พิศวาสใต้รอยทราย
ความโกรธใดๆ จะร้ายแรงและฝังลึกในหัวใจได้เท่าการโดนหักหลัง และความรักใดๆ จะมากมายไปกว่าความรู้สึกรักที่เปี่ยมล้นไปด้วยแรงพิศวาส
วางแผงวันเสาร์ที่ 11 ส.ค. 55 นี้ ราคาเพียง 99.- บาท ที่ร้านเซเว่นอีเลเว่นทั่วประเทศจ้า ^^ หรือถ้าหาไม่ได้ก็สั่งจองในเวปได้เลยนะคะ www.greenmindbook.com ราคาพิเศษค่ะ หรือไม่ก็สั่ง 'แพรพริมา' ทางจดหมายน้อยได้เลยจ้า
วางแผงวันเสาร์ที่ 11 ส.ค. 55 นี้ ราคาเพียง 99.- บาท ที่ร้านเซเว่นอีเลเว่นทั่วประเทศจ้า ^^ หรือถ้าหาไม่ได้ก็สั่งจองในเวปได้เลยนะคะ www.greenmindbook.com ราคาพิเศษค่ะ หรือไม่ก็สั่ง 'แพรพริมา' ทางจดหมายน้อยได้เลยจ้า
Tags: ความรัก ความแค้น ทะเลทราย
ตอน: 2 มาลิก้า
2. มาลิก้า
“อะไรนะ ไม่มีใครรู้เรื่องเลยงั้นเหรอ”
ชีคอัลฟารอสถามขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เมื่อวานเขาให้อานีสและอาดีนไปจัดการสืบหาความเป็นมาเป็นไปของหญิงสาวไร้นามที่ตนเองเจอกลางทะเลทรายแดงทว่าทั้งคู่กลับคว้าน้ำเหลวกลับมา
“เป็นไปได้ยังไง”
“ผมว่ามันแปลกมากเลยนะเจ้านาย” อานีสตั้งข้อสังเกตตามประสาคนที่ควบตำแหน่งเลขาของท่านชีคและความที่ใจเย็นกว่าพี่ชายทำให้เขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าด้วย
“น่าแปลกที่เธอแทบไม่มีร่องรอยเลย ทำไมถึงไม่มีใครรู้ใครเห็นอะไรเกี่ยวกับเธอเลย”
“ใช่ครับท่านชีค” อาดีนเห็นด้วย “ขนาดผมให้คนถือรูปของเธอถามไปทั่วเขตชายแดนที่ออกสู่ทะเลทรายแดงได้ แต่ก็มีแต่คนส่ายหัวเดินหนี แล้วเธอจะเข้าไปที่นั่นได้ยังไงถ้าไม่มีใครเคยเห็น หรือว่า...จะมาจากอีกทาง แต่ถ้าอีกทางก็หมายถึงมหาสมุทรน่ะสิ”
“ผมจำได้ว่ามีหมู่บ้านเล็กๆ ที่นั่น” อานีสพึมพำเพราะเป็นที่รู้กันว่าอีกฟากของทะเลทรายแดงติดกับมหาสมุทรแปซิฟิค และที่นั่นก็ยังมีไอระเหยจากลมทะเลซึ่งทำให้ฝนตกพอที่จะมีคนอาศัยอยู่ได้
“ทะเลทรายแดงกว้างขนาดไหนพวกนายก็รู้ เราเจอผู้หญิงคนนั้นใกล้ๆ กับแมนซัวร์...แล้วนายคิดว่าเธอสามารถทะลุมาจากมหาสมุทรอีกฟากได้หรือไง นั่นมันทะเลทรายแดงนะ ทะเลทรายที่ร้อนระอุที่สุด เที่ยงวันมันร้อนตั้ง 50 องศา มนุษย์อยู่ที่นั่นได้แค่ 15 นาทีก็แทบจะระเหยกลายเป็นไออยู่แล้ว” อัลฟารอสพูดขึ้นตามนิสัยคนที่มีความจำแม่นยำสมกับที่กุมอำนาจธุรกิจเกือบทั้งรัฐแมนซัวร์เอาไว้ในมือ
“ความจริง...”
อาดีนมองหน้าท่านชีคอย่างไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่ เนื่องจากเขาเคยแค้นใจกับสาวชาวไทยคนหนึ่งจนพาลเกลียดผู้หญิงชาตินี้ไปเสียหมด
“ผมว่าเราส่งเธอให้สถานทูตไทยเลยดีกว่า อย่าลืมสิครับว่าผู้หญิงไทยเคยทำให้เราเกือบเสียเพชรอัลคาซารห์ไปครั้งหนึ่งแล้ว ยัยนั่นทำให้ท่านชีคกับเซสทัสต้องผิดใจกัน แกล้งมาทำเสน่ห์มารยาสารพัดเพื่อขโมยของ และอีกอย่างท่านชีคก็เคยบอกว่า...”
อานีสมองหน้าพี่ชายสลับกับใบหน้าคมของชีคหนุ่ม คิ้วขมวดน้อยๆ เหมือนจะปรามอีกฝ่ายว่าอย่าพูด แต่อัลฟารอสกลับพูดขึ้นเสียเอง
“ฉันลั่นวาจาเอาไว้ว่า...จะไม่ให้เซสทัสกับวรันธรเหยียบแมนซัวร์อีก และบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงชาตินี้อีกเด็ดขาด” เขาเคยพูดแบบนี้ต่อหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองรวมทั้งคนในคฤหาสน์ อัลฟารอสมองอีกฝ่ายพร้อมรู้ว่าอาดีนกำลังคิดยังไง
“ใช่ครับ ท่านชีคไม่คิดหรือว่าผู้หญิงคนนี้ก็น่าสงสัยเหมือนกัน” อาดีนเตือนเจ้านาย ทำให้อีกฝ่ายนิ่งลง เขาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพูดอย่างไตร่ตรอง
“ฉันจะให้เธออยู่จนกว่า....เราจะได้ข้อมูลที่ชี้ชัดกว่านี้ ถ้าเธอคิดจะมาหลอกลวงเหมือนกับวรันธรล่ะก็ คงเป็นการดีถ้าให้เธออยู่ในสายตาของพวกเรา แต่ถ้าไม่ใช่...นี่ก็เพื่อมนุษยธรรมเท่านั้น เมื่อเธอดีขึ้นหรือเริ่มจำอะไรได้เราจะส่งเธอกลับไปตามทางของเธอ” สำหรับชีคหนุ่มนั้นการเสียคำพูดที่ตนเองเคยลั่นวาจาต่อหน้าลูกน้องคนสนิทและคนในปกครองย่อมไม่เป็นการดีแน่ ทว่าจะให้เขาทิ้งขว้างผู้หญิงคนนี้อย่างไม่ไยดีก็ย่อมทำไม่ได้อีกเหมือนกัน ฉะนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลกลางๆ ที่เขาคิดได้ในตอนนี้
อานีสก้มหัวลงรับคำ ส่วนอาดีนก็ต้องทำตามเพราะยอมรับในเหตุผลของผู้เป็นนายเช่นกัน
“ท่านชีคคะ”
ก่อนจะคิดอะไรต่อไปเสียงเคาะและเรียกเบาๆ ข้างประตูก็ดังขึ้นพร้อมปรากฏร่างของหญิงรับใช้นางหนึ่งซึ่งยืนก้มหน้าอยู่ด้วยความนอบน้อม
“มีอะไร” เสียงเข้มที่ดังทำให้เธอตอบเบาๆ
“เจ้าชายการิมกับท่านหญิงนาเดียพระธิดามาขอพบค่ะ” เสียงตอบนั้นทำให้อัลฟารอสขมวดคิ้วและมองหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองก่อนสั่งความว่าจะตามลงไป
“นาเดียงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพึมพำพร้อมรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อหลังอยู่มากทีเดียว
เจ้าชายการิม บินอับดุล อัลฮาบาส เป็นพระญาติของ สุลต่านอัซบาร์ บินราจีฟ อัลฺฮาบาส สุลต่านองค์ปัจจุบันของแมนซัวร์ แต่เนื่องด้วยท่านสุลต่านไม่มีบุตรชายและมีอายุมากแล้วเขาจึงหมายตารอรับตำแหน่งนี้ต่อ เพราะในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดก็มีเขานี่แหละที่สนิทสนมและคอยให้คำปรึกษาบวกประจบเอาใจท่านสุลาต่านมากที่สุด
ทว่าวันนี้เมื่อได้มายืนมองรอบๆ ห้องรับรองของชีคอัลฟารอส บินฮามาร์ อัลชีราห์ สายพระเนตรเจ้าเล่ห์ของเจ้าชายการิมก็เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงแต่ละชิ้นซึ่งวางอยู่ ณ ที่นี้นั้นมูลค่าของมันบวกกับมูลค่าของล้ำค่าโบราณในตู้กระจกแพงจนมองข้ามไปไม่ได้เลย และทั้งหมดของความยิ่งใหญ่นี้เขาเชื่อเหลือเกินว่ามันมาจากอำนาจของเพชรเม็ดเดียวที่อัลฟารอสครอบครองอยู่ ‘เพชรอัลคาซารห์’ เพชรสีชมพูในตำนานซึ่งสามารถสร้างความร่ำรวยและอำนาจให้แก่ผู้ครอบครองได้อย่างมหาศาล
“พ่อคะ นี่เรากำลังรออะไรอยู่คะ นี่บ้านของใครกัน”
ท่านหญิงนาเดีย ผู้มีร่างอวบเร้าเสน่ห์เพศตรงข้ามขัดความคิดของบิดาด้วยเสียงอันดัง เมื่อเริ่มหงุดหงิดเพราะเห็นว่านานแล้วแต่เจ้าของบ้านก็ยังไม่ออกมาต้อนรับเสียที นาเดียเป็นธิดาของเจ้าชายการิมกับภรรยาสามัญชนคนที่ 4 ซึ่งเป็นแหม่มชาวอเมริกาจึงไม่ศักดิ์เป็นเจ้าหญิง และเธอก็เดินทางไปอยู่กับแม่ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบฉะนั้นจึงมีท่าทางที่มั่นใจเกินสาวแมนซัวร์ทั่วไป สังเกตได้จากท่านั่งไขว่ห้างอย่างสาวสมัยใหม่และการแต่งตัวทันสมัยสวยงามอย่างอารยธรรมตะวันตกแต่ก็เน้นให้เป็นชุดยาวๆ ด้วยเกรงใจบิดา
“ใจเย็นน่ะนาเดีย”
เจ้าชายการิมพูดอย่างใจเย็น ทรงมองของล้ำค่าราคาแพงในตู้กระจกของอัลฟารอสอย่างเพลิดเพลินพร้อมนึกในใจว่า เพียงไม่กี่ปีที่เขาไม่ได้มาเหยียบที่นี่ ชีคหนุ่มคนนี้ก็ร่ำรวยมากขึ้นทุกวัน ของบางอย่างนั้นล้ำค่ากว่าที่อยู่ในวังแมนซัวร์ของสุลต่านเสียอีก
“ใจเย็นงั้นหรือคะ ลูกคิดว่าเจ้าของบ้านเนี่ยน่าจะออกมารอเราที่หน้าประตูเลยด้วยซ้ำ พ่อเป็นเจ้าชายในราชวงศ์ฮาบาสนะคะราชสกุลเดียวกับท่านสุลต่านผู้ครองประเทศแมนซัวร์ เขาควรจะให้ความเคารพเราบ้างสิ”
นาเดียหงุดหงิดเกินกว่าที่สังเกตสังกาเช่นผู้เป็นพ่อ เธอเพิ่งมาเหยียบแมนซัวร์หลังจากที่นี่ไปนับสิบปีและคิดเพียงว่าพ่อของตนเองเป็นถึงคนในราชวงศ์และจึงสมควรที่จะเป็นคนสำคัญในรัฐแห่งนี้
“อย่าบอกนะคะว่าคนที่เรากำลังจะเจอเนี่ยคือสาเหตุที่พ่อตามตัวลูกด่วนมาจากการปาร์ตี้กับเพื่อนๆ แล้วอย่าบอกนะว่าพ่อหวังจะให้หนูมาเป็นสะใภ้ผู้ชายแมนซัวร์ เชอะผู้ชายที่นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ ตัวโตผิวคล้ำ จมูกโด่งงองุ้ม ปากหนา ตาดุๆ ไม่เห็นจะน่าสนใจ สู้หนุ่มยุโรป อเมริกาหล่อๆ ก็ไม่ได้”
“แน่ใจหรือว่าสู้ไม่ได้”
เจ้าชายการิมยกมุมปากก่อนเหล่ตามองลูกสาวเพราะรู้ดีว่านาเดียเคยคบและมีความสัมพันธ์กับชายชาวแมนซัวร์คนหนึ่งและนั่นก็คือจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้
น้ำเสียงรู้ทันแบบนั้นทำให้นาเดียออกตัวอึกอัก “ยกเว้น...บางคนเท่านั้นแหละที่ลูกจดจำไม่เคยลืม”
หญิงสาวหายใจออกสั้นๆ ก่อนกระแทกตัวลงที่พนักเก้าอี้รับแขกลายหลุยส์ ผู้ชายแมนซัวร์ที่เธอไม่เคยลืมน่ะหรือย่อมมีอยู่แล้วล่ะ ‘หรือว่า!’ นาเดียตาโตขึ้นและหันมามองบิดา ‘อย่าบอกนะว่านี่คือบ้านของชีคอัลฟารอสและคนที่พ่อของเธอคิดจะให้เธอมาพบและเชื่อมความสัมพันธ์ก็คือเขา’ เพียงแค่คิดยังไม่ทันเอ่ยปากทว่าก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หวังว่าคงไม่ได้ปล่อยให้แขกรอนานจนเกินไปใช่ไหม”
เสียงสวนดังๆ นั้นทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเอนกายลงเก้าอี้สะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้องรับแขกและสิ่งที่เห็นก็ทำให้ร่างอวบตะลึงจนอยากจะกลับคำที่เคยก่นด่าเจ้าของบ้านเสียเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว
ชีคอัลฟารอสอยู่ในชุดลำลองของชาวแมนซัวร์ เสื้อคอแหลมสีขาวบางๆ ตัวในเผยให้เห็นแผงอกกว้างกำยำและสวมทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำเดินเส้นด้วยด้ายสีทองพร้อมกางเกงขายาวสีเดียวกัน ร่างของเขานั้นสูงใหญ่ สง่างามดังราชสีห์หนุ่มยามยืนอยู่บนบัลลังก์ทองและพร้อมที่สั่งการให้ทุกคนถวายชีวิตให้ ดวงหน้าคมคร้ามเครื่องเคราเหมาะเจาะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นคม ดุดัน ทว่ามีแววอบอุ่นดั่งแสงแดดอ่อนๆ ของดินแดนทะเลทรายยามใกล้รุ่งและสามารถทำให้คนที่มองระเหิดระเหยไปได้เลยทีเดียว
“นั่น...” นาเดียยืนขึ้นก่อนพึมพำ “อัลฟารอส”
“ลมอะไรพัดฝ่าบาทมาถึงที่นี่ได้” อัลฟารอสมองท่านหญิงนาเดียแว่บเดียวอย่างไม่ใคร่สนใจก่อนหันไปหาร่างท้วมสูงของราชนิกูลวัย 50 กว่าปี
“หลานชาย” เจ้าชายการิมยิ้มในดวงตาก่อนเดินเร็วๆ มาหาชีคหนุ่มและกอดเขาหลวมๆ ทำให้อานีสและอาดีนขยับตัวทันที เนื่องด้วยอีกฝ่ายไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเพราะอย่างมากก็แค่ทักทายและจับมือกันอย่างคนคุ้นเคยเท่านั้น
“มีอะไร” อัลฟารอสเองก็รู้สึกเหมือนบอดี้การ์ดทั้งคู่ ‘หลานชาย’ งั้นหรือ เขาผละตัวออกจากเจ้าชายการิมอย่างแปลกใจเพราะฝ่ายนั้นมักเรียกเขาด้วยชื่อหรือคำสั้นๆ เช่นคำว่า ‘นาย’ มากกว่า
“มีสิ! นี่ไง” เจ้าชายการิมรีบผายมือไปยังธิดาสาว “จำนาเดียได้ไหม เจ้าทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนในวังตอนเด็กๆ ก่อนที่นาเดียจะไปอยู่และเรียนต่อที่อเมริกา ตอนนี้เรียนจบแล้วยังไม่ได้ทำอะไรก็เลยกลับมาเที่ยวแมนซัวร์”
“ครับ...แล้วยังไง” อัลฟารอสรับคำก่อนก้มหัวให้อีกฝ่ายน้อยๆ ตามมารยาทแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยกำลังคิดถึงเรื่องที่กำลังคุยค้างไว้มากกว่า ทำให้สาวที่กำลังมองเขาด้วยดวงตาแวววาวออกอาการผิดหวังจนใครๆ ในห้องนั้นก็สังเกตเห็น
“เอ่อ...” และท่าทางไม่เยแสของเขาทำให้เจ้าชายการิมถึงกับพูดต่อไม่ถูก ราชนิกูลสูงวัยมองลูกสาวที่กำลังหน้างอก่อนแสร้งยิ้มกู้สถานะการณ์
“ล้อเล่นอยู่เรื่อยเลยนะหลานชาย...เธอสองคนเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่เด็กนี่นา แถมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็ยังเคยควงกันอยู่ตั้งร่วมเดือน....อย่านึกว่าพ่อจะไม่รู้นะ” เจ้าชายการิมแสร้งหันไปทางลูกสาวที่ทำท่าเขินอายก่อนพูดต่อ “คนที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้มาเจอกันอีกครั้งก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา เป็นไงล่ะหลานชายตกใจจนพูดไม่ออกเลยล่ะสิที่เห็นนาเดียสวยขึ้นขนาดนี้ รู้ไหมว่าหลังๆ มาเนี่ยตอนอยู่ที่อเมริกาน่ะ เธอเป็นดาวเด่นเชียวนะ แต่นาเดียก็ไม่สนใจใคร พูดถึงแต่หลานอยู่ทุกวัน”
คำพูดของบิดาทำให้นาเดียแอบยิ้มและอดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าเชิดอกคัพซีรอรับสายตาของท่านชีครูปหล่อ ท่าทางแบบนั้นทำให้อาดีนบอดี้การ์ดคนพี่ซึ่งมีชื่อเสียงด้านผู้หญิงถึงกับกลืนน้ำลาย แต่อัลฟารอสกลับมองเมินทำเสียงขึ้นจมูก สองพ่อลูกนี่ยังไงกัน!
“ตกใจงั้นเหรอ”
ชีคหนุ่มพึมพำก่อนหันไปมองท่านหญิงนาเดียอีกครั้ง และพบว่าน่าตกใจเหมือนกันเพราะเมื่อปีที่แล้วซึ่งเขาเดินทางไปประชุมที่สวีเดน ดูเหมือนนาเดียจะยังไม่ได้อวบอั๋นเช่นนี้.....แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมากไม่ว่าจะเป็นทรงผม ดวงตา จมูก หรือกระทั่งหน้าอกโตๆ นั่นก็เปลี่ยนไปจนผิดตาเชียวแหละ ส่วนสาเหตุว่าเธอจะไปทำมาจากหมอประเทศไหนนั้นเขาคงไม่นึกถึงกระมัง เอาล่ะถ้าเช่นนั้นเขาก็ควรตกใจตามที่เจ้าชายบอก....
“งั้นก็ใช่ ผมควรตกใจ...แต่เราก็รู้จักกันแล้วนี่ แล้วยังไงต่อไปอีก” ชายหนุ่มหายใจออกสั้นๆ เพราะแม้ว่าตนกับนาเดียนั้นจะเคยควงกันมาก่อนตอนที่เขาไปติดต่อธุรกิจที่อเมริกาทว่านั่นก็เป็นเพียงเรื่องฉาบฉวยซึ่งเกิดมาจากความพร้อมใจของคนสองคนและเขาก็ไม่มีเวลามาทบทวนด้วยว่าเคยมีความสัมพันธ์กับใครเช่นไร
“ก็...” เจ้าชายการิมกลืนน้ำลายเล็กน้อย เพราะถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าหลังจากนีน่าต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุนั้นอัลฟารอสก็ไม่เคยคบกับใครจริงจังนอกจากมีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย เขากลายเป็นคนที่เย็นชาเงียบขรึมทำแต่งาน ทว่าพระองค์ก็จำได้ขึ้นใจว่าในอดีตนั้นอีกฝ่ายเป็นนักรักตัวยง อีกอย่างภรรยาของเขาก็เพิ่งเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนอัลฟารอสจะหมั้น เขาเคยควงนาเดียอยู่เป็นแรมเดือนมาก่อน แต่ทำไมตอนนี้อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเธอเท่าที่ควรเลย ทั้งๆ ที่ลูกสาวเขาก็สวยมากกว่าเดิมเป็นกอง
“คือ...ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ น่ะ” ราชนิกูลสูงวัยรีบออกตัวก่อนเข้าเรื่อง “ส่วนนาเดียก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเลยอยากเที่ยวแมนซัวร์กับแถบตะวันออกกลางให้ทั่ว เลยคิดจะมาวานให้นาย เอ่อ...ให้หลานช่วยสักหน่อย อย่างน้อยเธอทั้งคู่ก็รู้จักกันแล้วนี่นา”
“พาเที่ยวงั้นหรือ”
อัลฟารอสมองสาวร่างอวบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นาเดียรีบมองตอบอีกฝ่ายเต็มตาอย่างยั่วยวนและไม่ยอมให้เขาละสายตาไปจากเธออีก โดยร่างอวบรีบขยับเข้ามายืนเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่จนเกือบชิดและพูดกับเขาด้วยเสียงหวานทั้งวาจาและท่าทาง
“หวังว่าท่านชีคคงให้ความกรุณากับเพื่อนเก่าคนนี้บ้างนะคะ”
อัลฟารอสหยักมุมปากเล็กน้อยเพราะเมื่อเห็นสายตาแบบนั้นตนก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายจนทะลุปรุโปร่ง และถ้าเป็นในอดีตล่ะก็เขาอาจจะใช้มือเชยคางนาเดียขึ้นและเตะริมฝีปากเธอสักครั้งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจเพราะดูเหมือนเธอจะกำลังท้าทายและต้องการแบบนั้นจริงๆ ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นริมฝีปากเคลือบสีแดงสดนั่นชีคหนุ่มกลับไพล่ไปคิดถึงสาวอีกนางจนได้ ร่างเพรียวสมส่วนที่ล้มตัวนอนอยู่บนผืนทราย อวดเรียวขาคู่งาม และรูปหน้าซึ่งคงความหวานแม้กำลังหลับตาอยู่
“นะคะท่านชีค” เสียงท่านหญิงนาเดียทำให้ชายหนุ่มออกจากภวังค์และตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“แล้วผมจะจัดการให้” ก่อนที่จะนัดหมายกันอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่สองพ่อลูกลากลับไปท่ามกลางสายตาหวานชะมดชะม้อยของฝ่ายหญิง อานีสก็ตั้งข้อสังเกตทันที
“ท่าทางเจ้าชายการิมจะอยากได้ท่านชีคเป็นลูกเขย...”
“เป็นลูกเขย” อัลฟารอสมองผ่านกระจกใสและเห็นรถยุโรปคันโก้ของเจ้าชายการิมเคลื่อนผ่านสนามสีเขียวออกไปด้านหน้าประตู ชายหนุ่มส่ายหัวก่อนหันกลับมาในห้อง “น่าสนใจหรือไง...เป็นลูกเขยของเจ้าชายการิม”
“เป็นคนอื่นคงไม่ปฏิเสธ” อาดีน บอดี้การ์ดร่างยักษ์บอกยิ้มๆ
“รวมถึงนายด้วยใช่ไหม” อัลฟารอสหันมามองบอดี้การ์ดผู้พี่ “ฉันเห็นนายมองนาเดียตาไม่กะพริบเลย”
“ไม่ครับ ไม่บังอาจ” อาดีนรีบก้มหัว
“บังอาจอะไรกัน ฉันกับนาเดียก็แค่คนที่เคยคบกัน” เมื่อเจอกันและโดนกระตุ้นความสัมพันธ์อยู่หลายครั้ง ความทรงจำที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายก็หวลคืนกลับเข้ามาในหัวของชายหนุ่ม “และอีกอย่างเธอก็ยินดีจบความสัมพันธ์ของเราเมื่อฉันยืนยันแล้วว่าไม่สามารถอยู่สนุกสนานกับเรื่องกินเรื่องเที่ยวและเรื่องบนเตียงของเธอตลอดแวลาได้ เพราะยังไงเรื่องงานก็สำคัญกว่า....สรุปว่าเราทั้งคู่จบกันแล้ว”
อัลฟารอสบอกลูกน้องอย่างไม่สนใจ อานีสจึงปรายตามองพี่พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาในความเจ้าชู้ก่อนเสนอความเห็นอย่างหวังดี
“แต่ตอนนั้นท่านชีคยังไม่ทราบว่านาเดียเป็นลูกสาวของเจ้าชายการิม และถ้าท่านชีคยอมกลับไปสานสัมพันธ์กับท่านหญิงนาเดีย อาจจะดีกับทั้งสองฝ่ายก็ได้ เพราะพอเจ้าชายการิมได้เป็นสุลต่านเขาก็คงมีอำนาจมากเนื่องจากจะมีทั้งศักดินาของราชวงศ์ฮาบาสและอำนาจเงินตราของลูกเขยจากตระกูลชีราห์...ส่วนท่านชีคก็อาจได้เป็นสุลต่านคนต่อไป”
“และนั่นก็เข้าล๊อคที่เจ้าชายการิมต้องการใช่ไหม” ชีคหนุ่มหายใจสั้นๆ “นายพูดเหมือนไม่รู้จักฉันอานีส...จะเป็นนาเดียคนเก่าหรือต่อให้เป็นท่านหญิงก็ไม่สำคัญ เพราะถ้าฉันบอกว่าไม่สนใจละก็ต่อให้เป็นเจ้าหญิงหรือราชินีก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ได้หรอก”
ชีคหนุ่มเหยียดมุมปากอย่างถือดี คนอย่างเขาไม่มีวันหลงเกมใครเพราะผู้หญิงคนเดียวเด็ดขาด เมื่อคราววรันธรก็เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว แม้กระทั่งนีน่าที่เขารักนักหนานั้นก็เป็นผู้ตามที่อ่อนหวานเสมอมา ทว่าชายหนุ่มเป็นคนที่รักษาสัจจะและสัญญามากกว่าสิ่งใดด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องแปลนแผนการที่จะพาลูกสาวเจ้าชายการิมท่องตะวันออกลางด้วยเช่นกัน
“อาดีน....” อัลฟารอสเรียกบอดี้การ์ดผู้พี่แต่ยังไม่ทันจะสั่งอะไร เสียงเอะอะโวยวายก็แว่วเข้าหูมา
“จับไว้!”
“เกิดอะไรขึ้น” อานีสขยับตัวทันที แต่อาดีนแตะแขนน้องชายไว้และรีบวิ่งไปทางหน้าห้องรับแขกเพราะทราบดีว่ายังไงเสียก็ต้องมีคนหนึ่งอยู่กับท่านชีค ทว่าไม่ทันที่อาดีนจะวิ่งออกไปคนรับใช้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน
“ท่านชีคคะ ผู้หญิงคนนั้น... ผู้หญิงคนนั้น...”
“อะไร!” ชีคอัลฟารอสถามเสียงดัง คนรับใช้หญิงจึงหลุดคำออกมา
“หนีค่ะ เธอพยายามหนี...ไปทาง...”
ยังบอกไม่ทันจบคำอัลฟารอสก็รุดออกจากห้องรับแขกทันที เขามองคนรับใช้ซึ่งพากันร้องอลม่านก่อนวิ่งออกไปทางด้านหน้าคฤหาสน์สีน้ำตาลและเห็นว่าหญิงสาวต้นเหตุนั้นกำลังวิ่งลงบันไดตึกตรงไปที่ประตูซึ่งห่างออกไปจากตัวตึกประมาณ 500 เมตร
ร่างสูงของชีคหนุ่มจึงก้าวเร็วๆ ก่อนจะกลายเป็นวิ่งตามไปพร้อมกับบอดี้การ์ดทั้งคู่และไม่นานอัลฟารอสก็คว้าข้อมือของหญิงสาวชาวไทยได้
“ปล่อย!”
ร่างเพรียวสมส่วนชะงักพลางร้องขึ้นพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมโดยไม่ได้มองว่าใครดึง อัลฟารอสจึงถามเสียงดัง
“จะไปไหน”
“ฉันจะไป อย่ามาห้าม!” เธอตะโกนก่อนหลับหูหลับตาดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ อีกฝ่ายจึงรวบร่างเพรียวเข้ามากอดพร้อมสั่งเสียงเข้ม
“หยุด! อยู่เฉยๆ เดี๋ยวนี้นะ”
หญิงสาวที่โดนกอดจึงนิ่งลง เธอเงยหน้ามองคนที่กอดตนเองไว้อย่างเต็มตาก่อนมีท่าทีผ่อนคลายและบอกเขาเบาๆ แต่น้ำเสียงแบบนั้นช่างฟังดูหวานจับใจนักในความรู้สึกของอัลฟารอส
“คุณน่ะเอง เมื่อกี้ฉันตื่นขึ้นมาแล้วฉันหาคุณไม่เจอ จะขอพบก็ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง ออกจากห้องก็ไม่มีใครยอมให้ออกมา ฉันอยากจะไปหาคุณ ฉันอยากพบคุณ อยากคุยกับคุณ”
สายตาอ้อนวอนโหยหาเช่นนั้นทำให้หัวใจของอัลฟารอสเริ่มก่อความรู้สึกบางอย่าง เขาเบือนหน้าจากหญิงสาวและมองกลับไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองของตนก่อนมองคนรับใช้ที่ยืนอยู่สลอน
‘ฉันจะไม่มีวันยุ่งกับผู้หญิงไทยคนไหนอีก’
ชีคหนุ่มอยากจะกลืนน้ำลายกับคำพูดของตัวเองนักแต่ภาพคนในบังคับบัญชาที่จ้องก็ทำให้เขาพยายามสงบสติอารมณ์และถามผู้หญิงตรงหน้า
“หมายความว่าที่วิ่งหนีออกมาก็เพราะเธอต้องการหาฉัน...อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่...” ใบหน้านวลพยักลง “ฉันมีเรื่องต้องพูดกับคุณ ฉันอยากเจอคุณ เพราะไม่มีใครฟังฉันพูดออกนอกจากคุณ....ฉันอยากจะบอกคุณว่า ตอนนี้ฉันจำบางอย่างได้แล้ว ฉันจำได้ว่าตัวเองต้องกลับบ้าน แต่มีคนบางคนไม่ยอมให้ฉันกลับ คุณต้องช่วยฉันนะ”
“ผมต้องช่วย! ทำไมผมต้องช่วย”
อัลฟารอสถามคนในอ้อมแขน ไม่นึกอยากจะปล่อยเธอเลยสักนิดและอดคิดไม่ได้ว่า ‘กลับบ้านงั้นหรือ ทำไมเขาต้องช่วยให้ผู้หญิงคนนี้ได้กลับบ้านด้วย เมืองไทยงั้นหรือ? ที่นั่นห่างไกลจากที่นี่เหลือเกิน’
แต่หญิงสาวไม่รู้ความในใจของเขา เธอจึงรีบบอกอย่างกระตือรือร้น
“ก็คุณเป็นคนเดียวที่ฉันรู้จัก ฉันรู้ว่าคุณจะช่วย อย่างน้อยก็ตอนนี้ ตอนที่ฉันยังจำอะไรไม่ได้”
อัลฟารอสมองดวงหน้าหวานที่แหงนมองตนเองอย่างอ้อนวอนแล้วถอนหายใจและเริ่มรู้สึกว่าเขากับเธอกำลังยืนอยู่กลางแจ้ง
“แต่ฉันก็ยังมองไม่เห็นเหตุผลอยู่ดี ว่าทำไมต้องช่วยเธอ”
ชายหนุ่มปล่อยร่างบางออกก่อนเดินนำเข้าไปในบ้านเพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องตามมา ท่าทางแบบนั้นทำให้อานีสบอดี้การ์ดคู่ใจยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ทัน เพราะคนอย่างอัลฟารอสนั้นถ้าไม่สนใจล่ะก็เขาจะเพียงไล่หรือสั่งให้ใครจัดการพาไปส่งให้พ้นๆ โดยจะไม่เสียเวลาเสวนาด้วยเด็ดขาด ทว่ากิริยาที่เจ้านายแสดงนี้เหมือนต้องการหยอกล้ออีกฝ่ายมากกว่า ซึ่งพี่ชายของเขาก็สังเกตอยู่เหมือนกันแต่ด้วยความอคติต่อผู้หญิงไทยมากกว่า
“เดี๋ยวก่อนสิคะ”
หญิงสาวร้องเรียกชีคหนุ่มพร้อมวิ่งตาม แต่เธอก็ต้องเม้มริมฝีปากเล็กน้อยเพราะเมื่อผ่านภาวะของความตกใจเมื่อครู่มาแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังย่ำอยู่บนพื้นอิฐด้วยเท้าเปล่าและแผลพองก็ยังไม่หายดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงเกือบล้มเมื่อผ่านหน้าอานีส ทำให้บอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านชีครีบขยับมาประคองพร้อมถามขึ้นอย่างสังเกต
“เท้าของคุณยังไม่หายดี...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
หญิงสาวส่ายศีรษะตอบเป็นภาษาไทยพลางยิ้มให้บอดี้การ์ดทั้งสอง แม้อานีสจะฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องนักทว่ารอยยิ้มหวานที่ระบายบนใบหน้านวลนั้นก็ทำให้ชายร่างสูงเข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้านายถึงลังเลที่จะส่งให้ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้พ้นบ้าน ส่วนอาดีนก็คิดคล้ายๆ เช่นกันแต่เขาก็ยังขมวดคิ้วและไม่ชอบเธออยู่ดี
“คุณต้องช่วยฉันนะ” หญิงสาวรีบหันไปทางชีคหนุ่ม
“ช่วยเธอ” อัลฟารอสหยุดตั้งแต่ได้ยินเสียงอานีสแล้ว เขาพูดขึ้นพร้อมหันกลับมามองเท้าของหญิงสาวและตัดสินใจเดินกลับมาก่อนก้มลงอุ้มเธอ!
“ว๊าย!” ริมฝีปากสีชมพูร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ฉันกำลังช่วยอยู่นี่ไง แต่ถ้าเธอดื้อวิ่งไปวิ่งมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะหายเมื่อไหร่ นอกจากไม่ช่วยแล้วฉันคงจะส่งเธอไปอยู่ที่ไหนสักแห่งให้ไกลๆ สายตาแล้วเธอก็จะไม่มีวันหาฉันเจอแน่นอน” อัลฟารอสบอกอีกฝ่ายเสียงดุ หญิงสาวจึงทำตาโตตกใจเพราะถ้าให้เธอไปจากเขาก็เหมือนการผลักเธอให้พ้นจากความหวังที่จะจำอะไรได้บ้างน่ะสิ
“ไม่นะ ฉันไม่ไป”
ท่าทางแบบนั้นทำให้อัลฟารอสแอบยิ้มในดวงตา ชายใดเล่าจะไม่อยากเป็นที่ต้องการและเป็นคนสำคัญที่สุด การแสดงเช่นนั้นของหญิงสาวทำให้ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของชีคหนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว ร่างสูงกำยำเดินตรงไปยังห้องนอนของเธอพร้อมพึมพำเบาๆ
“ต่อไปนี้เธอชื่อมาลิก้า ฉันจะเรียกเธอแบบนั้น”
**********************************************************
ตอบเม้นท์ค่ะ
Siang
จุ๊บๆ จ้าน้องสาว ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะคะ ^^
goldensun
ขอบคุณจ้า ^^
หมูอ้วน
เอาน้ำส้มมานั่งทานด้วยนะจ๊ะน้องหมูอ้วน ^^
ฝนปราย
ขอบคุณมากค่ะคุณฝนปราย แก้ไขแล้วนะคะ ดีใจที่คิดถึงกันจ้า
Zephyr
แหมๆๆ ก็ตอนที่อัลฟารอสปล่อยยอมปล่อยวรันธรกับเซสทัสไงคะ เค้าบอกว่าหวังว่าจะไม่ได้เห็นหน้านายอีกในแมนซัวร์ (ทำนองนี้แหละค่ะ) 55 อาจจะคลาดเคลื่อนเรื่องคำพูดนิดหน่อยแต่จำได้ว่าเป็นอารมณ์นี้แหละค่ะ อิอิ
ขอบคุณสำหรับ 14 ปีฯ นะคะ รับรองว่าในเล่มสนุกสนานมันกว่าที่โพสแน่นอน ^^
คิมหันตุ์
ได้เลยค่า ด้วยความยินดี ^^
หนอนฮับ
มาแล้วจ๊ะ น้องหนอนคนสวย ^^
“อะไรนะ ไม่มีใครรู้เรื่องเลยงั้นเหรอ”
ชีคอัลฟารอสถามขึ้นอย่างเหลือเชื่อ เมื่อวานเขาให้อานีสและอาดีนไปจัดการสืบหาความเป็นมาเป็นไปของหญิงสาวไร้นามที่ตนเองเจอกลางทะเลทรายแดงทว่าทั้งคู่กลับคว้าน้ำเหลวกลับมา
“เป็นไปได้ยังไง”
“ผมว่ามันแปลกมากเลยนะเจ้านาย” อานีสตั้งข้อสังเกตตามประสาคนที่ควบตำแหน่งเลขาของท่านชีคและความที่ใจเย็นกว่าพี่ชายทำให้เขามีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าด้วย
“น่าแปลกที่เธอแทบไม่มีร่องรอยเลย ทำไมถึงไม่มีใครรู้ใครเห็นอะไรเกี่ยวกับเธอเลย”
“ใช่ครับท่านชีค” อาดีนเห็นด้วย “ขนาดผมให้คนถือรูปของเธอถามไปทั่วเขตชายแดนที่ออกสู่ทะเลทรายแดงได้ แต่ก็มีแต่คนส่ายหัวเดินหนี แล้วเธอจะเข้าไปที่นั่นได้ยังไงถ้าไม่มีใครเคยเห็น หรือว่า...จะมาจากอีกทาง แต่ถ้าอีกทางก็หมายถึงมหาสมุทรน่ะสิ”
“ผมจำได้ว่ามีหมู่บ้านเล็กๆ ที่นั่น” อานีสพึมพำเพราะเป็นที่รู้กันว่าอีกฟากของทะเลทรายแดงติดกับมหาสมุทรแปซิฟิค และที่นั่นก็ยังมีไอระเหยจากลมทะเลซึ่งทำให้ฝนตกพอที่จะมีคนอาศัยอยู่ได้
“ทะเลทรายแดงกว้างขนาดไหนพวกนายก็รู้ เราเจอผู้หญิงคนนั้นใกล้ๆ กับแมนซัวร์...แล้วนายคิดว่าเธอสามารถทะลุมาจากมหาสมุทรอีกฟากได้หรือไง นั่นมันทะเลทรายแดงนะ ทะเลทรายที่ร้อนระอุที่สุด เที่ยงวันมันร้อนตั้ง 50 องศา มนุษย์อยู่ที่นั่นได้แค่ 15 นาทีก็แทบจะระเหยกลายเป็นไออยู่แล้ว” อัลฟารอสพูดขึ้นตามนิสัยคนที่มีความจำแม่นยำสมกับที่กุมอำนาจธุรกิจเกือบทั้งรัฐแมนซัวร์เอาไว้ในมือ
“ความจริง...”
อาดีนมองหน้าท่านชีคอย่างไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่ เนื่องจากเขาเคยแค้นใจกับสาวชาวไทยคนหนึ่งจนพาลเกลียดผู้หญิงชาตินี้ไปเสียหมด
“ผมว่าเราส่งเธอให้สถานทูตไทยเลยดีกว่า อย่าลืมสิครับว่าผู้หญิงไทยเคยทำให้เราเกือบเสียเพชรอัลคาซารห์ไปครั้งหนึ่งแล้ว ยัยนั่นทำให้ท่านชีคกับเซสทัสต้องผิดใจกัน แกล้งมาทำเสน่ห์มารยาสารพัดเพื่อขโมยของ และอีกอย่างท่านชีคก็เคยบอกว่า...”
อานีสมองหน้าพี่ชายสลับกับใบหน้าคมของชีคหนุ่ม คิ้วขมวดน้อยๆ เหมือนจะปรามอีกฝ่ายว่าอย่าพูด แต่อัลฟารอสกลับพูดขึ้นเสียเอง
“ฉันลั่นวาจาเอาไว้ว่า...จะไม่ให้เซสทัสกับวรันธรเหยียบแมนซัวร์อีก และบอกว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงชาตินี้อีกเด็ดขาด” เขาเคยพูดแบบนี้ต่อหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองรวมทั้งคนในคฤหาสน์ อัลฟารอสมองอีกฝ่ายพร้อมรู้ว่าอาดีนกำลังคิดยังไง
“ใช่ครับ ท่านชีคไม่คิดหรือว่าผู้หญิงคนนี้ก็น่าสงสัยเหมือนกัน” อาดีนเตือนเจ้านาย ทำให้อีกฝ่ายนิ่งลง เขาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมพูดอย่างไตร่ตรอง
“ฉันจะให้เธออยู่จนกว่า....เราจะได้ข้อมูลที่ชี้ชัดกว่านี้ ถ้าเธอคิดจะมาหลอกลวงเหมือนกับวรันธรล่ะก็ คงเป็นการดีถ้าให้เธออยู่ในสายตาของพวกเรา แต่ถ้าไม่ใช่...นี่ก็เพื่อมนุษยธรรมเท่านั้น เมื่อเธอดีขึ้นหรือเริ่มจำอะไรได้เราจะส่งเธอกลับไปตามทางของเธอ” สำหรับชีคหนุ่มนั้นการเสียคำพูดที่ตนเองเคยลั่นวาจาต่อหน้าลูกน้องคนสนิทและคนในปกครองย่อมไม่เป็นการดีแน่ ทว่าจะให้เขาทิ้งขว้างผู้หญิงคนนี้อย่างไม่ไยดีก็ย่อมทำไม่ได้อีกเหมือนกัน ฉะนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลกลางๆ ที่เขาคิดได้ในตอนนี้
อานีสก้มหัวลงรับคำ ส่วนอาดีนก็ต้องทำตามเพราะยอมรับในเหตุผลของผู้เป็นนายเช่นกัน
“ท่านชีคคะ”
ก่อนจะคิดอะไรต่อไปเสียงเคาะและเรียกเบาๆ ข้างประตูก็ดังขึ้นพร้อมปรากฏร่างของหญิงรับใช้นางหนึ่งซึ่งยืนก้มหน้าอยู่ด้วยความนอบน้อม
“มีอะไร” เสียงเข้มที่ดังทำให้เธอตอบเบาๆ
“เจ้าชายการิมกับท่านหญิงนาเดียพระธิดามาขอพบค่ะ” เสียงตอบนั้นทำให้อัลฟารอสขมวดคิ้วและมองหน้าบอดี้การ์ดทั้งสองก่อนสั่งความว่าจะตามลงไป
“นาเดียงั้นเหรอ” ชายหนุ่มพึมพำพร้อมรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อหลังอยู่มากทีเดียว
เจ้าชายการิม บินอับดุล อัลฮาบาส เป็นพระญาติของ สุลต่านอัซบาร์ บินราจีฟ อัลฺฮาบาส สุลต่านองค์ปัจจุบันของแมนซัวร์ แต่เนื่องด้วยท่านสุลต่านไม่มีบุตรชายและมีอายุมากแล้วเขาจึงหมายตารอรับตำแหน่งนี้ต่อ เพราะในบรรดาเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดก็มีเขานี่แหละที่สนิทสนมและคอยให้คำปรึกษาบวกประจบเอาใจท่านสุลาต่านมากที่สุด
ทว่าวันนี้เมื่อได้มายืนมองรอบๆ ห้องรับรองของชีคอัลฟารอส บินฮามาร์ อัลชีราห์ สายพระเนตรเจ้าเล่ห์ของเจ้าชายการิมก็เห็นว่าเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงแต่ละชิ้นซึ่งวางอยู่ ณ ที่นี้นั้นมูลค่าของมันบวกกับมูลค่าของล้ำค่าโบราณในตู้กระจกแพงจนมองข้ามไปไม่ได้เลย และทั้งหมดของความยิ่งใหญ่นี้เขาเชื่อเหลือเกินว่ามันมาจากอำนาจของเพชรเม็ดเดียวที่อัลฟารอสครอบครองอยู่ ‘เพชรอัลคาซารห์’ เพชรสีชมพูในตำนานซึ่งสามารถสร้างความร่ำรวยและอำนาจให้แก่ผู้ครอบครองได้อย่างมหาศาล
“พ่อคะ นี่เรากำลังรออะไรอยู่คะ นี่บ้านของใครกัน”
ท่านหญิงนาเดีย ผู้มีร่างอวบเร้าเสน่ห์เพศตรงข้ามขัดความคิดของบิดาด้วยเสียงอันดัง เมื่อเริ่มหงุดหงิดเพราะเห็นว่านานแล้วแต่เจ้าของบ้านก็ยังไม่ออกมาต้อนรับเสียที นาเดียเป็นธิดาของเจ้าชายการิมกับภรรยาสามัญชนคนที่ 4 ซึ่งเป็นแหม่มชาวอเมริกาจึงไม่ศักดิ์เป็นเจ้าหญิง และเธอก็เดินทางไปอยู่กับแม่ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบฉะนั้นจึงมีท่าทางที่มั่นใจเกินสาวแมนซัวร์ทั่วไป สังเกตได้จากท่านั่งไขว่ห้างอย่างสาวสมัยใหม่และการแต่งตัวทันสมัยสวยงามอย่างอารยธรรมตะวันตกแต่ก็เน้นให้เป็นชุดยาวๆ ด้วยเกรงใจบิดา
“ใจเย็นน่ะนาเดีย”
เจ้าชายการิมพูดอย่างใจเย็น ทรงมองของล้ำค่าราคาแพงในตู้กระจกของอัลฟารอสอย่างเพลิดเพลินพร้อมนึกในใจว่า เพียงไม่กี่ปีที่เขาไม่ได้มาเหยียบที่นี่ ชีคหนุ่มคนนี้ก็ร่ำรวยมากขึ้นทุกวัน ของบางอย่างนั้นล้ำค่ากว่าที่อยู่ในวังแมนซัวร์ของสุลต่านเสียอีก
“ใจเย็นงั้นหรือคะ ลูกคิดว่าเจ้าของบ้านเนี่ยน่าจะออกมารอเราที่หน้าประตูเลยด้วยซ้ำ พ่อเป็นเจ้าชายในราชวงศ์ฮาบาสนะคะราชสกุลเดียวกับท่านสุลต่านผู้ครองประเทศแมนซัวร์ เขาควรจะให้ความเคารพเราบ้างสิ”
นาเดียหงุดหงิดเกินกว่าที่สังเกตสังกาเช่นผู้เป็นพ่อ เธอเพิ่งมาเหยียบแมนซัวร์หลังจากที่นี่ไปนับสิบปีและคิดเพียงว่าพ่อของตนเองเป็นถึงคนในราชวงศ์และจึงสมควรที่จะเป็นคนสำคัญในรัฐแห่งนี้
“อย่าบอกนะคะว่าคนที่เรากำลังจะเจอเนี่ยคือสาเหตุที่พ่อตามตัวลูกด่วนมาจากการปาร์ตี้กับเพื่อนๆ แล้วอย่าบอกนะว่าพ่อหวังจะให้หนูมาเป็นสะใภ้ผู้ชายแมนซัวร์ เชอะผู้ชายที่นี่ก็เหมือนกันนั่นแหละ ตัวโตผิวคล้ำ จมูกโด่งงองุ้ม ปากหนา ตาดุๆ ไม่เห็นจะน่าสนใจ สู้หนุ่มยุโรป อเมริกาหล่อๆ ก็ไม่ได้”
“แน่ใจหรือว่าสู้ไม่ได้”
เจ้าชายการิมยกมุมปากก่อนเหล่ตามองลูกสาวเพราะรู้ดีว่านาเดียเคยคบและมีความสัมพันธ์กับชายชาวแมนซัวร์คนหนึ่งและนั่นก็คือจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้
น้ำเสียงรู้ทันแบบนั้นทำให้นาเดียออกตัวอึกอัก “ยกเว้น...บางคนเท่านั้นแหละที่ลูกจดจำไม่เคยลืม”
หญิงสาวหายใจออกสั้นๆ ก่อนกระแทกตัวลงที่พนักเก้าอี้รับแขกลายหลุยส์ ผู้ชายแมนซัวร์ที่เธอไม่เคยลืมน่ะหรือย่อมมีอยู่แล้วล่ะ ‘หรือว่า!’ นาเดียตาโตขึ้นและหันมามองบิดา ‘อย่าบอกนะว่านี่คือบ้านของชีคอัลฟารอสและคนที่พ่อของเธอคิดจะให้เธอมาพบและเชื่อมความสัมพันธ์ก็คือเขา’ เพียงแค่คิดยังไม่ทันเอ่ยปากทว่าก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“หวังว่าคงไม่ได้ปล่อยให้แขกรอนานจนเกินไปใช่ไหม”
เสียงสวนดังๆ นั้นทำให้หญิงสาวที่เพิ่งเอนกายลงเก้าอี้สะดุ้งเล็กน้อย เธอหันไปมองที่ประตูทางเข้าห้องรับแขกและสิ่งที่เห็นก็ทำให้ร่างอวบตะลึงจนอยากจะกลับคำที่เคยก่นด่าเจ้าของบ้านเสียเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว
ชีคอัลฟารอสอยู่ในชุดลำลองของชาวแมนซัวร์ เสื้อคอแหลมสีขาวบางๆ ตัวในเผยให้เห็นแผงอกกว้างกำยำและสวมทับด้วยเสื้อคลุมยาวสีดำเดินเส้นด้วยด้ายสีทองพร้อมกางเกงขายาวสีเดียวกัน ร่างของเขานั้นสูงใหญ่ สง่างามดังราชสีห์หนุ่มยามยืนอยู่บนบัลลังก์ทองและพร้อมที่สั่งการให้ทุกคนถวายชีวิตให้ ดวงหน้าคมคร้ามเครื่องเคราเหมาะเจาะ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นคม ดุดัน ทว่ามีแววอบอุ่นดั่งแสงแดดอ่อนๆ ของดินแดนทะเลทรายยามใกล้รุ่งและสามารถทำให้คนที่มองระเหิดระเหยไปได้เลยทีเดียว
“นั่น...” นาเดียยืนขึ้นก่อนพึมพำ “อัลฟารอส”
“ลมอะไรพัดฝ่าบาทมาถึงที่นี่ได้” อัลฟารอสมองท่านหญิงนาเดียแว่บเดียวอย่างไม่ใคร่สนใจก่อนหันไปหาร่างท้วมสูงของราชนิกูลวัย 50 กว่าปี
“หลานชาย” เจ้าชายการิมยิ้มในดวงตาก่อนเดินเร็วๆ มาหาชีคหนุ่มและกอดเขาหลวมๆ ทำให้อานีสและอาดีนขยับตัวทันที เนื่องด้วยอีกฝ่ายไม่เคยทำแบบนี้มาก่อนเพราะอย่างมากก็แค่ทักทายและจับมือกันอย่างคนคุ้นเคยเท่านั้น
“มีอะไร” อัลฟารอสเองก็รู้สึกเหมือนบอดี้การ์ดทั้งคู่ ‘หลานชาย’ งั้นหรือ เขาผละตัวออกจากเจ้าชายการิมอย่างแปลกใจเพราะฝ่ายนั้นมักเรียกเขาด้วยชื่อหรือคำสั้นๆ เช่นคำว่า ‘นาย’ มากกว่า
“มีสิ! นี่ไง” เจ้าชายการิมรีบผายมือไปยังธิดาสาว “จำนาเดียได้ไหม เจ้าทั้งคู่เคยเจอกันมาก่อนในวังตอนเด็กๆ ก่อนที่นาเดียจะไปอยู่และเรียนต่อที่อเมริกา ตอนนี้เรียนจบแล้วยังไม่ได้ทำอะไรก็เลยกลับมาเที่ยวแมนซัวร์”
“ครับ...แล้วยังไง” อัลฟารอสรับคำก่อนก้มหัวให้อีกฝ่ายน้อยๆ ตามมารยาทแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจนักด้วยกำลังคิดถึงเรื่องที่กำลังคุยค้างไว้มากกว่า ทำให้สาวที่กำลังมองเขาด้วยดวงตาแวววาวออกอาการผิดหวังจนใครๆ ในห้องนั้นก็สังเกตเห็น
“เอ่อ...” และท่าทางไม่เยแสของเขาทำให้เจ้าชายการิมถึงกับพูดต่อไม่ถูก ราชนิกูลสูงวัยมองลูกสาวที่กำลังหน้างอก่อนแสร้งยิ้มกู้สถานะการณ์
“ล้อเล่นอยู่เรื่อยเลยนะหลานชาย...เธอสองคนเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่เด็กนี่นา แถมเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็ยังเคยควงกันอยู่ตั้งร่วมเดือน....อย่านึกว่าพ่อจะไม่รู้นะ” เจ้าชายการิมแสร้งหันไปทางลูกสาวที่ทำท่าเขินอายก่อนพูดต่อ “คนที่เคยมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้มาเจอกันอีกครั้งก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา เป็นไงล่ะหลานชายตกใจจนพูดไม่ออกเลยล่ะสิที่เห็นนาเดียสวยขึ้นขนาดนี้ รู้ไหมว่าหลังๆ มาเนี่ยตอนอยู่ที่อเมริกาน่ะ เธอเป็นดาวเด่นเชียวนะ แต่นาเดียก็ไม่สนใจใคร พูดถึงแต่หลานอยู่ทุกวัน”
คำพูดของบิดาทำให้นาเดียแอบยิ้มและอดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าเชิดอกคัพซีรอรับสายตาของท่านชีครูปหล่อ ท่าทางแบบนั้นทำให้อาดีนบอดี้การ์ดคนพี่ซึ่งมีชื่อเสียงด้านผู้หญิงถึงกับกลืนน้ำลาย แต่อัลฟารอสกลับมองเมินทำเสียงขึ้นจมูก สองพ่อลูกนี่ยังไงกัน!
“ตกใจงั้นเหรอ”
ชีคหนุ่มพึมพำก่อนหันไปมองท่านหญิงนาเดียอีกครั้ง และพบว่าน่าตกใจเหมือนกันเพราะเมื่อปีที่แล้วซึ่งเขาเดินทางไปประชุมที่สวีเดน ดูเหมือนนาเดียจะยังไม่ได้อวบอั๋นเช่นนี้.....แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนไปมากไม่ว่าจะเป็นทรงผม ดวงตา จมูก หรือกระทั่งหน้าอกโตๆ นั่นก็เปลี่ยนไปจนผิดตาเชียวแหละ ส่วนสาเหตุว่าเธอจะไปทำมาจากหมอประเทศไหนนั้นเขาคงไม่นึกถึงกระมัง เอาล่ะถ้าเช่นนั้นเขาก็ควรตกใจตามที่เจ้าชายบอก....
“งั้นก็ใช่ ผมควรตกใจ...แต่เราก็รู้จักกันแล้วนี่ แล้วยังไงต่อไปอีก” ชายหนุ่มหายใจออกสั้นๆ เพราะแม้ว่าตนกับนาเดียนั้นจะเคยควงกันมาก่อนตอนที่เขาไปติดต่อธุรกิจที่อเมริกาทว่านั่นก็เป็นเพียงเรื่องฉาบฉวยซึ่งเกิดมาจากความพร้อมใจของคนสองคนและเขาก็ไม่มีเวลามาทบทวนด้วยว่าเคยมีความสัมพันธ์กับใครเช่นไร
“ก็...” เจ้าชายการิมกลืนน้ำลายเล็กน้อย เพราะถึงแม้จะรู้มาบ้างว่าหลังจากนีน่าต้องเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุนั้นอัลฟารอสก็ไม่เคยคบกับใครจริงจังนอกจากมีความสัมพันธ์แบบฉาบฉวย เขากลายเป็นคนที่เย็นชาเงียบขรึมทำแต่งาน ทว่าพระองค์ก็จำได้ขึ้นใจว่าในอดีตนั้นอีกฝ่ายเป็นนักรักตัวยง อีกอย่างภรรยาของเขาก็เพิ่งเล่าให้ฟังว่าเมื่อหลายปีที่แล้วก่อนอัลฟารอสจะหมั้น เขาเคยควงนาเดียอยู่เป็นแรมเดือนมาก่อน แต่ทำไมตอนนี้อีกฝ่ายกลับไม่สนใจเธอเท่าที่ควรเลย ทั้งๆ ที่ลูกสาวเขาก็สวยมากกว่าเดิมเป็นกอง
“คือ...ช่วงนี้ฉันยุ่งๆ น่ะ” ราชนิกูลสูงวัยรีบออกตัวก่อนเข้าเรื่อง “ส่วนนาเดียก็ไม่ได้มาที่นี่นานแล้วเลยอยากเที่ยวแมนซัวร์กับแถบตะวันออกกลางให้ทั่ว เลยคิดจะมาวานให้นาย เอ่อ...ให้หลานช่วยสักหน่อย อย่างน้อยเธอทั้งคู่ก็รู้จักกันแล้วนี่นา”
“พาเที่ยวงั้นหรือ”
อัลฟารอสมองสาวร่างอวบอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้นาเดียรีบมองตอบอีกฝ่ายเต็มตาอย่างยั่วยวนและไม่ยอมให้เขาละสายตาไปจากเธออีก โดยร่างอวบรีบขยับเข้ามายืนเบื้องหน้าร่างสูงใหญ่จนเกือบชิดและพูดกับเขาด้วยเสียงหวานทั้งวาจาและท่าทาง
“หวังว่าท่านชีคคงให้ความกรุณากับเพื่อนเก่าคนนี้บ้างนะคะ”
อัลฟารอสหยักมุมปากเล็กน้อยเพราะเมื่อเห็นสายตาแบบนั้นตนก็เข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายจนทะลุปรุโปร่ง และถ้าเป็นในอดีตล่ะก็เขาอาจจะใช้มือเชยคางนาเดียขึ้นและเตะริมฝีปากเธอสักครั้งเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเสียน้ำใจเพราะดูเหมือนเธอจะกำลังท้าทายและต้องการแบบนั้นจริงๆ ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นริมฝีปากเคลือบสีแดงสดนั่นชีคหนุ่มกลับไพล่ไปคิดถึงสาวอีกนางจนได้ ร่างเพรียวสมส่วนที่ล้มตัวนอนอยู่บนผืนทราย อวดเรียวขาคู่งาม และรูปหน้าซึ่งคงความหวานแม้กำลังหลับตาอยู่
“นะคะท่านชีค” เสียงท่านหญิงนาเดียทำให้ชายหนุ่มออกจากภวังค์และตอบรับอย่างเสียไม่ได้
“แล้วผมจะจัดการให้” ก่อนที่จะนัดหมายกันอีกครั้ง ซึ่งหลังจากที่สองพ่อลูกลากลับไปท่ามกลางสายตาหวานชะมดชะม้อยของฝ่ายหญิง อานีสก็ตั้งข้อสังเกตทันที
“ท่าทางเจ้าชายการิมจะอยากได้ท่านชีคเป็นลูกเขย...”
“เป็นลูกเขย” อัลฟารอสมองผ่านกระจกใสและเห็นรถยุโรปคันโก้ของเจ้าชายการิมเคลื่อนผ่านสนามสีเขียวออกไปด้านหน้าประตู ชายหนุ่มส่ายหัวก่อนหันกลับมาในห้อง “น่าสนใจหรือไง...เป็นลูกเขยของเจ้าชายการิม”
“เป็นคนอื่นคงไม่ปฏิเสธ” อาดีน บอดี้การ์ดร่างยักษ์บอกยิ้มๆ
“รวมถึงนายด้วยใช่ไหม” อัลฟารอสหันมามองบอดี้การ์ดผู้พี่ “ฉันเห็นนายมองนาเดียตาไม่กะพริบเลย”
“ไม่ครับ ไม่บังอาจ” อาดีนรีบก้มหัว
“บังอาจอะไรกัน ฉันกับนาเดียก็แค่คนที่เคยคบกัน” เมื่อเจอกันและโดนกระตุ้นความสัมพันธ์อยู่หลายครั้ง ความทรงจำที่เกี่ยวกับอีกฝ่ายก็หวลคืนกลับเข้ามาในหัวของชายหนุ่ม “และอีกอย่างเธอก็ยินดีจบความสัมพันธ์ของเราเมื่อฉันยืนยันแล้วว่าไม่สามารถอยู่สนุกสนานกับเรื่องกินเรื่องเที่ยวและเรื่องบนเตียงของเธอตลอดแวลาได้ เพราะยังไงเรื่องงานก็สำคัญกว่า....สรุปว่าเราทั้งคู่จบกันแล้ว”
อัลฟารอสบอกลูกน้องอย่างไม่สนใจ อานีสจึงปรายตามองพี่พร้อมส่ายหน้าอย่างระอาในความเจ้าชู้ก่อนเสนอความเห็นอย่างหวังดี
“แต่ตอนนั้นท่านชีคยังไม่ทราบว่านาเดียเป็นลูกสาวของเจ้าชายการิม และถ้าท่านชีคยอมกลับไปสานสัมพันธ์กับท่านหญิงนาเดีย อาจจะดีกับทั้งสองฝ่ายก็ได้ เพราะพอเจ้าชายการิมได้เป็นสุลต่านเขาก็คงมีอำนาจมากเนื่องจากจะมีทั้งศักดินาของราชวงศ์ฮาบาสและอำนาจเงินตราของลูกเขยจากตระกูลชีราห์...ส่วนท่านชีคก็อาจได้เป็นสุลต่านคนต่อไป”
“และนั่นก็เข้าล๊อคที่เจ้าชายการิมต้องการใช่ไหม” ชีคหนุ่มหายใจสั้นๆ “นายพูดเหมือนไม่รู้จักฉันอานีส...จะเป็นนาเดียคนเก่าหรือต่อให้เป็นท่านหญิงก็ไม่สำคัญ เพราะถ้าฉันบอกว่าไม่สนใจละก็ต่อให้เป็นเจ้าหญิงหรือราชินีก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ได้หรอก”
ชีคหนุ่มเหยียดมุมปากอย่างถือดี คนอย่างเขาไม่มีวันหลงเกมใครเพราะผู้หญิงคนเดียวเด็ดขาด เมื่อคราววรันธรก็เป็นตัวอย่างที่ดีแล้ว แม้กระทั่งนีน่าที่เขารักนักหนานั้นก็เป็นผู้ตามที่อ่อนหวานเสมอมา ทว่าชายหนุ่มเป็นคนที่รักษาสัจจะและสัญญามากกว่าสิ่งใดด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องแปลนแผนการที่จะพาลูกสาวเจ้าชายการิมท่องตะวันออกลางด้วยเช่นกัน
“อาดีน....” อัลฟารอสเรียกบอดี้การ์ดผู้พี่แต่ยังไม่ทันจะสั่งอะไร เสียงเอะอะโวยวายก็แว่วเข้าหูมา
“จับไว้!”
“เกิดอะไรขึ้น” อานีสขยับตัวทันที แต่อาดีนแตะแขนน้องชายไว้และรีบวิ่งไปทางหน้าห้องรับแขกเพราะทราบดีว่ายังไงเสียก็ต้องมีคนหนึ่งอยู่กับท่านชีค ทว่าไม่ทันที่อาดีนจะวิ่งออกไปคนรับใช้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาเสียก่อน
“ท่านชีคคะ ผู้หญิงคนนั้น... ผู้หญิงคนนั้น...”
“อะไร!” ชีคอัลฟารอสถามเสียงดัง คนรับใช้หญิงจึงหลุดคำออกมา
“หนีค่ะ เธอพยายามหนี...ไปทาง...”
ยังบอกไม่ทันจบคำอัลฟารอสก็รุดออกจากห้องรับแขกทันที เขามองคนรับใช้ซึ่งพากันร้องอลม่านก่อนวิ่งออกไปทางด้านหน้าคฤหาสน์สีน้ำตาลและเห็นว่าหญิงสาวต้นเหตุนั้นกำลังวิ่งลงบันไดตึกตรงไปที่ประตูซึ่งห่างออกไปจากตัวตึกประมาณ 500 เมตร
ร่างสูงของชีคหนุ่มจึงก้าวเร็วๆ ก่อนจะกลายเป็นวิ่งตามไปพร้อมกับบอดี้การ์ดทั้งคู่และไม่นานอัลฟารอสก็คว้าข้อมือของหญิงสาวชาวไทยได้
“ปล่อย!”
ร่างเพรียวสมส่วนชะงักพลางร้องขึ้นพยายามดึงมือตัวเองออกจากการเกาะกุมโดยไม่ได้มองว่าใครดึง อัลฟารอสจึงถามเสียงดัง
“จะไปไหน”
“ฉันจะไป อย่ามาห้าม!” เธอตะโกนก่อนหลับหูหลับตาดิ้นรนอย่างสุดฤทธิ์ อีกฝ่ายจึงรวบร่างเพรียวเข้ามากอดพร้อมสั่งเสียงเข้ม
“หยุด! อยู่เฉยๆ เดี๋ยวนี้นะ”
หญิงสาวที่โดนกอดจึงนิ่งลง เธอเงยหน้ามองคนที่กอดตนเองไว้อย่างเต็มตาก่อนมีท่าทีผ่อนคลายและบอกเขาเบาๆ แต่น้ำเสียงแบบนั้นช่างฟังดูหวานจับใจนักในความรู้สึกของอัลฟารอส
“คุณน่ะเอง เมื่อกี้ฉันตื่นขึ้นมาแล้วฉันหาคุณไม่เจอ จะขอพบก็ไม่มีใครฟังรู้เรื่อง ออกจากห้องก็ไม่มีใครยอมให้ออกมา ฉันอยากจะไปหาคุณ ฉันอยากพบคุณ อยากคุยกับคุณ”
สายตาอ้อนวอนโหยหาเช่นนั้นทำให้หัวใจของอัลฟารอสเริ่มก่อความรู้สึกบางอย่าง เขาเบือนหน้าจากหญิงสาวและมองกลับไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองของตนก่อนมองคนรับใช้ที่ยืนอยู่สลอน
‘ฉันจะไม่มีวันยุ่งกับผู้หญิงไทยคนไหนอีก’
ชีคหนุ่มอยากจะกลืนน้ำลายกับคำพูดของตัวเองนักแต่ภาพคนในบังคับบัญชาที่จ้องก็ทำให้เขาพยายามสงบสติอารมณ์และถามผู้หญิงตรงหน้า
“หมายความว่าที่วิ่งหนีออกมาก็เพราะเธอต้องการหาฉัน...อย่างนั้นเหรอ”
“ใช่...” ใบหน้านวลพยักลง “ฉันมีเรื่องต้องพูดกับคุณ ฉันอยากเจอคุณ เพราะไม่มีใครฟังฉันพูดออกนอกจากคุณ....ฉันอยากจะบอกคุณว่า ตอนนี้ฉันจำบางอย่างได้แล้ว ฉันจำได้ว่าตัวเองต้องกลับบ้าน แต่มีคนบางคนไม่ยอมให้ฉันกลับ คุณต้องช่วยฉันนะ”
“ผมต้องช่วย! ทำไมผมต้องช่วย”
อัลฟารอสถามคนในอ้อมแขน ไม่นึกอยากจะปล่อยเธอเลยสักนิดและอดคิดไม่ได้ว่า ‘กลับบ้านงั้นหรือ ทำไมเขาต้องช่วยให้ผู้หญิงคนนี้ได้กลับบ้านด้วย เมืองไทยงั้นหรือ? ที่นั่นห่างไกลจากที่นี่เหลือเกิน’
แต่หญิงสาวไม่รู้ความในใจของเขา เธอจึงรีบบอกอย่างกระตือรือร้น
“ก็คุณเป็นคนเดียวที่ฉันรู้จัก ฉันรู้ว่าคุณจะช่วย อย่างน้อยก็ตอนนี้ ตอนที่ฉันยังจำอะไรไม่ได้”
อัลฟารอสมองดวงหน้าหวานที่แหงนมองตนเองอย่างอ้อนวอนแล้วถอนหายใจและเริ่มรู้สึกว่าเขากับเธอกำลังยืนอยู่กลางแจ้ง
“แต่ฉันก็ยังมองไม่เห็นเหตุผลอยู่ดี ว่าทำไมต้องช่วยเธอ”
ชายหนุ่มปล่อยร่างบางออกก่อนเดินนำเข้าไปในบ้านเพราะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายต้องตามมา ท่าทางแบบนั้นทำให้อานีสบอดี้การ์ดคู่ใจยิ้มน้อยๆ อย่างรู้ทัน เพราะคนอย่างอัลฟารอสนั้นถ้าไม่สนใจล่ะก็เขาจะเพียงไล่หรือสั่งให้ใครจัดการพาไปส่งให้พ้นๆ โดยจะไม่เสียเวลาเสวนาด้วยเด็ดขาด ทว่ากิริยาที่เจ้านายแสดงนี้เหมือนต้องการหยอกล้ออีกฝ่ายมากกว่า ซึ่งพี่ชายของเขาก็สังเกตอยู่เหมือนกันแต่ด้วยความอคติต่อผู้หญิงไทยมากกว่า
“เดี๋ยวก่อนสิคะ”
หญิงสาวร้องเรียกชีคหนุ่มพร้อมวิ่งตาม แต่เธอก็ต้องเม้มริมฝีปากเล็กน้อยเพราะเมื่อผ่านภาวะของความตกใจเมื่อครู่มาแล้ว เธอก็เริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังย่ำอยู่บนพื้นอิฐด้วยเท้าเปล่าและแผลพองก็ยังไม่หายดีนัก ด้วยเหตุนี้จึงเกือบล้มเมื่อผ่านหน้าอานีส ทำให้บอดี้การ์ดส่วนตัวของท่านชีครีบขยับมาประคองพร้อมถามขึ้นอย่างสังเกต
“เท้าของคุณยังไม่หายดี...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
หญิงสาวส่ายศีรษะตอบเป็นภาษาไทยพลางยิ้มให้บอดี้การ์ดทั้งสอง แม้อานีสจะฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องนักทว่ารอยยิ้มหวานที่ระบายบนใบหน้านวลนั้นก็ทำให้ชายร่างสูงเข้าใจทันทีว่าทำไมเจ้านายถึงลังเลที่จะส่งให้ผู้หญิงคนนี้ออกไปให้พ้นบ้าน ส่วนอาดีนก็คิดคล้ายๆ เช่นกันแต่เขาก็ยังขมวดคิ้วและไม่ชอบเธออยู่ดี
“คุณต้องช่วยฉันนะ” หญิงสาวรีบหันไปทางชีคหนุ่ม
“ช่วยเธอ” อัลฟารอสหยุดตั้งแต่ได้ยินเสียงอานีสแล้ว เขาพูดขึ้นพร้อมหันกลับมามองเท้าของหญิงสาวและตัดสินใจเดินกลับมาก่อนก้มลงอุ้มเธอ!
“ว๊าย!” ริมฝีปากสีชมพูร้องขึ้นอย่างตกใจ
“ฉันกำลังช่วยอยู่นี่ไง แต่ถ้าเธอดื้อวิ่งไปวิ่งมาโดยไม่สนใจว่าตัวเองจะหายเมื่อไหร่ นอกจากไม่ช่วยแล้วฉันคงจะส่งเธอไปอยู่ที่ไหนสักแห่งให้ไกลๆ สายตาแล้วเธอก็จะไม่มีวันหาฉันเจอแน่นอน” อัลฟารอสบอกอีกฝ่ายเสียงดุ หญิงสาวจึงทำตาโตตกใจเพราะถ้าให้เธอไปจากเขาก็เหมือนการผลักเธอให้พ้นจากความหวังที่จะจำอะไรได้บ้างน่ะสิ
“ไม่นะ ฉันไม่ไป”
ท่าทางแบบนั้นทำให้อัลฟารอสแอบยิ้มในดวงตา ชายใดเล่าจะไม่อยากเป็นที่ต้องการและเป็นคนสำคัญที่สุด การแสดงเช่นนั้นของหญิงสาวทำให้ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในจิตใจของชีคหนุ่มโดยที่เขาไม่รู้ตัว ร่างสูงกำยำเดินตรงไปยังห้องนอนของเธอพร้อมพึมพำเบาๆ
“ต่อไปนี้เธอชื่อมาลิก้า ฉันจะเรียกเธอแบบนั้น”
**********************************************************
ตอบเม้นท์ค่ะ
Siang
จุ๊บๆ จ้าน้องสาว ขอบคุณสำหรับการต้อนรับนะคะ ^^
goldensun
ขอบคุณจ้า ^^
หมูอ้วน
เอาน้ำส้มมานั่งทานด้วยนะจ๊ะน้องหมูอ้วน ^^
ฝนปราย
ขอบคุณมากค่ะคุณฝนปราย แก้ไขแล้วนะคะ ดีใจที่คิดถึงกันจ้า
Zephyr
แหมๆๆ ก็ตอนที่อัลฟารอสปล่อยยอมปล่อยวรันธรกับเซสทัสไงคะ เค้าบอกว่าหวังว่าจะไม่ได้เห็นหน้านายอีกในแมนซัวร์ (ทำนองนี้แหละค่ะ) 55 อาจจะคลาดเคลื่อนเรื่องคำพูดนิดหน่อยแต่จำได้ว่าเป็นอารมณ์นี้แหละค่ะ อิอิ
ขอบคุณสำหรับ 14 ปีฯ นะคะ รับรองว่าในเล่มสนุกสนานมันกว่าที่โพสแน่นอน ^^
คิมหันตุ์
ได้เลยค่า ด้วยความยินดี ^^
หนอนฮับ
มาแล้วจ๊ะ น้องหนอนคนสวย ^^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ค. 2555, 20:03:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 ก.ค. 2555, 12:12:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 2176
<< นางฟ้าหรือวิญญาณ | 3 >> |

Zephyr 17 ก.ค. 2555, 21:06:52 น.
โห ที่มาของชื่อตอนบรรทัดสุดท้ายพอดีเลย....
แหม ท่านชีคนี่ปากไม่ตรงกะใจเลย
ยายนาเดียต้องมาสร้างเรื่องป่วนแน่ๆเลยอ้ะ
โห ที่มาของชื่อตอนบรรทัดสุดท้ายพอดีเลย....
แหม ท่านชีคนี่ปากไม่ตรงกะใจเลย
ยายนาเดียต้องมาสร้างเรื่องป่วนแน่ๆเลยอ้ะ

goldensun 17 ก.ค. 2555, 22:11:12 น.
ทำไมให้ชื่อมาลิก้าคะ ท่านชีคจะให้เหตุผลรึเปล่า
สาวเจ้ายังลึกลับอยู่เลย แถมมีนาเดียมาป่วนอีก ท่านชีคจะรับมือยังไง
ทำไมให้ชื่อมาลิก้าคะ ท่านชีคจะให้เหตุผลรึเปล่า
สาวเจ้ายังลึกลับอยู่เลย แถมมีนาเดียมาป่วนอีก ท่านชีคจะรับมือยังไง

หมูอ้วน 17 ก.ค. 2555, 23:10:47 น.
ท่านชีคกลืนน้ำลายตัวเองซะแย้วว ฮิ...
ท่านชีคกลืนน้ำลายตัวเองซะแย้วว ฮิ...

คิมหันตุ์ 18 ก.ค. 2555, 00:34:43 น.
แน่ะๆ ท่านชีค เคลิ้มตลอด คิคิ
แน่ะๆ ท่านชีค เคลิ้มตลอด คิคิ

Siang 18 ก.ค. 2555, 08:54:53 น.
ท่านชีคนี่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ
ท่านชีคนี่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ

กระต่ายจอมซน 7 ส.ค. 2555, 13:24:39 น.
ความจำเสื่อมจิงรึเปล่า
ความจำเสื่อมจิงรึเปล่า