ลมรักวาเลนไทน์
ในความเหมือน..มีความแตกต่าง ในความแข็งแกร่ง..มีความเยือกเย็น ในความพริ้วพราย..มีความอ่อนแอ แต่สุดท้ายระหว่าง "เพชรกล้า" กับ "น้ำริน" ก็มีความเป็นหนึ่งเดียว

"ความรัก"ที่ดี" จะเกิดขึ้นต่อเมื่อจิตใจคุณถูกฝึกให้มีคุณภาพดีพอจะคู่ควรเท่านั้น
ไม่ใช่ได้มา ในขณะที่กำลังเพลิดเพลิน "หลงทาง"อยู่กับความเหงาจนไม่มีแสงสว่างพอของใจที่จะลืมตาตื่นขึ้นพบคนดีจริงๆสักคน
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๔ ฝนอุ่น

เวลาล่วงเลยไปเกือบสี่ชั่วโมงเต็ม แสงแดดยามบ่ายเริ่มจัดจ้า น้ำรินวางสมุดบันทึกที่เสียบปากกาไว้บนหน้าปกลงบนเสื่อข้างกาย ยืดตัว เหยียดแขนขาไปจนสุดผ่อนคลายความเมื่อยล้า จากการนั่งขีดเขียนพล็อตนิยายเรื่องใหม่ที่อาศัยสิ่งแวดล้อมรอบตัวในบ้านกลางสวนเป็นแรงบันดาลใจ หญิงสาวเพลิดเพลินอยู่กับโปรเจคใหม่จนลืมกระทั่งอาหารกลางวันที่เธอไม่เคยขาดตกบกพร่อง แม้ท้องไส้จะร้องแทบแย่ แต่เวลานี้ความง่วงงุน อ่อนเพลียเอาชนะสิ้นทุกอย่าง นั่งเหยียดตัวตรงไม่ทันไร เธอก็ฝืนสังขารไม่ไหว เอนหลังลงนอนแผ่กับเสื่อผืนนั้นชนิดแขนขาไปคนละทาง หมดสภาพนักเขียนมาดดีไปโดยปริยาย

“ ฮึ..สมน้ำหน้า ซ่าดีนักนะไอ้คุณทัศน์ เจอเพชรกล้าหน้านิ่งเข้าให้ คงจ๋อยไปหลายวัน ฮะๆ” น้ำรินรำพึงกับตัวเองเบาๆ พลางหัวเราะสะใจคิกคัก..หลังจากได้ฟังเรื่องราวที่พี่สาวฝาแฝดของเธอไปส่งต้นฉบับให้เมื่อวานนี้ หญิงสาวก็นอนขำค้างไปเกือบทั้งคืน

“สมัยนี้เค้าส่งต้นฉบับกันทางอีเมลล์ทั้งนั้น..เธอนี่ฝังใจอะไรไม่เข้าเรื่องเลยน้ำ ฉันต้องไปนั่งงมเข็มในลาดพร้าวเกือบทั้งวัน เสียเวลาทำมาหากินจริงๆ”

แทนที่จะบ่นเรื่องคนกวนประสาทอย่างทัศน์ เพชรกล้ากลับเลือกที่จะสนใจเรื่องการเดินทางที่ยุ่งยากเสียมากกว่า พี่สาวเธอเป็นอย่งนี้...น้อยคนนักจะทำให้เพชรกล้าไม่ชอบขี้หน้าหรือถึงขั้นเกลียดจนต้องระบายออกมาให้ใคร และก็แน่นอนว่า..บก.ทัศน์ คงยังพอรับมือไหวสำหรับหญิงสาว

ส่วนเรื่องการที่ต้องเดินทางลำบากไปส่งต้นฉบับถึงสำนักพิมพ์ ทั้งที่โลกไซเบอณืก็สุดแสนจะเอื้ออำนวยควมสะดวกรวดเร็วให้ได้แทบทุกอย่าง นั่นก็เป็นเพราะ น้ำรินเคยโดนแฮกเกอร์มือดีจารกรรมงานเขียนระหว่างการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์เมื่อสามสี่ปีกอ่น หลังจากนั้นเธอจึงเข็ดขยาดสังคมในอินเทอร์เนตไปอีกนาน อารมณ์เดียวกับผู้ประสบภัยสึนามิ ที่ขวัญผวาลงลึกถึงจิตวิญญาณอย่างไรอย่างนั้น

เกือบเคลิ้มหลับ..ลมพัดแรงในวูบหนึ่งได้หอบเอาความร้อนของสายลมและแสงแดดมาพร้อมกับใบใผ่สีเหลืองแห้ง ร่อนลงที่ปลายจมูกเชิดรั้นของนักเขียนสาว สิ่งแปลกปลอมทำให้น้ำรินย่นจมูกฟุตฟิต ยกมือข้งหนึ่งขึ้นเตรียมปัดป่ายมันออกไปเสียก่อนที่จะจามออกมา แต่ก่อนที่เธอจะจรดปลายนิ้วลงบนจมูก ก็มีมือดีของใครบางคนมาคว้าเอาใบไฝ่เจ้ากรรมออกไปเสียก่อน

ทันทีที่มือเปล่าคว้าน้ำเหลว ดวงตารีสวยจึงเบิกกว้าง กระพริบตาปริบๆจนแสงสว่างจากละอองแดดคลี่ขยายความคมชัดของใบหน้าผู้มาใหม่ ซึ่งยื่นเข้ามาประชิดกันเพียงไม่ถึงฝ่ามือ

“สวัสดีจ้ะ..สาวสวย” ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งผิวคล้ำเข้มเอ่ยทักอย่างคุ้นเคย เขายอบกายลงนั่งข้างหญิงสาว ใช้ปลายนิ้วชี้เขี่ยจมูกเธอเล่น มืออีกข้างหนึ่งก็ชูใบไผ่ให้ดูพร้อมยิ้มรื่น
"เหนื่อยบ้างมั้ยเนี่ยพี่ปาน มาไกลได้ทุกวันเชียว" น้ำรินเอ่ยทีเล่นทีจริง ในเวลาที่เธอต้องการความเงียบ เพื่อการปรับอารมณ์ให้เข้ากับงานเขียนเรื่องใหม่ หัวใจเจ้ากรรมมันก็ปฏิเสธการข้องเกี่ยวกับใครทุกที..แม้กระทั่งคนที่เธอรักก็ตาม

"พี่บอกเราแล้วนี่ ว่าทำไมถึงต้องมาหา" สหพลส่งสายตาเป็นประกายแบบหนุ่มขี้เล่นอารมณ์ดีมาให้อย่างรู้กัน น้ำรินทำหน้าเนือยๆกับมุขเดิม คำพูดเดิม ที่ตอนแรกฟังหัวใจพองโต แต่ตอนนี้ชักเริ่มรำคาญขึ้นมาตงิด

"เพราะ..คิดถึงๆๆๆๆๆๆ...พูดคำอื่นเป็นบ้างมั้ยคุณพี่"
"เอาน่า..ตอนนี้พี่พักงานประจำที่บริษัท ทำเฉพาะฟรีแลนซ์ พี่เลยมีฟรีไทม์เยอะหน่อย ถึงมีโอกาสมาหาเรา"


เขาทำเสียงออดอ้อน ทอดสายตาเว้าวอนอย่างมีชั้นเชิง “อีกอาทิตย์เดียวพี่ก็มาหาเราไม่ได้แล้ว งานรออยู่เพียบ เดี๋ยวก็ไม่มาให้เหม็นขี้หน้าแล่ว”

น้ำรินสบตาครีเอทีฟหนุ่มแทนการตอบโต้ใดๆ ในดวงตาคู่นั้นฉายแววขอบคุณในความเอาใจใส่ที่มีให้กันเยี่ยงคนรักที่ดีมาโดยตลอด เมื่อเวลาและโอกาสยังคงอำนวย หากแต่อีกความรู้สึกหนึ่งนั้นประหลาด หญิงสาวภาวนาให้ความรู้สึกที่แฝงอยู่ลึกๆนั้น..อย่าได้หมายถึงสะพานสู่ความเบื่อหน่ายในรักครั้งนี้เลย!

“โอเคคับ..ผมผิดเอง ต่อไปนี้จะไม่กวนคุณหญิงอีกแล้วคับผม” เขาเอ่ยรัวเร็วประหนึ่งว่ากลัวหญิงสาวตรงหน้าเสียเต็มประดา หน้าตาท่าทาง และน้ำเสียงที่เลียนแบบคนสำนึกผิดได้แนบเนียนเสียจนน่าเห็นใจระคนหมั่นไส้ ทำให้น้ำรินอดที่จะหัวเราะออกมาดังๆเหมือนทุกครั้งไม่ได้ อย่างไรเสีย..คนที่ทำให้เธออารมณ์ดีได้อย่างไม่มีเงื่อนไขก็คงมีแค่นายปานหน้าดำคนนี้คนเดียวเท่านั้นแหละ

“ยังไม่ได้กินอะไรใช่ไหมเนี่ยเรา..ดูซิหน้าซีด ตาโหล ปากห้อย เหมือนปอบหยิบเข้าไปทุกที” สหพลกล่าวดุติดตลก เมื่อเห็นแฟนสาวหัวเราะงอก่องอขิงจนเป็นที่พอใจแล้ว

“นี่แน่ะ..มาว่าเค้า ปอบหยิบที่ไหนจะสวยพริ้งขนาดนี้กัน” ว่าพลางตีแขนผอมยาวของเขาดังเผียะ ก่อนจะเอียงซ้ายเอียงขวา กระพริบตาวิ้งวั้งประกอบคำเยินยอตนเองว่าสวยขนาดไหน สหพลอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปหยิกแก้มหญิงสาวด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ย มาหยิกเค้าทำไม โน่นไปทำหน้าที่ได้แล้วเจ้าทหารผู้ต่ำต้อย” เอ่ยสั่งเสร็จสรรพก็ชี้ไปที่ต้นฝรั่งชูช่อออกผลเด่นสง่าอยู่ไม่ไกลจากที่นั่งกันอยู่ “ปีนขึ้นไปเก็บผลไม้ลูกนั้นมาให้เรากินเดี๋ยวนี้ หิวจะแย่” น้ำรินพูดติดตลกไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้คิดว่าครีเอทีฟหนุ่มจะกล้าวิ่งทะเล่อทะล่าปีนขึ้นต้นไม้อย่างลิงทโมนได้จริงๆ

“เฮ้ย! ไอ้พี่ปานบ้า บ้าดีเดือดแท้ๆเลย เดี๋ยวก็ได้ตกลงมาแข้งขาหัก”

ไม่ฟังคำทัดทานใดๆ สหพลเด็ดลูกฝรั่งมาได้สองลูกโตๆ ก่อนจะกระโดดลงจากต้นไม้ดังตุบ มองไกลๆ เหมือนเด็กโข่งตัวดำผอมเก้งก้างทำตัวไม่สมวัยคนหนึ่ง

“พี่สาวพู่กันเป็นจิตแพทย์นะ ไม่ใช่ศัลยแพทย์ จะได้ต่อแขนต่อขาคุณพี่ได้เมื่อเกิดอุบัติเหตุน่ะ” น้ำรินเอ็ดแฟนหนุ่ม สหพลมักทำตัวบ้าพลังจนหญิงสาวต้องเป็นห่วงเสมอๆ

“อย่าบ่นเป็นยายแก่เลยนะแม่นาง นั่งลง..แล้วกินซะ”

นักเขียนตัวแสบขยับปากจะต่อว่าอะไรอีก หากก็ต้องหยุดลงแค่นั้น ก่อนจะรับผลไม้สีเขียวสุกลูกนั้นมาถือไว้ และนั่งบนเสื่อที่ปูลาดบนหญ้าแห้งแต่โดยดี..เพราะสายตาบังคับแกมเจ้าเล่ห์ของคนรักตอนนี้ชักไม่น่าไว้วางใจ..ว่าถ้าหากเธอยังขืนพูดมากไม่หยุด อาจจะโดนเขาหยุดด้วยปากต่อปาก!



“พู่กันอยากเข้าไปดูในสวนสมุนไพรด้านหลังนี่จัง” เมื่อท้องอิ่ม สมองจึงโลดแล่น ออกอาการอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาอีกครั้ง น้ำรินเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ปากก็พูดให้สหพลฟัง ในมือก็ถือซากฝรั่งที่มีแต่เม็ดกับเนื้อขาวๆเหมือนรอยหนูแทะ แต่ดวงตากลับกวาดไปจับจ้องอยู่ที่สวนไม้รกร้าง น่าค้นหาด้านหลัง ครีเอทีฟหนุ่มส่ายหน้าเหนื่อยใจกับความซุกซนไม่เข้าเรื่องของแฟนสาว

“จะเข้าไปทำไม ข้างในนั้นน่ะ พี่ว่าคงมีลวดมีหนาม งูเงี้ยงเขี้ยวขอเยอะน่าดูล่ะ รกออกขนาดนั้น"

“พู่กันว่าข้างในนั้นต้องมีอะไรน่าสนใจพอที่จะมาใช้ในนิยายเรื่องใหม่ได้แน่ๆ ลางสังหรณ์มันบอกอย่างนั้น” น้ำเสียงจริงจัง ดวงตามุ่งมั่นลุกวาวของหญิงสาวทำให้สหพลต้องนิ่วหน้า เอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจแกมลำบากใจ

“นี่เราอยากเข้าไปจริงๆน่ะเหรอ” เขาลอบถอนใจยาว ก่อนเอ่ยเสียงอ่อย “จะเข้าไปยังไงกัน”

น้ำรินชะงักนิดหนึ่ง แล้วสอดส่ายหาลู่ทาง สักพัก สายตาก็หันมาจดจ้องอยู่ที่แฟนหนุ่มอย่างมีเลศนัย

“อย่าบอกนะว่า..” สหพลชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเป็นเชิงถาม น้ำรินพยักหน้าช้าๆแทนคำตอบ

ครีเอทีฟหนุ่มแทบร้องกรี๊ด

“งานเข้าอีกแล้วครับพี่น้อง!”

แม้จะยังอยู่ในช่วงฤดูกาลแห่งลมหนาวของเดือนกุมภาพันธ์ ทว่าบรรยากาศในสวนรกร้างที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมแปลกของสมุนไพรไทยหลายชนิดกลับอบอ้าว ลมมีบ้างที่พัดมาเป็นระลอกพอปลายไผ่กระดิกไหว หากก็มิใช่ลมหนาวเย็นแห้งกริบ ความร้อนของลมแดดยังคงพัดพาความชื้นสัมพัทธ์มาไม่ขาดสาย หยาดเหงื่อเกาะพราว ผุดพรายไปทั่วทั้งร่างของผู้มาเยือนทั้งสอง

ตลอดทางที่ลุยฝ่าเข้าไป โดยมีสหพลเป็นผู้นำทางกับท่อนไม้หน้าสามด้ามยาวที่พกติดไม้ติดมือเข้าไปเป็นเพื่อนนั้น เต็มไปด้วยกิ่งไม้แห้งเรี่ยรายตามทางเดิน ต้นไม้กิ่งเล็กที่ไร้ใบอย่างต้นพญาไร้ใบ บ้างมีหนามเล็กน้อย เกาะเกี่ยวเนื้อหนังให้เจ็บแสบพอประมาณ ดีที่สหพลคอยหักกิ่งไม้ที่ขวางทางเดินเหล่านั้น และคอยนำทางให้อย่างดี น้ำรินจึงไม่ค่อยลำบากหรือเกิดการบาดเจ็บจากดงไม้สมุนไพร ซึ่งกอปรด้วยไม้ไผ่กับไม้รวกเท่าใดนัก สภาพแมกไม้โดยรวมดูยังผลิดอกออกผล เพียงแต่รกชัด เหมือนไม่ได้ถากถางจัดแจงพื้นที่ให้เรียบร้อยเป็นสัดส่วน...เหมือนเจ้าของตั้งใจปล่อยทิ้งไว้อย่างไม่สนใจใยดี!


“ร้อนจะตาย เห็นไหมคุณหญิงพู่กัน” สหพลบ่นอุบเป็นคนแรก เมื่อได้พื้นที่ซึ่งโล่ง และหายใจสะดวกพอที่จะหยุดยืนพักขา ใต้ต้นไม้จำพวกรวกต้นหนึ่ง หากแต่น้ำรินกลับสีหน้าเริงรื่นผิดหูผิดตา แววตาเป็นประกายเหมือนได้เจอสิ่งแปลกใหม่

“เป็นผู้ชายประสาอะไรคะนี่ พู่กันยังไม่เห็นบ่นซักคำ” ว่าพลางเดินไปเด็ดใบไม้สมุนไพรกลิ่นหอมสดชื่นมาลองดม ตะไคร้หอมในอาณาเขตใกล้ๆกันส่งกลิ่นอบอวลเป็นที่คุ้นจมูก

“จ้า แม่คนเก่ง ถ้าปล่อยเรามาคนเดียวป่านนี้เลือดไหลซิบๆไปแล้ว ดูซิ หนามทั้งนั้น” ครีเอทีฟขี้บ่นกล่าวพลางชี้ไปที่ไม้ซึ่งไปด้วยขวากหนามน้อยใหญ่ ระเกะระกะบนพื้นหญ้าแห้ง ซึ่งรกร้าง เตี้ยเตียนบ้าง เป็นหย่อมๆ กิ่งไม้หลายแห่งยาวยื่นมากีดขวางเส้นทางเดินจนน่ารำคาญ

“ขอบพระคุณก็แล้วกันค่ะคุณบอดี้การ์ด” น้ำรินเอ่ยอย่างหมั่นไส้เล็กน้อย ก่อนจะมองไปโดยรอบอีกครั้ง “อุ้ย! นั่น.. เดี๋ยวเค้าขอเดินไปดูเถาวัลย์ยาวเฟื้อยตรงโน้นแป๊บนะ เหมือนในเรื่องเจนกับทาร์ซานเลย ว้าว!” ไม่พูาดพร่ำทำเพลงประการใด สาวเจ้าก็สืบเท้ายาวจากไป ทิ้งให้คนเบื้องหลังยืนงง พูดอะไรไม่ออก บอกไม่ถูกอยู่อย่างนั้น สหลยกมือเกาท้ายทองหน้าตารเหลอหลา

“คิดถูกคิดผิดฟะเนี่ย..เฮ้อ!”



เถาวัลย์โยงใยพันเกี่ยวอยู่ตรงหน้า นักเขียนสาวเหยียดสองมือออกไปคว้าเข้ามาใกล้ตัว แล้วโหนกระโจนไปมาเหมือนทาร์ซาน ดูไปดูมาเจ้าหล่อนก็ดูไม่ต่างจากลูกลิงตัวจ้อย ซุกซน พันธ์เดียวกันกับลิงทะโมนที่ปีนไปเก็บลูกฝรั่งเมื่อไม่นานมานี้เอง

น่าแปลก.. ยิ่งเดินลึกเข้ามา ถึงแม้จะมีความรก ความน่ากลัวอยู่เหมือนเดิม แต่อากาศกลับเย็นชื้นขึ้นเรื่อยๆ สีของพืชไม้ใบหญ้าก็ปรับเป็นโทนสีเขียวสดมากขึ้น หากไม้ไผ่ และรวกก็ยังมีมากมายเป็นส่วนใหญ่อยู่เหมือนเดิม

“โอ๊ะ! มดคันไฟตัวเบ้อเร่อเลยแฮะ กัดเจ็บเสียด้วย” หญิงสาวร้องเบาๆ พลางดีดมดตัวเบ้งกระเด็นออกจากปลายนิ้วหัวแม่เท้า เธอคิดผิดถนัดทีเดียว ที่อาจหาญใส่รองเท้าแตะเข้ามาเดินในที่แบบนี้ ไหนจะกิ่งหนาม ไหนจะแมลงหลากชนิด ต้องระวังตัวแจเลยทีเดียว

เดินมาไกลชักเมื่อย ปวดขึ้นมาจี๊ดๆตรงข้อเท้า น้ำรินหมดแรงอีกครั้งสำหรับวันนี้ นั่งยองกุมกอดเข่าแหงนหน้าสูดลมหายใจถี่ๆ มือจะวางแหมะลงกับพื้นหญ้า แต่ก็บังเอิญปัดป่ายไปโดนลูกอะไรบางอย่างบนไม้พุ่มข้างตัว หันไปก็พบพืชผลหน้าตาประหลาด ทว่าสีสันแดงสดใส ชวนให้อยากเด็ดมาแทะกินเสียเดี๋ยวนี้ หากคำเตือนของแฟนหนุ่มเมื่อครั้งไปเดินป่ากันที่เขาใหญ่ก็ลอยมา..

“ผลไม้สีสวยในป่า บางอย่างเป็นพิษ เด็ดมากินสุ่มสี่สุ่มห้า ถึงตายเชียวนะจะบอกให้”

วูบหนึ่งของความทรงจำ น้ำรินหดมือกลับโดยเร็ว เธอยังไม่อยากเอาชีวิตมาทิ้งไว้ในสวนบ้านดินของเพชรกล้าแบบนี้ มันไม่ได้คุ้มเอาเสียเลย

นั่งนวดข้อเท้าไปได้พักใหญ่ หันรีหันขวางก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าตัวเองนั่งจ๋องอยู่เพียงลำพังในป่าสมุนไพร

“พี่ปาน..พี่ปาน..พี่ปาน..” เมื่อนึกอะไรไม่ออกอย่างคนสมองทึบตัน จับต้นชนปลายไม่ถูก มาดักรออยู่ตรงหน้า น้ำรินก็ทำได้เพียงก้าวเท้าเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย พลางตะโกนเรียกชื่อคนรักให้เต็มเสียงที่สุด หวังได้รับการตอบกลับจากชายหนุ่ม และเห็นเขาปรากฏกายอยู่ใกล้ๆ ให้เธอได้อุ่นใจในไม่ช้า

แต่เหตุการณ์ไม่ได้ง่าย และเป็นไปตามที่เธอคาดคิด เมื่อมีเพียงความเงียบสงัด และแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ที่ริบหรี่ลงเรื่อยๆ อยู่เป็นเพื่อนเธอ..เพื่อนที่เธอไม่ต้องการ..และอยากผลักไสให้ไกลออกไปที่สุดในเวลานี้!

เมื่อเดินจนไม่รู้หนทางว่าจะไปทางไหนต่อดี อีกทั้งยังหมดสิ้นทั้งกำลังกายและกำลังใจ น้ำรินจึงยอมแพ้ทุกสรรพสิ่ง เอนกายยืนพิงพำนักอยู่ที่กอไผ่ต้นสูงชะลูดในมุมหนึ่งของสวนสมุนไพรลึกลับ กลิ่นหอมเหมือนยาจากธรรมชาติยังลอยอบอวล พอทำให้หญิงสาวสดชื่นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ทั้งที่คอยบอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ทำตัวเป็นคนอ่อนแออีก แต่น้ำรินก็ห้ามไม่ได้จริงๆในตอนนี้ นัยน์ตาทั้งคู่เริ่มชื้นแฉะ ทุกอย่างรอบกายเงียบสงัด หญิงสาวพยายามนิ่งสงบอย่างที่เพชรกล้าชอบทำจนเคยชิน เผื่อจะได้ความคิด..ปัญญามาจัดการกับปัญหาตรงหน้าได้บ้าง

เสียงน้ำไหลเอื่อยๆ กระทบโสตประสาทอยู่ไม่ไกล น้ำรินจึงยิ้มได้..อย่างน้อย..เวลานี้หากได้น้ำมาดับกระหายในลำคอแห้งผากก็คงจะดี นักเขียนสาวค่อยๆก้าวเดินตามเสียงที่ได้ยิน ยิ่งสาวเท้าเข้าไปๆ ความเย็นของละอองน้ำก็ทวีตัวมากขึ้นเท่านั้น แสงรำไรสีชมพูอมส้มจากท้องฟ้ายามก่อนพลบค่ำ สะท้อนภาพลำธารเล็กๆสายหนึ่งเบื้องหน้า ความเขียวขจีของพืชพรรณพุ่มเล็กๆเริ่มประปราย ความสดชื่นค่อยๆก่อตัว แม้เป็นแหล่งน้ำที่ไม่ได้ใหญ่มากมาย ทว่าความหิวกระหายของร่างกายในเวลานี้ก็ดึงดูดให้น้ำรินแทบวิ่งกระโจนเข้าใส่ เธอคุกเข่าลงบนพื้นหญ้าชื้นแฉะอย่างยอมจำนน วักน้ำขึ้นมาดื่มด้วยสองมือบาง

ความเย็นชื่นสดใสของน้ำบริสุทธิ์สะอาดอย่างที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน และอะไรๆคงจะดีกว่านี้ หากเมฆหมอกสีเทาดำจะไม่เกาะกลุ่มเป็นก้อนขยายขนาดมากขึ้น ก่อนจะโปรยปรายผลผลิตของธรรมชาติลงมาสู่พื้นดินห่าใหญ่ ฝนเทลงมาอย่างหนัก ไม่มีสัญญาณเตือน พายุลูกย่อมๆ ถูกนำพามาจากที่ใดไม่อาจรู้ เศษใบไม้ และฝุ่นบนพื้นดินปลิวว่อน บ้างกระเด็นเข้าลูกนัยน์ตาสุกใสของนักเขียนสาวผู้เคราะห์ร้าย

ความหนาวกาย ความเจ็บปวดจากบาดแผลถลอก ที่โดนกิ่งไม้มีหนามเกี่ยวกระหวัดระหว่างหลงทาง ไม่อาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บในจิตใจได้เลย





ความหวาดกลัวยิ่งทับโถมเข้าสู่จิตใจ เมื่อเสียงสวบสาบของใบไม้ดังขึ้นจากด้านหลัง ความเงียบที่มาพร้อมกับเสียงย่ำดินนั้น บอกน้ำรินว่าไม่มีทางเป็นสหพลไปได้ ไม่ใช่เขา เพราะถ้าเป็นเขาจะต้องมีเสียงขานเรียกชื่อเธอตั้งแต่เสียงฝีเท้ายังไม่มาถึงแล้ว

น้ำรินยืนนิ่งอยู่เพียงอึดใจ หญิงสาวไม่แม้แต่จะคิดหันหลังกลับไปมองการปรากฏตัวโดยไม่ได้รับเชิญของคนหรือสัตว์ใดๆทั้งสิ้น สัญชาตญาณการเอาตัวรอดที่มีมาแต่เกิด สั่งให้เธอออกวิ่งสุดแรงกำลังที่มี ไม่ฟังเสียงเรียกของใครเลยแม้แต่น้อย.. หญิงสาววิ่ง และวิ่งโดยไม่คิดชีวิต ขวากหนามบาดเนื้อเท่าไหร่เธอไม่รู้สึกรู้สาอีกต่อไปแล้ว รู้เพียงอย่างเดียวคือทำอย่างไรก็ได้ ให้ห่างไกลออกมาจากเสียงฝีเท้าประหลาดนั่นให้เร็วที่สุด

ความที่ไม่ดูไม่แลอะไรทั้งสิ้น ท่อนไม้ท่อนใหญ่ที่ล้มตัวลงขวางเส้นทางเบื้องหน้า จึงทำให้น้ำรินสะดุด ความเจ็บปลาบเกิดขึ้นที่หน้าแข้ง และเธอก็นึกไม่ออกเลยว่าใบหน้าจะเสียโฉมไปขนาดไหน หากคะมำล้มลงไปโดยที่ไม่มีมือหนาอุ่นของใครคนหนึ่งมาคว้าข้อมือเธอไว้เสียก่อน

“จะหนีไปตายหรือไงหือเพชร เราก็รู้นี่นาว่าทางข้างหน้ามันอันตราย ยิ่งในเวลาที่ฝนตกหนักแบบนี้” เสียงคุ้นหูดังขึ้นแข่งสายฝน “เราจะเกลียดจะโกรธพี่ยังไงก็ได้ แต่ช่วยดูแลตัวเองดีๆหน่อยได้ไหม”

ดวงหน้าหวานที่เปียกชุ่มไปด้วยหยดน้ำ พยายามทรงตัวยืนขึ้นโดยมีมือนนั้นคอยฉุดรั้งไว้ไม่ให้ล้ม หญิงสาวค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงให้เต็มตา ผิวขาวจัดตัดกับริมฝีปากสีแดง ทำให้ความทรงจำเมื่อสองสามวันก่อนของน้ำรินกลับคืนมา..เขาคือคนแปลกหน้าที่มาหาเพชรกล้าเมื่อวันนั้นเอง!

เสื้อยืดรัดรูปสีดำยาวถึงต้นสะโพก กับกางเกงขาสั้นสีขาวที่เรียกได้ว่าสั้นจริงจังเพียงคืบเดียวแบบที่สาวๆ สมัยใหม่ชอบใส่กัน ทำให้นชาญต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ บวกับแววตาที่ประหลาดออกไป ยิ่งทำให้ชายหนุ่มมั่นใจ..เขาทักคนผิดเป็นแน่!

“..คุณ..ไม่ใช่” น้ำเสียงที่ฟังดูห่างเหินผิดกับเมื่อครู่ทำให้น้ำรินขมวดคิ้วแปลกใจ

“นายรู้ได้ไงว่าฉันไม่ใช่เพชร” เมื่อสงสัยอะไรปากก็ถามไปอย่างนั้น สไตล์คนเปิดเผย

ผู้มาใหม่ไม่ตอบคำถามหญิงสาวทันที หากแต่เว้นจังหวะเพื่อมองดูเธออีกครั้งอย่างตรวจสอบ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สองขาถอยห่างออกมาจากเดิม มือหนาปลดปล่อยพันธนาการจากข้อมือนักเขียนสาว.. เพียงเท่านั้นก็พอจะทำให้น้ำรินรู้สึกหนาวๆร้อนๆ อุณหภูมิเริ่มเดือดขึ้นมาฉับพลัน..เธอบอกตัวเองวินาทีน้ำ..ฉันเกลียดสายตาดูถูกของนายที่สุด!

“เพชรไม่เคยแต่งตัว..แบบนี้..ท่าทาง..แววตา ก็ไม่ใช่แบบคุณ” นั่นคือเหตุผลที่เขามอบให้เธอ เหตุผล..ที่เธออยากจะทำให้ปากที่แดงอยู่แล้วของเขานั้นแดงฉานเลยทีเดียว

“นี่นายกำลังจะบอกว่าฉันแต่งตัวโป๊ แต่งตัวแย่นักหรือไง” แน่นอนว่าเธอไม่เคยเก็บอารมณ์ให้คุกรุ่นเล่นในอก

“คุณพูดเองนะ..ผมเปล่า” แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่ง สุขุม แต่สายตา และท่าทางของเขาช่างยั่วโมโหหญิงสาวนักเชียว

“นายเป็นอะไรกับเพชรกันแน่!” น้ำรินไพล่ถามไปถึงเรื่องที่ยังข้องใจ..ไม่เข้าใจจริงๆว่าถ้าอยากเจอพี่สาวเธอนัก ทำไมไม่รู้จักเลือกเวลามาเจอให้ตรงกันซักที เธอต้องเป็นฝ่ายรับหน้าแทนอยู่เรื่อย นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว

นชาญแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มซาฝนลงแล้ว หากแต่ความมืดเข้าครอบงำ ดีที่เขาเอาไฟฉายติดมือมาด้วย คำนวณสถานการณ์รอบกายแล้ว จึงตัดสินใจ..

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้..และผมก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าคุณเป็นใคร” เขาเอ่ยเสียงเรียบ ไร้ความรู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวแม้แต่น้อย “แต่ที่แน่ๆ คุณคงเกี่ยวข้อง และสำคัญกับเพชรไม่น้อย..ผมไม่อยากให้เพชรเสียใจ หากคุณเป็นอะไรไป”

“โถๆๆ พ่อพระ ฉันละซาบซึ้งแทนเพชรจริงๆ จู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามาเป็นห่วงน้องสาวตัวเอง”

แม้นชาญจะรู้สึกสะดุดในใจไม่น้อย ที่น้ำรินคิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเพชรกล้า แต่ความเป็นผู้ใหญ่ เขาจึงรู้ว่าเวลามืดค่ำกับสถานที่ไม่ปลอดภัยอย่างในนี้ เขาควรทำอะไรเป็นอันดับแรกก่อนที่จะคิดถึงเรื่องส่วนตัว

“เฮ้ย! ไอ้บ้า ปล่อยมือฉันเดี๋ยวนี้นะ”

เสียงน้ำรินดังแข่งกับสายพิรุณที่ซาลง ชายแปลกหน้าในสายตาเธอ ไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว นอกจากยึดข้อมือเธอไว้ให้มั่น แล้วออกเดินทางสู่สถานที่ปลอดภัย..



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.ค. 2555, 16:39:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.ค. 2555, 16:39:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1332





<< บทที่๓ งานจำแลง   บทที่ ๕ สะกิดรอย >>
mhengjhy 25 ก.ค. 2555, 16:57:00 น.
หืออออ แล้วพี่ปานไปไหนอ่ะ


ศิลาริน 25 ก.ค. 2555, 17:00:22 น.
@คุณmhengihy : เดี๋ยวจะเฉลยตอนต่อไปค่า^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account