ลมรักวาเลนไทน์
ในความเหมือน..มีความแตกต่าง ในความแข็งแกร่ง..มีความเยือกเย็น ในความพริ้วพราย..มีความอ่อนแอ แต่สุดท้ายระหว่าง "เพชรกล้า" กับ "น้ำริน" ก็มีความเป็นหนึ่งเดียว

"ความรัก"ที่ดี" จะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตใจคุณถูกฝึกให้มีคุณภาพดีพอจะคู่ควรเท่านั้น
ไม่ใช่ได้มา ในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน "หลงทาง"อยู่กับความเหงาจนไม่มีแสงสว่างพอของใจที่จะลืมตาตื่นขึ้นพบคนดีจริงๆสักคน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๕ สะกิดรอย

สหพลผุดลุกผุดนั่งอยู่ตรงม้านั่งยาวหินอ่อนหน้าบ้านดินด้วยความกระวนกระวายใจ เป็นห่วงแฟนสาวอย่างมาก เขาไม่น่าปล่อยให้เธอเดินเรื่อยเปื่อยไปไกล จนคลาดสายตากันได้ขนาดนั้นเลย คิดอีกทีก็ต้องโทษตัวเองที่ไม่ยอมประกบติดน้ำริน คอยดูแลความปลอดภัยให้ทุกฝีก้าว เดินป่ามาเยอะ ทว่าป่าสมุนไพรรกร้างลึกล้ำหลังสวนผลไม้นั้น เขาไม่ชินทางเอาเสียเลย อีกอย่าง ด้วยความที่เพิ่งเข้าไปเดินกับแฟนสาวเป็นครั้งแรก จึงยากนักที่จะจับทางออกได้ถูกต้องโดยไม่มีหลง

เม็ดฝนจากหลังคาหญ้าแฝกหยดลงกระทบหลังมือที่ประสานกันบนหัวเข่า ชายหนุ่มนั่งลงอย่างอ่อนแรง หมดกำลังใจตามหาน้ำรินต่อไป เขาเข้าออกป่านั้นมาเกือบห้ารอบได้แล้ว แถมยังเดินหาจนทั่วรอบบ้าน สวนผลไม้ และริมคลองในอีกมุมหนึ่งของบ้านกลางสวนหลังนี้ ลุกขึ้นยืนชั่งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปในสวนสมุนไพรอีกรอบดีไหม หากสุดท้ายก็ตัดสินใจนั่งรอตรงที่เดิม.. เข้าออกแต่ละรอบก็คลำทางแสนยาก ฟ้ามืดอย่างนี้ถ้าเข้าไปอีก มีหวังตัวเขาเองได้หลงทางขังตายอยู่ในป่านั้นเป็นแน่

ฝนหยุดตกลงมาสองชั่วโมงกว่าแล้ว เวลานี้มีเพียงหยดน้ำที่ยังค้างบนหลังคาเท่านั้นที่หล่นลงกระทบพื้นดินพื้นหญ้า ส่งเสียงติ๋งๆ พอได้ยินอยู่เป็นระยะ อากาศรอบกายหนาวเย็นจับหัวใจ จนสหพลต้องยกมือขึ้นกอดอกแน่น เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย บรรยากาศในสวนวันนี้น่าแปลก เดี๋ยวร้อนอบอ้าว เดี๋ยวชื้นแฉะ เดี๋ยวเหน็บหนาว แม่สาวตัวดีของเขาป่านนี้ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหน ต้องทนหนาว ทนเปียกคนเดียว ยังปลอดภัยดีหรือไม่ เขาเป็นห่วงเธอเหลือเกิน เป็นห่วงมากจนแทบอยากร้องไห้ อากาศเปลี่ยนแปลงปุบปับอย่างนี้ เขาจำได้ดี ด้วยเคยใกล้ชิดกันมานาน น้ำรินต้องไม่สบายหนักเป็นแน่!

คืนวันแห่งความไม่เข้าใจกันและกันปรากฏขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง คืนนั้นหญิงสาวโกรธเขาที่ไม่มีเวลาให้เธอ ผิดนัดสำคัญที่สัญญาไว้ดิบดี สหพลบอกให้เธอกลับบ้านไปก่อน เนื่องจากตัวเขาต้องทำโอทีต่อให้เสร็จ ถึงจะได้กลับบ้าน เธอไม่ฟังคำร้องขอ หากประชดเขาด้วยการยืนตากฝนอยู่หน้าบริษัทซูซูกิ ที่เขาทำงานประจำอยู่ในตอนนั้น กระทั่งเขายอมแพ้ในความดื้อรั้น ลงจากห้องทำงานชั้นสิบไปรับเธอมาอยู่ด้วยกัน แต่แล้วด้วยความที่เนื้อตัวเปียกปอนจากฝน เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องปรับอากาศ ร่างกายทีดูจะไม่แข็งแรงดีนักก็ออกอาการไข้หวัดกำเริบ คืนนั้นทั้งคืนเขาเลยไม่ได้ทำงาน ต้องพาเธอไปส่งโรงพยาบาล ใกล้บริษัท แล้วอยู่เฝ้าไข้ทั้งคืน นึกถึงวันนั้นแล้วก็อดยิ้มอย่างหวานอมขมกลืนไม่ได้ หากเวลานี้ เขารู้สึกเหมือนกำลังยิ้มทั้งน้ำตา เมื่อมองฝ่าความมืดออกไป พบเพียงความว่างเปล่า ที่ไม่มีแม้แต่วี่แววการปรากฏตัวของคนรัก

เสียงฟ้าร้องดังคำรามขึ้นอีกระลอก ฝนโปรยปรายลงมาอีกชุดใหญ่ สหพลเงยหน้าขึ้น หลังจากที่เผลอฟุบหลับลงกับโต๊ะด้วยความอ่อนเพลียทั้งกายและใจ ขยับหนังตาอันหนักอึ้งให้เบิกกว้างขึ้น ภาพเงาสลัวรางของคนสองคนเดินใกล้เข้ามา ชายหนุ่มขยี้ตาแรงๆ สะบัดศีรษะไล่ความมึนงง เสียงรองเท้าแตะเดินย่ำกระทบพื้นแฉะอยู่ใกล้แค่เอื้อม ภาพที่เห็นคือ นักเขียนสาวคนรักของเขายืนคอพับคออ่อน แขนขาแทบไร้เรี่ยวแรงในการทรงตัว โดยมีชายผิวขาวร่างสูงคนหนึ่งยืนเป็นหลักให้ยึด ท่าทางเหมือนไม่ได้สติของน้ำริน กับอ้อมแขนของชายแปลกหน้าที่โอบเอวเธอไว้ ทำให้สติสตางค์ของสหพลไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อารมณ์เดือดตามสัญชาตญาณ และสภาวะที่อ่อนใจเช่นนี้ทำให้เขาเข้าใจว่าชายตรงหน้า..คือผู้ร้ายตัวฉกาจ ที่อาจเป็นสาเหตุให้แฟนสาวมีสภาพอย่างที่เห็นในขณะนี้



“คุณครับ..ช่วย” เสียงห้าวแปลกของผู้มาใหม่หยุดลงแค่นั้น แทนที่ด้วยเสียงหมัดลุ่นๆของครีเอทีฟหนุ่มใจร้อนกระแทกเข้าอย่างจังที่กรามขวา ด้วยแรงกำลังผสมกับแรงอารมณ์ที่หนักหน่วง ทำให้นชาญที่ทรงตัวไม่มั่นคงนัก ลื่นไถลลงไปกองอยู่กับพื้นทันที ในเวลานี้สหพลไม่สนแล้วว่าแฟนสาว จะกระเด็นล้มไปคนละทาง บาดเจ็บอื่นใดหรือไม่ สติไม่ทันยั้งคิด ตรงเข้าไปกระหน่ำใบหน้าขาวซีดอีกหลายชุด พร้อมคำก่นด่า

“ไอ้ชั่ว...ไอ้ทราม..ไอ้”

ขณะนั้นน้ำรินที่ลื่นไถลลงไปนอนก้นจ้ำเบ้ากับพื้นปูนแข็งโป๊ก ก็เริ่มรู้สึกตัว ยกมือคลำสะโพกป้อยๆ ความอ่อนล้าเมื่อครู่ กลายเป็นความเจ็บปวด และงุนงงแทนที่ เสียงเอะอะที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ทำให้น้ำรินค่อยๆตาสว่าง หันหาต้นเสียง ก็พบความชุลมุนวุ่นวายของสองหนุ่มที่ผลัดกันมะรุมมะตุ้ม แลกหมัดกันคนละทีสองที คนหนึ่งก็เอาแต่เอะอะด่ากราดไม่สนหน้าอินทร์พรหม อีกคนนี่ก็ดูเหมือนพยายามหลบเลี่ยง แต่ก็ต้องป้องกันตัวเอง พร้อมคำอธิบายบางอย่างที่ฟังไม่ชัดเจนนัก

ความพร่ามัวที่เกิดจากบรรยากาศในยามมืด กับพิษร้ายของไข้หวัดที่กลับมาเล่นงานเธออีกครั้ง ทำให้มองได้ไม่ถนัดนัก ว่าใครเป็นใคร เปลือกตาหนักอึ้ง ไอจามออกมาเป็นระยะ หญิงสาวพยายามใช้ฝ่ามือยันตัวเองขึ้นจากพื้น แต่ก็ลุกไม่ขึ้นเสียที ขยับปากจะส่งเสียงห้ามปรามความโกลาหลข้างหน้า ก็ไม่มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เริ่มซีดจาง หากเวลาผ่านไปไม่นาน ก็มีนางเอกขี่ม้าขาว เข้ามายุติกรณีพิพาทลงได้..

“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ..”

เสียงคุ้นหูของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น สองหนุ่มสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจที่เจืออยู่ในน้ำเสียง นชาญที่บัดนี้กลายมาเป็นฝ่ายรุกในสภาพคร่อมนั่งอยู่บนร่างของสหพล กำลังเงื้อหมัดเตรียมจะลุยต่อก็ชะงักค้าง เงยหน้าขึ้นหาต้นเสียง และเพียงชั่ววินาทีที่พบหน้าเพชรกล้า ความขุ่นเคืองที่โดนทำร้ายอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุเมื่อครู่ ก็จางหาย แทบไม่เหลือ

ชายหนุ่มยิ้มกว้างจนเกือบเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ สีหน้าและแววตาบ่งบอกความดีใจอย่างเปิดเผย

“เพชร!”

ขานเรียกหญิงสาวเพียงเท่านั้นก็รีบดีดตัวขึ้นยืนตัวตรงนิ่ง ยกมือเก้งก้างอย่างทำอะไรไม่ถูก ดวงตาช้ำๆ กับปากสีแดงสดบวมเจ่อ ที่มีหยดเลือดค้างตรงมุมปาก ทำให้จิตแพทย์สาวชะงักเล็กน้อย ฉงนแกมตกใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า หากเพียงครู่เดียว เศษซากความเจ็บปวดที่ตกตะกอนอยู่ในหัวใจก็ตีแผ่ขึ้นเป็นริ้วๆ เพียงกระจ่างชัดแก่นัยน์ตาคู่สวยว่าคนตรงหน้าที่เห็นนั้นเป็นใคร..เคยทำอะไรไว้กับเธอในอดีต!

“ดีใจ ที่ได้เจอเราซักทีนะเพชร..พี่มีเรื่องอยาก..” ชายหนุ่มรีบกระวีกระวาดพูดเมื่อมีโอกาส หากก็ต้องสะดุด เมื่อหญิงสาวรีบยกมือห้าม แววตาเยือกเย็นจนหัวใจคนพูดแทบหล่นวูบ

“ฉันไม่รู้จักคุณ..กลับไปเสียเถอะ”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรออก ณ เวลานี้ นอกจาก...

“น้องเพชร..แจ้งตำรวจจับมันเลย..ไอ้นี่มัน” สหพลโพล่งขึ้นมาเมื่อลุกขึ้นยืนทรงตัวได้ด้วยสภาพมอมแมม ทั้งดินทั้งเลือด ไม่ต่างจากนชาญเท่าใดนัก เพชรกล้า หันหน้ากลับมามองนิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเย็น

“พี่ปานเอง ก็กลับไปก่อนเถอะค่ะ มีอะไรไว้คุยกันวันหลัง..ดึกมากแล้ว”

“แต่ว่า...” สองเสียงประสานพร้อมกัน ชายหนุ่มสองคนหันมามองหน้ากันอย่างไม่สบอารมณ์

“กลับไปเถอะค่ะ..ทั้งสองคนนั่นแหละ” เพชรกล้าเหลือบไปยังโต๊ะหินอ่อนที่มีน้ำรินฟุบหลับอย่างหมดสภาพ ก็พอเดาอาการออก “น้องสาวฉันต้องการพักผ่อน...อย่างมากทีเดียว”





คืนนั้น ก่อนเปลือกตาบางจะปิดสนิทลงด้วยพิษไข้ ภาพที่ฉายชัดขึ้นในห้วงคำนึงนอกเหนือไปจากภาพพี่สาวคนเก่งกำลังบิดผ้าขนหนูในกะลังมังข้างที่นอนขึ้นซับหน้าผาก และเนื้อตัวให้เพื่อลดอุณหภูมิกาย ภาพของเธอกับชายแปลกหน้าที่ยังเป็นปริศนาในความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวก็ปรากฏขึ้นแทนที่

เสียงฟ้าร้องคำรามน่ากลัว สายแสงบนนภาแลบแปลบปลาบน่าหวาดเสียว เนื้อตัวเปียกชุ่มไปด้วยหยาดพิรุณ ขวากหนามมากมายในป่าสมุนไพรเกี่ยวกระหวัดกายเนื้อ หนทางมืดมนไม่มีแม้แสงจันทร์ช่วยสองทาง ทว่าแสงประดิษฐ์จากไฟฉายกระบอกนั้น..มือหนาอุ่น..ลำแขนแข็งแรงที่คอยประคองร่างของหญิงสาวให้ทรงตัวและก้าวเดินต่อไปได้ สัมผัสไออุ่นจากผิวกายของเขาทำให้ความหวาดกลัวภยันตรายในจิตใจของน้ำรินแห้งเหือดไปกว่าครึ่ง เสียงกระซิบข้างหูที่คอยปลอบประโลม ให้กำลังใจว่าอีกไม่นาน จะได้พบทางออก และกลับสู่บ้านดินอันอบอุ่น ปลอดภัย ดังเดิม ประหลาดนัก..กลิ่นไอดิน พื้นหญ้าในยามนั้นช่างหอมหวนชื่นใจแปลกไปจากเดิม เมื่อมีเขาเคียงข้าง

น่าแปลก..ทั้งที่ยังไม่รู้จักดีว่าเธอเป็นใคร..เพียงแค่คิดว่ามีความเกี่ยวข้องกับเพชรกล้าเท่านั้น เขาก็แสดงน้ำใจให้เธอได้ถึงขนาดนี้...นั่นยิ่งเป็นเครื่องยืนยันชัดเจน..ความสัมพันธ์ระหว่างาชายหนุ่มกับพี่สาวของเธอต้องไม่..ธรรมดา!

“ไม่ต้องกลัวนะ ผมอยู่ใกล้คุณแค่นี้ คุณต้องปลอดภัย” เสียงปลอบประโลมดังขึ้นในห้วงคำนึง มือหนากระชับข้อมือเธอแน่นหนา..มั่นคง

“แย่จัง..เสียเที่ยวนายจริงๆ..มากี่ครั้งก็ไม่เจอเพชร แถมวันนี้ยังต้องมาลำบากกับความเซ่อของฉันอีก”

ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจ และเพิ่งความสงสัยขึ้นไปอีกทับทวี

“วันนี้ผมไม่ได้หวังว่าจะได้เจอเพชร”

น้ำเสียงเขาเศร้าลงไปมาก จนน่าใจหาย

“ผมพยายามติดต่อเธอหลายครั้ง แต่เธอก็จงใจตัดขาดการติดต่อกับผมทุกครั้งไป”

“ตอนเช้าโทรไป..เธอก็ตัดสาย”

น้ำรินอยากจะเอ่ยถามข้อข้องใจ หากก็เลือกที่จะเงียบฟัง..ด้วยคิดว่าเขาคงจะอยากระบายอะไรออกมาด้วยตัวเองมากกว่า

“มาวันนี้..แค่อยากจะกลับมาหาบรรยากาศเก่าๆ..วันคืนในสวนสมุนไพรแห่งนี้”

เขาเงียบไปอีกแล้ว เสียงเศร้าลงถนัดหู แต่ก็ยังคุมไว้ไม่ให้สั่นเครือ น้ำรินเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเล็กรีคู่นั้น ก็พบแสงสะท้อนวาววาม หากก็ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลริน

“สวนนี้คงตายไปแล้วจริงๆ ตายไปด้วยความตั้งใจของเพชร..ไม่ใช่สิ..ต้องพูดว่าด้วยความใจร้ายของเพชรถึงจะถูก”

“นายพูดเรื่องอะไร..ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย”

“สวนนี้เคยสดใส..สมุนไพรผลิบานเต็มป่า กลิ่นหอมขจรขจาย...ความสวยงามมีรอบด้าน ความอบอุ่นไม่เคยจางหายไป”

ยิ่งฟังยิ่งงงไปกันใหญ่ ก็เห็นๆอยู่ว่าตอนนี้ออกจะรกร้าง ต้นไม้บางต้นเหลือแต่กิ่งหักๆ แถมตอนมืดๆยิ่งน่ากลัวจะตายชัก..

เหมือนเขาจะได้ยินคำถามมากมายในหัวของเธอ จึงไขข้อข้องใจให้กระจ่างว่า.

“เพชรตั้งใจทำลายมัน..ปิดตายสวนนี้ให้มันรกร้างตลอดกาล!”

เสียงเขาแผ่วลงทีละน้อย ภาพในไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาค่อยๆเลือนหาย และความอ่อนล้า สูญสิ้นพลังงานก็ทำให้นักเขียนสาวเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับความสงสัยที่ยังเต็มคับอก..รอวันคลี่คลายในอีกไม่นานนับจากวันนี้







“นะ..เพชรน้า ให้พู่กันติดรถไปด้วยคนเถอะ”

เสียงหวานหยด ออดอ้อนอยู่นอกประตูรถเก๋งที่เตรียมพร้อมออกจากที่จอด คนขับสาวหน้าตาพิมพ์เดียวกันขมวดคิ้วมุ่น ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายกับเด็กหัวรั้น เพชรกล้ากดปุ่มเลื่อนกระจกลง ยื่นหน้าออกไปก่อนเอ่ย..

“ไม่ก็ไม่สิยัยน้ำ..เป็นไข้อยู่จะไปได้ยังไงกัน..หือ” จิตแพทย์สาวพยายามทำเสียงให้จริงจัง และเด็ดขาด แต่ความช่างตื๊อวิชามารของน้องสาวจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เธอเริ่มไม่แน่ใจตัวเองนัก

“นี่ จับๆๆ ตัวหายร้อนหมดแล้ว จมูกก็หายแสบ ดีขึ้นตั้งเยอะ” เอ่ยเสียงใสทำปากยู่น่ารัก พลางคว้ามือพี่สาวที่จับพวงมาลัยรถ มาคลำหน้าผากตัวเอง ความร้อนจากเมื่อคืนทุเลาลงไปเยอะอย่างที่น้ำรินบอกจริงๆ เพชรกล้ารีบหดมือกลับทันที เมื่อน้องสาวทำท่าจะดึงไปพิสูจน์ปริมาณน้ำมูกที่ปลายจมูก

“ถึงงั้นก็เถอะ ออกไปข้างนอกอากาศเปลี่ยน เดี๋ยวก็กำเริบใหม่ อยู่บ้านน่ะดีแล้วเรา”

น้ำรินรีบสั่นหัวดิก ยืนกรานคำเดิม

“ลืมไปแล้วหรือไง ว่าเพชรคือนางเอกนิยายของพู่กัน พู่กันก็ต้องใกล้ชิดติดตามกิจวัตรประจำวันเพชรอย่างดี..ให้เค้าไปนะๆ”

เห็นท่าทางติดหนึบไม่ไปไหนของน้องสาวแล้วเพชรกล้าเริ่มอ่อนแรง มือตุ๊กแกของน้ำรินเกาะแน่นอยู่ที่ขอบกระจก

“พูดยังไง เธอก็จะไปให้ได้ใช่ไหมนี่”

“ก็แน่ล่ะ รู้แล้วก็ปลดล็อกเสียซี จะได้ออกเดินทางกันซะที” น้ำรินทำเสียงอ่อนเสียงหวาน ที่ฟังดูขึ้นจมูกหน่อยตามประสาคนหวัดยังไม่หายสนิทดี

“น่า..พู่กันมีรางวัลสำหรับน้ำใจงามๆให้เพชรด้วยนะ” ว่าพลางก้มลงหยิบตะกร้าปิ๊กนิกขึ้นโชว์ยิ้มร่า “นี่ไง..อาหารมื้อเที่ยงของพวกเรา”

เพชรกล้าคลี่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดู แกมหมั่นไส้นิดๆ กับความช่างเอาใจของน้องสาว น้ำรินมีวิชามารสารพัด ชนิดหาตัวจับยากทุกครั้งที่ต้องการให้ใครมาตามใจตน..อย่างในครั้งนี้ เธอก็ต้องเป็นฝ่ายยอมจำนน ให้น้องสาวตัวดีติดรถไปโรงพยาบาลด้วยจนได้



รถเก๋งญี่ปุ่นคันเก่าเคลื่อนตัวช้าลง กระทั่งหยุดนิ่งอยู่กับที่ เมื่อสัญญาณไฟข้างหน้าสี่แยกเปลี่ยนเป็นสีแดงชัดเจน บรรยากาศนอกรถแน่นขนัดไปด้วยยานพาหนะหลายยี่ห้อ เสียงนกหวีดจากตำรวจจราจรดังอยู่ไม่ไกล มุมซ้ายถัดจากป้อมตำรวจชุลมุนด้วยการตรวจจับปรับเมา ของกระบวนการยุติธรรมตามแบบฉบับยุคนี้ ภายนอกอาจดูวุ่นวาย ขมุกขะมัวไปด้วยมลภาวะ หากในรถกลับเงียบกริบ ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของแต่ละคน..เพชรกล้าไม่มีทางเปิดเครื่องเสียงใดๆรบกวนสมาธิการคิดแผนงานประจำวันในหัวโดยเด็ดขาด..ทำให้น้ำรินได้แต่นั่งเซ็งมองทะลุกระจกออกไปอย่างไร้จุดหมาย

เด็กขายพวงมาลัยเดินผ่านหน้ารถไป หลังจากยืนชะเง้อจ้องสองสาวในรถอยู่นาน ก็สองฝาแฝดคู่นี่เหมือนกันเสียจนหาข้อแตกต่างบนใบหน้าไม่เจอ ถ้าไม่พิจารณาจากองค์ประกอบอื่น เช่น การแต่งตัวซึ่งคนนั่งข้างๆออกเปรี้ยวเก๋ ส่วนอีกคนที่ขับรถออกเรียบร้อยมีระดับน่าเกรงขาม เพชรกล้าเหลือบมองพวงมาลัยที่ยังสดใหม่แขวนอยู่ในรถ แล้วหันกลับไปยิ้มให้เด็กคนนั้นอย่างจะบอกว่าเสียดาย..ถ้าไม่มีอยู่เดิมก็คงช่วยซื้อไปแล้ว

“เมื่อวานเกิดเรื่องอะไรเหรอเพชร พู่กันมึนๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนจะมีคนต่อยกัน”

น้ำรินเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ เมื่อความข้องใจบางอย่างผุดขึ้นมาในความคิด

“ฉันก็ไม่รู้” จิตแพทย์สาวตอบสั้นง่าย..และนั่งอย่างไม่มีอารมณ์เคลือบแฝง จนน้ำรินต้องฟึดฟัด

“คนทะเลาะกัน..เพชรไม่อยากจะรู้เลยหรือ ว่ามันเรื่องอะไร ได้ยินเสียงเหมือนจะดังใช่เล่น”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด..สถานการณ์แบบนั้น ต้นเหตุคงเป็นเธอนั่นแหละน้ำ” เพชรกล้าเอ่ยเนือยๆ อย่างไม่อยากสนใจเจรจาในหัวข้อนี้เท่าใดนัก

“ว่าไงนะ..แล้วเกี่ยวอะไรกับพู่กันด้วยล่ะ” น้ำรินโพล่งถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นข้างหู บทสนทนาจึงถูกดึงความสนใจไปกะทันหัน

“เค้าบีบทำไมน่ะเพชร..หนวกหู”

เพชรกล้าหันไปมองลอดกระจกด้านข้าง โดยไม่สนใจคำถามของน้องสาว พบรถเบนซ์สีขาวใหม่เอี่ยมคันคุ้นตาจอดนิ่งอยู่อยู่ใกล้ๆกัน กระจกรถยนต์คันใหม่เลื่อนลง จิตแพทย์สาวเลื่อนกระจกตัวเองลงบ้าง ใบหน้าจิ้มลิ้มของหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นข้างที่นั่งคนขับ ซึ่งพอดีติดกับฝั่งที่เธอนั่งอยู่ คิ้วเข้มเรียวขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ใบหน้าตึงเกร็งขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“สวัสดีครับเพชร ไปทำงานพร้อมกันเลยนะ” เสียงทุ้มนุ่มของชายคนหนึ่งดังขึ้นแทรกบรรยากาศชวนอึดอัด ระหว่างสองสาว หนุ่มคนนั้นก้มหัวลงเคียงพวงมาลัย เพื่อให้พ้นจากการบังตาของหญิงสาวร่างบางที่นั่งมาด้วย และเพื่อได้ทักทายกับเจ้าของรถญี่ปุ่นด้านซ้ายมืออย่างถนัด

“สวัสดีค่ะริศ” เพชรกล้ายิ้มรับคำทักทายของชายหนุ่ม เมื่อเบนสายตาออกจากหญิงสาวข้างคนขับไปได้ สีหน้าของจิตแพทย์สาวจึงค่อยผ่อนคลายลง

“ใครน่ะเพชร” น้ำรินถามขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างเคลื่อนรถออกเดินทางต่อ เมื่อสัญญาณจราจรเปิดทางให้

“เพื่อนร่วมงานน่ะ..จบเฉพาะทางมาด้วยกัน”

“อะไร..ยายนั่นน่ะนะเป็นหมอ..หน้าตาท่าทางไม่ให้เล้ย” น้ำรินทำเสียงสูงอย่างไม่เชื่อ เพชรกล้าจึงรีบแก้

“ฉันหมายถึงผู้ชาย ที่ทักฉันเมื่อกี้นี้..เขาชื่อวริศ”

“ไม่ใช่...พู่กันหมายถึงยัยผู้หญิงที่นั่งข้างคนขับน่ะ..คนอะไรไม่รู้ หน้าหงิกใส่เพชรยังไม่พอ พู่กันยิ้มให้ยังเชิดใส่ทำตาค้อนเฉยเลย”

“คนนั้นน้องสาววริศ..ชื่อนิตา”

“น้องสาว!..ถ้าไม่บอกให้รู้ พู่กันคิดว่าแม่นั่นเป็นแฟนคุณหมอหน้าหล่อคนนั้นไปแล้ว..ก็ดูดิ ทำหน้าหยั่งกะหึงหวง ไม่อยากให้เพชรคุยกับพี่ชายเค้าอย่างนั้นแหละ” น้ำรินเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “ดูเหมือนเค้าไม่ค่อยชอบหน้าเพชรเท่าไหร่เลย”

มีเพียงความเงียบแทนคำตอบ เพชรกล้าเหยียบคันเร่งแรงขึ้น มุ่งหน้าไปตามเส้นทางบนท้องถนนต่อไป แผลเป็นในใจถูกสะกิดขึ้นอีกครั้ง!



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ค. 2555, 16:29:27 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ค. 2555, 16:29:27 น.

จำนวนการเข้าชม : 1343





<< บทที่ ๔ ฝนอุ่น   เจอกันในเล่ม >>
หมีสีชมพู 26 ก.ค. 2555, 18:29:36 น.
น้องสาวจริงป่ะเนี่ย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account