เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่๒๗ ฉากสุดท้าย (ตอนจบ-ฉบับรีไรท์)
มุกดาประคองตัวอยู่ในน้ำได้ดีกว่าที่ชายหนุ่มคิดไว้แต่แรก เขาเองก็คล่องแคล่วแข็งแรงสมกับที่ออกปาก จึงไม่มีใครเป็นภาระให้ใครระหว่างเส้นทางมืดครึ้ม ในกระแสน้ำอันมีคลื่นซัดมาเป็นระลอก แต่ไม่หนักหน่วงเท่ากับน้ำในทะเล เสียงเรือหางยาวดังใกล้เข้ามาจากทิศเบื้องขวา กวินเพ่งมองผ่านหยดน้ำเกาะพราวติดปลายขนตา ชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนขึ้นจากเรือ โบกไม้โบกมือเป็นเชิงส่งสัญญาณมาทางเขา..มุกดาเพิ่งสังเกตว่า ตำรวจสองนายที่ยายคนนั้นอ้างถึง มองเผินๆก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเป็นตำรวจ เพราะปราศจากสัญลักษณ์หรือเครื่องแบบอย่างที่หล่อนคุ้นเคย
“เรารอดแล้วไข่มุก”
กวินตะโกนบอกแข่งกับเสียงเรือที่ใกล้เข้ามาด้วยความยินดี มุกดามีแรงว่ายน้ำให้เคลื่อนตัวออกไปได้เร็วขึ้น เมื่อนึกถึงเป้าหมายที่กำลังจะถึงในไม่ช้า
“คุณกวิน..คุณไข่มุก ทางนี้ครับ”
ผู้กองมิลินชะโงกหน้าลงมาจากเรือ พร้อมยื่นมือออกรอรับคนทั้งสองที่ว่ายน้ำใกล้เข้ามาทุกที
แล้วในที่สุด ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายก็ทำหน้าที่ได้สำเร็จบริบูรณ์ มุกดาขึ้นมานั่งหอบ ตัวเปียกชุ่ม ผมเผ้าลู่แนบติดศีรษะ หล่อนรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ไม่มีผิด
“ขอบคุณมากค่ะ..ว่าแต่”
หญิงสาวมองผู้กองมิลินกับเพื่อนของเขาด้วยสายตาคำถาม ส่วนกวินนั้นนั่งลงข้างหล่อน ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
“ผมเคยร่วมงานกับท่านตระการ คุณพ่อของคุณน่ะครับ แล้วก็สนิทกับมรกตพี่สาวของคุณมานาน”
มิลินบอกยิ้มๆ ก่อนแนะนำต่อ
“ผมชื่อมิลิน เพิ่งได้เบาะแสเรื่องค้ามนุษย์ของเสี่ยวิฑูรย์มาเร็วๆนี้เอง พอดีกับที่น้องเขียวรีบโทรมาบอก สงสัยว่าคุณจะเป็นเหยื่อรายล่าสุด ก็เลยรีบมาช่วย..ต้องขอบคุณแม่เล้าของเสี่ยวิฑูรย์ครับงานนี้ ทีแรกก็ไม่อยากเชื่อว่าแกจะยื่นมือมาช่วยเรา..แต่แล้วแกก็ช่วยจริงๆ ลำพังผมกับเพื่อน..เอ่อ หมวดวิลัน น่ะครับ” เขาหันไปทางเพื่อนร่วมงาน เห็นรายนั้นมองมุกดาอย่างไม่วางตา เลยเอื้อมมือไปตบบ่าอย่างนึกหมั่นไส้
“ลำพังเราสองคนอาจช่วยคุณไม่สำเร็จ ต้องขอบคุณ คุณกวิน เขาอาสาเข้าไปเอง ไม่กลัวอันตรายเลยนะครับ แล้วก็แม่เล้าคนนั้น..ไม่รู้ป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง..งานนี้ต้องยอมรับว่าหินครับ งานหินจริงๆ เล่นกับไอ้เสี่ยลอบจัดคนนี้”
“นั่นสิคะ ยายแกไม่ถูกเสี่ยวิฑูรย์เล่นงานแย่เลยหรือ”
สิ้นความสงสัยระคนห่วงใยของมุกดา เสียงปืนก็ดังลั่นมาจากเรือสินค้า พร้อมกับเสียงกรีดร้องของแม่เล้าผู้ใจดี คนทั้งสี่หันขวับไปเบื้องหลังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
มุกดาอุทานออกมาคนแรก
“คุณยายคนนั้น!”
ต่างคนต่างมองหน้ากัน แววตาบอกความเห็นในทิศทางเดียว ผู้กองมิลินทอดมองเรือลำที่ลอยเท้งเต้งอยู่ไกลๆด้วยความเศร้าสลด รู้สึกผิดอย่างยิ่ง ที่ไม่ได้ช่วยยายแหวนออกมาจากเงื้อมมือมัจจุราช..
รถเต่าคันเดิมค่อยๆเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่ ซึ่งในยามดึกสงัดเช่นนี้ ทางปลอดโล่งยิ่งกว่าช่วงกลางวัน อ้อมกอดแห่งขุนเขาเขียวครึ้ม ภายใต้รัตติกาลกำลังจะเลือนลับไป แต่ละคนต่างนั่งนิ่งเงียบ หลังจากดีอกดีใจกันยกใหญ่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
มรกตนั่งหลังพวงมาลัยอย่างไม่เป็นสุข หล่อนอยากลงไปช่วยน้องสาวอีกแรงก็ถูกผู้กองมิลินห้ามเสียงแข็ง ความที่นับถือเขาเป็นพี่ชายน่าเกรงขามคนหนึ่ง จึงต้องยอมทำตามคำสั่ง ทั้งที่ขัดใจตัวเองยิ่งนัก
พอเห็นน้องสาวกับเจ้านายตัวดีเดินหน้าตาเปียกโชกกลับมา ความตึงเครียดทั้งหมดก็หายวับไปในชั่วพริบตา หล่อนสวมกอดน้องเล็กทั้งที่เปียกแบบนั้นด้วยความโล่งใจ และแสนรัก เมื่อเห็นรอยยิ้มของกวิน ผู้อยู่เบื้องหลัง มรกตจึงมองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ความบาดหมางซึ่งเคยมี ลดทอนลงมาก จนแทบไม่มีเหลือ
“เสี่ยวิฑูรย์ถูกผมกับเพื่อนยิงปืนล่อให้ตามไปผิดทาง เราเลยมีโอกาสกลับมารวมตัวกันที่ท่าน้ำ แล้วพอดีเห็นยายแหวน แม่เล้าที่ทำงานกับเสี่ยเดินเข้ามา บอกว่าให้เราช่วยคุณไข่มุกหนีไปให้ได้ เพราะแกเพิ่งรู้ว่าคุณไข่มุกเป็นลูกสาวท่านตระการ คนที่แกรู้จักและนับถือ แกวางแผนให้พวกเราอ้อมไปเอาเรือหางยาวที่เตรียมไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินมารอรับคุณไข่มุกกับคุณกวินที่เรือ แกบอกว่าถ้าพาออกไปทางเดิมเสี่ยงเจอลูกน้องอีกเป็นสิบคนที่เสี่ยวิฑูรย์โทรเรียกให้มาปิดล้อมปากทางเอาไว้ พวกเราเกือบพลาด เพราะเสี่ยมันคงรู้ทัน ให้ลูกน้องวิ่งกลับมาถอนสมอเรือ ออกเดินทางส่งสินค้าทันที ยายแหวนแกคงหาทางจัดการกับคนขับวิธีไหนไม่ทราบ แต่แกก็ปลดกุญแจ เปิดช่องทางหนีให้คุณไข่มุกกับคุณกวินจนได้ โชคดีเหลือเกินที่ทั้งสองคนว่ายน้ำเป็น ไม่เช่นนั้นคงไม่ทันการ และรอดปลอดภัยกันมาแบบนี้หรอกครับ...ต้องขอบคุณน้ำใจยายแหวนที่ แกยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเรา”
ผู้กองมิลินเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้หนุ่มสาวทั้งสองคนรอดชีวิตกลับมา แววตาเขาเศร้าสลด เมื่อเล่าต่อว่า..ยายแหวน ถูกเสี่ยวิฑูรย์ยิงตายบนเรือนั้นเสียแล้ว
“น่าเสียดาย..ถ้ารอดกลับมาด้วย ฉันคงมีโอกาสได้ตอบแทนน้ำใจแกบ้าง”
มรกตพูดอะไรไม่ออกมากไปกว่านั้น
ลลิตพรรณก็เป็นอีกคนที่ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น เมื่อเห็นเพื่อนรักกลับมามีอวัยวะครบสามสิบสองเหมือนเก่า
แต่พอขึ้นนั่งเบาะหลังของรถ สารถีเดินเครื่องออกมาได้ไม่กี่นาที หล่อนก็คอพับหลับผล็อยไปด้วยความอ่อนเพลีย
ผู้กองมิลินขอแยกตัวไปนั่งรถอีกคันของเพื่อนร่วมงาน เพื่อจะได้ไม่เบียดเสียดกันเกินไป ผู้หมวดวิลันอาสาขับรถระวังลู่ทางอยู่เบื้องหลัง เขาให้เหตุผลว่า เผื่อเสี่ยวิฑูรย์ส่งลูกน้องมาตามราวีอีก จะได้ช่วยเหลือทัน
มรกตเหลือบมองเพื่อนสนิทน้องสาว แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ ขามาหล่อนมีผู้กองมิลันนั่งคุยเป็นเพื่อนตลอดทาง แต่พอขากลับเปลี่ยนเป็นลลิตพรรณมานั่งคู่หล่อนแทน หญิงสาวเลยมีสมาธิบังคับพวงมาลัยอย่างเต็มที่ เพราะคนข้างกายหลับปุ๋ย ไม่ส่งเสียงรบกวนสักแอะ
ส่วนอีกสองคนเบาะหลัง หล่อนไม่อยากแทรกกลางเป็นก้างชิ้นโตของคู่รักที่เริ่มปรับความเข้าใจกันได้ จึงขอขับรถต่อไปเงียบๆคนเดียว เปิดโอกาสให้น้องสาวและว่าที่น้องเขยได้พูดคุยกันเต็มที่
กวินนั่งทอดมองความมืดภายนอกหน้าต่าง เขากำลังใช้ความคิดทบทวนอย่างหนัก เกี่ยวกับเรื่องโปสการ์ดใบนั้น มุกดายืนยันว่าหล่อนไม่เคยเห็นกระดาษสีสวยใบนั้น ไม่เคยลงมือเขียน แล้วก็ไม่เคยรู้จักฝรั่งตาน้ำข้าวหุ่นนายแบบที่ชื่อไมเคิล
เขาดูออกจากแววตา และน้ำเสียง ว่าหล่อนพูดจริง ไม่มีเหตุผลอันใดจะต้องโกหกกันอีกในเวลานี้ กวินจึงต้องมาคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา..ว่าใครเป็นเจ้าของโปสการ์ดใบนั้น และอาจหาญปลอมลายมือเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับเขาอย่างจงใจ
เมื่อพยายามนึกย้อนไปถึงวันวาน ความเข้าใจก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในที่สุด
วันนั้น แพรวาไปรอเขาที่บริษัท และโทรมาบอก กวินจึงสั่งให้พนักงานพาหล่อนขึ้นไปรอเขาในห้องทำงาน..เขาวางแฟ้มเอกสารของมุกดาไว้ในนั้น ตอนกลางคืนชายหนุ่มย้อนกลับไปที่ห้องทำงาน เห็นนิตยสารเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาจำได้ว่าตัวเองหยิบขึ้นมาแล้วหัวเราะขัน คิดว่าแม่บ้านคงมาแอบตัดรูปนายแบบในหน้างานแฟชั่นต่างประเทศออกไป จนกระดาษแหว่งวิ่น
ที่ไหนได้ เขาเพิ่งเข้าใจ..แพรวานั่นเอง เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด ทั้งรูปผู้ชายคนนั้น และลายมือพิมพ์เดียวกับน้องสาว..ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนทำได้ลงคอ!
“พี่วินว่า..คุณกฤษดาคือนายพัลลภกลับชาติมาเกิดรึเปล่าคะ”
มุกดากระซิบถามเสียงเล็กใส กวินจึงได้หลุดออกมาจากภวังค์อันแสนเจ็บแค้น เขาก้มลงมองหล่อน แล้วหัวเราะเบาๆ
“พี่คิดอีกอย่างนึงนะ..นายพัลลภไม่มีทางมาเกิดเป็นใครได้หรอก ในชาตินี้”
สายตาคำถามของหล่อน ทำให้เขาต้องบอกความเห็นของตนออกไป
“เจตนาฆ่า และลงมือฆ่าคนได้ถึงขนาดนั้น บาปกรรมคงไม่ปล่อยให้เขากลับมาเกิดเป็นมนุษย์เร็วนักหรอก”
“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ..ใครฆ่าใคร ทำไมไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์?”
มรกตถามแทรกขึ้นมาด้วยความสนใจ
หนุ่มสาวสองคนประสานสายตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมเฉลย มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังกลบเกลื่อนขึ้นมาแทนคำตอบ
คุณตระการทอดมองหลานสาวที่ก้มลงกราบแทบเท้าด้วยสายตาของข้าราชการวัยเกษียณ ผู้ผ่านโลกมามากแล้ว เขาเอื้อมมือลงไปลูบศีรษะแพรวาเบาๆ รู้สึกเวทนาหล่อนจับใจ เด็กน้อยผู้ที่เขาเคยอุ้มชู อุปการะมาตั้งแต่ยังเล็ก เกิดมาในตระกูลเศรษฐีเก่า แต่ก็ต้องอาภัพพ่อแม่มาด่วนฆ่าตัวตาย ไม่ทันได้เห็นหน้าคร่าตานอกจากในรูปถ่าย เอามาฝากเลี้ยงไว้กับภรรยาของเขา ก็รู้ดีว่าหล่อนไม่ได้มีความสุข ต้องตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นรอบด้าน พยายามดิ้นรนสร้างตัวให้เป็นคนสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาเคยชื่นชมกับความสำเร็จของหลานสาวอยู่หลายครั้งหลายหน แพรวาเป็นคนเก่ง อดทน และทะเยอทะยาน หล่อนเข้มแข็งมากกว่าลูกสาวของเขาทุกคน โดยเฉพาะมุกดา รายนั้นยิ่งอ่อนแอเป็นตรงกันข้าม ชายสูงวัยเคยไว้ใจ ว่าหล่อนจะสร้างสังคมให้ดีต่อไปในอนาคต ไม่คิดเลยว่า เพียงความรักที่มีต่อผู้ชายคนเดียว จะทำให้ชีวิตหล่อนล้มเหลว และพังทลายถึงขนาดนี้
หลังจากได้ฟังเรื่องราว การกระทำอันผิดพลาดใหญ่หลวงที่หลานสาวได้ก่อขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ คุณตระการถึงได้รู้ว่า แท้จริงความเข้มแข็งเป็นเพียงเปลือกนอก ที่ห่อหุ้มความเปราะบางของจิตใจเอาไว้เท่านั้นเอง
เขาอยากจะโกรธ อยากจะต่อว่าหล่อนต่างๆนานา แต่ก็ทำไม่ลง แพรวามาหาเขาที่บ้านพักปราณบุรีตั้งแต่เช้าตรู่ มาทั้งน้ำตานองหน้า เขารู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องที่ทำให้หล่อนเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด มิเช่นนั้นผู้หญิงคนนี้จะไม่มีทางบีบน้ำตาให้ใครเห็น แม้แต่เขาเอง ก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นน้ำตาของหลานสาวบ่อยนัก
นับว่าหล่อนกล้าหาญที่ยอมรับผิด และมาสารภาพเรื่องราวทั้งหมดกับเขา คุณตระการเอ่ยด้วยน้ำเสียงปราณีแบบเดียวกับแววตา ขณะที่หลานสาวยังคงสะอื้นไห้เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“ทำผิดเรื่องเล็ก..ไม่รับผิดสิเรื่องใหญ่..หนูทำผิดแล้วยอมรับ เป็นเรื่องดี..อย่าเสียใจไปเลย”
แพรวาสั่นศีรษะระรัว
“แต่หนูทำผิดร้ายแรงมากนะคะคุณลุง หนูทำร้ายจิตใจไข่มุก ลูกสาวของผู้มีพระคุณ”
ในยามอยู่ต่อหน้าคุณลุงผู้มีเมตตาคนนี้ แพรวาจะแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาเต็มที่ ไม่เหลือคราบของ “ผู้หญิงสมบูรณ์แบบ” ที่ต้องคอยสวมหน้ากากเพื่อให้คนในสังคมนับถือ
“คุณลุงด่าหนูเถอะค่ะ จะทำโทษยังไงก็ได้ ไม่งั้นหนูคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย”
คุณตระการส่ายหน้าน้อยๆ ไม่มีแววโกรธเคืองในดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเลย
“กฎของธรรมชาติลงโทษหนูไปแล้ว แค่นั้นก็มากพอ ลุงคงไม่ใจร้ายทำโทษหนูอีก”
แพรวามองคุณลุงของหล่อนด้วยแววฉงน จึงได้รับคำอธิบายต่อมาอีกว่า
“หนูบอกลุงเองนี่ ว่าไม่มีใครฟังหนู โดยเฉพาะคนที่หนูรัก เขาก็ไม่มีแก่ใจเชื่ออะไรหนูอีก ทั้งที่พูดความจริงออกมาแท้ๆ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ เมื่อนึกถึงเรื่องของมุกดา ที่ถูกกฤษดาและเสี่ยวิฑูรย์ร่วมมือกันหลอกลวง เกือบถูกส่งไปกับเรือสินค้าข้ามชาติ...ไม่มีใครเชื่อคำพูดหล่อนเลย จนกระทั่งทุกอย่างเกือบจะสายเกินไป
“คนซื่อสัตย์เนี่ยนะหนูแพร บางทีอาจดูซื่อบื้อ โง่เง่าในสายตาใครๆ แต่ว่าเขามีความจริงใจที่ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ทำอะไรก็ไม่มีพิษมีภัย อยู่ใกล้ใคร คนนั้นก็รู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกสะอาด เชื่อถือทุกการกระทำและคำพูด ไปจนวันตาย...ผิดกับคนที่คอยสวมหน้ากาก สร้างภาพให้ใครๆเห็นว่าดี เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ และน่านับถือ เขาจะดูเป็นคนฉลาด โดดเด่น โก้เก๋ แต่มีข้อแม้อย่างนึงนะ..คือต้องเสแสร้ง สร้างภาพแบบนั้นไปจนวันตาย ไม่เคยได้รับอิสรภาพทางจิตใจ ไม่เคยมีความปลอดโปร่ง ต้องคอยระวังว่าเมื่อไหร่จะเผลอหลุดแสดงตัวตนที่แท้จริงให้ใครเขาเห็น..พอถึงวันนึง พลาดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ความเชื่อถือที่เคยได้รับ ความยกย่องที่ใครมอบให้ ก็จะหายสูญไปเสียหมด ไม่เหลือความภาคภูมิใจในชีวิตอีกเลย..นี่แหละบทเรียนที่หนูได้รับ ลุงไม่จำเป็นต้องลงโทษอะไรแล้ว”
แพรวาพยักหน้าอย่างยอมจำนนอีกครั้ง กรอบตารูปหงส์ร้อนผ่าว เลื่อนลอย..ไม่เหลือความภาคภูมิใจในตัวตนอีกต่อไป
เช้าวันนี้มุกดาตื่นขึ้นมาพร้อมความสดชื่น เนื่องจากหลับสนิทตลอดห้วงราตรีที่ผ่านมา หล่อนไม่ได้ฝันเห็นอดีตชาติของตัวเองอีกเลย หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เสี่ยงตายคราวนั้นมาอย่างหวุดหวิด
หญิงสาวเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะโคมไฟ เสียงเรียกเข้าและเบอร์โทรที่ปรากฏในหน้าจอ ทำให้หล่อนยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม ช่วงนี้มุกดาแทบไม่ต้องกังวลว่าจะลืมตั้งนาฬิกาปลุกกันตื่นสาย เพราะมีขาประจำอาสาโทรมาปลุกหล่อนแทบทุกเช้า หากรวมเวลาก่อนมื้ออาหาร เที่ยง เย็น ดึก ก่อนนอนเบ็ดเสร็จแล้ว กวินก็ช่างขยันโทรมาชวนคุยทั้งเรื่องมีสาระและไร้สาระกับหล่อนได้ไม่รู้จักเบื่อหน่าย
“ตื่นรึยังจ๊ะ เด็กขี้เซา”
เขาทักประโยคแรก ทำเอามุกดาหน้าหงิกใส่หูโทรศัพท์
“ใครขี้เซาคะ..ไข่มุกตื่นมารอตั้งนาน พี่วินเพิ่งจะโทรมา”
กวินแหย่เสียงกลั้วหัวเราะกลับมาทันที
“นั่นแน่ ยอมรับแล้วซีว่ารอฟังเสียงหล่อๆของพี่อยู่ คิดถึงล่ะสิท่า”
“โทรมาแต่เช้ามีธุระอะไรก็รีบพูดมาเถิดค่ะ อย่ามัวอ้อมค้อม”
ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอเป็นเชิงบอกว่าน้อยใจ
“เดี๋ยวนี้ต้องมีธุระด้วยหรือคะหนูลิ..พี่แค่คิดถึง โทรมาหาไม่ได้หรือ”
“ไม่ต้องมาทำอ้อนเลยพี่วิน..นี่ไข่มุกค่ะ ไม่ใช่หนูลิ แล้วก็ไม่ใช่น้องมะลิผู้อ่อนหวานแสนดีของพี่ปรัชด้วย”
กวินรีบเถียงกลับทันควัน
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็ในเมื่อ..”
“จบไปแล้วค่ะ..อดีตอยู่ส่วนอดีต ปัจจุบันไข่มุก คือ นางสาวมุกดา วิจิตร มีคุณพ่อชื่อตระการ คุณแม่ชื่อนารี ไม่ใช่คุณหลวงไผท กับคุณนายทองทิพย์อีกต่อไปแล้ว”
มุกดาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง กวินเลยนิ่งฟัง ปล่อยให้สาวเจ้าระบายความรู้สึกอย่างเต็มที่
“ไข่มุกไม่อยากให้พี่วิน รัก เพราะเห็นเป็นคุณมะลิ หรือหนูลิ แต่อยากให้รักตัวตนจริงๆในชาตินี้ ที่เป็น นางสาวมุกดา วิจิตร”
“ไข่มุก..พี่รักไข่มุกที่เป็นตัวเองแบบนี้ ไม่ขอให้เป็นเหมือนใครหรอกจ้ะ ส่วนหนูลิในอดีต พี่ก็ถือเป็นความทรงจำ..ที่ชักนำให้เรามาเจอกันอีก ต้องขอบคุณหนูลิ ขอบคุณนายปรัช ไม่งั้นคงไม่มีไข่มุกกับพี่ในวันนี้หรอก”
บทจะทำซึ้ง กวินก็สามารถทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาซึมขึ้นมาได้
“ไข่มุก..”
เขาส่งเสียงอ่อนโยนมาตามสาย
“ถ้าพี่อยากให้เปลี่ยนจาก นางสาวมุกดา วิจิตร มาเป็น นางมุกดา ตรัยรัตน์..ไข่มุกจะตกลงไหม”
หากโทรศัพท์มือถือของเขาฉายภาพคนที่อยู่ปลายสายได้ หรือหากเขามีตาทิพย์ ก็คงจะได้เห็นมุกดาแก้มขึ้นสีเลือดฝาด ก้มหน้าอมยิ้มอยู่คนเดียว บนเตียงนอนของหล่อน หญิงสาวนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรตอบเขาสักคำ กระทั่งชายหนุ่มบอกเสียงแจ่มใสขึ้นมาในตอนท้าย
“แต่งตัวรอนะไข่มุก เดี๋ยวจะไปรับ..วันนี้พี่มีเซอร์ไพรส์”
แล้ว “เซอร์ไพรส์” ประการแรก ก็ทำให้มุกดาต้องมายืนรออยู่กับเขาตรงช่องผู้โดยสารขาเข้า ในสนามบินสุวรรณภูมิ ท่ามกลางผู้คนคลาคล่ำที่เดินสวนกันไปมา ภาพเคลื่อนไหวของว่าที่พ่อตาแม่ยายผู้สง่า ก็ค่อยๆเด่นชัดเข้ามาในครรลองสายตา คุณชโลทรรีบเดินเร็วๆเข้ามาโบกมือทักลูกชายหัวแก้ว สีหน้าแสดงความยินดีพอๆกับท่าทาง ส่วนคุณวิสุทธิ์หน้าตาดูหมองไปถนัดใจ ผิดกับผู้เป็นศรีภรรยาจนเรียกได้ว่าตรงกันข้าม ระยะเวลาเกือบปีที่ต่อยอดจากสามเดือน ตามคำเรียกร้องแกมบังคับของคุณชโลทร น่าจะทำให้ชายมาดดี ท่าทางภูมิฐานคนนี้ สดชื่นและมีความสุขกับชีวิตท่องเที่ยวในต่างแดน มากกว่าจะทำให้ทรุดโทรมอย่างที่เห็น
มุกดาแอบเดาเล่นๆ ว่าคงเป็นเหตุผลทางใจ..ที่ไม่อาจสุขได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความสะดวกทางกายกระมัง จึงทำให้ใบหน้าของคุณวิสุทธิ์หมองคล้ำลงเช่นนี้
“อ้าว..มายังไงจ๊ะเนี่ย หนูไข่มุก ไม่เห็นหน้าเห็นตาตั้งนาน ยังสวยเหมือนเดิม”
สีหน้าและแววตาของคุณวิสุทธิ์กลับสดใสขึ้นมาเป็นคนละคน เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นสาวน้อยผิวผุดผาดร่างอรชรยืนข้างบุตรชาย เขาทำท่าจะเข้ามาทักทายแบบตะวันตก ด้วยการจับมือ ทว่ากวินรู้ทันบิดาจึงรีบก้าวเข้ามายืนขวาง
“เซอร์ไพรส์ครับคุณพ่อ ผมพาว่าที่เจ้าสาวมาให้ดูตัว เป็นไงครับ เจ้าสาวของผมสวยรึเปล่า”
คุณชโลทรเบิกตากว้าง รีบก้าวเข้ามาผลักสามีให้ถอยห่างออกไป คุณวิสุทธิ์ทำหน้าเหวอ ราวกับได้ยินเรื่องไม่คาดฝัน
“ตาวิน..แม่หนูคนนี้น่ะหรือ ที่ลูกเขียนจดหมายมาเล่าให้แม่ฟังทุกเดือน”
กวินพยักหน้าเก้อๆ เห็นมารดาถลึงตาใส่คนรัก สลับกับมองเขาด้วยแววประหลาด หัวใจก็แทบหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม..หากมารดาปฏิเสธ หรือรับไม่ได้ขึ้นมา เขาจะทำอย่างไรดี ไม่ได้เตรียมรับมือกับผลลัพธ์ข้อนี้ไว้ล่วงหน้าเสียด้วย
“พี่วิน..นี่เซอร์ไพรส์อะไรคะเนี่ย ไข่มุกไปตกลงกับพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
มุกดาก้มลงกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยว เจอศึกปะทุเข้ามาอีกทาง กวินก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นเป็นทวีคูณ
คุณชโลทรยังคงนิ่งจ้องว่าที่ลูกสะใภ้ไม่วางตา ชายหนุ่มตัดสินถามตรงๆ
“คุณแม่..จะว่ายังไงครับ ถ้าผมแต่งงานกับไข่มุก”
“เฮ้อ!”
คุณชโลทรถอนหายใจพรืดใหญ่ ทำเอาสองหนุ่มสาวหน้าเจื่อนลงถนัดตา
“คุณแม่ไม่เห็นด้วยหรือครับ?”
กวินถามเสียงเครียด ถึงตอนนี้..เขาตัดสินใจแล้ว..ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะยืนกรานคำเดิม หากมารดาปฏิเสธ
คุณชโลทรมองหน้าตาตื่นของมุกดา สลับกับสีหน้าบึ้งตึงของลูกชาย ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“พวกเธอนี่ตลกสมกันดีจริงๆ..เอ้า อยากตบแต่งกันก็เชิญตามสบาย ฉันยังไม่ทันว่าอะไรสักนิด”
มุกดากับกวินยกมือทาบอก ถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
คุณวิสุทธิ์ถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย
“อ้าว!..แล้วคุณจะถอนใจทำไมล่ะ ทำยังกะรับไม่ได้ ลูกๆเขาเลยพลอยตกใจหมดน่ะซี”
คุณชโลทรหันมายิ้มเย็น ทว่าสายตาพิฆาตนั้นทำให้คนถูกมองเสียวสันหลังวาบ
“ฉันโล่งใจแทนหนูไข่มุกต่างหาก..จะได้รอดพ้นจากไอ้แก่ตัณหากลับเสียที!”
มุกดาหยุดยืนมองผนังวอลเปเปอร์สีขาวรอบห้องด้วยความทึ่ง หล่อนอ้าปากค้างอย่างนึกไม่ถึง กับผลงานภาพสกรีนขาวดำตรงหน้า
กวินพาหล่อนบึ่งตรงมายังบ้านพักริมหาด ที่ปราณบุรี ทันที เมื่อส่งพ่อแม่กลับถึงบ้านเรียบร้อย
แล้ว เขาบอกว่าเหลือ “เซอร์ไพรส์” ชิ้นสำคัญรออยู่ที่นี่
แล้วหล่อนก็ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า “เซอร์ไพรส์” ของเขา ทำเอาหล่อน อึ้ง ทึ่ง และประทับใจจนยากจะบรรยายเป็นคำพูด
รอบนอกกระจกใสมีแปลงกุหลาบสีขาวออกดอกสะพรั่งรับแสงตะวันยามบ่าย มีฉากหลังเป็นทะเลสีครามกับต้นมะพร้าวเรียงราย ชั้นล่างของตัวบ้านซึ่งเคยเป็นพื้นที่โล่ง บัดนี้มีเฟอร์นิเจอร์ออกแบบทันสมัยวางอยู่ครบครัน ม่านลายกุหลาบถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อยตรงสองมุมเสา
ความสมบูรณ์พร้อมอยู่อาศัย ของบ้านหลังนี้ผิดแผกไปจากครั้งแรกที่หล่อนเคยมาเยือนโดยสิ้นเชิง แต่นั่นก็ไม่สร้างความประทับใจเท่า ภาพสกรีนขาวดำรอบฝาผนังเหล่านั้น
กึ่งกลางกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้านับร้อย ล้วนเต็มไปด้วย ชิ้นส่วนต่างๆที่รวมกันเป็นตัวหล่อน ไม่ว่าจะ ดวงตากลมโตมีประกายน้ำใสหล่อเลี้ยง จมูกโด่งเรียว ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มรูปกระจับ บางภาพก็รวมเป็นใบหน้าที่มีผมลอนสลวยล้อมกรอบ บางภาพก็เป็นรูปวาดทั้งตัวในอิริยาบถต่างๆกัน ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง เท้าคางเอกเขนก บางภาพก็แสดงอารมณ์เศร้า เหงา ครุ่นคิด ออกมาทางแววตา และที่สะดุดใจหล่อนที่สุดคือ ภาพหญิงสาวผมลอนกำลังนั่งวาดแบบบนบอร์ดแผ่นใหญ่..หล่อนจำได้ว่าตัวเองเคยมานั่งเก็บรายละเอียด และออกแบบชิ้นงานในลักษณะ และท่าทางเช่นนี้ มันช่างเหมือนกันเหลือเกิน เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว จนหล่อนทึ่ง คนวาดช่างเก็บรายละเอียดได้เก่งเหลือเกิน
“ใครวาดคะ?”
หล่อนถามทั้งๆที่ พอจะเดาได้
“แล้วไข่มุกคิดว่าใครล่ะจ๊ะ..ครั้งนั้นเรามากันแค่สองคน”
มุกดาชี้นิ้วคาดโทษเขาทันที
“อ๋อ..ที่มาเดินด้อมๆมองๆจนไข่มุกเสียสมาธิตอนนั้นใช่ไหม..ที่แท้ก็มาแอบดูเรา เสียมารยาทจริงเลยพี่วินเนี่ย”
กวินหัวเราะอย่างมีความสุข เขารวบเอวหล่อนเข้ามากอดไว้ ก่อนกระซิบเสียงแผ่วเบา
“พี่วาดเก่งไหมล่ะ..”
“เก่งค่ะ..ไม่นึกว่าพี่วินจะวาดรูปเป็น แล้วก็วาดได้ดีจนน่าทึ่ง”
มุกดาขมวดคิ้วมุ่นอย่างนึกแปลกใจ เมื่อเอ่ย
“พี่วินทำแบบนี้ทำไมคะ..ไม่กลัวบ้านตัวเองเกะกะ รกหูรกตาหรือ?”
กวินพักคางลงบนไหล่กลมกลึงของหญิงสาว กลิ่นแชมพูจางๆจากปอยผมหล่อนลอยแตะจมูก
“ตอนนั้นพี่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดไข่มุกบ่อยๆ วันนึงไข่มุกก็ต้องแต่งงาน หายหน้าหายตาไป พี่คงคิดถึงแย่..เลยเก็บรูปไว้ดูต่างหน้า ถ้าไข่มุกลาคลอด หรือลาออก เลิกทำงานกับพี่เมื่อไหร่ พี่ก็กะว่าจะหนีมาพักใจที่นี่ มาอยู่กับไข่มุก ถึงไม่ใช่ตัวจริง แต่เห็นภาพ ทำให้ระลึกได้ก็ยังดี..ภาพเหล่านี้พี่วาดมันออกมาจากใจเลยนะ..จากใจทั้งหมดที่มีไข่มุกอยู่ในนั้นมานานแล้ว..แต่พอเอาเข้าจริงเรื่องกลับตาลปัตร พี่เลยตั้งใจจะเก็บไว้เป็นเรือนหอของเราแทน”
“คิดเป็นตุเป็นตะเชียวนะคะ พี่วินนี่เชื่ออะไรง่ายจัง ไม่สืบให้รู้แน่ซะก่อน”
มุกดาก้มลงมองเขาด้วยแววตาซาบซึ้งเต็มเปี่ยม สวนทางกับคำพูด
กวินยิ้มอย่างยอมรับผิดทุกประตู
“พี่มันโง่เง่า..สมควรแล้วที่ต้องได้รับบทเรียนโหดๆจากพี่สาวของไข่มุก”
“พี่เพน่ะหรือคะ?”
หล่อนถามเสียงขัน
เขาพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบ
“ไข่มุกอายรึเปล่า..ที่ต้องมาเป็นเจ้าสาวของคนโง่ๆอย่างพี่”
มุกดาสั่นศีรษะจนเส้นผมดุจไหมละเอียดปลิวกระจาย
“ไม่หรอกค่ะ..เราก็โง่พอกันทั้งคู่น่ะแหละ”
เสียงหัวเราะเล็กใสดังกังวานจับใจเขายิ่งกว่าครั้งไหน กวินค่อยๆพรมจูบลงบนหน้าผากมนของหญิงสาวอย่างแสนรัก
สามเดือนต่อมา งานฉลองมงคลสมรสระหว่าง มุกดา และ กวิน ก็ถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตในโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง ท่ามกลางความยินดีของผู้ใหญ่จากครอบครั้งทั้งสองฝ่าย
ผู้ออกแบบ ดูแล และควบคุมการดำเนินงานทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Wedding Planner คนเก่ง อย่างเพทาย หล่อนทุ่มเทเพื่อวันสำคัญของน้องสาวจนสุดความสามารถ ตั้งแต่แจกการ์ดเชิญแขกเหรื่อ ทั่วทุกสารทิศ ให้มาร่วมเป็นพยานรักระหว่างคนทั้งสอง จนแน่นขนัด เดินแทบชนกันในห้องบอลรูม ผมเผ้า เครื่องแต่งหน้าแต่งตัว ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว กระทั่งออกแบบตัดชุดให้ผู้ใหญ่คนสำคัญในงานอีกหลายท่าน
ปัญหาติดขัดไม่ว่าเรื่องไหน หล่อนก็ยื่นมือเข้ามาแก้ไขได้ทันท่วงที บรรยากาศรื่นเริง สุขสมในงานจึงเกิดขึ้นทั่วหน้า มีแต่ผู้ใหญ่ ออกปากชม แม้กระทั่งของชำร่วยที่หล่อนเป็นคนริเริ่มออกแบบเองจากมันสมองและสองมือ
“เข็มกลัดนี่เก๋จริงนะคะ คุณหญิง..มีให้เลือกทั้งสี่สี ลูกสาวเก่งนะคะ ช่างคิด”
เพื่อนในวงสังคมชั้นสูงออกปากชม ขณะที่หยิบของชำร่วย ซึ่งเป็นเข็มกลัดรูปดอกกุหลาบขึ้นมาดูใกล้ๆ กุหลาบขาวสลักตรงก้านเป็นชื่อมุกดา กุหลาบแดง สลัก..เพทาย กุหลาบสีฟ้า สลัก..ไพลิน และสีสุดท้าย
กุหลาบเขียว..สลัก ชื่อ มรกต
คุณหญิงนารีหยิบกุหลาบดอกสุดท้ายขึ้นมา พลางทอดถอนใจ เวลานั้นคู่บ่าวสาวพากันไปยืนพูดคุยกับแขกคนสำคัญในงาน จึงมีเพียงคุณหญิงนารี และลูกสาวอีกสองคน คือเพทาย กับ ไพลิน ประจำตำแหน่งหน้างาน เพื่อร่วมกันแจกของชำร่วย
“หนูแพรก็หายหน้าไปเลย..ยายเขียวก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ไม่เคยส่งข่าวมาบ้าง แทนที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากันในวันสำคัญแบบนี้”
“พี่เขียวเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้นะคะคุณแม่..หรือไม่ก็ลืมไปแล้วว่ายังมีพ่อ แม่ พี่น้องทุกคนรอเขาอยู่”
เพทายเอ่ยเสียงเครียด นัยน์ตามีน้ำรื้นขึ้นมา ผสมปนเประหว่างความเจ็บแค้นที่พี่สาวหนีไป กับความคิดถึงวันคืนเก่าๆในวัยเยาว์
คุณหญิงนารีทำท่าจะเป็นลมล้มพับลงตรงนั้น ยังดีที่ไพลินเข้าไปประคองไว้ทัน หล่อนส่งสายตาเคืองขุ่นมาให้น้องสาว พลางปลอบมารดาเสียงอ่อนโยน
“พี่เขียวต้องกลับมาหาเราสักวันหนึ่งค่ะ..ลินเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้อาจยังไม่ถึงเวลา”
เพทายขยับปากเตรียมจะเถียง ก็พอดีเมรี เพื่อนสนิทของหล่อนเดินหน้าตาตื่นเข้ามา ส่งสัญญาณให้ออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัว
“มีอะไรยายเม ทำหน้าเลิกลักเชียว”
เมรีพยายามลดอัตราการหายใจของตัวเองให้ช้าลง จากการรีบวิ่งมาไกล
“ฤกษ์ไม่ดีแล้วมั้งเธอ..ฉันออกไปดูข้างนอก เห็นเขาชุมนุมแหงนคอมองอะไรกัน เลยเงยหน้าขึ้นไปดูบ้าง..คุณพระช่วย ให้ตายเถอะ มีคนกำลังจะโดดตึก!”
“เธออย่ามาล้อฉันเล่นนะ..”
เพทายถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู
“ฉันพูดจริงๆ..มีคนกำลังจะกระโดดตึกจากชั้นดาดฟ้า”
เท่านั้นแหละ เลือดลมของสาวแสบก็พุ่งปรี๊ดถึงขีดสุด หล่อนรีบวิ่งเข้าไปในลิฟท์ที่เปิดรอไว้พอดี ไม่สนใจคำทัดทานของคนที่อยู่เบื้องหลัง
“ยายบ้าเอ๊ย..ไปช่วยเร่งให้เขาตายเร็วขึ้นรึไง..ปากเสียแล้วยังไม่เจียม”
อากาศบนนั้นทวีความเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกำลังใจที่จะปลิดชีวิตตัวเองพุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ แพรวายืนชิดขอบตึก เหนือชั้นบนสุดของโรงแรม หล่อนก้มลงมองรถราที่เคลื่อนสวนกันไปมาอย่างรวดเร็วบริเวณถนนใหญ่ไม่ไกลอาคาร หญิงสาวเห็นเงาทะมึนของใครหลายคนยืนกวักมือเรียกหล่อนอยู่เบื้องล่าง ราวกับมารอต้อนรับวิญญาณของผู้สิ้นหวัง ไร้ค่าเกินกว่าจะมีชีวิตต่อไป
หล่อนสูดหายใจเข้าปอดลึกที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย หลับตาพริ้มเพื่อเตรียมตื่นขึ้นมาในดินแดนหลังความตายอีกไม่ถึงเสี้ยวนาทีถัดจากนั้น เสียงแหลมเสียดแก้วหูของใครคนหนึ่งฉุดกระชากหล่อนขึ้นมาจากความมืดมิดสุดก้นเหว
“น่าสมเพชเหลือเกิน..ผู้หญิงเพียบพร้อม เก่งไปหมดทุกอย่าง คิดสั้นแค่นี้เอง”
แพรวาชะงักครู่หนึ่ง จำได้โดยไม่ต้องหันมามองว่าใครเป็นเจ้าของเสียง หล่อนนิ่งเงียบ สายตายังแน่วแน่อยู่เบื้องล่าง
“น่าอับอาย ทุเรศ อุจาดตา..เธอลองนึกสภาพศพเละตุ้มเป๊ะนอนกองอยู่กับพื้นสิ..ใครเขาจะเหลียวแล”
“ถ้ารู้แน่แล้วว่าตายไปจะเจออะไร ก็โดดลงไปเลย..”
เพทายกระแทกเสียงใส่อย่างต่อเนื่อง ไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะหมดความอดทน กระโดดหนีหล่อนลงไปเมื่อไหร่
“ถ้ามั่นใจแล้วว่าชีวิตหลังความตายจะดีกว่าตอนนี้ ก็ลงไปเลย..”
“กะอีแค่ผิดหวังเรื่องผู้ชายคนเดียว มันทำให้ชีวิตสุดแสนเลิศเลอเพอร์เฝ็กของเธออับเฉานักหรือไง”
“ชีวิตสวยหรู สุขสมจนใครๆอิจฉามาตลอด ฉันไม่เคยเห็นเธอผิดหวังเรื่องอะไร..แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว..โถ ไม่อยากจะเชื่อ!”
ครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียวที่แพรวาหันกลับมาสนใจหล่อน
“เข้าใจผิดแล้ว..เพทาย” เสียงดีไซเนอร์สาวสั่นเครือ ขมขื่นกว่าครั้งไหน
“ฉันทรมานมาตลอด ตั้งแต่รักคุณวิน..แล้วก็ได้รู้ว่าเขาไม่เคยรักฉัน จะทำยังไงเขาก็ไม่รัก ใจฉันร้อนเป็นไฟทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา และทุกครั้งที่เห็นหน้าไข่มุก ไม่เคยมีความสุขเลยจนวันเดียว”
“ร้อนมากขนาดต้องทำลายชีวิตตัวเองเลยหรือไง”
เพทายถามอย่างไม่เข้าใจ
“ร้อนสิ..ร้อนเหมือนถูกไฟเผา เธอไม่เป็นฉัน เธอไม่รู้หรอก”
แพรวาพูดจบแค่นั้น ก็หันกลับไปเพ่งมองความมืดมิดเบื้องหน้า น้ำตาคลอหน่วย ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจน้องสาวต่างสายเลือดอีกเลย
“ก็เอาซี้..เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีคิดได้แค่นี้..เชิญโดดลงไปเลยให้สาแก่ใจ”
เพทายเริ่มหงุดหงิด เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าดีไซเนอร์สาวจะเปลี่ยนความตั้งใจไปจากเดิม
“พอเธอตายไป..พ่อฉัน แม่ฉัน พี่ลิน แล้วก็เพื่อนๆของเธอ หนุ่มๆที่มารุมรักเธออาจจะเสียใจกันเป็นวักเป็นเวร แต่บอกไว้เลยนะ..ว่าไม่ใช่ นายกวิน!”
“เขาไม่มีวันเสียใจกับเธอหรอก..ตรงกันข้าม เขาจะหัวเราะสะใจ สมเพช เวทนา แล้วก็ลืมเสียสนิทว่าเคยมี ผู้หญิงบ้าๆมาคลั่งเขา ที่ชื่อ..แพรวา อยู่บนโลกใบนี้”
“เพราะเธอมันทำตัวไร้ค่า..เกิดมาหนักแผ่นดิน ตายไปก็สมควรแล้ว ฉันอีกคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ไยดี ไม่ร่วมเผาผีคนอย่างเธอ!”
เพทายระเบิดอารมณ์ใส่เต็มที่ หล่อนคิดว่าไหนๆไม้อ่อนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว จึงใช้ไม้แข็ง
และไม่ทันคาดคิด แทนที่แพรวาจะรีบดิ่งลงสู่แดนมรณะเบื้องล่าง หล่อนกลับหมุนตัวเข้ามา น้ำตาพรั่งพรู
หญิงสาวสวมกอดเพทายแนบแน่นตัวสั่นเทิ้มราวกับเด็กไร้ที่พึ่ง
“ขอบใจนะ..ขอบใจเธอมาก..ฉันเข้าใจแล้ว”
สาวแสบอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่ออยู่พักหนึ่ง อย่างตั้งรับไม่ทัน พอได้ยินคำขอบคุณเสียงหนักแน่นที่ออกมาจากใจของแพรวาครั้งแรก หล่อนก็สนองตอบด้วยการลูบหลังพี่สาวเบาๆ พลางถอนหายใจโล่งอก
กำมะหยี่สีดำสนิทบนผืนนภาคืนนี้ ไร้ซึ่งหมู่ดาวพราวพร่าง และแสงจันทร์ปลอบประโลม
เพทายทำหน้าปลงตก..
ได้แต่หวังว่าหากหล่อนจะมีความรักกับใครสักคน..ขออย่าได้มีชีวิตที่ยุ่งเหยิงอย่างมุกดา และฉากสุดท้ายอันน่าสังเวชอย่าง ผู้หญิงแสนอาภัพรักคนนี้
***********อวสาน*****************
ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกcomment และทุกกำลังใจที่มีให้ผู้เขียนมาโดยตลอดนะคะ
จบเรื่อง “เรือนกุหลาบ” แล้ว จะมีเรื่องย่อยๆของ เพทาย มรกต แล้วก็ไพลิน ตามมานะคะ โดยเริ่มจากเรื่องของเพทาย สาวปากจัดของเราก่อน ชื่อเรื่อง “เพทายพ่ายตะวัน” ตอนนี้อัพไปได้สามตอนแล้ว ใครสนใจ รอติดตามอ่านต่อได้เร็วๆนี้ค่ะ
เข้าไปเยี่ยมเยียนทักทายกันได้ในเฟสบุ๊ค http://www.facebook.com/silarin.buddha
ขอรับคำขอบคุณ
ศิลาริน
“เรารอดแล้วไข่มุก”
กวินตะโกนบอกแข่งกับเสียงเรือที่ใกล้เข้ามาด้วยความยินดี มุกดามีแรงว่ายน้ำให้เคลื่อนตัวออกไปได้เร็วขึ้น เมื่อนึกถึงเป้าหมายที่กำลังจะถึงในไม่ช้า
“คุณกวิน..คุณไข่มุก ทางนี้ครับ”
ผู้กองมิลินชะโงกหน้าลงมาจากเรือ พร้อมยื่นมือออกรอรับคนทั้งสองที่ว่ายน้ำใกล้เข้ามาทุกที
แล้วในที่สุด ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองนายก็ทำหน้าที่ได้สำเร็จบริบูรณ์ มุกดาขึ้นมานั่งหอบ ตัวเปียกชุ่ม ผมเผ้าลู่แนบติดศีรษะ หล่อนรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ไม่มีผิด
“ขอบคุณมากค่ะ..ว่าแต่”
หญิงสาวมองผู้กองมิลินกับเพื่อนของเขาด้วยสายตาคำถาม ส่วนกวินนั้นนั่งลงข้างหล่อน ได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
“ผมเคยร่วมงานกับท่านตระการ คุณพ่อของคุณน่ะครับ แล้วก็สนิทกับมรกตพี่สาวของคุณมานาน”
มิลินบอกยิ้มๆ ก่อนแนะนำต่อ
“ผมชื่อมิลิน เพิ่งได้เบาะแสเรื่องค้ามนุษย์ของเสี่ยวิฑูรย์มาเร็วๆนี้เอง พอดีกับที่น้องเขียวรีบโทรมาบอก สงสัยว่าคุณจะเป็นเหยื่อรายล่าสุด ก็เลยรีบมาช่วย..ต้องขอบคุณแม่เล้าของเสี่ยวิฑูรย์ครับงานนี้ ทีแรกก็ไม่อยากเชื่อว่าแกจะยื่นมือมาช่วยเรา..แต่แล้วแกก็ช่วยจริงๆ ลำพังผมกับเพื่อน..เอ่อ หมวดวิลัน น่ะครับ” เขาหันไปทางเพื่อนร่วมงาน เห็นรายนั้นมองมุกดาอย่างไม่วางตา เลยเอื้อมมือไปตบบ่าอย่างนึกหมั่นไส้
“ลำพังเราสองคนอาจช่วยคุณไม่สำเร็จ ต้องขอบคุณ คุณกวิน เขาอาสาเข้าไปเอง ไม่กลัวอันตรายเลยนะครับ แล้วก็แม่เล้าคนนั้น..ไม่รู้ป่านนี้เป็นตายร้ายดียังไงบ้าง..งานนี้ต้องยอมรับว่าหินครับ งานหินจริงๆ เล่นกับไอ้เสี่ยลอบจัดคนนี้”
“นั่นสิคะ ยายแกไม่ถูกเสี่ยวิฑูรย์เล่นงานแย่เลยหรือ”
สิ้นความสงสัยระคนห่วงใยของมุกดา เสียงปืนก็ดังลั่นมาจากเรือสินค้า พร้อมกับเสียงกรีดร้องของแม่เล้าผู้ใจดี คนทั้งสี่หันขวับไปเบื้องหลังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
มุกดาอุทานออกมาคนแรก
“คุณยายคนนั้น!”
ต่างคนต่างมองหน้ากัน แววตาบอกความเห็นในทิศทางเดียว ผู้กองมิลินทอดมองเรือลำที่ลอยเท้งเต้งอยู่ไกลๆด้วยความเศร้าสลด รู้สึกผิดอย่างยิ่ง ที่ไม่ได้ช่วยยายแหวนออกมาจากเงื้อมมือมัจจุราช..
รถเต่าคันเดิมค่อยๆเคลื่อนตัวออกสู่ถนนใหญ่ ซึ่งในยามดึกสงัดเช่นนี้ ทางปลอดโล่งยิ่งกว่าช่วงกลางวัน อ้อมกอดแห่งขุนเขาเขียวครึ้ม ภายใต้รัตติกาลกำลังจะเลือนลับไป แต่ละคนต่างนั่งนิ่งเงียบ หลังจากดีอกดีใจกันยกใหญ่เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
มรกตนั่งหลังพวงมาลัยอย่างไม่เป็นสุข หล่อนอยากลงไปช่วยน้องสาวอีกแรงก็ถูกผู้กองมิลินห้ามเสียงแข็ง ความที่นับถือเขาเป็นพี่ชายน่าเกรงขามคนหนึ่ง จึงต้องยอมทำตามคำสั่ง ทั้งที่ขัดใจตัวเองยิ่งนัก
พอเห็นน้องสาวกับเจ้านายตัวดีเดินหน้าตาเปียกโชกกลับมา ความตึงเครียดทั้งหมดก็หายวับไปในชั่วพริบตา หล่อนสวมกอดน้องเล็กทั้งที่เปียกแบบนั้นด้วยความโล่งใจ และแสนรัก เมื่อเห็นรอยยิ้มของกวิน ผู้อยู่เบื้องหลัง มรกตจึงมองเขาด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป ความบาดหมางซึ่งเคยมี ลดทอนลงมาก จนแทบไม่มีเหลือ
“เสี่ยวิฑูรย์ถูกผมกับเพื่อนยิงปืนล่อให้ตามไปผิดทาง เราเลยมีโอกาสกลับมารวมตัวกันที่ท่าน้ำ แล้วพอดีเห็นยายแหวน แม่เล้าที่ทำงานกับเสี่ยเดินเข้ามา บอกว่าให้เราช่วยคุณไข่มุกหนีไปให้ได้ เพราะแกเพิ่งรู้ว่าคุณไข่มุกเป็นลูกสาวท่านตระการ คนที่แกรู้จักและนับถือ แกวางแผนให้พวกเราอ้อมไปเอาเรือหางยาวที่เตรียมไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินมารอรับคุณไข่มุกกับคุณกวินที่เรือ แกบอกว่าถ้าพาออกไปทางเดิมเสี่ยงเจอลูกน้องอีกเป็นสิบคนที่เสี่ยวิฑูรย์โทรเรียกให้มาปิดล้อมปากทางเอาไว้ พวกเราเกือบพลาด เพราะเสี่ยมันคงรู้ทัน ให้ลูกน้องวิ่งกลับมาถอนสมอเรือ ออกเดินทางส่งสินค้าทันที ยายแหวนแกคงหาทางจัดการกับคนขับวิธีไหนไม่ทราบ แต่แกก็ปลดกุญแจ เปิดช่องทางหนีให้คุณไข่มุกกับคุณกวินจนได้ โชคดีเหลือเกินที่ทั้งสองคนว่ายน้ำเป็น ไม่เช่นนั้นคงไม่ทันการ และรอดปลอดภัยกันมาแบบนี้หรอกครับ...ต้องขอบคุณน้ำใจยายแหวนที่ แกยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อช่วยเรา”
ผู้กองมิลินเล่าถึงสาเหตุที่ทำให้หนุ่มสาวทั้งสองคนรอดชีวิตกลับมา แววตาเขาเศร้าสลด เมื่อเล่าต่อว่า..ยายแหวน ถูกเสี่ยวิฑูรย์ยิงตายบนเรือนั้นเสียแล้ว
“น่าเสียดาย..ถ้ารอดกลับมาด้วย ฉันคงมีโอกาสได้ตอบแทนน้ำใจแกบ้าง”
มรกตพูดอะไรไม่ออกมากไปกว่านั้น
ลลิตพรรณก็เป็นอีกคนที่ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น เมื่อเห็นเพื่อนรักกลับมามีอวัยวะครบสามสิบสองเหมือนเก่า
แต่พอขึ้นนั่งเบาะหลังของรถ สารถีเดินเครื่องออกมาได้ไม่กี่นาที หล่อนก็คอพับหลับผล็อยไปด้วยความอ่อนเพลีย
ผู้กองมิลินขอแยกตัวไปนั่งรถอีกคันของเพื่อนร่วมงาน เพื่อจะได้ไม่เบียดเสียดกันเกินไป ผู้หมวดวิลันอาสาขับรถระวังลู่ทางอยู่เบื้องหลัง เขาให้เหตุผลว่า เผื่อเสี่ยวิฑูรย์ส่งลูกน้องมาตามราวีอีก จะได้ช่วยเหลือทัน
มรกตเหลือบมองเพื่อนสนิทน้องสาว แล้วส่ายหน้ายิ้มๆ ขามาหล่อนมีผู้กองมิลันนั่งคุยเป็นเพื่อนตลอดทาง แต่พอขากลับเปลี่ยนเป็นลลิตพรรณมานั่งคู่หล่อนแทน หญิงสาวเลยมีสมาธิบังคับพวงมาลัยอย่างเต็มที่ เพราะคนข้างกายหลับปุ๋ย ไม่ส่งเสียงรบกวนสักแอะ
ส่วนอีกสองคนเบาะหลัง หล่อนไม่อยากแทรกกลางเป็นก้างชิ้นโตของคู่รักที่เริ่มปรับความเข้าใจกันได้ จึงขอขับรถต่อไปเงียบๆคนเดียว เปิดโอกาสให้น้องสาวและว่าที่น้องเขยได้พูดคุยกันเต็มที่
กวินนั่งทอดมองความมืดภายนอกหน้าต่าง เขากำลังใช้ความคิดทบทวนอย่างหนัก เกี่ยวกับเรื่องโปสการ์ดใบนั้น มุกดายืนยันว่าหล่อนไม่เคยเห็นกระดาษสีสวยใบนั้น ไม่เคยลงมือเขียน แล้วก็ไม่เคยรู้จักฝรั่งตาน้ำข้าวหุ่นนายแบบที่ชื่อไมเคิล
เขาดูออกจากแววตา และน้ำเสียง ว่าหล่อนพูดจริง ไม่มีเหตุผลอันใดจะต้องโกหกกันอีกในเวลานี้ กวินจึงต้องมาคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมา..ว่าใครเป็นเจ้าของโปสการ์ดใบนั้น และอาจหาญปลอมลายมือเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับเขาอย่างจงใจ
เมื่อพยายามนึกย้อนไปถึงวันวาน ความเข้าใจก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาในที่สุด
วันนั้น แพรวาไปรอเขาที่บริษัท และโทรมาบอก กวินจึงสั่งให้พนักงานพาหล่อนขึ้นไปรอเขาในห้องทำงาน..เขาวางแฟ้มเอกสารของมุกดาไว้ในนั้น ตอนกลางคืนชายหนุ่มย้อนกลับไปที่ห้องทำงาน เห็นนิตยสารเล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาจำได้ว่าตัวเองหยิบขึ้นมาแล้วหัวเราะขัน คิดว่าแม่บ้านคงมาแอบตัดรูปนายแบบในหน้างานแฟชั่นต่างประเทศออกไป จนกระดาษแหว่งวิ่น
ที่ไหนได้ เขาเพิ่งเข้าใจ..แพรวานั่นเอง เป็นคนก่อเรื่องทั้งหมด ทั้งรูปผู้ชายคนนั้น และลายมือพิมพ์เดียวกับน้องสาว..ไม่น่าเชื่อว่าหล่อนทำได้ลงคอ!
“พี่วินว่า..คุณกฤษดาคือนายพัลลภกลับชาติมาเกิดรึเปล่าคะ”
มุกดากระซิบถามเสียงเล็กใส กวินจึงได้หลุดออกมาจากภวังค์อันแสนเจ็บแค้น เขาก้มลงมองหล่อน แล้วหัวเราะเบาๆ
“พี่คิดอีกอย่างนึงนะ..นายพัลลภไม่มีทางมาเกิดเป็นใครได้หรอก ในชาตินี้”
สายตาคำถามของหล่อน ทำให้เขาต้องบอกความเห็นของตนออกไป
“เจตนาฆ่า และลงมือฆ่าคนได้ถึงขนาดนั้น บาปกรรมคงไม่ปล่อยให้เขากลับมาเกิดเป็นมนุษย์เร็วนักหรอก”
“พูดเรื่องอะไรกันน่ะ..ใครฆ่าใคร ทำไมไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์?”
มรกตถามแทรกขึ้นมาด้วยความสนใจ
หนุ่มสาวสองคนประสานสายตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่มีใครยอมเฉลย มีเพียงเสียงหัวเราะที่ดังกลบเกลื่อนขึ้นมาแทนคำตอบ
คุณตระการทอดมองหลานสาวที่ก้มลงกราบแทบเท้าด้วยสายตาของข้าราชการวัยเกษียณ ผู้ผ่านโลกมามากแล้ว เขาเอื้อมมือลงไปลูบศีรษะแพรวาเบาๆ รู้สึกเวทนาหล่อนจับใจ เด็กน้อยผู้ที่เขาเคยอุ้มชู อุปการะมาตั้งแต่ยังเล็ก เกิดมาในตระกูลเศรษฐีเก่า แต่ก็ต้องอาภัพพ่อแม่มาด่วนฆ่าตัวตาย ไม่ทันได้เห็นหน้าคร่าตานอกจากในรูปถ่าย เอามาฝากเลี้ยงไว้กับภรรยาของเขา ก็รู้ดีว่าหล่อนไม่ได้มีความสุข ต้องตกอยู่ในสภาวะบีบคั้นรอบด้าน พยายามดิ้นรนสร้างตัวให้เป็นคนสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่จะทำได้
เขาเคยชื่นชมกับความสำเร็จของหลานสาวอยู่หลายครั้งหลายหน แพรวาเป็นคนเก่ง อดทน และทะเยอทะยาน หล่อนเข้มแข็งมากกว่าลูกสาวของเขาทุกคน โดยเฉพาะมุกดา รายนั้นยิ่งอ่อนแอเป็นตรงกันข้าม ชายสูงวัยเคยไว้ใจ ว่าหล่อนจะสร้างสังคมให้ดีต่อไปในอนาคต ไม่คิดเลยว่า เพียงความรักที่มีต่อผู้ชายคนเดียว จะทำให้ชีวิตหล่อนล้มเหลว และพังทลายถึงขนาดนี้
หลังจากได้ฟังเรื่องราว การกระทำอันผิดพลาดใหญ่หลวงที่หลานสาวได้ก่อขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ คุณตระการถึงได้รู้ว่า แท้จริงความเข้มแข็งเป็นเพียงเปลือกนอก ที่ห่อหุ้มความเปราะบางของจิตใจเอาไว้เท่านั้นเอง
เขาอยากจะโกรธ อยากจะต่อว่าหล่อนต่างๆนานา แต่ก็ทำไม่ลง แพรวามาหาเขาที่บ้านพักปราณบุรีตั้งแต่เช้าตรู่ มาทั้งน้ำตานองหน้า เขารู้ทันทีว่าต้องมีเรื่องที่ทำให้หล่อนเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด มิเช่นนั้นผู้หญิงคนนี้จะไม่มีทางบีบน้ำตาให้ใครเห็น แม้แต่เขาเอง ก็ไม่ได้มีโอกาสเห็นน้ำตาของหลานสาวบ่อยนัก
นับว่าหล่อนกล้าหาญที่ยอมรับผิด และมาสารภาพเรื่องราวทั้งหมดกับเขา คุณตระการเอ่ยด้วยน้ำเสียงปราณีแบบเดียวกับแววตา ขณะที่หลานสาวยังคงสะอื้นไห้เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองเขา
“ทำผิดเรื่องเล็ก..ไม่รับผิดสิเรื่องใหญ่..หนูทำผิดแล้วยอมรับ เป็นเรื่องดี..อย่าเสียใจไปเลย”
แพรวาสั่นศีรษะระรัว
“แต่หนูทำผิดร้ายแรงมากนะคะคุณลุง หนูทำร้ายจิตใจไข่มุก ลูกสาวของผู้มีพระคุณ”
ในยามอยู่ต่อหน้าคุณลุงผู้มีเมตตาคนนี้ แพรวาจะแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาเต็มที่ ไม่เหลือคราบของ “ผู้หญิงสมบูรณ์แบบ” ที่ต้องคอยสวมหน้ากากเพื่อให้คนในสังคมนับถือ
“คุณลุงด่าหนูเถอะค่ะ จะทำโทษยังไงก็ได้ ไม่งั้นหนูคงรู้สึกผิดไปจนวันตาย”
คุณตระการส่ายหน้าน้อยๆ ไม่มีแววโกรธเคืองในดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นเลย
“กฎของธรรมชาติลงโทษหนูไปแล้ว แค่นั้นก็มากพอ ลุงคงไม่ใจร้ายทำโทษหนูอีก”
แพรวามองคุณลุงของหล่อนด้วยแววฉงน จึงได้รับคำอธิบายต่อมาอีกว่า
“หนูบอกลุงเองนี่ ว่าไม่มีใครฟังหนู โดยเฉพาะคนที่หนูรัก เขาก็ไม่มีแก่ใจเชื่ออะไรหนูอีก ทั้งที่พูดความจริงออกมาแท้ๆ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ เมื่อนึกถึงเรื่องของมุกดา ที่ถูกกฤษดาและเสี่ยวิฑูรย์ร่วมมือกันหลอกลวง เกือบถูกส่งไปกับเรือสินค้าข้ามชาติ...ไม่มีใครเชื่อคำพูดหล่อนเลย จนกระทั่งทุกอย่างเกือบจะสายเกินไป
“คนซื่อสัตย์เนี่ยนะหนูแพร บางทีอาจดูซื่อบื้อ โง่เง่าในสายตาใครๆ แต่ว่าเขามีความจริงใจที่ไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง ทำอะไรก็ไม่มีพิษมีภัย อยู่ใกล้ใคร คนนั้นก็รู้สึกปลอดโปร่ง รู้สึกสะอาด เชื่อถือทุกการกระทำและคำพูด ไปจนวันตาย...ผิดกับคนที่คอยสวมหน้ากาก สร้างภาพให้ใครๆเห็นว่าดี เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบ และน่านับถือ เขาจะดูเป็นคนฉลาด โดดเด่น โก้เก๋ แต่มีข้อแม้อย่างนึงนะ..คือต้องเสแสร้ง สร้างภาพแบบนั้นไปจนวันตาย ไม่เคยได้รับอิสรภาพทางจิตใจ ไม่เคยมีความปลอดโปร่ง ต้องคอยระวังว่าเมื่อไหร่จะเผลอหลุดแสดงตัวตนที่แท้จริงให้ใครเขาเห็น..พอถึงวันนึง พลาดแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ความเชื่อถือที่เคยได้รับ ความยกย่องที่ใครมอบให้ ก็จะหายสูญไปเสียหมด ไม่เหลือความภาคภูมิใจในชีวิตอีกเลย..นี่แหละบทเรียนที่หนูได้รับ ลุงไม่จำเป็นต้องลงโทษอะไรแล้ว”
แพรวาพยักหน้าอย่างยอมจำนนอีกครั้ง กรอบตารูปหงส์ร้อนผ่าว เลื่อนลอย..ไม่เหลือความภาคภูมิใจในตัวตนอีกต่อไป
เช้าวันนี้มุกดาตื่นขึ้นมาพร้อมความสดชื่น เนื่องจากหลับสนิทตลอดห้วงราตรีที่ผ่านมา หล่อนไม่ได้ฝันเห็นอดีตชาติของตัวเองอีกเลย หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เสี่ยงตายคราวนั้นมาอย่างหวุดหวิด
หญิงสาวเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์บนโต๊ะโคมไฟ เสียงเรียกเข้าและเบอร์โทรที่ปรากฏในหน้าจอ ทำให้หล่อนยิ้มจนเห็นแก้มบุ๋ม ช่วงนี้มุกดาแทบไม่ต้องกังวลว่าจะลืมตั้งนาฬิกาปลุกกันตื่นสาย เพราะมีขาประจำอาสาโทรมาปลุกหล่อนแทบทุกเช้า หากรวมเวลาก่อนมื้ออาหาร เที่ยง เย็น ดึก ก่อนนอนเบ็ดเสร็จแล้ว กวินก็ช่างขยันโทรมาชวนคุยทั้งเรื่องมีสาระและไร้สาระกับหล่อนได้ไม่รู้จักเบื่อหน่าย
“ตื่นรึยังจ๊ะ เด็กขี้เซา”
เขาทักประโยคแรก ทำเอามุกดาหน้าหงิกใส่หูโทรศัพท์
“ใครขี้เซาคะ..ไข่มุกตื่นมารอตั้งนาน พี่วินเพิ่งจะโทรมา”
กวินแหย่เสียงกลั้วหัวเราะกลับมาทันที
“นั่นแน่ ยอมรับแล้วซีว่ารอฟังเสียงหล่อๆของพี่อยู่ คิดถึงล่ะสิท่า”
“โทรมาแต่เช้ามีธุระอะไรก็รีบพูดมาเถิดค่ะ อย่ามัวอ้อมค้อม”
ชายหนุ่มทำเสียงในลำคอเป็นเชิงบอกว่าน้อยใจ
“เดี๋ยวนี้ต้องมีธุระด้วยหรือคะหนูลิ..พี่แค่คิดถึง โทรมาหาไม่ได้หรือ”
“ไม่ต้องมาทำอ้อนเลยพี่วิน..นี่ไข่มุกค่ะ ไม่ใช่หนูลิ แล้วก็ไม่ใช่น้องมะลิผู้อ่อนหวานแสนดีของพี่ปรัชด้วย”
กวินรีบเถียงกลับทันควัน
“จะไม่ใช่ได้ยังไง ก็ในเมื่อ..”
“จบไปแล้วค่ะ..อดีตอยู่ส่วนอดีต ปัจจุบันไข่มุก คือ นางสาวมุกดา วิจิตร มีคุณพ่อชื่อตระการ คุณแม่ชื่อนารี ไม่ใช่คุณหลวงไผท กับคุณนายทองทิพย์อีกต่อไปแล้ว”
มุกดาขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง กวินเลยนิ่งฟัง ปล่อยให้สาวเจ้าระบายความรู้สึกอย่างเต็มที่
“ไข่มุกไม่อยากให้พี่วิน รัก เพราะเห็นเป็นคุณมะลิ หรือหนูลิ แต่อยากให้รักตัวตนจริงๆในชาตินี้ ที่เป็น นางสาวมุกดา วิจิตร”
“ไข่มุก..พี่รักไข่มุกที่เป็นตัวเองแบบนี้ ไม่ขอให้เป็นเหมือนใครหรอกจ้ะ ส่วนหนูลิในอดีต พี่ก็ถือเป็นความทรงจำ..ที่ชักนำให้เรามาเจอกันอีก ต้องขอบคุณหนูลิ ขอบคุณนายปรัช ไม่งั้นคงไม่มีไข่มุกกับพี่ในวันนี้หรอก”
บทจะทำซึ้ง กวินก็สามารถทำให้คนฟังถึงกับน้ำตาซึมขึ้นมาได้
“ไข่มุก..”
เขาส่งเสียงอ่อนโยนมาตามสาย
“ถ้าพี่อยากให้เปลี่ยนจาก นางสาวมุกดา วิจิตร มาเป็น นางมุกดา ตรัยรัตน์..ไข่มุกจะตกลงไหม”
หากโทรศัพท์มือถือของเขาฉายภาพคนที่อยู่ปลายสายได้ หรือหากเขามีตาทิพย์ ก็คงจะได้เห็นมุกดาแก้มขึ้นสีเลือดฝาด ก้มหน้าอมยิ้มอยู่คนเดียว บนเตียงนอนของหล่อน หญิงสาวนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรตอบเขาสักคำ กระทั่งชายหนุ่มบอกเสียงแจ่มใสขึ้นมาในตอนท้าย
“แต่งตัวรอนะไข่มุก เดี๋ยวจะไปรับ..วันนี้พี่มีเซอร์ไพรส์”
แล้ว “เซอร์ไพรส์” ประการแรก ก็ทำให้มุกดาต้องมายืนรออยู่กับเขาตรงช่องผู้โดยสารขาเข้า ในสนามบินสุวรรณภูมิ ท่ามกลางผู้คนคลาคล่ำที่เดินสวนกันไปมา ภาพเคลื่อนไหวของว่าที่พ่อตาแม่ยายผู้สง่า ก็ค่อยๆเด่นชัดเข้ามาในครรลองสายตา คุณชโลทรรีบเดินเร็วๆเข้ามาโบกมือทักลูกชายหัวแก้ว สีหน้าแสดงความยินดีพอๆกับท่าทาง ส่วนคุณวิสุทธิ์หน้าตาดูหมองไปถนัดใจ ผิดกับผู้เป็นศรีภรรยาจนเรียกได้ว่าตรงกันข้าม ระยะเวลาเกือบปีที่ต่อยอดจากสามเดือน ตามคำเรียกร้องแกมบังคับของคุณชโลทร น่าจะทำให้ชายมาดดี ท่าทางภูมิฐานคนนี้ สดชื่นและมีความสุขกับชีวิตท่องเที่ยวในต่างแดน มากกว่าจะทำให้ทรุดโทรมอย่างที่เห็น
มุกดาแอบเดาเล่นๆ ว่าคงเป็นเหตุผลทางใจ..ที่ไม่อาจสุขได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของความสะดวกทางกายกระมัง จึงทำให้ใบหน้าของคุณวิสุทธิ์หมองคล้ำลงเช่นนี้
“อ้าว..มายังไงจ๊ะเนี่ย หนูไข่มุก ไม่เห็นหน้าเห็นตาตั้งนาน ยังสวยเหมือนเดิม”
สีหน้าและแววตาของคุณวิสุทธิ์กลับสดใสขึ้นมาเป็นคนละคน เมื่อเพิ่งสังเกตเห็นสาวน้อยผิวผุดผาดร่างอรชรยืนข้างบุตรชาย เขาทำท่าจะเข้ามาทักทายแบบตะวันตก ด้วยการจับมือ ทว่ากวินรู้ทันบิดาจึงรีบก้าวเข้ามายืนขวาง
“เซอร์ไพรส์ครับคุณพ่อ ผมพาว่าที่เจ้าสาวมาให้ดูตัว เป็นไงครับ เจ้าสาวของผมสวยรึเปล่า”
คุณชโลทรเบิกตากว้าง รีบก้าวเข้ามาผลักสามีให้ถอยห่างออกไป คุณวิสุทธิ์ทำหน้าเหวอ ราวกับได้ยินเรื่องไม่คาดฝัน
“ตาวิน..แม่หนูคนนี้น่ะหรือ ที่ลูกเขียนจดหมายมาเล่าให้แม่ฟังทุกเดือน”
กวินพยักหน้าเก้อๆ เห็นมารดาถลึงตาใส่คนรัก สลับกับมองเขาด้วยแววประหลาด หัวใจก็แทบหล่นวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม..หากมารดาปฏิเสธ หรือรับไม่ได้ขึ้นมา เขาจะทำอย่างไรดี ไม่ได้เตรียมรับมือกับผลลัพธ์ข้อนี้ไว้ล่วงหน้าเสียด้วย
“พี่วิน..นี่เซอร์ไพรส์อะไรคะเนี่ย ไข่มุกไปตกลงกับพี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
มุกดาก้มลงกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงเข่นเขี้ยว เจอศึกปะทุเข้ามาอีกทาง กวินก็ยิ่งรู้สึกกดดันมากขึ้นเป็นทวีคูณ
คุณชโลทรยังคงนิ่งจ้องว่าที่ลูกสะใภ้ไม่วางตา ชายหนุ่มตัดสินถามตรงๆ
“คุณแม่..จะว่ายังไงครับ ถ้าผมแต่งงานกับไข่มุก”
“เฮ้อ!”
คุณชโลทรถอนหายใจพรืดใหญ่ ทำเอาสองหนุ่มสาวหน้าเจื่อนลงถนัดตา
“คุณแม่ไม่เห็นด้วยหรือครับ?”
กวินถามเสียงเครียด ถึงตอนนี้..เขาตัดสินใจแล้ว..ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะยืนกรานคำเดิม หากมารดาปฏิเสธ
คุณชโลทรมองหน้าตาตื่นของมุกดา สลับกับสีหน้าบึ้งตึงของลูกชาย ก่อนจะเอ่ยกลั้วหัวเราะ
“พวกเธอนี่ตลกสมกันดีจริงๆ..เอ้า อยากตบแต่งกันก็เชิญตามสบาย ฉันยังไม่ทันว่าอะไรสักนิด”
มุกดากับกวินยกมือทาบอก ถอนหายใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
คุณวิสุทธิ์ถามแทรกขึ้นมาด้วยความสงสัย
“อ้าว!..แล้วคุณจะถอนใจทำไมล่ะ ทำยังกะรับไม่ได้ ลูกๆเขาเลยพลอยตกใจหมดน่ะซี”
คุณชโลทรหันมายิ้มเย็น ทว่าสายตาพิฆาตนั้นทำให้คนถูกมองเสียวสันหลังวาบ
“ฉันโล่งใจแทนหนูไข่มุกต่างหาก..จะได้รอดพ้นจากไอ้แก่ตัณหากลับเสียที!”
มุกดาหยุดยืนมองผนังวอลเปเปอร์สีขาวรอบห้องด้วยความทึ่ง หล่อนอ้าปากค้างอย่างนึกไม่ถึง กับผลงานภาพสกรีนขาวดำตรงหน้า
กวินพาหล่อนบึ่งตรงมายังบ้านพักริมหาด ที่ปราณบุรี ทันที เมื่อส่งพ่อแม่กลับถึงบ้านเรียบร้อย
แล้ว เขาบอกว่าเหลือ “เซอร์ไพรส์” ชิ้นสำคัญรออยู่ที่นี่
แล้วหล่อนก็ต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า “เซอร์ไพรส์” ของเขา ทำเอาหล่อน อึ้ง ทึ่ง และประทับใจจนยากจะบรรยายเป็นคำพูด
รอบนอกกระจกใสมีแปลงกุหลาบสีขาวออกดอกสะพรั่งรับแสงตะวันยามบ่าย มีฉากหลังเป็นทะเลสีครามกับต้นมะพร้าวเรียงราย ชั้นล่างของตัวบ้านซึ่งเคยเป็นพื้นที่โล่ง บัดนี้มีเฟอร์นิเจอร์ออกแบบทันสมัยวางอยู่ครบครัน ม่านลายกุหลาบถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อยตรงสองมุมเสา
ความสมบูรณ์พร้อมอยู่อาศัย ของบ้านหลังนี้ผิดแผกไปจากครั้งแรกที่หล่อนเคยมาเยือนโดยสิ้นเชิง แต่นั่นก็ไม่สร้างความประทับใจเท่า ภาพสกรีนขาวดำรอบฝาผนังเหล่านั้น
กึ่งกลางกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้านับร้อย ล้วนเต็มไปด้วย ชิ้นส่วนต่างๆที่รวมกันเป็นตัวหล่อน ไม่ว่าจะ ดวงตากลมโตมีประกายน้ำใสหล่อเลี้ยง จมูกโด่งเรียว ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มรูปกระจับ บางภาพก็รวมเป็นใบหน้าที่มีผมลอนสลวยล้อมกรอบ บางภาพก็เป็นรูปวาดทั้งตัวในอิริยาบถต่างๆกัน ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง เท้าคางเอกเขนก บางภาพก็แสดงอารมณ์เศร้า เหงา ครุ่นคิด ออกมาทางแววตา และที่สะดุดใจหล่อนที่สุดคือ ภาพหญิงสาวผมลอนกำลังนั่งวาดแบบบนบอร์ดแผ่นใหญ่..หล่อนจำได้ว่าตัวเองเคยมานั่งเก็บรายละเอียด และออกแบบชิ้นงานในลักษณะ และท่าทางเช่นนี้ มันช่างเหมือนกันเหลือเกิน เหมือนทุกกระเบียดนิ้ว จนหล่อนทึ่ง คนวาดช่างเก็บรายละเอียดได้เก่งเหลือเกิน
“ใครวาดคะ?”
หล่อนถามทั้งๆที่ พอจะเดาได้
“แล้วไข่มุกคิดว่าใครล่ะจ๊ะ..ครั้งนั้นเรามากันแค่สองคน”
มุกดาชี้นิ้วคาดโทษเขาทันที
“อ๋อ..ที่มาเดินด้อมๆมองๆจนไข่มุกเสียสมาธิตอนนั้นใช่ไหม..ที่แท้ก็มาแอบดูเรา เสียมารยาทจริงเลยพี่วินเนี่ย”
กวินหัวเราะอย่างมีความสุข เขารวบเอวหล่อนเข้ามากอดไว้ ก่อนกระซิบเสียงแผ่วเบา
“พี่วาดเก่งไหมล่ะ..”
“เก่งค่ะ..ไม่นึกว่าพี่วินจะวาดรูปเป็น แล้วก็วาดได้ดีจนน่าทึ่ง”
มุกดาขมวดคิ้วมุ่นอย่างนึกแปลกใจ เมื่อเอ่ย
“พี่วินทำแบบนี้ทำไมคะ..ไม่กลัวบ้านตัวเองเกะกะ รกหูรกตาหรือ?”
กวินพักคางลงบนไหล่กลมกลึงของหญิงสาว กลิ่นแชมพูจางๆจากปอยผมหล่อนลอยแตะจมูก
“ตอนนั้นพี่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดไข่มุกบ่อยๆ วันนึงไข่มุกก็ต้องแต่งงาน หายหน้าหายตาไป พี่คงคิดถึงแย่..เลยเก็บรูปไว้ดูต่างหน้า ถ้าไข่มุกลาคลอด หรือลาออก เลิกทำงานกับพี่เมื่อไหร่ พี่ก็กะว่าจะหนีมาพักใจที่นี่ มาอยู่กับไข่มุก ถึงไม่ใช่ตัวจริง แต่เห็นภาพ ทำให้ระลึกได้ก็ยังดี..ภาพเหล่านี้พี่วาดมันออกมาจากใจเลยนะ..จากใจทั้งหมดที่มีไข่มุกอยู่ในนั้นมานานแล้ว..แต่พอเอาเข้าจริงเรื่องกลับตาลปัตร พี่เลยตั้งใจจะเก็บไว้เป็นเรือนหอของเราแทน”
“คิดเป็นตุเป็นตะเชียวนะคะ พี่วินนี่เชื่ออะไรง่ายจัง ไม่สืบให้รู้แน่ซะก่อน”
มุกดาก้มลงมองเขาด้วยแววตาซาบซึ้งเต็มเปี่ยม สวนทางกับคำพูด
กวินยิ้มอย่างยอมรับผิดทุกประตู
“พี่มันโง่เง่า..สมควรแล้วที่ต้องได้รับบทเรียนโหดๆจากพี่สาวของไข่มุก”
“พี่เพน่ะหรือคะ?”
หล่อนถามเสียงขัน
เขาพยักหน้าน้อยๆแทนคำตอบ
“ไข่มุกอายรึเปล่า..ที่ต้องมาเป็นเจ้าสาวของคนโง่ๆอย่างพี่”
มุกดาสั่นศีรษะจนเส้นผมดุจไหมละเอียดปลิวกระจาย
“ไม่หรอกค่ะ..เราก็โง่พอกันทั้งคู่น่ะแหละ”
เสียงหัวเราะเล็กใสดังกังวานจับใจเขายิ่งกว่าครั้งไหน กวินค่อยๆพรมจูบลงบนหน้าผากมนของหญิงสาวอย่างแสนรัก
สามเดือนต่อมา งานฉลองมงคลสมรสระหว่าง มุกดา และ กวิน ก็ถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตในโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่ง ท่ามกลางความยินดีของผู้ใหญ่จากครอบครั้งทั้งสองฝ่าย
ผู้ออกแบบ ดูแล และควบคุมการดำเนินงานทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Wedding Planner คนเก่ง อย่างเพทาย หล่อนทุ่มเทเพื่อวันสำคัญของน้องสาวจนสุดความสามารถ ตั้งแต่แจกการ์ดเชิญแขกเหรื่อ ทั่วทุกสารทิศ ให้มาร่วมเป็นพยานรักระหว่างคนทั้งสอง จนแน่นขนัด เดินแทบชนกันในห้องบอลรูม ผมเผ้า เครื่องแต่งหน้าแต่งตัว ของเจ้าบ่าวเจ้าสาว กระทั่งออกแบบตัดชุดให้ผู้ใหญ่คนสำคัญในงานอีกหลายท่าน
ปัญหาติดขัดไม่ว่าเรื่องไหน หล่อนก็ยื่นมือเข้ามาแก้ไขได้ทันท่วงที บรรยากาศรื่นเริง สุขสมในงานจึงเกิดขึ้นทั่วหน้า มีแต่ผู้ใหญ่ ออกปากชม แม้กระทั่งของชำร่วยที่หล่อนเป็นคนริเริ่มออกแบบเองจากมันสมองและสองมือ
“เข็มกลัดนี่เก๋จริงนะคะ คุณหญิง..มีให้เลือกทั้งสี่สี ลูกสาวเก่งนะคะ ช่างคิด”
เพื่อนในวงสังคมชั้นสูงออกปากชม ขณะที่หยิบของชำร่วย ซึ่งเป็นเข็มกลัดรูปดอกกุหลาบขึ้นมาดูใกล้ๆ กุหลาบขาวสลักตรงก้านเป็นชื่อมุกดา กุหลาบแดง สลัก..เพทาย กุหลาบสีฟ้า สลัก..ไพลิน และสีสุดท้าย
กุหลาบเขียว..สลัก ชื่อ มรกต
คุณหญิงนารีหยิบกุหลาบดอกสุดท้ายขึ้นมา พลางทอดถอนใจ เวลานั้นคู่บ่าวสาวพากันไปยืนพูดคุยกับแขกคนสำคัญในงาน จึงมีเพียงคุณหญิงนารี และลูกสาวอีกสองคน คือเพทาย กับ ไพลิน ประจำตำแหน่งหน้างาน เพื่อร่วมกันแจกของชำร่วย
“หนูแพรก็หายหน้าไปเลย..ยายเขียวก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ไม่เคยส่งข่าวมาบ้าง แทนที่จะได้อยู่พร้อมหน้ากันในวันสำคัญแบบนี้”
“พี่เขียวเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้นะคะคุณแม่..หรือไม่ก็ลืมไปแล้วว่ายังมีพ่อ แม่ พี่น้องทุกคนรอเขาอยู่”
เพทายเอ่ยเสียงเครียด นัยน์ตามีน้ำรื้นขึ้นมา ผสมปนเประหว่างความเจ็บแค้นที่พี่สาวหนีไป กับความคิดถึงวันคืนเก่าๆในวัยเยาว์
คุณหญิงนารีทำท่าจะเป็นลมล้มพับลงตรงนั้น ยังดีที่ไพลินเข้าไปประคองไว้ทัน หล่อนส่งสายตาเคืองขุ่นมาให้น้องสาว พลางปลอบมารดาเสียงอ่อนโยน
“พี่เขียวต้องกลับมาหาเราสักวันหนึ่งค่ะ..ลินเชื่ออย่างนั้น ตอนนี้อาจยังไม่ถึงเวลา”
เพทายขยับปากเตรียมจะเถียง ก็พอดีเมรี เพื่อนสนิทของหล่อนเดินหน้าตาตื่นเข้ามา ส่งสัญญาณให้ออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัว
“มีอะไรยายเม ทำหน้าเลิกลักเชียว”
เมรีพยายามลดอัตราการหายใจของตัวเองให้ช้าลง จากการรีบวิ่งมาไกล
“ฤกษ์ไม่ดีแล้วมั้งเธอ..ฉันออกไปดูข้างนอก เห็นเขาชุมนุมแหงนคอมองอะไรกัน เลยเงยหน้าขึ้นไปดูบ้าง..คุณพระช่วย ให้ตายเถอะ มีคนกำลังจะโดดตึก!”
“เธออย่ามาล้อฉันเล่นนะ..”
เพทายถามย้ำอย่างไม่เชื่อหู
“ฉันพูดจริงๆ..มีคนกำลังจะกระโดดตึกจากชั้นดาดฟ้า”
เท่านั้นแหละ เลือดลมของสาวแสบก็พุ่งปรี๊ดถึงขีดสุด หล่อนรีบวิ่งเข้าไปในลิฟท์ที่เปิดรอไว้พอดี ไม่สนใจคำทัดทานของคนที่อยู่เบื้องหลัง
“ยายบ้าเอ๊ย..ไปช่วยเร่งให้เขาตายเร็วขึ้นรึไง..ปากเสียแล้วยังไม่เจียม”
อากาศบนนั้นทวีความเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกำลังใจที่จะปลิดชีวิตตัวเองพุ่งสูงขึ้นเป็นลำดับ แพรวายืนชิดขอบตึก เหนือชั้นบนสุดของโรงแรม หล่อนก้มลงมองรถราที่เคลื่อนสวนกันไปมาอย่างรวดเร็วบริเวณถนนใหญ่ไม่ไกลอาคาร หญิงสาวเห็นเงาทะมึนของใครหลายคนยืนกวักมือเรียกหล่อนอยู่เบื้องล่าง ราวกับมารอต้อนรับวิญญาณของผู้สิ้นหวัง ไร้ค่าเกินกว่าจะมีชีวิตต่อไป
หล่อนสูดหายใจเข้าปอดลึกที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย หลับตาพริ้มเพื่อเตรียมตื่นขึ้นมาในดินแดนหลังความตายอีกไม่ถึงเสี้ยวนาทีถัดจากนั้น เสียงแหลมเสียดแก้วหูของใครคนหนึ่งฉุดกระชากหล่อนขึ้นมาจากความมืดมิดสุดก้นเหว
“น่าสมเพชเหลือเกิน..ผู้หญิงเพียบพร้อม เก่งไปหมดทุกอย่าง คิดสั้นแค่นี้เอง”
แพรวาชะงักครู่หนึ่ง จำได้โดยไม่ต้องหันมามองว่าใครเป็นเจ้าของเสียง หล่อนนิ่งเงียบ สายตายังแน่วแน่อยู่เบื้องล่าง
“น่าอับอาย ทุเรศ อุจาดตา..เธอลองนึกสภาพศพเละตุ้มเป๊ะนอนกองอยู่กับพื้นสิ..ใครเขาจะเหลียวแล”
“ถ้ารู้แน่แล้วว่าตายไปจะเจออะไร ก็โดดลงไปเลย..”
เพทายกระแทกเสียงใส่อย่างต่อเนื่อง ไม่สนใจว่าคนตรงหน้าจะหมดความอดทน กระโดดหนีหล่อนลงไปเมื่อไหร่
“ถ้ามั่นใจแล้วว่าชีวิตหลังความตายจะดีกว่าตอนนี้ ก็ลงไปเลย..”
“กะอีแค่ผิดหวังเรื่องผู้ชายคนเดียว มันทำให้ชีวิตสุดแสนเลิศเลอเพอร์เฝ็กของเธออับเฉานักหรือไง”
“ชีวิตสวยหรู สุขสมจนใครๆอิจฉามาตลอด ฉันไม่เคยเห็นเธอผิดหวังเรื่องอะไร..แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว..โถ ไม่อยากจะเชื่อ!”
ครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียวที่แพรวาหันกลับมาสนใจหล่อน
“เข้าใจผิดแล้ว..เพทาย” เสียงดีไซเนอร์สาวสั่นเครือ ขมขื่นกว่าครั้งไหน
“ฉันทรมานมาตลอด ตั้งแต่รักคุณวิน..แล้วก็ได้รู้ว่าเขาไม่เคยรักฉัน จะทำยังไงเขาก็ไม่รัก ใจฉันร้อนเป็นไฟทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขา และทุกครั้งที่เห็นหน้าไข่มุก ไม่เคยมีความสุขเลยจนวันเดียว”
“ร้อนมากขนาดต้องทำลายชีวิตตัวเองเลยหรือไง”
เพทายถามอย่างไม่เข้าใจ
“ร้อนสิ..ร้อนเหมือนถูกไฟเผา เธอไม่เป็นฉัน เธอไม่รู้หรอก”
แพรวาพูดจบแค่นั้น ก็หันกลับไปเพ่งมองความมืดมิดเบื้องหน้า น้ำตาคลอหน่วย ไม่มีทีท่าจะหันมาสนใจน้องสาวต่างสายเลือดอีกเลย
“ก็เอาซี้..เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งทีคิดได้แค่นี้..เชิญโดดลงไปเลยให้สาแก่ใจ”
เพทายเริ่มหงุดหงิด เมื่อไม่เห็นวี่แววว่าดีไซเนอร์สาวจะเปลี่ยนความตั้งใจไปจากเดิม
“พอเธอตายไป..พ่อฉัน แม่ฉัน พี่ลิน แล้วก็เพื่อนๆของเธอ หนุ่มๆที่มารุมรักเธออาจจะเสียใจกันเป็นวักเป็นเวร แต่บอกไว้เลยนะ..ว่าไม่ใช่ นายกวิน!”
“เขาไม่มีวันเสียใจกับเธอหรอก..ตรงกันข้าม เขาจะหัวเราะสะใจ สมเพช เวทนา แล้วก็ลืมเสียสนิทว่าเคยมี ผู้หญิงบ้าๆมาคลั่งเขา ที่ชื่อ..แพรวา อยู่บนโลกใบนี้”
“เพราะเธอมันทำตัวไร้ค่า..เกิดมาหนักแผ่นดิน ตายไปก็สมควรแล้ว ฉันอีกคนหนึ่งล่ะที่จะไม่ไยดี ไม่ร่วมเผาผีคนอย่างเธอ!”
เพทายระเบิดอารมณ์ใส่เต็มที่ หล่อนคิดว่าไหนๆไม้อ่อนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นแล้ว จึงใช้ไม้แข็ง
และไม่ทันคาดคิด แทนที่แพรวาจะรีบดิ่งลงสู่แดนมรณะเบื้องล่าง หล่อนกลับหมุนตัวเข้ามา น้ำตาพรั่งพรู
หญิงสาวสวมกอดเพทายแนบแน่นตัวสั่นเทิ้มราวกับเด็กไร้ที่พึ่ง
“ขอบใจนะ..ขอบใจเธอมาก..ฉันเข้าใจแล้ว”
สาวแสบอ้าปากค้าง ตัวแข็งทื่ออยู่พักหนึ่ง อย่างตั้งรับไม่ทัน พอได้ยินคำขอบคุณเสียงหนักแน่นที่ออกมาจากใจของแพรวาครั้งแรก หล่อนก็สนองตอบด้วยการลูบหลังพี่สาวเบาๆ พลางถอนหายใจโล่งอก
กำมะหยี่สีดำสนิทบนผืนนภาคืนนี้ ไร้ซึ่งหมู่ดาวพราวพร่าง และแสงจันทร์ปลอบประโลม
เพทายทำหน้าปลงตก..
ได้แต่หวังว่าหากหล่อนจะมีความรักกับใครสักคน..ขออย่าได้มีชีวิตที่ยุ่งเหยิงอย่างมุกดา และฉากสุดท้ายอันน่าสังเวชอย่าง ผู้หญิงแสนอาภัพรักคนนี้
***********อวสาน*****************
ขอบคุณทุกการติดตาม ทุกcomment และทุกกำลังใจที่มีให้ผู้เขียนมาโดยตลอดนะคะ
จบเรื่อง “เรือนกุหลาบ” แล้ว จะมีเรื่องย่อยๆของ เพทาย มรกต แล้วก็ไพลิน ตามมานะคะ โดยเริ่มจากเรื่องของเพทาย สาวปากจัดของเราก่อน ชื่อเรื่อง “เพทายพ่ายตะวัน” ตอนนี้อัพไปได้สามตอนแล้ว ใครสนใจ รอติดตามอ่านต่อได้เร็วๆนี้ค่ะ
เข้าไปเยี่ยมเยียนทักทายกันได้ในเฟสบุ๊ค http://www.facebook.com/silarin.buddha
ขอรับคำขอบคุณ
ศิลาริน

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ค. 2555, 02:33:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ค. 2555, 02:33:38 น.
จำนวนการเข้าชม : 2290
<< บทที่ ๒๗ ฉากสุดท้าย ๒/๒ (จบแล้วจ้า) |

sirynth 27 ก.ค. 2555, 08:49:51 น.
the rewrite is definitely filled in the blanks, thanks ka.
the rewrite is definitely filled in the blanks, thanks ka.
