ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ

ร่างบางในชุดนักศึกษากำลังจ้ำอ้าวๆ ไปข้างหน้าด้วยความเร่งรีบจำต้องเซถลาไปตามแรงกระชากจากทางด้านหลัง ติดตามมาด้วยเสียงหวีดร้องของผู้คนที่พากันตกใจจากภาพอันสยดสยองของอุบัติภัยตรงหน้า เสียงฝีเท้าของผู้คนที่พากันกรูเข้าไปห้อมล้อมมุงดูเหตุการณ์จนแทบไม่เหลือที่ว่างให้มองเห็นอะไร ผลจากแรงกระชากเกือบจะทำให้หญิงสาวทรุดลงไปกองอยู่กับพื้นข้างถนนอยู่รอมล่อหากว่าไม่มีมือหนาคอยฉุดรั้งร่างของเธอเอาไว้

“เป็นอย่างไรบ้างคุณ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เสียงทักถามที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ดึงความสนใจของหญิงสาวให้หันกลับมามอง สติที่กลับคืนสู่ที่ตั้ง ยังผลให้เธอตระหนักได้ว่าเธอรอดพ้นจากอันตรายมาได้ก็เพราะชายคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังคนนี้นี่เอง

“คะ ข...ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้” เสียงขอบคุณอันตะกุกตะกักของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอยังคงอยู่ในอาการตกใจไม่หาย

“คุณคงจะตกใจมาก เมื่อกี้ผมเผลอกระชากคุณเสียเต็มแรง ผมเองก็ตกใจน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

คนพูดบอกกับเธอด้วยความรู้สึกผิด อันมาพร้อมกับความเป็นห่วง ที่จู่ๆ ก็เริ่มก่อตัวขึ้นทีละเล็กละน้อย

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่ต้องขอโทษ คุณต่างหากที่ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ขอบคุณนะคะ”

ดวงหน้าสวยยังดูซีดๆ อยู่บ้าง ทว่ายังมีแก่ใจส่งยิ้มไปให้ ด้วยระลึกถึงบุญคุณที่เขาได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ในคราวนี้

รอยยิ้มที่ส่งมาให้ดูจริงใจ และสดใสเสียจนตลิตนึกชมและบอกกับตัวเองว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ยิ้มสวย’ รอยยิ้มหวานๆ เรียบๆ ทว่าดูแล้วให้ความรู้สึกเย็นตาเย็นใจ เป็นรอยยิ้มในแบบที่เขาไม่เคยพบเห็นจากที่ไหนมาก่อน มิหนำซ้ำนัยน์ตาของเธอยังแวววาว สุกสกาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนเดือนมืด เครื่องหน้าทุกชิ้นประกอบเข้าด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ ดูสวยซึ้งชวนมองจนแทบไม่อยากถอนสายตา ตลิตเรียกความคิดที่เริ่มจะเตลิดไปไกลมาและพยายามควบคุมสติให้กลับเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

“ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ หน้าคุณดูซีดๆ ผมว่าหาที่นั่งพักสักหน่อยน่าจะดีกว่า”

“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะขอบคุณมาก พอดีฉันรีบ คงต้องรีบไปแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”

หญิงสาวกระถดกายถอยห่างพลางบอกลาแล้วหันหลังเดินจากไป กระทั่งเมื่อเดินห่างออกไปได้ระยะหนึ่ง สมองพลันนึกขึ้นมาได้ว่าเธอลืมถามชื่อเสียงเรียงนามของเขาไปเสียสนิท ทว่าเมื่อหันกลับไปมองก็ช้าไปแล้ว ชายคนนั้นได้หายตัวจากที่ตรงนั้นอย่างปราศจากร่องรอยเสียแล้ว

‘นี่เขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงได้เดินเร็วนัก’

บางครั้งโชคชะตาก็ต้องอาศัยโอกาสและช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะ ใครเลยจะรู้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทุกสิ่งบนโลกล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นหากแม้มีบุญวาสนาต่อกันอย่างแท้จริงแล้ว สักวันหนึ่งเขาและเธอคงจะมีโอกาสได้วนกลับพบกันอีกครั้งอย่างแน่นอน

----------------------------------------------------

บนยอดอาคารสูงระฟ้าใจกลางกรุงเทพมหานครอันเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทในเครือ ธนกิจบริบูรณ์ ซึ่งดำเนินธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ตลอดช่วงบ่ายของวันได้เกิดความโกลาหลอันเนื่องมาจากอารมณ์อันแสนเกรี้ยวกราดของชายหนุ่มวัยสามสิบสอง นาม “ตลิต ธนกิจบริบูรณ์”

บุรุษหนุ่มเจ้าของร่างสูงใหญ่ กับรูปลักษณ์ภายนอกที่ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็รู้ว่าต้องไม่ใช่เชื้อสายไทยแท้อย่างแน่นอน ผิวพรรณตลอดจนใบหน้าแม้จะขาวทว่ากลับคมเข้มเกินกว่าชาวตะวันตกที่พบเห็นโดยทั่วไป ริมฝีปากแดงหยักยก รับกับจมูกโด่งเป็นสัน พอเหมาะพอดีกับโครงหน้าเรียว

แต่ส่วนที่โดดเด่นที่สุดบนดวงหน้ากลับหาใช่ทั้งริมฝีปาก หรือจมูกโด่ง แต่เป็นดวงตาสีมรกตล้อมด้วยกรอบสีทองจางๆ นั่นต่างหาก ที่มักจะเตะสายตาคน ในความเป็นประกาย วิบวับ มีมิติ ทั้งชวนมองและน่ากลัวในคราวเดียว แพขนตาซึ่งทั้งดกหนาและยาวงอนช่วยกลบความดุ และเกลื่อนทับด้วยแววตาหวานตามแบบฉบับของหนุ่มเจ้าชู้ เว้นแต่ยามที่ถูกขัดใจ ซึ่งเจ้าตัวมักจะจงใจทำตาดุใส่คนรอบข้าง อย่างไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ดังเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในเวลานี้

บรรดาผู้จัดการฝ่ายทั้งหลาย ที่ถูกเรียกเข้ามาสอบสวนถึงสาเหตุของการหายตัวไปของ ‘ท่านประธานฯ’ ต่างพากันขยาดในความกราดเกรี้ยวของชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชาย อีกทั้งยังดังรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ มีสิทธิ์ และอำนาจในบริษัท จะเป็นรองก็แต่เฉพาะประธานบริษัทของพวกเขาเท่านั้น

แต่ไม่ว่าเขาจะสอบถามใครคนไหนสักกี่คน คำตอบที่ได้กลับเหมือนเดิม คือไม่มีใครรู้เลยว่าท่านประธานคนสำคัญเดินทางไป ณ แห่งหน ตำบลไหน แม้กระทั่งคุณอรรนพผู้ซึ่งเป็นทนายความประจำครอบครัว อีกทั้งยังพ่วงแหน่งเพื่อนสนิทของบิดาเขาเอาไว้อีกหนึ่งตำแหน่ง เมื่อได้รับฟังการซักไซ้ไล่เรียงของชายหนุ่มแล้ว ยิ่งให้เกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้าไม่แตกต่างไปจากเหล่าพนักงานเหล่านั้นเลย

จนเมื่อความร้อนของอารมณ์ค่อยๆ ลดระดับลง เหล่าพนักงานทั้งหลายจึงพากันทยอยเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ ด้วยอาการเสียวสันหลัง เกรงนักว่าเจ้าของห้องจะเปลี่ยนใจ และรั้งตัวเอาไว้ เพื่อเริ่มต้นกระบวนการไต่ถามอีกรอบ

“ดูสิครับคุณอา ถามใครก็ไม่มีใครรู้เรื่องสักคน ไม่ได้เรื่องจริงๆ” ตลิตพร่ำบ่นพลางกดอินเตอร์คอมเรียกหาน้ำเย็นสำหรับตนเอง พร้อมกับแขก

“คุณอาไม่ทราบจริงๆ หรือครับ ว่าตอนนี้ พ่อผมท่านอยู่ที่ไหน”

“ก็ไม่รู้น่ะสิ นี่อาก็ตั้งใจไว้ว่าจะถามพ่อเราอยู่เหมือนกัน ว่าไปไหนทำอะไร ทำไมถึงไม่ยอมบอกใครไว้เสียบ้าง”

โดยส่วนตัวแล้วตลิตแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่า บุรุษผู้เป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของบิดา จะไม่รู้ไม่เห็นความเคลื่อนไหว และเป็นไปของท่านเลย ดังนั้นตลอดเวลาที่พูดคุยกันเขาจึงคอยลอบมองอากัปกิริยาของบุรุษผู้มากวัยอย่างจับสังเกตุ แต่ก็หาได้เจอพิรุธอันใด สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ และเล่าความอย่างสุดปัญญาจะคาดเดาสถานการณ์ของผู้เป็นบิดา

“นั่นสิครับอา ผมละปวดหัวกับพ่อจริงๆ คิดดูสิครับอา จู่ๆ พ่อก็ส่งเมลบอกว่าให้เลื่อนประชุมกับบริษัทลูกที่ยุโรปออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด แถมยังให้เลขาโทรตามผม สั่งให้มาดูแลงานที่นี่แทน แล้วพอผมมา พ่อกลับไม่อยู่เสียอย่างนั้น ตั้งแต่มาถึง ผมยังไม่ได้เจอหน้าพ่อเลยนะครับ” ตลิตร่ายยาวราวกับเด็กที่กำลังฟ้องผู้ใหญ่ จนคนฟังอดนึกขันไม่ได้

“มันต้องมีเหตุผลสำคัญบางอย่างสิน่ะ พ่อเราเขาถึงได้หายหน้าหายตาไปแบบนี้ อาว่ารอให้เค้ากลับมาก่อนจะดีกว่าไหม แล้วเราค่อยสอบถามเอาความกันตอนนั้น รออีกสักวันสองวัน ถ้ายังไม่ได้เรื่องค่อยมาปรึกษากันอีกทีว่าจะตามหากันยังไง ไม่แน่นะ พ่อเราเขาอาจจะกลับมาวันนี้พรุ่งนี้เสียด้วยซ้ำ”

บุรุษผู้อาวุโสบอกอย่างใจเย็น ตามประสาของผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน ประสบการณ์ชีวิตย่อมทำให้มองและรับมือกับปัญหาได้ดีกว่าคนรุ่นหนุ่มอย่างตลิต

“ก็คงต้องอย่างนั้นกระมังครับ ขนาดคุณอาที่ว่าสนิท ยังไม่รู้เรื่องอะไรของพ่อเลย อย่างผมจะไปทำอะไรได้”

“เอาเถอะ รอดูอีกสักวันสองวันมันคงไม่มีอะไรหนักหนาจนเกินแก้หรอกมั้ง เอ้อ! ว่าแต่ ตลิตเคยได้ยินพ่อเขาพูดถึงเรื่องที่ดินแถวๆ ตลิ่งชันบ้างหรือเปล่า”

“ที่ดินแถวตลิ่งชัน? ไม่นะครับ เราไม่มีแถวนั้น ยิ่งที่ดินสำหรับทำโครงการยิ่งไม่มีใหญ่ ทำไมเหรอครับ ที่ดินแถวนั้นมันเกี่ยวอะไรกับพ่อผม”

“ก็พ่อเราเขาเพิ่งจะซื้อที่ดินผืนนั้นเอาไว้ ก่อนหน้าที่จะหายตัวไปนั่นล่ะ”

เรื่องการซื้อที่ดินอาจฟังดูเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่ทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อนำมาโยงเข้ากับเหตุการณ์และช่วงเวลาที่บิดาเขาเริ่มทำตัวลึกลับ นั่นกลับดึงความสนใจของชายหนุ่ได้อย่างชะงัดนัก

“พ่อผมซื้อที่ดินแถวตลิ่งชัน! ที่ดินของใครกัน ทำไมผมไม่เคยได้ยินพ่อพูดถึงเลย”

“อาก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอก รู้แต่ว่า เป็นที่ติดจำนอง เนื้อที่ราวสามสิบไร่เศษๆ เป็นสวนหน้ากว้างด้านหนึ่งติดคลอง ที่สวยเชียวล่ะ อาเดินเรื่องปลดจำนอง แล้วก็โอนเปลี่ยนชื่อไปเมื่อสองเดือนก่อนนี้เอง” ทนายความคนสนิทของตระกูลเริ่มบรรยายถึงรายละเอียดเท่าที่ตนได้รับทราบมา

“แปลกจริง ทำไมผมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย” ตลิตบอกพลางทำหน้างง พยายามคิดทบทวนเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

“มีแปลกยิ่งกว่านี้อีกนะ” ดูท่าว่าความสงสัยของทนายความใหญ่จะยังคงไม่หมดไปง่ายๆ

“แปลกยังไงครับอา”

“ก็ชื่อที่พ่อเขาให้อาใส่เป็นเจ้าของที่ดินในโฉนดน่ะ เป็นชื่อผู้หญิง ชื่อ ‘ลักษิณาศร’ นามสกุล ฤกษ์วิจิตรกร”

“อะไรนะครับ นี่พ่อผมซื้อที่ดินให้ผู้หญิงอย่างนั้นเหรอ” ตลิตถึงกับร้องเสียงหลง ไม่ใช่อาการงง ต้องเรียกว่าตกอยู่ในอาการช็อกถึงจะถูก

“ใช่ ตลิตเคยได้ยินพ่อเขาพูดถึงใครที่มีชื่อประมาณนี้บ้างไหม”

“ชื่ออะไรนะครับ?” แม้ว่าตลิตจะยังไม่หายงง แต่ก็ยังมีสติพอที่จะดำเนินการสนทนาต่อ

“ลักษิณาศร ฤกษ์วิจิตกร”

“คนอะไรชื่อยาว แถมยังแปลกอีกต่างหาก” ตลิตทำหน้าฉงน นึกทึ่งกับภาษาและวัฒนธรรมในการตั้งชื่อของคนไทยขึ้นมาครามครัน อรรณพได้แต่ส่งเสียงหัวเราะหึๆ

“นี่พ่อผมแอบซื้อที่ให้ผู้หญิงคนนั้น จริงๆ น่ะหรือครับอา”

“จะเรียกว่าแอบมันก็คงไม่ถูกนักหรอก เพราะอย่างน้อยก็มีอาคนหนึ่งล่ะที่รู้เรื่อง”

“แล้วแม่ละครับ แม่รู้หรือเปล่า”

“เอ... อันนี้อาก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาไว้เราค่อยเก็บไปถามพ่อเอาเองจะดีกว่ามั้ง”

“ยิ่งฟังยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าอาจะไม่มีข้อมูล ไม่รู้ที่มาที่ไปอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”

“ก็ไม่รู้จริงๆ น่ะสิ แต่อาได้ยินมานะว่าเจ้าของที่เดิมเป็นนายทหารเก่า แต่ว่าโดนลูกเขยขโมยเอาโฉนดที่ดินกับบ้านไปจำนอง สุดท้ายเลยช้ำใจตาย ส่วนเจ้าลูกเขยได้เงินไปแล้วก็ไม่สนใจอะไรหนีหายเข้ากลีบเมฆไปเสียฉิบ ปล่อยให้ลูกกับเมียทำงานงกๆ คอยส่งดอกเบี้ยประทัง ข้าวของมีค่าก็เอามาแทนดอกดวงเสียจนหมด ตอนที่พ่อเราเขาให้อาไปติดต่อขอซื้อที่ผืนนั้น เห็นว่ากำลังจะฟ้องร้องขับไล่กันอยู่พอดี”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผู้หญิงคนนั้นครับอา สรุปแล้วเธอเป็นใคร สำคัญขนาดไหน ทำไมพ่อถึงได้ต้องซื้อที่ดินผืนนั้นให้ ไม่ว่าจะนึกยังไงผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี”

“อ้าว เราเป็นลูกยังนึกไม่ออก แล้วคนนอกอย่างอา จะไปนึกออกได้ยังไงกัน”

“ผมว่าเรื่องมันชักจะยังไงๆ แล้วนะครับอา หรือว่าพ่อกำลังคิดจะนอกใจแม่” ตลิตทำหน้าตื่น เมื่อประเด็นเริ่มจะโยงไปสู่เรื่องชู้สาว

“เฮ่ย! คิดอะไรอย่างนั้น อาว่าอย่าเพิ่งคิดเลยเถิดไปไกลขนาดนั้นเลย เรื่องมันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้”

“นอกจากชื่อแล้ว คุณอายังมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับแม่ผู้หญิงคนนั้นบ้างครับ” แม้จะถูกห้ามไม่ให้คิดไปไกล แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่วายคิด อดไม่ได้ที่จะปักใจเชื่ออยู่เล็กน้อย

“ยังไม่มีหรอก แต่ถ้าอยากจะรู้ก็คงไม่ยาก อาจะลองส่งคนไปสืบหาข้อมูลดู ไม่นานคงได้เรื่อง” ทนายความผู้มากวัยบอกอย่างมั่นใจ เหตุเพราะคุ้นเคยดีกับการสืบค้นเรื่องราวยังเบื้องหลังของใครต่อใคร ตลิตฟังแล้วก็ระบายยิ้มออกมาด้วยความพอใจในที่สุด

“ดีครับ ถ้าได้เรื่องแล้ว รบกวนคุณอาส่งข่าวบอกผมด้วยแล้วกัน” ตลิตบอกง่ายๆ ด้วยความที่คุ้นเคยกันมานาน

“อื้ม! ถ้าอย่างนั้นอากลับก่อนล่ะ เอาไว้ค่อยคุยกันใหม่ อาไปล่ะ ยังต้องไปต่ออีกหลายที่” ทนายอรรณพบอกแล้วก้าวออกจากห้องไป ทิ้งไว้เพียงคำถามที่ค้างคาใจ ส่งผลให้ตลิตเฝ้าแต่ครุ่นคิดวนเวียนต่อไปอีกเป็นพัก

‘ลักษิณาศร’ เธอเป็นใคร เกี่ยวข้องอะไรกับพ่อของเขากันแน่

-------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 พ.ค. 2554, 16:04:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 เม.ย. 2555, 00:08:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1765





   1 : สายน้ำกับความหลัง >>
Gingfara 8 พ.ค. 2554, 17:36:27 น.
ว้าว มาแล้วๆๆๆ ตามนะคะ


นิลวนา 8 พ.ค. 2554, 21:43:42 น.
ยินดีต้อนรับนะคะ คุณ Gingfara ขอบคุณที่ติดตามค่ะ


pattisa 9 พ.ค. 2554, 06:47:25 น.
ลักษิณาศรต้องเป็นนางเอกแน่ๆเลยอ่ะ :D


นิลวนา 9 พ.ค. 2554, 10:46:00 น.
ใช่แล้วค่ะ นิยายเรื่องนี้มีพระ-นางสองคู่ ให้ตามลุ้น

เป็นกำลังใจให้นิลวนารีไรท์เรื่องนี้จนสำเร็จด้วยนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account