่ตอนนี้เรียบร้อยแล้วครับ”

“ปัญหางั้นเหรอ? เรื่องอะไรล่ะก็บอกแล้วไงให้...” สาวร่างเล็กสวนขึ้นมาทันทีและทำท่าจะพูดต่อแต่ก็โดนบิดากระแอมปราม

“ถ้าอัลฟารอสบอกว่าแค่ก็แค่นั้น นายไม่ควรพูดอะไรต่อเข้าใจใช่ไหมอิมบา”

ทุกอย่างจึงอยู่ในความสงบ จนกระทั่งเมื่อรถทั้งสี่คันเคลื่อนเข้าเขตรัฐแมนซัวร์ โทรศัพท์มือถือของอัลหร่านก็ดังขึ้นซึ่งเมื่อกดรับแล้วเสียงของชี้คอัลฟารอสก็เอ่ยเรียบๆ

“ผมคงไม่ได้เข้าไปในบริษัท”

“บริษัทงั้นเหรอ....แต่อาคิดว่าเราน่าจะพาพวกแขกต่างประเทศไปเฝ้าท่านสุลต่านกับเจ้าชายการิมมากกว่านะ ดูเหมือนว่าฝ่ายหลังจะอยากรู้เรื่องที่เรามาสำรวจทะเลทรายแดงคราวนี้มากทีเดียว” อัลหร่านอธิบาย น้ำเสียงของเขาต่อผู้เป็นหลานั้นแม้เรียบแต่ก็ฟังดูนอบน้อมเพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ที่ทุกคนในตระกูลชีราห์มีกินมีใช้นั้นก็เพราะหยาดเหงื่อ แรงสมองของชี้คหนุ่มผู้นี้นั่นเอง

“การเข้าเฝ้าสุลต่านเป็นหมายกำหนดการของเจ้าชายการิมด้วยใช่ไหม? แต่จุดประสงค์ก็คือเพื่อจะพาพวกนักลงทุนพวกนั้นไปคุยเรื่องขุดค้นบ่อน้ำมันในทะเลทรายแดงแล้วตั้งตัวเป็นผู้ติดต่อเสียเอง ถ้าเป็นแบบนั้นผมก็ไม่น่าเกี่ยวยังไงแมนซัวร์ก็เป็นของสุลต่านอยู่แล้วนี่เขาจะทำยังไงก็ช่างเถอะ” อัลฟารอสมองหญิงสาวที่ทอดกายนอนตามเบาะด้านข้างซึ่งถูกเอนลงจนเกือบราบ

“งั้นก็ตามใจ” อัลหร่านบอกเรียบๆ ก่อนวางสายและถอนหายใจในความหยิ่งยโสของหลานชาย เขารู้ดีว่าอัลฟารอสไม่ได้สนใจการขุดค้นน้ำมันในทะเลทรายแดงสักเท่าไหร่ เพราะลำพังแค่การสัมปทานขุดน้ำมันในหลายๆ แห่งแถบอาหรับที่หลานชายมีอยู่เขาก็มีเงินเหลือเฟืออยู่แล้ว แต่ที่มาวันนี้ก็เพราะโดนตนขอร้องเสียมากกว่า

ซึ่งทั้งหมดที่เขาคาดการณ์ก็ดูจะเป็นเรื่องจริง เพราะชี้คหนุ่มไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากสั่งบอดี้การ์ดคู่ใจ

“กลับบ้านเลย แล้วก็โทรตามหมอด้วย”



หลังจากส่งสตรีนิรนามในห้องรับรองและเรียกหมอมาดูอาการแล้วชี้คอัลฟารอสก็กลับไปในห้องทำงานของตนเอง เขาเรียกอานีสซึ่งดำรงตำแหน่งเลขาส่วนตัวด้วยนอกเหนือจากตำแหน่งบอดี้การ์ดก่อนสอบถามเรื่องหุ้นต่างๆ ในบริษัทหลายประเทศซึ่งตอนนี้ขยับตัวลงอย่างน่าเป็นห่วง แต่ก็ยังอุ่นใจว่าธุรกิจน้ำมันที่ประกอบการอยู่ที่ประเทศตะวันออกกลางด้วยกันนั้นยังทำกำไรให้มหาศาล

“แล้วเจ้านายคิดยังไงกับเรื่องที่เจ้าชายการิมจะฉวยโอกาสเรื่องสำรวจทะเลทรายแดงเพื่อจะขุดบ่อน้ำมัน”

“ไม่ใช่เรื่องของฉัน ทั่วอาณาเขตแมนซัวร์รวมถึงทะเลทรายแดงเป็นของสุลต่านอัซบาร์ ถ้าท่านสั่งหรืออนุญาตเจ้าชายการิมฉันก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร” อัลฟารอสพูดอย่างไม่สนใจเพราะแค่อำนาจและธุรกิจที่เขามีอยู่ก็แทบจะไม่ไหวที่จะดูแลคนเดียวแล้ว

“แต่แมนซัวร์จรดทะเลทรายแดงน่าจะเป็นท่านชี้คมากกว่า ผมได้ข่าวว่าตอนนี้สุขภาพของท่านสุลต่านไม่ค่อยดีนัก” อานีสแย้ง “แล้วอีกอย่างเจ้าชายการิมก็ทำท่าเหมือนจะกุมอำนาจในวัง”

“เรื่องของเขาสิ อย่างมากก็ได้แค่ในวัง” ชี้คหนุ่มเปิดแฟ้มในมือและไล่ดูไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็น แต่อานีสก็ยังวิจารณ์ตามหลักการ

“แต่ท่านชี้คต้องไม่ลืมว่าเจ้าชายการิมเป็นเพียงญาติห่างๆ ของสุลต่าน และแมนซัวร์ควรได้คนในราชวงศ์...หมายถึงคนหนึ่งคนใดในบรรดาหัวหน้าเผ่าที่เกี่ยวข้องกับการรวมผืนดินแมนซัวร์ไว้ด้วยกัน อย่าลืมสิครับว่าสุลต่านอัซบาร์แห่งราชวงศ์ฮาบาสปล้นมันไปจากพ่อของท่านชี้ค ฉะนั้นถ้าทรงสิ้นพระชนม์มันก็สมควรเป็นของเผ่าชีราห์ ราชวงศ์ชีราห์”

“สกุลไหนก็คนแมนซัวร์เหมือนกันนั่นแหละอานีส ถ้านายไม่เบื่อเรื่องในวังล่ะก็ ฉันขอบอกว่า...ฉันก็เหมือนพ่อนั่นแหละที่เบื่อมาก และพ่อก็แสดงให้เห็นแล้วถึงแม้ท่านจะไม่ได้เป็นสุลต่านแต่ท่านก็มีอำนาจไม่แพ้กัน” ชี้คหนุ่มปิดแฟ้มลงก่อนมองหน้าอีกฝ่าย “ฉันถือคติของพ่อ ไม่ยุ่งกับใครถ้าไม่จำเป็น ถ้าดีมาก็ดีตอบ แต่ถ้าร้ายละก็ จะไม่ยอมนั่งอยู่เฉยๆ เด็ดขาด!”

“ท่านชี้คครับ”

เสียงเคาะประตูพร้อมเรียกนั้นทำให้คนที่อยู่ห้องหยุดชะงัก อานีสมองพี่ชายซึ่งยืนอยู่หน้าประตูไม้สักซึ่งเปิดอ้าก่อนถามแทนเจ้านาย

“มีอะไรหรืออาดีน”

“ผู้หญิงคนนั้นฟื้นแล้วครับ” อาดีนบอกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้สื่อว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่



ไอเย็นๆ จากแอร์คอนดิชั่นที่แผ่กระจายไปทั่วนั้น ทำให้ร่างเพรียวสวยบนเตียงขนาดหกฟุตซึ่งปูผ้าสีสีเหลืองอ่อนขยับตัว ดวงตาสีดำภายใต้ขนตาหนางอนยาวนั้นมองไปรอบๆ ห้องที่ตนเองนอน มันกว้างขวาง มีห้องน้ำ มีตู้เสื้อผ้าผนังกระจก มีระเบียง และโต๊ะเครื่องแป้งลายหลุยส์ตั้งอยู่ ทว่ากลับไม่มีอะไรสักอย่างที่คุ้นกับความรู้สึกของเธอ

หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงทันทีด้วยสัญชาตญาณ เธอเหลียวหาประตูก่อนสิ่งอื่นใด ทว่าพอเหยียบลงบนพื้นทำท่าลุกขึ้นกลับรู้สึกเจ็บแสบที่เท้าจนต้องล้มลงอีกครั้ง

“โอ๊ย!”

เสียงร้องและเสียงล้มกระแทกขอบเตียงนั้นทำให้ชี้คอัลฟารอสซึ่งกำลังเปิดประตูเข้ามาชะงักก่อนรุดเดินมาที่ข้างเตียง

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

เขาถามเธอด้วยสำเนียงภาษาของแมนซัวร์ ทว่าสาวเอเชียผมดำตาดำผิวขาวผู้นี้ก็ส่ายหน้าตอบเหมือนเข้าใจก่อนจะผลักเขาออกและกระเสือกกระสนจะยืนขึ้นอีกครั้งแต่รอยแสบพองที่เท้านั้นก็ทำให้เธอล้มลง และอยู่ในอ้อมแขนกำยำของชี้คหนุ่มเสียด้วย

“ปล่อยฉัน”

เธอร้องเป็นภาษาไทยทำให้ชี้คอัลฟารอสขมวดคิ้วทว่าไม่ยอมปล่อยแต่อย่างใด แถมยังช้อนขาเรียวอุ้มเธอขึ้นมาอีกด้วย

“จะทำอะไร อย่านะ!”

ท่าทางตกใจของหญิงสาวไม่ได้ทำให้คนตัวโตสนใจนักแต่เสียงร้องห้ามเป็นภาษาไทยต่างหากที่ทำให้เขาชะงักและถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“เธอเป็นคนไทยงั้นหรือ”

“ฉัน...” คราวนี้หญิงสาวกลับไม่แน่ใจ เธอเงยมองผู้ชายที่กอดร่างของตนไว้ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนไม่แน่ใจ คนอุ้มจึงถามอีกครั้ง

“งั้นเธอชื่ออะไร”

“ฉันชื่อ....”

ดวงตาสีดำหวานของหญิงสาวมองใบหน้าคมพร้อมนิ่วลงด้วยความตกใจ น้ำใสๆ อุ่นๆ เริ่มคลอขึ้นมาเมื่อสำนึกได้ว่าหัวสมองของตนมีแต่ความว่างเปล่า “ฉันชื่ออะไร” เธอพึมพำก่อนหยาดน้ำตาจะหลั่งรินออกมา

“ฉันจำไม่ได้”

“จำไม่ได้อย่างนั้นเหรอ”

คราวนี้เป็นอัลฟารอสบ้างที่ต้องขมวดคิ้วและมองผู้หญิงซึ่งตนอุ้มอยู่อีกครั้ง และดวงตาสีดำแววด้วยหยาดน้ำที่เขาเห็นนั้นก็ทำให้ชี้คหนุ่มหายใจยาวๆ อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เขาวางร่างงามลงบนเตียงพร้อมหันไปหาอานีสกับอาดีนซึ่งยืนอยู่ห่างๆ แต่ได้ยินทุกอย่างโดยชัดเจนก่อนพยักหน้าให้

“ครับท่านชี้ค”

อานีสเป็นฝ่ายรับคำและเข้าใจดีว่าเจ้านายหมายถึงต้องการให้เขาไปสืบเรื่องนี้ บอดี้การ์ดร่างสูงจึงกระตุกแขนพี่ชายก่อนเดินพากันเดินออกไปจากห้องนั้น

“ความจำเสื่อมงั้นเหรอ”

ชี้คหนุ่มรำพึงพลางมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ดวงตาสีดำของเธอนั้นมองรอบๆ ตัวเองอย่างสับสนระคนหวาดกลัว จนเขาต้องถามอีกครั้ง

“เธอจำชื่อตัวไม่ได้....จำอะไรไม่ได้เลยงั้นเหรอ”

หญิงสาวมองหน้าเขาพร้อมพยายามที่จะนึก ทว่าทำอย่างไรเธอก็จำอะไรไม่ได้เลย “แต่ว่า....” ดวงตาของหญิงสาวจดจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดขึ้น

“ฉันจำคุณได้”

“จำฉันได้งั้นเหรอ” อัลฟารอสพูดอย่างเหลือเชื่อก็เขาเพิ่งเจอเธอเป็นครั้งแรกนี่นา

“ใช่” หญิงสาวทำท่านึกแล้วจำได้ว่าตนเองลืมตาขึ้นมาและเห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ “จำได้ว่า...ฉันเห็นหน้าคุณ”

“นั่นเมื่อไม่นานนี้เอง” ชี้คหนุ่มถอนหายใจ “ฉันเจอเธอนอนอยู่กลางทะเลทรายแล้วก็พาเธอมาที่นี่ แต่ที่เราอยากรู้คือเธอคือใครและมาจากไหน”

“ฉันไม่รู้...” หญิงสาวส่ายหน้าและขมวดคิ้วอีกครั้ง “แล้วที่นี่...ที่ไหนกัน”

เธอถามเขาเป็นภาษาไทยทำให้อัลฟารอสแปลกใจนักที่อีกฝ่ายฟังภาษาแมนซัวร์ออกแต่กลับสื่อสารด้วยภาษาไทยเท่านั้น และดีที่เขาเรียนรู้มันมามากพอแล้วตั้งแต่ต้องติดต่อธุรกิจกับพ่อของวรันธรเมื่อหลายปีก่อน จึงไม่ลำบากในการฟังสักเท่าไหร่

“บ้านของฉันเอง”

ชายหนุ่มบอกและยังคิดไม่ตกเลยว่าจะทำอย่างไรต่อไป ทว่าผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเตียงก็ยิ่งทำให้เขาลำบากใจเมื่อเธอถามขึ้นอย่างกระตือรือร้นทันที

“บ้านของคุณ? แล้วบ้านของฉันล่ะอยู่ที่นี่หรือเปล่า คุณรู้จักฉันไหม เพราะจำคุณได้นี่นา บ้านฉันอยู่ใกล้ๆ นี่ใช่ไหม” ถึงอย่างไรเธอก็คิดว่าการเห็นหน้าเขาก่อนที่จะสลบไปนั้นคือหนึ่งในสิ่งที่เธอจำได้ก่อนที่จะความจำเสื่อม

ชี้คหนุ่มจึงยกมือขึ้นกอดอก ดวงตาสีน้ำตาลมองสาวเอเชียนิ่งๆ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสมควรจะตอบเธอว่ายังไง ผู้หญิงไทยที่พูดภาษาของตนเองแต่ฟังภาษาแมนซัวร์ออกนี้คือใครกัน ร่างกำยำได้แต่ผ่อนลมหายใจออกมา นี่ถ้าเขาไม่ได้ลั่นวาจาไปแล้วว่าห้ามวรันธรกับเซสทัสเหยียบแมนซัวร์อีก ตนเองคงจะไปลากผู้หญิงคนนั้นมาที่นี่แล้วถามว่ารู้จักหญิงสาวคนนี้บ้างไหม?



********************************************









แพรพริมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ก.ค. 2555, 10:47:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2555, 12:11:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2502





   2 มาลิก้า >>
Siang 16 ก.ค. 2555, 10:51:19 น.
ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ พี่แพรหายไปนานเลย เรื่องนี้เป็นภาคต่อใช่มั๊ยคะ ปูเสื่อรออ่านตอนต่อไปโลดค่ะ


แพรพริมา 16 ก.ค. 2555, 11:04:34 น.
จุ๊บๆ ค่า น้องสาว


goldensun 16 ก.ค. 2555, 11:48:36 น.
รอติดตามต่อค่ะ


หมูอ้วน 16 ก.ค. 2555, 13:59:38 น.
พี่แพรเอาเรื่องใหม่มาลงแล้วว ปูเสื่อรอค่าา


ฝนปราย 16 ก.ค. 2555, 18:13:04 น.
ดีใจมากเลยที่ได้อ่านนิยายของแพรพริมาอีกครั้ง มีที่ผิดนะคะ ชืค ไม่ต้องมีไม้โทค่ะ เพราะออกเสียงเป็นตรีอยู่แล้ว


Zephyr 16 ก.ค. 2555, 19:57:06 น.
โอ๊ะ ภาคต่อท่านชีคสินะคะ แต่ฮ่าๆๆ คุณแพร เกริ่นให้หน่อยได้มั้ยคะ คือเราลืม ว่าทำไมท่านชีคไม่ให้รันกะเซสทัสเหยียบแมนซัวร์อีกนะ หุหุ
ปล.14 ปีออกแล้วววว ต้องตามไปสอยค่ะ


คิมหันตุ์ 16 ก.ค. 2555, 23:24:55 น.
ลงชื่อ จ่ะ


หนอนฮับ 17 ก.ค. 2555, 13:40:32 น.
ว้าวววววว มาแระ


กระต่ายจอมซน 7 ส.ค. 2555, 12:55:40 น.
เธอเป็นใครกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account