ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: แถม

เป็นตอนที่เคยแต่พิเศษขึ้นมาสำหรับวันปีใหม่น่ะค่ะ เนื้อฟามันจะแยกออกมานะคะ เป็นช่วงก่อนจะสารภาพรักน่ะค่ะ ถือว่าคราวนี้เป็นโบนัสพิเศษของคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ ไว้รอเรื่องหน้ามาเจอหันใหม่นะคะ ติชมเต็มที่เลยค่ะ

ขอบคุณทุกคนเลยย



ผมมองคุณแม่ด้วยความไม่เข้าใจ
“จะไปไหนกันนะฮะ”
คุณแม่กับคุณพ่อจับมือแล้วมองตากันอย่างหวานซึ้ง
“ปารีสไงตาริน ฟังเป็นปะลิดหรือไง” คุณพ่อพูดกวนๆ
“เปล่าฮะคือ…”
ตารันที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ข้างๆ หัวเราะก๊าก
“โถพี่ริน คุณพ่อกับคุณแม่เขาจะไปฉลองปีใหม่กันสองคนบ้างไม่ได้หรือไง ผมก็มีนัดจะไปสวีทกับแจ๊กกี้สองคนที่ปายเหมือนกัน”
แล้วผมก็นั่งจ้องสมาชิกครอบครัวตรงหน้า ถ้าพวกเขาไม่เอ่ยเรื่องวันหยุดช่วงปีใหม่ขึ้น ผมก็คงลืมไปแล้วว่านี่เรากำลังอยู่ในช่วงปลายเดือนธันวาคม สงสัยผมคงทำงานหนักเกินไป…
“แล้วจะให้ผมอยู่คนเดียวเหรอครับ” ก็ผมไม่มีโปรแกรมไปไหนนี่ นึกว่าจะได้อยู่ฉลองกับทุกคนที่บ้านเสียอีก
คุณพ่อบรรจงวางแก้วกาแฟลง
“แกก็อยู่กับเมียแกสิตาริน หนูสิดีเขาคงไม่ทิ้งแกหรอก หาเวลาไปสวีทกันได้แล้ว มัวแต่ทำงานกันงกๆอยู่ได้”
ผมแทบอยากจะหัวเราะให้บ้านพัง ทั้งเรื่องที่หล่อนไม่ใช่เมียผม และเรื่องที่หล่อนปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวเป็นแน่แท้
“ฉันนัดกับหนูเล็กไปเที่ยวเชียงใหม่ค่ะ คุณจิทัศน์ต้องไปเที่ยวกับครอบครัว ส่วนแม่ฉันไปแม่ฮ่องสอนกับที่ทำงาน คุณก็คงอยากอยู่กับครอบครัวตามลำพังในช่วงปีใหม่ใช่ไหมล่ะ”
หล่อนพูดขณะเตรียมเข้านอนเมื่อคืน ผมก็ได้แต่หงึกหงักรับคำไปเท่านั้น เพราะคิดว่าทุกคนจะอยู่บ้าน
“เปล่าฮะคือ…”
“อ้าวหนูสิดีลงมาแล้ว ทำไมวันนี้ตื่นสายล่ะจ๊ะ” คุณแม่ทักทายเธอด้วยความรักใคร่
ฮึ! ใครบอกว่าเธอตื่นสาย เธอก็แค่ไดร์ผมนานเกินเท่านั้นล่ะ
แล้วเธอก็หย่อนตัวลงนั่งข้างๆผม มีเจ้ารันส่งยิ้มหวานๆให้
“กาแฟสักแก้วไหมครับ”
น่าแปลก…จู่ๆผมก็อึดอัด
ผมเลยแกล้งโอบไหล่เธอ
“สิดีไม่ชอบดื่มกาแฟ จริงไหมที่รัก”
เธอมองผมแปลกๆ แต่ก็รีบแสร้งฉีกยิ้ม พยักหน้าหงึกหงัก
“ขอโทษทีค่ะ หนูไดร์ผมนานไปหน่อย แหะๆ” เธอรีบแก้ตัวกับทุกคน
“เออหนูสิดี ปีใหม่นี้หนูคงต้องฉลองกับตารินสองคนที่บ้านแล้วล่ะ เพราะพวกเราจะหนีไปเที่ยวกันหมด พ่อฝากลูกชายด้วยนะ” คุณพ่อพูดติดตลก ผมแอบมองหน้าเธอ อยากรู้ว่าเธอจะพูดอะไร
เธอหันมามองผม
“เอ่อ…คือหนู…มีนัดไปเที่ยวกับเพื่อนน่ะค่ะ”
“อะไรกัน!!!” ตารันโวยวาย
“ปีใหม่แรกของการแต่งงานน่าจะใช้เวลาด้วยกันนะครับ”
เยี่ยมมากน้อง แต่ทีหลังอย่ายิ้มให้เธอแบบนั้นอีกนะ
“นั่นสิหนูสิดี ทำไมทิ้งพ่อรินไว้ล่ะ” คุณแม่เสริม
“เดี๋ยวตารินก็แอบไปมีอีหนูหรอก” คุณพ่อสมทบ ทั้งๆที่มีเศษไข่ดาวติดมุมปาก
ครอบครัวผมนี่แท็กทีมกันดีเหลือเกิน
ผมมองเธอด้วยความรู้สึกขำ เธอจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไรกัน
สายตาทุกคู่ของคนในครอบครัวจ้องมองเธออย่างตำหนิ
เธอยิ้มแห้งๆ
“หนูพาคุณนรินทร์ไปเชียงใหม่ด้วยก็ได้ค่ะ”
แล้วทุกคนก็ทำท่าโล่งอก พร้อมๆกับที่ผมไชโยในใจ
เปล่านะ…ผมไม่ได้ดีใจที่จะได้อยู่กับเธอ แต่ผมไม่อยากอยู่คนเดียวมากกว่า
เราสองคนผละจากโต๊ะอาหารแล้วรีบขึ้นรถไปทำงาน วันนี้วันอังคาร ผมเลยไม่ขึ้นบีทีเอส
“ตอนแรกฉันนึกว่าคุณจะอยู่ฉลองกับครอบครัวเสียอีก” หล่อนพึมพำ
“เขาหนีไปเที่ยวกันหมด และทุกคนก็คาดหวังว่าเราต้องใช้เวลาด้วยกัน”
“แต่คุณคงไม่อยากไปกับฉันหรอกใช่ไหมคะ คุณคงอยากอยู่นับถอยหลังที่บ้านคนเดียวมากกว่าไปกับสองสาวเจ้าปัญหา”
เธอหันมามองผม
ผมหักเลี้ยว คิดในใจว่าเธอคงไม่อยากอยู่กับผมจริงๆ
“คุณจะทิ้งผมไว้คนเดียวว่างั้น?”
เธอทำตาโต “เปล่านะคะ ก็ตอนแรกฉันคิดว่าคุณจะอยู่กับครอบครัว แล้ว…แล้วฉันก็อยากไปตามประสาผู้หญิงกับหนูเล็ก”
ผมเพิ่มความเร็วขึ้นอีก รู้สึกแปลบๆในใจ นั่นสิ เธอไม่ผิด อีกอย่างเธอไม่ได้รักผม เธอคงไม่แคร์
“คุณไปเถอะ ผมอยู่คนเดียวได้ หลอกคุณแม่ไปก่อน” แกล้งทำเสียงสบายๆ ไม่ยี่หระต่ออะไร
เธอเงียบไปนาน ก่อนจะพูดขึ้นอีก ด้วยเสียงทำทีห่วงใย
“คุณอยู่ได้นะคะ”
เฮอะ! คุณสนรึไงสิดี ยังไงคุณก็ไม่อยากอยู่กับผมอยู่แล้วนี่ แต่ผมก็ไม่อยากให้เธอลำบากใจ เลยทำเสียงร่าเริง
“ผมเป็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้ อยู่ได้สิครับ คุณไปเถอะ ก็ดี ผมจะได้ลองหาความสุขนอกบ้านบ้าง” ประโยคหลังผมแอบปรายตามองดูท่าทีของเธอ
ไม่เห็นเธอจะทำท่าหึงอะไร นอกจากยิ้มด้วยความสบายใจ
“แล้วฉันจะซื้อของมาฝากนะคะ”
ให้ตายสิ…ผมต้องอยู่คนเดียวจริงๆหรือนี่

บรรยากาศในช่วงปลายปีของบริษัทดูมีสีสันขึ้นมาถนัดตา พนักงานเตรียมตกแต่งสถานที่ต้อนรับเทศกาลปีใหม่ ทุกคนหน้าตาดูมีความสุข ผมแอบได้ยินหลายคนพูดถึงแผนที่ตัวเองวางไว้ว่าจะไปเที่ยวกับใครด้วยความอิจฉาเล็กๆ
ถึงแม้จะสนุกกันยังไง แต่ทุกคนก็ยังคงต้องทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า เพราะต้องรีบเคลียร์งานให้เสร็จก่อนไปฉลองและบางคนอาจลาพักร้อนไปในตัว
ส่วนผมก็ทำงานไปเรื่อยๆ ยังไง…ผมก็ไม่มีแผนอะไรกับเขานี่
พวกคุณอาจจะคิดว่า แล้วผมไม่มีเพื่อนบ้างเลยหรือไง ไม่ใช่ไม่มีใครคบผมนะครับ ผมก็พอมีเพื่อนบ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะผมเข็ดแล้วกับการถูกหักหลัง และเพื่อนของผมส่วนมากก็ทำงานอยู่ต่างประเทศ ที่อยู่เมืองไทยก็มีครอบครัวพร้อมกับทำงานจนลืมติดต่อกัน ผมเลยไม่มีใครฉลองด้วย
ผมนั่งทำงานหน้าจอคอมจนตาแฉะ มองนาฬิกาอีกทีก็เที่ยงกว่าๆแล้ว ชวนสิดีไปทานข้าวกลางวันดีกว่า...
แต่พอผมเปิดประตูออกไปก็ไร้เงาของเธอที่โต๊ะทำงาน
“คุณนลิน สิดีหายไปไหนล่ะ” ผมถามพนักงานแถวนั้น
เธอทำท่านึกอยู่พักหนึ่ง
“ไม่ทราบค่ะท่าน…”
แล้วกัน นอกจากหล่อนจะทิ้งให้ผมฉลองปีใหม่คนเดียวแล้ว ยังทิ้งผมให้ทานข้าวกลางวันคนเดียวอีก
ผมเลยต้องจำใจไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำใต้บีทีเอสคนเดียวเช่นเคย
กว่าผมจะได้เจอทรัพย์สิดี ก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ เธอถือเอกสารกองมหึมา เดินตัวโซเซเข้ามาในห้อง
“ทำไมเยอะ…ว้าก!!!” ผมอุทานเสียงดัง
นี่หล่อนทำแบบนี้อีกแล้ว!!!! เอกสารมากมายเหล่านั้นที่เธอแบกมาท่วมหัว ล้มลงใส่ตัวผมเกือบหมด
“ตายจริง!” เธออุทานดังเช่นกัน
“โทษทีค่ะคุณนรินทร์ มันหนักเกินน่ะค่ะ แล้วฉันก็ดันสะดุด” เธอกระวีกระวาดเข้ามาเก็บเอกสารที่ทับบนตัวผม พร้อมกับพูดขอโทษไม่หยุดปาก
จริงๆผมไม่โกรธเธอหรอก เวลาเธอทำอะไรเปิ่นๆน่ะ ผมชอบ ผมว่ามันตลกดี ช่วยให้ความรู้สึกเครียดๆของผมเบาลง แต่ผมต้องเก๊กหน้าดุไว้ปรามเธอบ้าง
“คุณนี่! อย่ายกมาเกินกำลังสิ แล้วตอนกลางวันคุณไปไหนมา” ผมจัดสูทให้เข้าที่ก่อนยิงคำถามตรงประเด็น
เธออึกอัก…
“ฉัน…ฉันไปซึทาย่ามาค่ะ”
อะไรนะ หล่อนทิ้งให้ผมทานข้าวคนเดียวแล้วตัวเองไปเช่าหนังอย่างนั้นเหรอ
แล้วผมก็คิดอะไรออก คราวนี้ผมเลยทำหน้าเครียดของจริง
“คุณปล่อยให้ผมทานข้าวกลางวันคนเดียว คุณต้องชดใช้”
เธอมีทีท่าไม่พอใจ
“คุณฟังเหตุผลก่อนสิคะ”
“ไม่จำเป็น เย็นนี้คุณต้องไปกินข้าวข้างนอกกับผมทดแทน”
เธอเผยอยิ้ม เหมือนว่ารู้ทัน
“อ้อ คุณก็แค่อยากทานข้าวกับฉัน?”
ผมสะดุ้ง รู้สึกเหมือนถูกจี้ใจดำ
“เปล่านะ…ผมแค่….”
แต่เธอไม่ฟังแล้ว เธอส่ายศีรษะแบบเอือมระอา ก่อนจะบ่นพึมพำอะไรไม่รู้แล้วเดินออกจากห้องไป

ตกเย็น ผมรู้สึกตื่นตัวผิดปกติ เมื่อได้เวลาเลิกงานผมก็จัดเครื่องแต่งตัวให้เรียบร้อย หวีผมให้เข้าที่เสียหน่อย แล้วเดินออกไปหาทรัพย์สิดี
เธอนั่งหัวฟูอยู่ที่โต๊ะทำงาน คิ้วขมวดกันมองจ้องกองเอกสาร
เธอจะทำตัวให้สวยกว่านี้เพื่อไปดินเนอร์กับผมไม่ได้หรือไง
“ไปกันได้แล้ว” ผมเอ่ยเบาๆ แต่เธอสะดุ้ง เลิ่กลั่กมองนาฬิกา
“อ๋า…เลิกงานแล้วเหรอคะนี่ วันนี้มีคนส่งงานมาพิมพ์เยอะจริง” แล้วเธอก็รีบเก็บเอกสาร
ผมยืนมองเธอแบบไม่รู้ตัว เธอไม่ได้สะสวยอะไร แต่ผมดำขลับที่ระแก้มนวลเนียนกลับทำให้ผมวางตาจากเธอไม่ได้
เธอหันมามองตาแป๋ว แล้วหัวใจผมก็เต้นตึกตัก
อย่านะเว้ย….อย่าคิดกับหล่อนมากเกินกว่านี้
“ไปกันเถอะค่ะ”
แล้วเราก็เดินไปที่ลิฟท์พร้อมกัน
ช่วงเวลาอาหารเย็นของเราสองคน ไม่ได้มีเรื่องหวานแหววแต่อย่างใด ออกจะตลกเสียมากกว่า เนื่องจากเธอเล่าเรื่องตลกให้ผมฟังเสียมากมาย แถมเราก็จิกกัดกันพอหอมปากหอมคอ ได้อยู่กับเธอแล้วผมสบายใจ เธอทำให้ผมหัวเราะได้เสมอ จนทำให้ผมคิดว่าถ้าเราต้องหลอกคนอื่นไปตลอดชีวิต ผมก็ยอม…
เมื่อกลับมาถึงที่บ้าน เธอล้มตัวลงนอนเหมือนคนหมดแรง ร่างเล็กเอามือก่ายหน้าผากแล้วหลับตาพริ้ม
“วันนี้เหนื่อยจังเลยค่ะ”
ไม่รู้ว่าผมอดทนมาได้ยังไงตั้งเป็นเดือนโดยไม่ได้ล่วงเกินเธอเลย คงเป็นเพราะว่าผมไม่ได้รักเธอล่ะมั้ง แต่ตอนนี้…ร่างบอบบางบนเตียงหนานุ่ม ผมดำขลับยาวสยาย นั่นทำให้ผมอยากกอดเธอจริงๆ
ผมเดินเข้าไปจะนั่งลงข้างเธอ แต่แล้วเธอก็สะดุ้งพรวด ลุกขึ้นมานั่งหน้าตาตื่น
“ฉันลืมบอกไปเลย”
ผมหย่อนตัวลงข้างเธอแบบประชิด เธอส่งสายตาไม่พอใจแล้วขยับห่างนิดหน่อย
“เรื่องวันปีใหม่ค่ะ”
เออใช่…จะพูดทำไมอีก ยังไงคุณก็ไม่อยู่กับผมนี่ แล้วผมก็หมดอารมณ์ที่จะกอดเธอ ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะเธอคงไม่ยอมง่ายๆ
“ฉันไม่ไปแล้วค่ะ คุณจิทัศน์ ดันยกเลิกเที่ยวกับครอบครัว หนูเล็กเลยดีใจไปฉลองกับเขาแทน เจ็บใจนัก”
เธอโมโหนิดๆ
หา??? เธอว่าอะไรนะ ไชโย!!!!!
ผมกลับดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็แกล้งทำเฉย
“อ้อ พอไม่มีใครไปด้วย คุณเลยต้องมาจมปลักอยู่กับผมสินะ”
เธอไม่ตอบว่าอะไร แต่เดินไปหยิบของในกระเป๋า แล้วผมก็เห็นถุงซึทาย่า
“ไม่จมปลักหรอกค่ะ ตอนแรกฉันจะไปเช่าหนังให้คุณดูช่วงที่ต้องอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้ฉันก็ถูกลอยแพเหมือนกัน งั้นช่วงปีใหม่ เรามานอนดูหนังมาราธอนกันเถอะ!”
เธอ…ว่าอะไรนะ?
เธอไปเช่าหนังให้ผม?...นี่เธอห่วงผมด้วยเหรอ
ผมมองเธอด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง…
ถ้าขอกอด เธอจะให้ไหมนะ
ผมลุกขึ้นเดินไปหา มองเธอด้วยแววตาเรียบเฉย
“เอ…หรือว่าคุณไม่อยากดูคะ?” เธอมองผม แล้วคงคิดไปเองอีกแล้วว่าผมไม่พอใจ
“เดี๋ยวฉันเอาไปคืนก็ได้ ว้าย!!! อีตาลามก!!!”
เธอดิ้นอยู่ในอ้อมแขน ผมกอดเธอไว้ แล้วกระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ
“ขอบใจนะสิดี”


วันหยุดสองสามวันแรกก่อนขึ้นปีใหม่ สิดีอยากตกแต่งบ้านต้อนรับเทศกาล เธอจึงไปกว้านซื้อพวกสายรุ้งจากซูเปอร์มาร์เก็ตแถวบ้านเสียยกใหญ่ ทำให้บ้านมีสีสันขึ้นมาเป็นกอง
“ดูฉันสิคะ เหมือนไฮโซใส่ขนมิ้งค์ไหม” เธอเอาสายรุ้งขนฟูๆมาพาดไหล่แล้วบิดตัวทำท่าเดินแบบ
ผมที่กำลังช่วยป้าเนียรติดป้ายสวัสดีปีใหม่เลยหัวเราะก๊าก
“เหมือนนักร้องคาเฟ่มากกว่านะผมว่า”
สิดีทำหน้าเซ็งทันทีก่อนจะบ่นขมุบขมิบแต่ผมกลับได้ยิน ทำนองว่าผมไร้รสนิยม

ส่วนผมก็ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เนื่องจากรีบเคลียร์งานที่บริษัทจนเสร็จ และนี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เพราะตอนนี้เหล่าแม่บ้านและคนครัวก็ขอลากลับต่างจังหวัดกันหมด เหลือเพียงป้าเนียรซึ่งเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่เท่านั้น
ผมกับทรัพย์สิดีและป้าเนียรเลยต้องช่วยกันทำกับข้าวทุกวัน ตอนเย็นเธอมักจะออกไปจ่ายตลาดกับป้า ส่วนผมก็นอนดูหนังคอย พอสองสาวกลับมา เราทั้งสามก็เข้าครัวกันสนุกสนาน
สนุกจริงๆนะ ขนาดผมที่ไม่เคยทำกับข้าวมาก่อน ยังชอบเลย ยิ่งเวลาได้หยอกสิดีเล่นๆ ยิ่งสนุก
“ขอหอมหน่อยค่ะ” สิดีหันไปบอกป้าเนียร
ผมอมยิ้ม แล้วยื่นแก้มไปให้เธอ
“อะ…หอมสิ”
ป้าเนียรหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ แต่สิดีกลับตบแก้มผมดังเพียะ!
“โอ๊ย! ทำไมต้องทำรุนแรงขนาดนั้นด้วยล่ะ” ผมร้อง
เธอลูบมือตัวเองแล้วถอยห่าง ทำหน้าสำนึกผิด
“คือ…ยุงมันกัดแก้มคุณน่ะค่ะ” เธอแก้ตัวข้างๆคูๆอย่างที่ชอบทำอยู่เป็นประจำ
“แหมคุณสิดีเธอคงเขินน่ะค่ะคุณหนู” ป้าเนียรหันมาล้อผม
“คุณหนูนี่ขี้เล่นขึ้นเยอะเลยนะคะ หุหุ”
ผมขี้เล่นอย่างนั้นเหรอ? เมื่อก่อนไม่เคยมีใครบอกอย่างนี้ เห็นชอบพูดกันว่าผมดุ จริงจัง ขี้โมโห และเย็นชา
อย่าบอกนะว่าผมขี้เล่นเพราะ…


ผมนั่งๆนอนๆดูหนังมาราธอนพร้อมเคี้ยวเข้าโพดคั่วที่สิดีซื้อสำเร็จมาอบเองกันแทบทุกวัน ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายขนาดนี้มาก่อน เหมือนกลับมาเป็นเด็กอีกครั้งที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร มีเพียงเรื่องการบ้านให้คิดเท่านั้น
บ่ายแก่ๆของวันที่ 31 ธันวาคม ป้าเนียรขอตัวไปจัดปาร์ตี้นับถอยหลังกับบรรดาหัวหน้าแม่บ้านแถวนั้นตามประสาสาวเหลือน้อย
“คืนนี้ป้าคงไม่กลับนะคะ ขอปล่อยแก่เสียหน่อย สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้าคุณทั้งสองคนเลยแล้วกัน”
เมื่อป้าเนียรจากไป สิดีก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ขณะที่เรากำลังดูหนังเรื่อง Look! Who’s talking now นำแสดงโดยจอห์น ทราโวลต้า สิดีชอบเรื่องนี้มาก เธอบอกว่ามันเป็นหนังเกี่ยวกับช่วงเทศกาลคริสต์มาส ซึ่งจอห์นรับบทกัปตันเครื่องบิน และหัวหน้าครอบครัว ซึ่งต้องรีบกลับมาหาภรรยาและลูกอีกสองให้ทันวันสำคัญนี้ แต่ปรากฏว่าเขาถูกกักตัวไว้โดยลูกสาวเจ้าของสายการบินซึ่งหลงรักเขา และขู่ว่าถ้าเขาหนีกลับไปอยู่กับครอบครัว เธอจะสั่งให้พ่อไล่เขาออก แต่แล้วในที่สุดจอห์นก็พยายามทุกวิถีทางจนหนีจากเธอกลับมาหาครอบครัวได้
ผู้หญิงชอบอะไรแบบนี้นี่เอง…
“คืนนี้เรามาร้องคาราโอเกะรอนับถอยหลังกันดีไหมคะ” เธอพูดด้วยสายตาแพรวพราว
“มาช่วยทำอาหารจัดปาร์ตี้เล็กๆสำหรับสองคนกัน”
ผมยิ้มให้เธอสบายๆ
“น่าสนใจดี แต่ผมร้องไม่ค่อยเป็นหรอกนะ”
“โถ่…ก็แค่จับไมค์แล้วร้องๆไปจะยากอะไรกัน ออกไปซื้อของกันเถอะค่ะ”
เธอลุกขึ้นอย่างกระตือรือร้นไปหยิบกระเป๋าเงิน ผมบิดขี้เกียจแล้วตามออกไป จากนั้นไม่นานเราก็ได้วัตถุดิบครบครัน
“วันนี้เราจะทำไก่ทอด เฟรนช์ไฟรด์ สลัดทูน่า แซนด์วิชแฮม และ…..”
เธอพูดจนผมงง
“นี่เราไม่ได้กินกันสองคนหรอกเหรอ”
เธอยิ้มแหะๆ
“ก็สองคนแหละค่ะ ถ้าคุณกินไม่หมด เดี๋ยวฉันจัดการเอง” แล้วเธอก็ไม่ปล่อยให้ผมทักท้วงต่อไป เนื่องจากเธอเริ่มตั้งกระทะบนเตาแล้ว
เราสองคนช่วยกันประดิษฐ์ประดอยอาหารอย่างสนุกสนาน จนผมที่ตอนแรกอิ่มข้าวโพดคั่วกลับน้ำลายสอ
“ฉันชอบช่วงเวลานี้จัง มันเหมือนฉันกับคุณไม่ได้อยู่เพราะจำใจ” เธอพูดขณะคนซุบข้าวโพดบนเตา
จำใจเหรอ? อืม…ที่ผมแต่งกับเธออาจจะเพราะความจำเป็น แต่ตลอดช่วงเวลาที่เราได้อยู่ร่วมกัน…ผมไม่เคยรู้สึกว่าต้องจำใจเลย
ยังไงดีล่ะ…ผมว่าผมอยู่กับเธอก็มีความสุขดี
“ตายแล้ว!” จู่ๆเธอก็ตาโตทำท่าตกใจสุดขีด
“มีแมลงสาปตรงเท้าคุณน่ะค่ะ”
ผมก้มลงมอง เห็นตัวดำๆกำลังชูหนวดสองข้างนิ่งอยู่แทบเท้า
“คุณไปหาถุงพลาสติกมาเดี๋ยวผมจัดการให้” กะอีแค่แมลงสาป เรื่องจิ๊บจ๊อย
ทรัพย์สิดีทำท่าขยะแขยงก่อนจะรีบสาละวนหาถุงพลาสติก แล้วเดินเขย่งแบบกล้าๆกลัวส่งถุงมาให้ผม
“อี๋ คุณรีบเอามันออกไปเลยนะ ฉันเกลี๊ยดเกลียด”
ผมขำ ก็ดูท่าเธอสิ ช่างเกลียดแมลงสาปจริงๆ
ผมใส่ถุงพลาสติกเข้ากับมือ แล้วก้มลงไปจะจับมัน ส่วนสิดี เธอวิ่งจู๊ดไปหลบที่มุมเสา ผมยื่นมือออกไปจับเจ้าสองหนวดได้อย่างงดงาม มันก็ดีเหลือเกินที่นิ่งให้ผมจับอย่างง่ายดาย
“นี่ไงเรียบร้อย คุณออกมาทำอาหารต่อได้แล้วน่า” ผมยื่นกำมือในถุงพลาสติกให้เธอดู
“กะ….กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!”
สิดีร้องลั่นเมื่อแมลงสาปบินพั่บๆออกมาจากมือผม
โว้ย! ให้ตายเถอะ ถุงมันรั่วนี่หว่า
“ช่วยด๊วยยยยยยย” ทรัพย์สิดีวิ่งวุ่นไปทั่วห้องครัว มีแมลงสาปบินพั่บๆไม่ห่างกัน แล้วเธอก็มาหลบหลังผมกระโดดกอดผมใหญ่
“มันจะบินมาทางนี้แล้วค่ะ! นั่นไงๆ!” เธอโวยวายชี้โบ๊ชี้เบ๊
เฮ้ย! แต่มันบินมาจริงว่ะ
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!!!” ผมร้องบ้างพยายามจะหลบแต่สิดีกลับดึงผมให้เป็นกันชน
ปึ้ก! สาบานว่าผมชนเข้ากับตู้เย็นเต็มๆ เนื่องจากสิดีเหวี่ยงตัวผมไปด้านข้างแล้วตัวเธอก็ล้มลงกับพื้นตามมา ส่วนแมลงสาปตัวดี….หายไปไหนไม่มีใครเห็น
“หวาย คุณเจ็บไหมคะ ฉันพยายามปกป้องคุณจากแมลงสาปนะ”
ผมกุมศีรษะ เจ็บชะมัด…
“ไหนๆ ขอฉันดูหน่อย…โอย ปูดเลยค่ะ แต่ดีที่ไม่แตก แล้วนี่แมลงสาปหายไปไหนนะ” เธอพล่ามเหมือนคนเสียสติ ก่อนจะจัดการหัวโนของผม จัดการอาหาร แล้วในที่สุดทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
ผมนอนเจ็บหัวบนโซฟาขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น มีทรัพย์สิดีคอยบริการตักอาหารอยู่ไม่ห่าง พร้อมๆกับเริ่มต้นเปิดคาราโอเกะ
“เอ่อ…ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่รู้ว่าถุงมันรั่ว” เธอพูดแก้ตัวขณะส่งซุปข้าวโพดร้อนๆมาให้ซด
“หึ คุณก็ไม่เคยรู้อะไรทั้งนั้นแหละ” ผมแกล้งดุ ทั้งๆที่ไม่ได้โกรธอะไรเธอเลย เธอยิ่งทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเข้าไปใหญ่
“แล้วที่ฉันผลักคุณก็เพราะ….”
“เอาละๆ ผมขี้เกียจฟัง คุณควรจะไถ่โทษด้วยการร้องเพลงให้ผมฟังดีกว่านะ”
เธอทำท่าดีใจทันที
“ได้เลยค่ะ เพลงอะไรดีล่ะ อืม…เพลงนี้แล้วกัน”
ผมกินเฟร้นฟรายไปพร้อมมองลีลาการร้องเพลงของเธออย่างสนุกสนาน
“ชินเหม่โจด๋าย ชินเหม่โจด๋าย เอาหัวใจเธอมา….” แล้วทำท่าเต้นเหยงๆจนผมอดขำไม่ได้
“นี่คุณ ฮ่ะๆ หาเพลงที่ร้องแล้วฟังสบายหูกว่านี้หน่อยสิ”
เธอทำท่าคิดแล้วกดเปลี่ยนเพลงทันที
“เพลงนี้แล้วกันนะคะ”
ผมตั้งใจฟัง…. “ไหล่นี้อย่าให้ครายยยย มาจาบบบบ หน้าผากนี้อย่าให้ครายยยย มาจูบบบบ แก้มนี้อย่าให้ครายย…”
ผมครางทั้งๆที่อาหารเต็มปาก เธอก็ทำอร่อยดีนะนี่
“โอยคุณ…เพลงนี้น่ารำคาญกว่าอีก”
คราวนี้เธอหันมาทำหน้าไม่พอใจ “เรื่องมากจริง มาร้องเองเลยมา” แล้วเธอก็กดเปลี่ยนเพลงอีกครั้ง
เธอยื่นไมค์อีกตัวให้ผม ส่วนอีกตัวเธอก็ถือเอาไว้ ก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงข้างๆบนโซฟาหนานุ่ม
หนุ่มบาวสาวปาน…หน้าจอคาราโอเกะปรากฏตัวหนังสือขึ้น
“คุณเป็นคาราบาว ฉันเป็นปานนะคะ” เธอสั่งเสร็จสรรพ
“ผมร้องไม่เป็น” ผมเกาหัวแกรกๆ
“โอ๊ย!” เธอชักรำคาญขณะหยิบแซนด์วิชเข้าปาก
“คุณอ่านตัวหนังสือเอาแล้วกันค่ะ”
เหอๆ ลองดูก็ได้
ดนตรีอินโทรเริ่มรัวเร็วมากขึ้น ทรัพย์สิดีกระทุ้งแขนผมแล้วบอกว่าเตรียมร้องได้แล้ว
เนื้อเพลงปรากฏแถบแดงไล่ไปทีละอักษร…กรีดยางอยู่ใต้ไม่ปลอดภัย….
“….ไปขับวินมอเต้อไซอยู่ใน กอทอม้อ อ้ายไข่นุ้ยลูกท้ากกกกกกกกกกกกสินรูปหลอออออออออ”
ยังไม่จบท่อนสิดีก็หัวเราะจนตัวโยน
ผมไม่สนยังคงร้องต่อไปทั้งๆที่ก็รู้ว่าผิดคีย์
พอท่อนของสาวปานขึ้น เธอก็รับไปร้องต่ออย่างคล่องแคล่ว
เราสลับกันร้องเพลงอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับหยิบอาหารเข้าปากอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ผมไม่สามารถสู้สิดีได้จริงๆ เธอร้องเป็นแทบทุกแนว ตั้งแต่ลูกทุ่งยันเพลงฝรั่ง ส่วนของผมก็ได้แต่งูๆปลาๆไปเรื่อย และโดนเธอว่าว่าร้องเพี้ยนเสียส่วนมาก ส่วนเธอก็โดนผมหัวเราะเยาะใส่ไม่หยุดหย่อนเนื่องจากท่าเต้นตลกๆของเธอนั่นเอง
ผมกำลังจะเบรกให้เธอหยุดเต้นในเพลง เลิกแล้วค่ะ แต่แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น สิดีหรี่เสียงเพลงทันที
“สวัสดีครับ บ้านนราธรครับ”
“ตาริน!” เสียงคุณพ่อพูดอย่างมีความสุขมาตามสาย
ผมทำปากบอกสิดีว่าคุณพ่อโทรมา เธอพยักหน้ารับ ก่อนจะกลับไปเต้นเหยงๆ พร้อมโบกมือ กับเพลงเลิกแล้วค่ะที่เปิดเสียงเบาสุด
“ว่าไงครับคุณพ่อ ปารีสเป็นอย่างไรบ้าง”
“เหมือนมาฮันนีมูนครั้งแรกเลยละ แม่แกสนุกมากทีเดียว ว่าแต่แกเถอะ…” เสียงคุณพ่อขาดหายไป มีเสียงคนจอแจแทรกเข้ามา พร้อมกับเสียงแหลมๆของคุณแม่ดังแหวกเข้ามาในโทรศัพท์
“เรามาอยู่กันที่ ไอเฟลทาวเวอร์จ้ะลูก นี่ที่เมืองไทยใกล้นับถอยหลังแล้วใช่ไหม แล้วอย่าลืมล่ะว่า…” เสียงคุณแม่ขาดหายไปอีก
“อะไรนะฮะ ผมไม่ได้ยิน”
คราวนี้คุณพ่อพูดเอง “หาโอกาสคืนปีใหม่สวีทกันเสีย เดี๋ยวแกก็ต้องกลับไปทำงานงกๆอีก”
และเหมือนผมจะเข้าใจได้ว่าคุณแม่กำลังแย่งโทรศัพท์มาจากคุณพ่อ
“คุณนี่…พูดไม่เข้าประเด็นสักที…มีหลานให้พ่อกับแม่เป็นของขวัญปีใหม่เลยนะตาริน ได้ยินไหม มีหลานให้….ตู๊ดๆๆๆๆๆๆๆ” แล้วโทรศัพท์ก็ถูกตัดสายไป
ผมวางโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก หันไปมองสิดี เธอก็กำลังสนุกกับเพลง
“….อ๋อ ไม่หรอกค่ะ ไม่คิดมีใหม่หรอกค่ะ…เลิกแล้วค่า…..”
เธอหยุดร้องเมื่อเห็นว่าผมวางโทรศัพท์
“คุณพ่อเป็นไงบ้างคะ”
ผมซดโค้กอึกใหญ่ “เอ่อ…ท่านว่ามีความสุขมาก…”
เธอนั่งลงแล้วหอบนิดๆ คงเหนื่อยที่เต้นมากไป
“โทรมาบอกแค่นั้นเหรอคะ อิอิ คงเหมือนคู่ฮันนีมูนหมาดๆเลยเนอะ”
ผมมองเธอ แก้มของเธอแดงระเรื่อ ผมยุ่งนิดๆ แต่หน้าตาของเธอดูมีความสุข เธอคงชอบร้องเพลงมากสินะ นี่ถ้าเธอรู้ว่าพ่อกับแม่ผมสั่งเสียอะไรไว้เธอจะทำหน้ายังไงกัน
“เอ่อ…หน้าฉันมีอะไรติดเหรอคะ”
ผมคงมองเธอนานไปจนเธอสงสัย…หลังๆมานี่ผมว่าผมชอบมองเธอแบบพิจารณาอยู่บ่อยๆ…เอ่อ…หวังว่าเธอคงไม่รู้หรอกนะ
“เปล่าๆ นี่!ให้ผมร้องบ้างซิ คุณขี้โกงร้องอยู่คนเดียว”
ผมเริ่มหาเรื่องเมื่อรู้สึกว่าเขินนิดๆ….เฮ่ย!...แล้วผมจะเขินเรื่องอะไรเล่า
“อ๊าว…ไหนบอกว่าไม่ชอบร้อง คุณนี่ยังไงกัน” เธอบ่นนิดหน่อยแต่ก็ส่งไมค์ให้
ผมกดเลือกเพลงอยู่สักพัก มีเธอค่อนแคะอยู่ข้างๆว่าร้องไม่เป็นแล้วยังเรื่องมาก
ผมเลยรีบๆสุ่มเลือกจนได้เพลงอะไรไม่รู้…อยากรู้แต่ไม่อยากถาม…
เสียงอินโทรช้าๆของเพลงดังขึ้นเป็นจังหวะน่าฟัง เอ…ผมเคยฟังเพลงนี้นี่นา ตอนเจ้ารันมาเปิดเรื่อง เพื่อนกูรักมึงว่ะ ดูที่ห้องนอนผม
สิดีดูดน้ำเสียเสียงดัง ผมเริ่มร้อง
“…ได้ชิดเพียงลมหายใจ แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน…แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ…”
อืม…ทำไมเพลงนี้ช่าง…
“ที่ค้างในความรู้สึก ว่าลึกๆเธอคิดยังไงรักเธอเท่าไร แต่ไม่เคยพูดกัน…”
“อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้ มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย…”
ดนตรีกำลังบรรเลงรอเนื้อเพลงท่อนสำคัญ ไม่รู้อะไรมาดลใจให้ผมหันไปมองสิดีด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นไปด้วย….ผมบอกไม่ถูก
“เธอจะมีใจหรือเปล่า
เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า
ที่เราเป็นอยู่นั้นคืออะไร
เธอจะมีใจหรือเปล่า
มันคือความจริงที่ฉันอยากรู้ติดอยู่ในใจ
แต่ไม่อยากถามกลัวว่าจะเปลี่ยนไป…”
เธอคงไม่เข้าใจหรอกว่าตอนนี้ผมรู้สึกอย่างไร ขนาดตัวผมเองยังไม่เข้าใจเลย ทรัพย์สิดีมองผมแล้วหน้าแดงก่อนจะหลบสายตามองไปที่ทีวี
เราเงียบกันสักพักเพื่อรอดนตรีรับเนื้อเพลงท่อนต่อไป ผมจำได้แล้ว ผมจำเนื้อเพลงทั้งหมดได้….และผมก็รู้แล้วว่าตัวเองกำลังคิดอะไร ผม…ผมอาจจะชอบ….
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด ว้าย! ตายๆ คุณนรินทร์ มันอยู่นี่เอง แมลงสาปตัวนั้นอยู่นี่เอง ว้าย!!!!!”
ทรัพย์สิดีหดขาขึ้นโซฟาก่อนจะกระโดดมาหลบหลังผมและชี้ไปที่พื้นให้เห็นตัวดำ มีสองหนวด
ผมลืมไปทันทีว่าตัวเองกำลังคิดอะไร
“โอ๊ย! ใจเย็นๆเดี๋ยวผมจัดการเอง” แล้วผมก็เดินไปหยิบถุงพลาสติกด้วยตัวเอง ก่อนจะจับเจ้าแมลงสาปจอมปัญหาได้อย่างง่ายดายแล้วเอาไปปล่อยนอกบ้าน
“หมดเรื่องกันนะทีนี้ อ้าวเพลงของผมจบแล้ว” ผมมองประโยคสุดท้ายที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยความเสียดาย
ทรัพย์สิดียืนเก้ๆกังๆ
“ฉัน…ขอโทษด้วยนะคะ อ้าวนี่ใกล้นับถอยหลังแล้วนี่นา”
เธอมองนาฬิกาฝาผนัง ผมเลยมองด้วย
ห้าทุ่มครึ่งแล้วเหรอ
อืม…ถึงว่าผมเริ่มง่วงหน่อยๆ
ผมเดินกลับมาล้มตัวบนโซฟาอีกครั้ง สิดีเก็บจานอาหารที่กินกันจนเกลี้ยงเอาไปไว้ในครัว ก่อนจะกลับมานั่งขดตัวข้างๆผม
ผมลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศในห้องนั่งเล่นให้เย็นขึ้นอีก แล้วเหวี่ยงผ้าห่มผืนใหญ่คลุมตัวเราทั้งสองคน…ผมไม่ได้คิดอะไรนะ แค่ชอบอากาศเย็นๆ ถึงแม้คำพูดคุณพ่อจะก้องในหัวก็ตาม
สิดีเปิดทีวีดูถ่ายทอดสดการนับถอยหลังตามทีวีช่องต่างๆ พร้อมเอาสเปรย์สายรุ้งที่ไปซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตเมื่อตอนเย็นขึ้นมาเตรียมฉีดฉลองขึ้นปีใหม่
โซฟาไม่ใหญ่มากนัก เราเลยนั่งเบียดกัน
“คุณอยากให้มีอะไรเกิดขึ้นในปีต่อไปคะ”
“เอ่อ…” ผมคิดอะไรไม่ออก รู้แต่ว่าหนาว เลยเบียดตัวเข้าไปใกล้เธออีก
“อืม…ผมว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้ว” ผมคิดอย่างนั้น…จริงๆนะ
สิดีเงียบก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“อืม…ฉันก็เหมือนกันค่ะ”
แล้วเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ได้แต่นั่งเบียดกันดูทีวี
ดารานักร้องทยอยออกมาปรากฏโฉมบนทีวีเรื่อยๆ พร้อมขับกล่อมเพลงเบาๆ ผมเริ่มนึกถึงเพลงที่ร้องไม่จบ…
…เธอจะมีใจหรือเปล่า…เธอเคยมองมาที่ฉันหรือเปล่า….
เนื้อเพลงท่อนนี้ช่างมีความหมายกับผมเหลือเกิน
ผมยกแขนโอบกอดสิดีอย่างไม่รู้ตัว ดูเธอก็ไม่ขัดขืน แถมเอาศีรษะลงมาซบกับบ่าของผมอีกต่างหาก
พิธีกรสาวสวยนวยนาดออกมาบนเวทีพร้อมเชิญชวนให้ทุกคนเริ่มต้นนับถอยหลังร่วมกัน
อีกไม่กี่นาทีแล้วสินะ ศักราชใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ผมไม่รู้ว่าอนาคตของเราสองคนจะเป็นอย่างไร ต้องหลอกใครไปอีกนานแค่ไหน แต่ผมอยากให้เวลาหยุดลงตรงนี้…
ผมโอบกอดเธอแน่นขึ้น ความรู้สึกประหลาดวิ่งพล่านทั่วตัว
หรือผม…จะรักเธอเข้าแล้ว
“สิบ เก้า แปด เจ็ด หก ห้า…” เสียงนับถอยหลังในทีวีดังกึกก้อง
“สี่ สาม” ผมนับบ้างโดยไร้ซึ่งเสียงของสิดี
“สอง…หนึ่ง…”
เสียงโห่ร้องแสดงความดีใจในทีวีดังไปทั่ว ปีเก่าได้ผ่านไปแล้วอย่างสมบูรณ์
“สวัสดีปีใหม่นะสิดี” ผมหันไปพูดกับผมหอมๆที่ซบบนบ่าของผม
คร่อก….
อะนะ…ก็นึกแล้วว่าทำไมให้ผมกอดง่ายจัง
เธอหลับไปทั้งๆที่ยังมีกระป๋องสเปรย์อยู่ในมือ ผมอมยิ้ม หยิบกระป๋องออกจากมือเธอแล้วฉีดสายรุ้งไปทั่วบริเวณนั้น
ผมนอนเอนไปกับโซฟา จับศีรษะของเธอให้ซบอกกว้างของผม แล้วลูบผมเธอเบาๆ
สิดี…ผมอยากอยู่กับคุณอย่างนี้ตลอดไป
ตอนนี้ผมนึกเพลงออกเพลงหนึ่ง ไม่ใช่เพลงที่ผมร้องไม่จบ แต่เป็นเพลงที่ผมคิดจะร้องให้เธอฟังคนเดียว
“…สุดแผ่นดินแผ่นฟ้าที่กว้างใหญ่…จะมีคนมากมาย…เพียงเธอผู้เดียวเพียงพอ…”





ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.ค. 2555, 19:44:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.ค. 2555, 19:44:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 2408





<< จุดเริ่มต้น (ภาคพิเศษ)   
ใบบัวน่ารัก 19 ก.ค. 2555, 20:46:09 น.
อ้ายแมงสาปน่ากลัวมาก
สิดีไม่มีอะไรจะบอกหรือเล่าช่วงที่ท้อง
หรือคลอดลูกแล้วหรือ ทุกคนอยากรู้ว่า ชาย
หรือ หญิง ชื่อที่จะตั้งด้วย จะซ้ำไหม?
อยากรู้มาก จริงๆนะ


Edelweiss 19 ก.ค. 2555, 21:24:48 น.
อร๊ายยย ปิดท้ายด้วยเพลงพี่ปั่น ชอบจังเลยค่ะ


Kapoh 19 ก.ค. 2555, 21:29:43 น.
อยากอ่านต่อเรื่อย ๆ >_<
ขอบคุณไรท์เตอร์ที่ซู๊ดเลย


agentaja 19 ก.ค. 2555, 21:51:20 น.
นั่นสินะคะ สิดีหรือนรินทร์ไม่เล่าเรื่องตอนท้องหรือตอนคลอดแล้วบ้างเหรอคะ น่าจะขำ ๆได้ตลอดนะคะ


pkka 19 ก.ค. 2555, 22:09:13 น.
ตอนมันบินหน่ะ ลุ่นที่ซู๊ดดด


ทราย 19 ก.ค. 2555, 22:33:16 น.
น่ารักมากค่ะ


goldensun 19 ก.ค. 2555, 23:01:42 น.
อ่านแล้วหัวเราะตามเลยค่ะ สมเป็นสิดี
เรียกร้องตอนพิเศษเพิ่มขึ้นด้วยคนค่ะ ขอสิดีภาคคุณแม่ตั้งท้องว่ายังรั่วอยู่รึเปล่า
ไปจนถึงตัวเล็กออกมาดูโลก จะเป็นนรินทร์รุ่นที่ 5 หรือสิดีตัวน้อย จะซึ้งปนฮาได้มั้ย


เคสิยาห์ 19 ก.ค. 2555, 23:39:26 น.
สิดี เป็นไงบ้าง ท้องกี่เดือนแล้วจ๊ะ อ่านไป ๆ รู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนสิดี ไปซะจริงๆ


Pat 20 ก.ค. 2555, 06:25:46 น.
ช่ายเลยค่ะ น่่าจะมีตอนพิเศษอีกสักสองตอน


PiNVE 21 ก.ค. 2555, 10:10:40 น.
เห็นด้วยกับข้างบนเลยค่ะ อยากอ่านตอนพิเศษของสิดีอีก


omelate 30 ก.ค. 2555, 11:21:30 น.
อ่านแล้วอ่านอีก สิดีก็ยังน่ารักเหมือนเดิม อิอิ


ling 6 ก.ย. 2555, 10:46:37 น.
ยังน่ารักเหมือนเดิมคู่นี้


ผักหวาน 13 ก.พ. 2556, 19:47:59 น.
อ่านเรื่องนี้แล้วก็ขำหนูสิดีมากๆ ให้ตายผู้หญิงอะไร ขำตลอด


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account