ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร
ด้วยเหตุแห่งความรักที่ผิดหวังพลั้งพลาดของคนในรุ่นบิดามารดา นำมาซึ่งความฝัน ฝากความหวังเอาไว้กับคนรุ่นลูก เพื่อให้พวกเขาสานต่อความรักความผูกพันที่มีต่อกัน และเก็บรักษาความดีงามแห่งรักนั้นไว้ ให้คงอยู่เป็นความรักที่มั่นคง

“ด้วยรัก ฝากฝัน นิรันดร”


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: 1 : สายน้ำกับความหลัง

เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ แว่วมาแต่ไกล เป็นสัญญาณเตือนว่าจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้อยู่ห่างออกไปอีกไม่ไกล ณ ผืนดินแห่งนี้ บุรุษผู้มากวัยเคยให้สัตย์ปฏิญาณกับตนเองเอาไว้

‘ต่อให้แผ่นดินกลบหน้า ก็จะไม่ขอกลับมาเหยียบอีกเป็นอันขาด’

ด้วยความคิดที่ฝังหัวว่าเงินตราเท่านั้นที่จะสามารถบันดาลทุกสิ่ง ตลอดทั้งชีวิตไตรวินจึงเฝ้าบากบั่น ทุ่มเททั้งกำลังแรงกายแรงใจสร้างฐานะให้กับตนเองจนกระทั่งเป็นปึกแผ่นมั่นคง ต้องขอบคุณโชคชะตาที่เกื้อหนุนให้เขาลืมตาอ้าปากสร้างเนื้อสร้างตัวจนสามารถขึ้นมายืนอยู่ในทำเนียบของคนซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐี ล้ำหน้ากว่าคนซึ่งเขาเคย อาศัยใบบุญมาก่อนไปหลายช่วงตัวเสียด้วยซ้ำ ถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามอันเสียดแทงใจที่เคยได้รับ เขาใช้มันเป็นแรงผลักดันและเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนชีวิตได้อย่างทรงประสิทธิภาพ จนเขาสามารถก้าวสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดได้อย่างภาคภูมิสมความปรารถนา

หากแต่บัดนี้เขาจำต้องตระบัดสัตย์ กลืนคำสัญญาที่ให้ไว้กับตนเอง ถ้อยคำสบประมาท เหยียบย่ำถึงชาติตระกูลอันต่ำต้อยที่เคยบาดลึกกัดกร่อนอยู่ภายในใจมาเนิ่นนานหลายปีกลับมลายหายไปจนสิ้น เมื่อถึงวันที่เขาต้องกลับมายังสถานที่แห่งความทรงจำแห่งนี้อีกครั้ง ความเพียรพยายามนานัปการที่ผ่านมานับแต่ครั้งอดีต แม้วันนี้จะสามารถบรรลุผลตามเจตนารมณ์ในทุกสิ่ง แต่กลับไร้ซึ่งความหมาย ปราศจากความสะใจ ไม่มีแม้แต่ความดีใจดังที่เคยปรารถนาอย่างแรงกล้าโดยสิ้นเชิง

ผืนดินซึ่งเคยเต็มไป ความรัก ความหวัง ความศรัทธา ตลอดจนเป็นมูลเหตุแห่งความขมขื่นแต่หนหลัง เกือบจะต้องตกไปเป็นของผู้อื่นไปเสียแล้ว เคราะห์ดีเรื่องราวความความจริงทั้งหมดได้ถูกถ่ายทอดมาสู่เขาเสียก่อน และด้วยอำนาจแห่งความรักและการให้อภัย ทำให้ไตรวินสามารถเอาชนะทิฐิแห่งตน ตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ทุ่มเงินจำนวนมหาศาลไถ่ถอนที่ดินผืนนี้กลับคืนมาได้ทันเวลา ทุกสิ่งที่ทำล้วนแต่เพื่อชดเชยให้กับเธอผู้นั้น เธอซึ่งเขาเคย ‘ปักใจรัก’ มาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย

ตะวันซึ่งสาดแสงแรงกล้ามาตลอดทั้งวันเริ่มจะอ่อนแรงและคล้อยต่ำ เป็นสัญญาณบอกว่าแสงแห่งวันกำลังใกล้จะลงหมดไปทุกนาที ก้าวย่างที่จดลงบนผืนดินอย่างช้าๆ ของไตรวินค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ตระหนักดีว่าตนได้ทอดเวลาเดินสู่จุดหมายมานานเกินควรแล้ว

“อีกไม่นานแล้วสินะ อีกประเดี๋ยวเดียวเธอก็จะได้นอนหลับอยู่ภายใต้ผืนดินที่รัก ใต้ร่มไม้ของเราสองคนแล้ว”

บุรุษสูงวัยเจ้าของร่างกายกำยำบ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่ตนเองเป็นอย่างดี เอ่ยพึมพำเบาๆ พร้อมกับสายตาซึ่งทอดมองลงไปยังโถแก้วผลึกสีขาวขุ่นเกือบใสใบย่อมในมือ ราวกับจะสื่อถ้อยคำลงไปให้ถึงสิ่งของที่อยู่ภายในได้รับรู้ ความเยียบเย็นที่ส่งผ่านจากภาชนะมาสู่ฝ่ามือหนาย้ำเตือนให้เขารู้ว่าเมื่อถึงวาระสุดท้าย ทุกคนล้วนต้องจบลง ณ จุดเดียวกัน เหลือไว้แต่เพียงสิ่งอันปราศจากมูลค่า ดังเช่นเถ้ากระดูกซึ่งบรรจุอยู่ภายในโถแก้วใบนี้เท่านั้น

นับแต่วันที่ได้รับจดหมายปิดผนึกซึ่งถูกส่งตรงมาถึงมือเขาราวสองเดือนก่อน เรื่องราวซึ่งถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษร สะท้อนภาพของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเป็นฉากๆ ราวกับกำลังนั่งชมภาพยนต์อย่างไรอย่างนั้น ซึ่งหลังจากที่ได้อ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว พาให้ไตรวินรู้สึกผิดและโทษตนเอง ที่ด่วนตัดสินเรื่องราวทุกอย่างไปตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มา มิหนำซ้ำยังไม่เคยแม้แต่เฉลียวใจว่าหญิงสาวผู้ซึ่งเขาทุ่มเทใจรักให้ จะต้องทนอยู่กับความเจ็บช้ำ และทุกข์ทรมานเพียงใด

‘คราบน้ำตา’ หลายต่อหลายรอยซึ่งปรากฏชัดอยู่บนแผ่นกระดาษบ่งบอกถึงความเจ็บช้ำที่เก็บกักอยู่ในใจของเธอผู้ซึ่งเป็นเจ้าของจดหมาย ในระหว่างที่เขียนระบายความรู้สึก ความรู้สึกผิดอาบซ่านไปทั่วทั้งหัวใจของไตรวิน เขาตัดสินใจผิดพลาดที่ละทิ้งเธอไปโดยไม่มีแม้แต่คำลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลานั้นอันเป็นเวลาที่เธอต้องการเขามากที่สุด

ภาพของหญิงสาวเจ้าของดวงหน้าหวานละมุน นัยน์ตาโศก ผุดขึ้นมาเด่นชัดในความรู้สึกของไตรวินอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ดวงตาหวานไหวระริกเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ชวนให้สะท้อนใจไม่รู้จบ ไตรวินนึกตระหนักขึ้นมาในทันที ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน เขาไม่เคยที่จะลบภาพของเธอคนนั้นออกไปจากใจได้เลย ต่อให้พยายามแค่ไหน เขายังคงเก็บเธอไว้ในใจเสมอมา การได้รู้ความจริง ยิ่งชี้ชัดว่าเขาได้ตัดสินใจพลาดไปจริงๆ

วันเวลาที่ผ่านพ้นได้กลายเป็นช่วงเวลาที่เมล็ดพันธุ์แห่งความไม่เข้าใจได้หยั่งรากฝังลึก จนผลักดันให้ชีวิตหนึ่งต้องจมดิ่งสู่ห้วงแห่งความ ซึ่งเป็นที่รักแห่งเขาต้องดำดิ่งลงสู่หุบเหวแห่งความทุกข์ เผชิญกับอนาคตอันมืดมน และมีชีวิตอยู่ในห้วงแห่งอนธการ ยากที่จะผ่อนปรนหรือแก้ไข ไตรวินได้แต่โทษว่าเหตุทั้งหมดนั้นเป็นเพราะเขาเอง หากแม้นว่าเขาจะคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน ไม่ตกเป็นทาสแห่งอารมณ์ ไร้ซึ่งทิฐิมานะในใจ สิ่งร้ายๆ ก็คงจะไม่เกิดขึ้นกับเธอคนนั้น หรืออย่างน้อย เธอก็จะยังมีเขาอยู่เคียงข้าง คอยแบ่งเบาทุกข์สุข ดั่งที่เคยเป็นมาโดยตลอดเมื่อครั้งยังเยาว์

แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อทุกอย่างได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อให้รู้สึกผิดปานใด ใครก็ไม่อาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ สิ่งที่ผ่านไปแล้วย่อมผ่านไป จะเหลือก็แต่ภาพในความทรงจำเก่าๆ ที่ทยอยผุดขึ้นมาในมโนสำนึก ราวกับจะย้ำเตือนถึงให้เขาต้องรู้สึกผิด และคอยบอกกับตนเองว่า วันเวลาไม่อาจย้อนคืนฉันท์ใด ชีวิตหนึ่งซึ่งล่วงไปยอมไม่มีวันย้อนคืนฉันท์นั้น สิ่งเดียวที่ทำได้คือเก็บภาพของเธอไว้ในใจ และระลึกถึงรอยยิ้มอันสดใสสวยงามของในยามที่คิดถึง ‘เลิศลักษณ์ บูรณะภักดี’



หลายสิบปีที่ก่อน.....

แสงแรกแห่งเช้าวันใหม่แตะแต้มยังขอบฟ้าขับไล่บรรยากาศขมุกขมัวไปจนเกือบสิ้น ทิ้งไว้แต่เพียงร่องรอยของหยาดน้ำฝนและกลิ่นไอดินซึ่งบอกชัดถึงความเปียกชื้นอันเกิดจากสายฝนที่ตกกระหน่ำตลอดค่ำคืนวาน รั้วไม้ไม้ระแนงซึ่งทอดตัวยาวจนสุดทางเดินยังเห็นเป็นคราบน้ำได้อย่างชัดเจน เว้นแม้แต่ประตูไม้บานใหญ่ที่ยังคงปิดแน่นราวกับจะกีดกันโลกภายนอกออกจากอาณาเขตภายในอันปกคลุมไปด้วยพรรณไม้นานา

ณ จุดที่เป็นชายคาบ้านเยื้องกับบานประตู ร่างของหญิงสาวนางหนึ่งซึ่งยังคงหลับสนิทในท่านั่งกึ่งนอนโดยใช้หลังอิงเข้ากับกำแพงเพื่อป้องกันมิให้ล้ม บนตักมีร่างของเด็กชายตัวน้อยนั่งหลับเอียงหน้าซบอยู่กับอก ข้างกายเป็นกระเป๋าสัมภาระใบย่อมที่เธอพยายามจะใช้มันเป็นเกราะกำบังสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาราวกับฟ้ารั่วเมื่อค่ำคืนวาน สุดท้ายก็พากันเปียกปอนไปทั้งคนทั้งกระเป๋า เกิดเป็นภาพชวนเอน็จอนาถใจต่อผู้พบเห็นยิ่งนัก

เวลาผ่านไปอีกเป็นพักใหญ่ ประตูไม้บานหนาซึ่งปิดแน่นมาตลอดคืนจึงค่อยๆ แง้มออก ติดตามมาด้วยร่างท้วมของหญิงชราที่ก้าวออกมาประสบเข้ากับภาพชวนสังเวชตรงหน้าแล้วให้ต้องตกใจ นางเข้าไปสำรวจร่างไร้สติทั้งสองพลางร้องเรียกหาบ่าวไพร่ให้มาช่วยกันแบกคนทั้งสองเข้าไปยังด้านใน มิหนำยังให้คนไปตามหมอมารักษาให้การดูแลเป็นอย่างดี รอกระทั่งจนเธอฟื้นแล้วไต่ถามจนได้ความว่าเธอชื่อวิไล อายุสามสิบปีต้นๆ เป็นภรรยาของข้าราชการชั้นผู้น้อยคนหนึ่งซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ตัวเธอไม่ได้ประกอบอาชีพอะไรนอกจากเป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกและสามี เคราะห์ร้ายที่เมื่อหลายเดือนก่อนสามีของเธอประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตลงไปกระทันหัน หญิงสาวจึงตกพุ่มม่ายนับแต่นั้น

และเพราะบ้านที่เธอและลูกอาศัยอยู่เป็นบ้านพักของทางราชการ ดังนั้นเมื่อสิ้นสามีแล้วสิทธิที่จะอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นจึงหมดไปโดยปริยาย วิไลเป็นกำพร้าเธอจึงไม่มีบ้าน และไม่มีที่ให้ตั้งหลัก คนรู้จักก็มีเพียงไม่กี่คนและหนึ่งในนั้นคือคนที่วิไลหอบหิ้วลูกน้อยมาเที่ยวตามหาถึงในกรุงเทพฯ ทว่าก็หาไม่เจอ เนื่องจากเจ้าตัวได้ย้ายที่อยู่ไปที่อื่นเสียแล้ว และไม่ว่าจะถามข่าวจากใคร ต่างก็พากันส่ายหน้าไม่รู้ไม่เห็นทั้งสิ้น ดังคำพระท่านว่า มนุษย์เราล้วนเกิดแต่กรรม สิ่งที่วิไลและลูกประสบมานั้นจะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหลังจากสิ้นหวังในการตามหาคนรู้จัก วิไลตัดสินใจจะปักหลักหางานทำอยู่ที่กรุงเทพ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกโดยนำพาให้เธอไปเจอกับกลุ่มมิจฉาชีพที่หากินในคราบของบริษัทจัดหางาน เรียกร้องเอาค่านายหน้าจากเธอเป็นจำนวนเงินที่สูงลิ่ว แต่วิไลก็กัดฟันยอมจ่ายทั้งที่นั่นเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่มี และคนกลุ่มนั้นก็หนีหายเข้ากลีบเมฆไปในท้ายที่สุด

เงินก้อนสุดท้ายซึ่งเป็นทางรอดของเธอและลูกจึงสูญไปพร้อมกับความหวังโดยไม่อาจเลี่ยง เมื่อไม่มีเงินก็ไม่มีที่อยู่ ไม่มีแม้แต่เศษเงินน้อยนิดที่จะนำมาซื้ออาหารให้กับบุตรชาย วิไลได้แต่หอบลูกพร้อมกับสัมภาระอันน้อยนิดเร่ร่อนรับจ้างแลกข้าว กินไปวันๆ ค่ำไหนนอนนั่น แม้แต่อาศัยนอนตามวัดก็ยังเคยมาแล้ว จนในที่สุดก็เซซังมาจบลงตรงหน้าบ้านของหญิงชราผู้อารีย์ท่านนี้

ในเวลานั้นแม้ว่าไตรวินจะมีอายุเพียง 8 ขวบ แต่ก็โตพอจะรับรู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้ และไม่เพียงแต่รับรู้เท่านั้น เขายังคงจดจำมันได้อย่างแม่นมั่น เด่นชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันวานเสียด้วยซ้ำ นับแต่วันแรกที่ฟื้นคืนสติหลังจากนอนป่วยอยู่ร่วมสัปดาห์ และรู้ว่าตัวเขากับมารดาได้เข้ามาอาศัยใบบุญอยู่ใต้ชายคาบ้านของ ‘ท่าน’ ผู้เป็นเจ้าของเรือนใหญ่ ยังจำได้ถึงวันที่เขาได้เข้าไปกราบคุณท่านผู้มีพระคุณเป็นครั้งแรก และสบเข้ากับดวงตากลมใสที่เอาแต่จ้องมองมายังตัวเขาอย่างสนใจยิ่ง ราวกับว่าเป็นสิ่งประหลาดจากนอกโลกก็ไม่ปาน ยามนั้น ‘น้องหนู’ ของเขาอยู่ในวัยเพียงสามขวบเท่านั้นเอง

ร่างน้อยค่อยๆ กระเถิบเข้ามาหาเขาซึ่งเป็นคนแปลกหน้าอย่างปราศจากความกลัว แล้วเกาะดึงชายเสื้อเอาไว้แน่น ราวกับเกรงว่าตัวเขากำลังจะหนีหายไปที่ไหนอย่างใดอย่างนั้น หนุ่มน้อยไตรวินได้แต่หันหามารดาที่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะเหลือบตาไปมองที่ท่านผู้ใหญ่ซึ่งนั่งเรียงกันอยู่บนตั่งไม้ตัวหนาอย่างขอคำปรึกษา จนเมื่อคุณท่านผู้มีอาวุโสสูงสุดในที่นั้นพยักหน้าพลางส่งยิ้มมายังเขาเป็นเชิงอนุญาตว่าให้พาเด็กหญิงน้อยออกไปเล่นที่ด้านนอกได้โดยมีพี่เลี้ยงอีกคนคอยตามประกบไม่ห่าง เพื่อที่ท่านจะได้เจรจาความกับมารดาของเขาต่อไปนั่นเอง

และนับจากนั้นมา หน้าที่หลักที่เขาได้รับมอบหมายมาจากคุณท่านเจ้าของบ้านก็คือการช่วยดูแลและคอยเป็นเพื่อนเล่นให้กับหลานสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่าน รวมถึงคอยระแวดระวังภยันตรายมิให้กล้ำกลายจนเป็นอันตรายแก่เม่หนูน้อยเป็นอันขาด ดังนั้นไม่ว่าเลิศลักษณ์จะอยู่ ณ สถานที่ใด สถานที่นั้นย่อมต้องมีเขาที่เป็นเสมือนดั่งเงาตามตัวเธอไม่เคยห่างหายไปอยู่เป็นนิจ

ไตรวินคอยเฝ้าทะนุถนอมดูแลเลิศลักษณ์มาเป็นอย่างดี เรียกว่าลิ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลยทีเดียว แม้ว่าหลายต่อหลายครั้งเด็กหญิงจะเล่นซุกซนจนเกินเหตุ และเป็นเหตุให้เขาต้องคอยออกหน้ารับโทษแทน เขาเองไม่เคยแม้แต่จะปริปากบ่น ทุกอย่างที่ทำล้วนมีเหตุผลเพียงเพื่อปกป้องเธอผู้เป็นดั่งน้องน้อยของเขาเท่านั้น

....เธอผู้เปรียบเสมือนดั่งดวงใจนับแต่วันแรกที่ได้เจอ....

เวลาล่วงไปหลายปี ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เอาแต่วิ่งเล่นซุกซนไปวันๆ ต่างก็เริ่มเติบใหญ่ ฝายชายโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์หล่อเหลาคมเข้ม ผู้มีแววตากล้าคม สติปัญหาเฉลียวฉลาดชนิดที่เรียกว่าหาตัวจับได้ยาก ที่สำคัญคือสำหรับเด็กหญิงแล้วไตรวินคือคนที่เก่งกาจ และสำคัญที่สุดสำหรับเธอเสมอ ส่วนเลิศลักษณ์เอง เธอก็กำลังจะโตเป็นสาว มิหนำซ้ำยังส่อแววสวยสะคราญเสียจนไตรวินต้องออกโรงปกป้องเธอจากพวกเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่มาตามตอแยเธออยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่ยังไม่ทันจะเป็นสาวเต็มตัวเสียด้วยซ้ำ ภาพของเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มักจะอยู่เคียงข้างเสมือนดั่งเงาของกันและกันเสมอ ดูจะเป็นภาพเจนตาสำหรับคนรอบข้างจนแทบไม่มีใครฉุกคิดว่า สัมพันธภาพทางใจระหว่างคนทั้งสองจะก้าวล่วงไปไกลเกินกว่าที่ใครจะฉุดรั้งเอาไว้ได้เสียแล้ว

และแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอก็เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อสิ้นบุญของคุณท่านบนเรือนใหญ่ผู้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของไตรวินและผู้เป็นมารดา ขณะนั้นเขากำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นเพียงไม่นานสถานการณ์รอบตัวเริ่มส่อเค้าของความยุ่งยาก และนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง อันเป็นเหตุให้คนทั้งต้องพรากจากกันในท้ายที่สุด สีหน้าอันจืดเจื่อนของมารดายามถ่ายทอดทุกถ้อยคำของท่านเจ้าของเรือนยังคงแจ่มชัดในความทรงจำของไตรวิน มิได้ลดทอนลงแม้ขณะจิต ถ้อยคำที่ฟังดูแล้วเป็นคำสั่งมากกว่าจะเป็นคำพูดเพียงลอยๆ เขาก็ยังจดจำมันได้แม่นมิได้ตกหล่นแม้เพียงคำเดียว

วิไลมาปรากฏตัวยังห้องสมุดหลังเสร็จสิ้นหน้าที่อันเป็นงานประจำ ตามที่บุตรชายโทนทายาทของท่านผู้มีพระคุณที่ได้ล่วงลับไปแล้วได้บอกเอาไว้ก่อนที่เขาจะลุกจากโต๊ะอาหารและไปรอเธอยังจุดที่เขาได้บอกกับเธอไว้

“อ้อ! มาแล้วหรือ” ผู้เป็นเจ้านายเอ่ยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มโตที่กำลังอ่านในทันทีที่สายตาสัมผัสเข้ากับร่างที่ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างรอรับคำสั่ง สีหน้าเรียบเฉยของชายวัยกลางคนไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด เพราะไม่ว่าเวลาไหนๆ เขาก็มักจะทำหน้าเฉยเมยอยู่เป็นนิจจนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว

“ไม่ทราบว่าคุณอรรถมีอะไรให้ดิฉันรับใช้คะ” วิไลเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าฟังดูจริงจัง

“ก็... ไม่มีอะไรมากหรอก เพียงแต่ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอสักหน่อยน่ะ” อรรถโชติละจากตู้หนังสือที่สูงจดเพดาน กลับมานั่งยังเก้าอี้ ใกล้ๆ พื้นตรงจุดที่วิไลนั่งอยู่ในท่าพับเพียบเรียบร้อย

“เรื่องอะไรหรือคะ” แม่บ้านสาวใหญ่เรียบเคียงถามผู้เป็นนาย ใบหน้ามีรอยฉงน รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ แรงสังหรณ์ใจบางอย่างพวยพุ่งขึ้นมากกลางอกอย่างช่วยไม่ได้

“เจ้าวิน...” อรรถโชติเอ่ยชื่อเด็กหนุ่มขึ้นมาแล้วกลับนิ่งไปคล้ายกับพยายามจะทบทวน แล้วก็ยอมเอ่ยออกมาในที่สุด “เจ้าวินน่ะ ตอนนี้มันก็โตจนเป็นหนุ่มแล้วนะ เห็นว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งได้ มิหนำซ้ำยังได้ทุนเรียนดีอีกต่างหาก ว่าแต่คณะอะไรล่ะ” น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยถามบ่งบอกถึงความชื่นชมอย่างจริงใจ

“วิศวะค่ะ วิศวะโยธา” วิไลตอบเต็มเสียง เปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจในตัวบุตรชายของตนยิ่ง

“อื้ม...” คุณอรรถพยักหน้ารับ แล้วพูดต่อ “เจ้าวินมันเก่ง ฉันละนับถือมันจริงๆ นี่ถ้ายายน้องหนูฉลาดได้สักครึ่งของเจ้าวิน ฉันก็คงจะไม่ต้องมานั่งห่วงแกขนาดนี้” เขาเอ่ยถึงปมที่ติดค้างอยู่ในใจเกี่ยวกับบุตรลูกสาว ซึ่งวิไลเข้าใจดี ก็แล้วจะมีพ่อแม่คนไหนที่ไม่รักไม่ห่วงลูกของตน

“ถ้าคุณอรรถเป็นห่วงเรื่องที่คุณน้องหนูเธอเรียนไม่เก่ง จะให้เจ้าวินมาสอนพิเศษเพิ่มให้ก็ได้นะคะ อิฉันจะบอกให้ลูกเตรียมตัว” วิไลออกความเห็นเสนอแนวทางให้โดยไม่จำเป็นต้องถามความเห็นของบุตรชายก่อน เพราะต่อให้ลำบากลำบนอย่างไร ลูกชายเธอก็ยินดีทำให้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว

“ขอบใจ แต่ที่ฉันเรียกเธอมาวันนี้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องเรียนของยายหนูหรอกนะ เฮ้อ! ฉันจะเริ่มอย่างไรดี แต่ก็นะ เห็นทีฉันจะต้องพูดกับเธอตรงๆ” อรรถโชติบอกด้วยท่าทีอันหนักใจ

“ม...มีอะไรหรือเปล่าคะคุณอรรถ หรือว่าเจ้าวินมันไปก่อเรื่องอะไรไว้ คุณถึงได้ทำท่าทางหนักใจแบบนี้ คุณบอกอิฉันมาได้เลยนะคะ เดี๋ยวอิฉันจะไปจัดการสั่งสอนมันเอง” วิไลเริ่มร้อนใจ แรงสังหรณ์เมื่อครู่เริ่มส่อเค้าว่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เสียแล้ว

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก เพียงแต่มันมีเรื่องที่ทำให้ฉันไม่ค่อยสบายใจ”

ในทันทีที่ได้ฟัง ความกังวลใจเมื่อแรกของวิไลเริ่มแปรเปลี่ยน กลายเป็นความสงสัยเข้ามาแทนที่ ไม่ใช่แต่เพียงเท่านั้น ยังมีความหนักใจ และเค้าลางของความยุ่งยากที่เริ่มก่อตัวเป็นรูปร่างขึ้นอย่างชัดเจน

“ไม่สบายใจ! เกี่ยวกับเจ้าวินน่ะหรือคะ”

“อื้ม! ฉันลองมาคิดทบทวนดู...เจ้าวินลูกชายเธอมันก็โตขึ้นมากแล้ว มิหนำซ้ำแถมยังหล่อเหลาเอาการเสียด้วย ส่วนยายน้องหนูลูกสาวฉัน แกก็กำลังเริ่มจะโตเป็นสาว แถมยังติดลูกชายเธอแจ ฉันเกรงว่าถ้าปล่อยให้เด็กสองคนนั่นอยู่กันต่อไปแบบนี้ มันอาจจะเกิดเรื่องไม่งามขึ้นได้ ยิ่งถ้าเกิดชาวบ้านเก็บเอาไปพูดกันปากต่อปากยายหนูของฉันจะเสียหาย”

“แต่ว่าเจ้าวินกับคุณน้องหนูเธอ...”

บรรยากาศของการสนทนาเริ่มดิ่งลงสู่ความตึงเครียดมากยิ่งขึ้นเมื่ออรรถโชติเริ่มเกริ่นถึงความวิตกในใจตน ปมปัญหาดูเหมือนจะขมวดเข้าให้เห็นได้เด่นชัดมากยิ่งขึ้น วิไลพยายามจะแสดงความคิดเห็นที่ต่างออกไปของตน แต่อรรถโชติชิงตัดบท และรวบรัดการสนทนาเข้ามาสู่ทางตามที่ได้วางแนวเอาไว้แต่แรก

“เธออาจจะมองว่าทั้งสองคนนั่นยังเด็ก และเป็นฉันที่วิตกจริตจนเกินเหตุ แต่เธอเองก็รู้ก็เห็นเท่าๆ กับฉัน ว่าเจ้าวินกับยายน้องหนูสนิทสนมกันมากแค่ไหน”

“แต่ว่า...” วิไลตั้งท่าจะออกความเห็น แต่อรรถโชติชิงพูดตัดบท ปิดโอกาสที่เธอจะได้การไขความวิตกกังวลของผู้เป็นเจ้านายเสียสิ้น

“หรือว่าเธอจะบอกว่าไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอะไรเลย”

“ไม่... ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณอรรถ” วิไลออกตัวปฏิเสธทั้งที่ลึกในใจแล้ว เธอเองก็เคยนึกหวั่นกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย

“อย่าปฏิเสธไปเลยวิไล เธอลองคิดถึงใจฉันดูสิ ฉันมีลูกสาวเพียงคนเดียว เป็นธรรมดาที่ฉันต้องอยากให้แกได้ในสิ่งที่ดีที่สุด” ประมุขแห่งบ้านบอกแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ฉันเข้าใจนะ ว่าพวกแกสองคนโตมาด้วยกัน แต่เรื่องระหว่างชายหญิงมันพูดยาก เธอเองก็ผ่านโลกมาไม่น้อย น่าจะพอมองออก ถึงวันนี้เราจะเห็นว่าพวกแกยังวิ่งเล่นขลุกกันอยู่แต่ในสวน แต่ยังไงพวกแกก็เริ่มจะโตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันแล้ว คนเราพอเริ่มโต อะไรๆ มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ โดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึก เมื่อก่อนฉันไม่เคยว่ากล่าวอะไร ก็เพราะเห็นว่ายายน้องหนูแกยังเด็ก แล้วก็ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่น ถึงได้ปล่อยไปแบบนั้น แต่ในเมื่อตอนนี้พวกแกไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว ฉันว่ามันคงไม่เหมาะถ้าเราจะยังปล่อยให้เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้”

“แล้วท่านต้องการให้ดิฉันทำอย่างไร” วิไลกลั้นใจถามออกไป ทั้งที่ก็พอจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว

“อันที่จริงฉันเองก็ไม่อยากให้เรื่องราวมันออกมาในรูปนี้หรอกนะ แต่จะทำอย่างไรได้ในฐานะที่ฉันเองเป็นผู้ใหญ่ แล้วก็เป็นพ่อของยายน้องหนู เธอเองก็อยู่กับฉันมานาน รับรู้อะไรต่อมิอะไรในบ้านฉันเป็นอย่างดี รวมทั้งเรื่องคู่หมายของยายน้องหนู ถ้าหากว่ามีคนเอาเรื่องนี้ไปพูดจนเข้าหูทางฝ่ายโน้นเขาเข้า มันก็จะกลายเป็นเรื่องไม่งามและทำให้ยายหนูต้องเสียหาย ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจ ฉันเองก็หวังให้ลูกของชั้นได้กับคนที่คู่ควร สมน้ำสมเนื้อกัน”

“แต่ว่าคุณอรรถคะ....” วิไลพยายามจะอธิบายต่อเขาว่าทั้งเธอและลูกไม่เคยคิดร้าย หรือล่วงเกินต่อลูกสาวของเขาเลย

“เอาเถอะๆ ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร แต่ถึงยังไงฉันก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ฉันได้ตัดสินใจไปแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าเธอจะอธิบายอย่างไร ฉันก็คงจะไม่เปลี่ยนใจหรอก สำหรับเรื่องนี้ ฉันได้คิดหาทางออกเอาไว้ให้เธอกับลูกเอาไว้แล้ว นับจากนี้หนึ่งเดือน ฉันว่ามันน่าจะเพียงพอสำหรับการที่เธอจะหาที่ทางขยับขยาย อย่าหาว่าฉันใจดำเลยนะ แต่ฉันจำเป็นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมจริงๆ เพราะยิ่งนับวัน ยายหนูก็ยิ่งติดเจ้าวินมันแจ ฉันไม่อยากให้ใครมันเก็บเอาไปพูด ไปนินทาลับหลังเอาได้ ฉันถึงจำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะให้เงินทุนสำรองกับเธอก้อนหนึ่ง เอาไว้ใช้เป็นทุนสำหรับการตั้งต้นชีวิตใหม่ไงล่ะ”

“คุณอรรถ!”

วิไล เรียกชื่อเขาอย่างตกใจ เกิดอาการแน่นในอกขึ้นมาอย่างฉับพลัน น้ำตาร่วงเผาะๆ ราวทำนบกั้นน้ำพังทลาย สารพัดคำถามเวียนวนอยู่ในสมองไม่รู้จบไม่รู้สิ้น มันกลายเป็นความผิดของเธอกับลูกหรอกหรือที่คุณหนูเลิศลักษณ์ให้ความสนิทสนม ลดตัวลงมาคบหาเป็นพี่เป็นน้องกับลูกชายของเธอ ที่ผ่านมาทุกอย่างล้วนเป็นไปตามคำสั่งของคุณท่านผู้เป็นมารดาของเจ้าของเรือนคนปัจจุบันทั้งสิ้น ไม่นึกว่าเมื่อสิ้นบุญท่านแล้วเธอและลูกจะต้องมาตกอยู่ในสภาพเยี่ยงนี้ แม้

แม้วิไลจะยังมึนงงกับการตัดสินใจอย่างกระทันหันของอรรถโชติแต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอเองเป็นเพียงผู้อาศัย ลูกจ้างที่กินเงินเดือนเขา เจ้าของบ้านสั่งอย่างไร เธอก็คงจะต้องทำ และปล่อยให้เป็นไปตามนั้น

“ฉันต้องขอโทษเธอจริงๆ นะวิไล แต่ถึงยังไงฉันก็ตัดสินใจไปแล้ว อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลยนะ ฉันจำเป็นต้องทำอย่างนี้จริงๆ หวังว่าเธอคงจะเข้าใจ” อรรถโชติรวบรัดสรุปทุกอย่างจนคนฟังหมดหนทางที่จะต่อรอง “อีกอย่าง ฉันขอให้เธอช่วยเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าให้ยายน้องหนูล่วงรู้เป็นอันขาด ฉันไม่อยากให้แกกังวลใจ เสียใจไปกับเรื่องนี้”

วิไลก้มหน้านิ่ง คิดไม่ออก บอกไม่ถูก ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกระทันหันเสียจนเธอตั้งรับไม่ทัน

“เอาล่ะ! ฉันหมดเรื่องกับเธอแล้ว เธอออกไปเถอะ”

อรรถโชติปิดฉากสนทนาคล้ายกับจะไล่ แต่แท้ท่าจริงแล้วเขาเพียงไม่อยากให้ความใจอ่อนเข้ามามีผลทำให้เขาเปลี่ยนใจเท่านั้น วิไลกับลูกชายอยู่ทำงานรับใช้เขาและครอบครัวมานานหลายปี วูบหนึ่งเขาเองก็อดที่จะนึกสงสารเธอขึ้นมาไม่ได้ และนั่นย่อมหมายรวมไปถึงไตรวินด้วย

วิไลก้มหน้าและถอยออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง ในสมองเต็มไปด้วยคำถามที่ว่าเธอและลูกจะทำอย่างไรต่อไป การที่จู่ๆ ต้องมาถูกขับไล่ไสส่งให้ออกไปจากร่มไม้ชายคาที่อาศัยมานานกว่าสิบปี มันราวกับถูกสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมากลางใจก็ไม่ปาน นี่เธอกับลูกจะต้องระหกระเหินกันอีกแล้วน่ะหรือ แล้วจะหอบหิ้วกันไปอยู่ที่ไหน จะทำอย่างไรกันต่อไปดี ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเหตุการณ์ดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในอดีตจะย้อนกลับมาเกิดซ้ำในชีวิตเธอและลูก จนทำให้ต้องระเหเร่ร่อนกันอีกครั้ง

ไตรวินรับฟังถ้อยคำซึ่งถ่ายทอดจากปากของมารดาด้วยสีหน้าและแววตาอันเศร้าสร้อย ถ้อยกล่าวหาที่แม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงในมุมมองของผู้พูด แต่สำหรับเขาแล้ว กลับเปรียบเสมือนคมมีดที่กรีดลึกลงไปยังกลางใจ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตาที่เลือกเกิดไม่ได้ของตน ถาโถมถล่มทับจนหายใจแทบไม่ออก ในเมื่อเจ้าของบ้านเขาไม่ต้อนรับ คนอาศัยอย่างเขาและแม่จะด้านอยู่ต่อไปได้อย่างไร จึงต้องเริ่มต้นหาลู่ทางขยับขยาย และปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปสุดแล้วแต่โชคชะตาจะกำหนด

ผิดหรือที่เขาไม่ได้เกิดมามีชาติตระกูลสูงส่งเหมือนกับคนอื่นๆ ผิดหรือที่ต้องมากลายเป็นกำพร้าเพราะบิดาจากไปก่อนเวลาอันควร ผิดหรือที่เขาจะมีความรู้สึกดีๆ มอบให้กับเธอผู้เปรียบเสมือนน้องน้อย ที่เขาคอยเฝ้าติดตามดูแลเธอมาหลายต่อหลายปี ๆ ผิดหรือที่เธอจะมอบความรู้สึกดีๆ ตอบกลับมาเฉกเช่นเดียวกับตัวเขา

หลายปีที่เฝ้าติดตามดูแลเลิศลักษณ์ไม่เคยห่าง จากความใกล้ชิดถูกชะตาเมื่อแรก มันได้ก่อร่างแปลงสภาพจนกลายเป็นความผูกพันเข้ามาแทนที่ ความห่วงหาอาวรณ์ในยามเมื่อเธอลับไปจากสายตา ก่อให้เกิดเป็นคำถามขึ้นมากมายในใจ ไตรวินเฝ้าแต่ถามใจตนเอง ว่าสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่นั้น จะเรียกว่ารักได้หรือไม่ หากว่าใช่ แล้วมันจะดีหรือถ้าหากว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รักนั้นมาครอง ตัวเขาเองย่อมรู้ดีที่สุดว่าเธอนั้นอยู่สูงจนเกินเอื้อม ควรแล้ะหรือที่เขาจะปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเข้าครอบงำจนฉุดรั้งเธอลงต่ำมาอยู่กับเขา ไตรวินจึงได้แต่กดความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจ

ทว่าก็มีหลายครั้งที่ความคิดหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัว การศึกษาสามารถยกระดับของคนได้มารดาของเขาได้พร่ำสอนเขามาแบบนั้น ทรัพย์สมบัติใดๆ อาจหมดไป ทว่าการศึกษานั้นเมื่อได้มาอยู่คู่กับตัวแล้ว ย่อมเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีวันหมด ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียนนั้นมาจากเรื่องนี้ ไตรวินแอบหวังเอาไว้ว่า วันหนึ่งมันจะทำให้เขาและแม่ได้มีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ และที่สำคัญเขาหวังเอาไว้ว่ามันจะทำให้เขาสามารถยกระดับของตัวเองขึ้นมาให้สูงขึ้นเทียบเคียงกับเลิศลักษณ์ได้ แม้ไม่อาจครองคู่ แต่อย่างน้อยเขาก็ได้พยายาม และเฝ้าแต่รอคอยความสำเร็จในวันที่จะเดินไปจนถึงจุดที่ใฝ่ฝันอย่างภาคภูมิ

แต่แล้วมันกลับไม่มีวันนั้น วันที่ใฝ่ฝันและเฝ้ารอคอยกลับต้องมาเลือนหาย หายไปพร้อมๆ กับที่เขาต้องจากเธอไป จากไปโดยไม่มีแม้แต่คำล่ำลา โอ้อนิจจา แล้วเจ้าน้องน้อยของเขาเล่า จะต้องเจ็บปวดรวดร้าวสักเพียงไหนกัน เมื่อได้รู้ว่าต่อไปนี้จะไม่มีเขาคอยอยู่เฝ้าดูแลเธออีกต่อไป หัวใจของเธอคงเจ็บช้ำ ไม่แตกต่างไปจากพี่ชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย จะอีกสักกี่เดือนกี่ปีกันที่เขาจะสามารถย้อนกลับมาเดินบนเส้นทางสายนี้ได้อีกครั้ง น้ำตาลูกผู้ชายต้องไหลริน ใจสั่นสะท้านเมื่อนึกถึงยามที่เขาต้องพรากจากเธอไป นี่เขาจะไม่ได้พบเจอกับเธอผู้เป็นดวงใจอีกแล้วจริงๆ น่ะหรือ

ในตอนนั้นไตรวินได้แต่เวียนตั้งคำถามกับตนเองว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี เขาจะทำใจให้ละทิ้งสถานที่แห่งนี้ไปได้ล่ะหรือ เขาจะต้องจากเธอไปทั้งที่ยังไม่ได้ร่ำลาได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะหมกมุ่นครุ่นคิดอย่างไร ก็ยังมองไม่เห็นซึ่งทางออก ภาพเหตุการณ์ในอดีตค่อยๆ เรียงร้อยเข้ามาย้ำเตือนเขาทีละเรื่องๆ จนกระทั่งถึงเหตุการณ์สุดท้ายก่อนหน้าที่เขาจะต้องละทิ้งทุกอย่าง ณ ที่นี้ไปจริงๆ

“พี่วิน.... พี่วิน.... พี่วิน อยู่รึเปล่า...”

เสียงร้องเรียกของดรุณีแรกรุ่น มากู่ร้องเรียกชื่อไตรวินยังด้านหน้าของเรือนไม้หลังเล็กค่อนข้างเก่าซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินผืนเล็กบริเวณท้ายสวนอยู่หลายต่อหลายครั้ง ร่างเล็กดูแบบบางราวจะปลิวอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีอ่อนดูเรียบๆ ทว่าตัดเย็บประณีต ดังเช่นที่เขาเคยเห็นจนเจนตา ดวงหน้าเรียวเสลาแย้มเยื้อนเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มอันสดใสดุจ นัยน์ตาคู่สวยหวานซึ้งทว่าปนโศกน้อยๆ คอยชะเง้อชะแง้แลหาอย่างซุกซน ส่งให้ดวงหน้าของสาวน้อยดูน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก

เด็กสาวเฝ้าแต่ร้องเรียกหาไตรวิน และมุ่งหวังว่าจะเห็นเขาเปิดประตูเรือนออกมารับเหมือนดั่งเช่นทุกครั้ง ทว่าเป็นเพราะในตอนนั้นทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เหมือนเดิมอีกต่อไป ‘พี่วิน’ พี่ชายคนดีของเธอ ไม่อาจเสนอหน้าออกไปพบกับเธออีกแล้ว และไม่ว่าเด็กสาวจะอดทนรอ หรือร้องเรียกนานขนาดไหน ก็หาได้มีเสียงตอบเพียงน้อยนิดจากคนในเรือนหลังเล็กนั้นไม่ รอบด้านยังคงเงียบเชียบราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในบริเวณนั้นเลยด้วยซ้ำ จนเจ้าตัวคิดและสรุปเอาเองไปโดยปริยายว่า คนที่เธอมาหาคงไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้นเป็นแน่ หาไม่ป่านนี้เขาคงวิ่งวุ่นกุลีกุจอออกมาต้อนรับเธอแล้ว

ครั้นตะโกนมากๆ เข้าจนเริ่มเจ็บคอแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว เธอจึงเริ่มจะออกเดินสำรวจไปรอบๆ เรือนหลังเล็ก สุดท้ายก็จบลงตรงที่เธอต้องกลับไปนั่งรออยู่ที่ม้านั่งตามเดิมอยู่อีกเป็นพักใหญ่ๆ จนกระทั่งใกล้เวลาพลบค่ำเธอจึงต้องจำต้องยอมละจากไปอย่างหมดหวัง

“ไปไหนของเค้านะ... โรงเรียนก็ปิดเทอมส์ตั้งนานแล้วนี่นา แล้วทำไมยังต้องออกไปข้างนอกอีกเนี่ย นี่มันก็เย็นมากแล้ว ได้เวลากลับขึ้นเรือนแล้วด้วย พี่วินนะพี่วิน จำไว้เลย คนเขาอุตส่าห์เดินมาตั้งไกล เฮ้อ! เสียเที่ยวจริงๆ เลย”

เลิศลักษณ์บ่นกระปอดกระแปดพึมพำงึมงำ ดวงหน้าหวานม่วนมุ่ยอย่างขัดใจ แม้ปากจะบ่นทว่าสองตายังคงสอดส่ายแลหาผู้เป็นพี่ชายไม่ยอมเลิก ท้ายที่สุดก็ลุกขึ้นอย่างจำใจ หญิงสาวเดินพลางหันพลาง จับจ้องไปยังเรือนหลังเล็ก จนกระทั่งลับหายไปจากสายตา ร่างน้อยมุ่งหน้ากลับไปยังเรือนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทิศทางเดียวกันกับเมื่อตอนขามา หากว่าเลิศลักษณ์จะเฉลียวใจสักนิด แล้วเดินย้อนกลับมาบางที เธออาจจะได้พบกับ “พี่วิน” ดังที่เธอหวังก็เป็นได้

ไตรวินค่อยๆ เปิดประตูก้าวออกมาจากที่ซ่อนภายในเรือนช้าๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง และไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ สายตาซึ่งทอดมองไปยังทิศที่ร่างเล็กที่เดินจากไปมีแววทดท้ออย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีเหล็กที่เคยฉายแสงเจิดจ้า ยามนี้กลับหม่นหมอง เศร้าสร้อยเสียจนน่าใจหาย แม้ใบหน้าคมจะยังคงเรียบนิ่ง ทว่าภายในใจนั้นท่วมท้นไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาทำได้แค่เพียงกระซิบเอ่ยคำลากับเธอผ่านสายลมอ่อน ฝากความรักความอาวรณ์ที่เขามีให้กับเธอผู้เป็นหนึ่งเดียวในดวงใจ “รักแรก นั้นตราตรึง ฝังรากลึก ลงกลางใจนานนับจนยากจะลืมเลือน”

ไตรวินได้แต่เก็บกลืนความเจ็บช้ำเอาไว้ในอก เขาตั้งปณิธานอย่างแน่วแน่ ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องกลับมา กลับมาอีกครั้งอย่างภาคภูมิ จะต้องไม่มีใครดูถูก เหยียดหยามเขาได้อีก ข้อความสั้นๆ ถูกเขียนลงในกระดาษ ฝากไว้ให้กับเธอผ่านทางเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นบุตรชายของคนงานในบ้านเหมือนกับเขา

“พี่สัญญาว่า พี่จะกลับมา น้องหนูรอพี่ก่อนนะจ๊ะ”

แล้วเขาก็จากไป และไม่เคยกลับมาที่นี่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้ เขากลับมาแล้ว กลับมาทั้งที่มันสายเกินไป ไม่มีอีกแล้ว เจ้าน้องน้อยที่เฝ้ารอคอยให้เขาคืนกลับมาตามสัญญา เกือบสี่สิบปีที่เขาปล่อยให้เธอต้องเฝ้ารอ เพราะข้อความเพียงสั้นๆ บนจดหมายฉบับนั้น

นี่เขาทำอะไรลงไป ทำไมถึงไม่เคยฉุกใจนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำทิ้งเอาไว้ ก่อนที่จะจากไปเลยแม้แต่เพียงครั้ง มิเช่นนั้นแล้ว เลิศลักษณ์คงไม่ต้องคอย หรืออย่างน้อย ก็ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมายาวนานถึงเพียงนี้ เพราะความด้อยประสบการณ์ คิดทุกอย่างแต่เพียงตื้นๆ สัญญาที่เขาได้เคยให้ไว้กับเธอไว้ ถึงกลายเป็นสิ่งผูกมัดเลิศลักษณ์เอาไว้จนกระทั่งวันสิ้นลม กว่าจะรู้ตัวอีกที่มันก็สายจนเกินไปเสียแล้ว ไม่น่าเลยจริงๆ ไตรวินน้ำตาซึม คำว่าน้ำตาตกในเป็นอย่างไร เขาเองก็เพิ่งจะรู้ซึ้งในวันนี้นี่เอง

-------------------------------------



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 เม.ย. 2555, 00:11:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 ธ.ค. 2559, 12:33:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1538





<< บทนำ   2 : ฝากฝัง >>
siita 17 เม.ย. 2555, 06:01:20 น.
โอยยย แทบขาดใจ ฮื้ออ T_T เราชอบมากเลย เรื่องอะไรๆที่พระนาง โตมาด้วยกัน ผูกพัน พลิกล๊อก ตบจูบ ^^


นิลวนา 20 เม.ย. 2555, 01:12:47 น.
55555 สรุปว่าชอบทุกอย่าง ถ้างั้นก็ต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป รับรองว่า ครบรสตามที่ชอบทุกประการค่ะ อิอิอิ....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account