เพลิงรักเมียบำเรอ(ตีพิมพ์แล้ว สนพ.อินเลิฟ)
เมื่อปรุฬห์พบว่าเขาถูกจับคลุมถุงชน เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้ครอบครัวของเขายกเลิกการหมั้นหมายให้ได้ และทางเลือกของเขาก็คงมีเพียงแค่จ้างใครสักคนมาเป็นแฟนของเขา ... ว่าแต่ ...เขาจะจ้างใครดีล่ะ!?
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ปัญหาที่น่าเบื่อ


บทที่หนึ่ง
ปัญหาที่น่าเบื่อ

เรื่องมันช่างยุ่งยากสับสนอะไรแบบนี้ ...
สอบเข้าได้ไม่นานก็มีปัญหาเรื่องเงินค่าเทอม
แน่นอนว่าพี่สาวอาจจะช่วยวางใจจ่ายเงินส่วนนี้เจือลมหายใจต่อไปได้แต่ทว่าทันทีที่เหยียบพื้นบ้านสกปรกๆในซอกอับของตึกเล็กๆแบบนี้แล้วนีรนา(นีระนา)ก็เกินจะทานทนไหว
“ยี้”เธอหรี่ตาเอามือปิดจมูก แทบจะเขย่งเท้าเขยิบเขยื้อนเข้าไปในบ้านที่รกอับซึ่งเป็นเรือนพักของพี่สาว
“มันไม่สกปรกขนาดนั้นหรอกนะนีร (นีน)”พี่สาวของเธอนามว่า นราวรรณต้องบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายลากน้องสาวตัวดีเดินผ่านบันไดไม้ผุๆขึ้นไปยังห้องนอนแคบๆ
ไม่ทันที่หญิงสาวจะวางกระเป๋าสัมภาระลงบนพื้นไม้ เธอก็แทบจะวิ่งหนีออกจากบ้านหลังนี้เมื่อมองเห็นว่าหนูตัวใหญ่วิ่งผ่านหลังคาสังกะสีตรงบ้านใกล้กันก่อนจะกระโดดข้ามระเบียงหนีไป
“อะไรกันนี่”นีรนาต้องเบิกตาโพลงมองดูสภาพที่พักในอนาคตตนเองอย่างอนาถใจ
“หรือว่าแกอยากจะไปนอนห้องพักของฉันกับแฟน”
“โอ๊ย พอเถอะ ... หนูไม่อยากมีปัญหา”นีรนาบอกก่อนถอนหายใจยาวๆ เธอเลื่อนสายตาขุ่นๆมองพี่สาวก่อนจะกล่าวต่อ “ถ้าหากแม่รู้ว่าตอนนี้พี่เข้ามาทำงานประเภทไหนในเมืองแบบนี้ แม่ต้องอกแตกตายแน่ๆ”
“นีร แกจะย้ำด่าว่าฉันซ้ำซากไปถึงเมื่อไหร่”พี่สาวต้องท้าวสะเอวมองยายตัวปากดีอย่างไม่พึงพอใจ “ฉันมีเงินจ่ายค่าเทอมให้แก เลี้ยงดูแกกับพ่อแม่ก็บุญแค่ไหนแล้ว”สีหน้าพี่สาวดูเคร่งเครียด นีรนารู้ดีว่าครอบครัวเธอลำบากมากและพี่สาวก็เป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถช่วยเหลือค้ำจุนเธอได้

นีรนาเติบโตมากับสวนกับไร่ ครอบครัวของเธอเคยสุขสรรค์หรรษากับชีวิตเรียบง่ายและธรรมดา จนกระทั่งพ่อได้รับอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ อีกทั้งแม่ก็ทำอาชีพรับซักเสื้อผ้าทำให้เงินจุนเจือครอบครัวนั้นแทบไม่มี แล้วเสาหลักของครอบครัวต้องกลายมาเป็นพี่สาวเพียงคนเดียวซึ่งมีอายุต่างกับเธอแค่เพียงปีเดียวเท่านั้น
นราวรรณไม่ได้เรียนต่อระดับปริญญาตรี เธอช่วยเหลืองานสวนให้กับทางบ้านทว่าเมื่อพ่อของเธอเป็นอัมพาตไร่สวนต้องถูกจำนอง ทำให้เธอตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองหลวงหางานที่มีรายได้ดีกว่าหลายปีมาแล้ว เธอส่งเงินมาให้ทางบ้านเป็นระยะๆแม้ว่านีรนาและพ่อแม่ต่างไม่รู้หรอกว่านราวรรณทำงานอะไร
นราวรรณรักน้องสาวของเธอมาก เธอพยายามส่งเสียให้นีรนาได้รับการศึกษาสูงๆไม่มีชีวิตตกต่ำเช่นเธอ ตอนนี้น้องสาวของเธอเดินทางมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทในสาขาวิชาเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ค่าเทอมสูงขึ้นและแพงขึ้นแต่นราวรรณก็ให้สัญญากับน้องสาวว่าเธอจะส่งเสียจนน้องเรียนจบให้จงได้
ความไว้วางใจของนีรนาต่อพี่สาวทำให้เธอเต็มที่กับการศึกษาจนเมื่อเธอต้องเข้ามารับการศึกษาต่อในระดับปริญญาโท เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่ออยู่อาศัยชั่วคราวในห้องเช่าเก่าๆสกปรกๆ ได้รับรู้อีกด้วยว่านราวรรณมีอาชีพเป็นนักร้องในสถานบันเทิงซึ่งมีอาชีพเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นหญิงขายบริการร่วมกับเพื่อนสาวอีกสามสี่คน นีรนาก็แทบจะสิ้นสติ
เธอเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนเองได้รับเงินค่าเทอมจากพี่สาวด้วยเงินจากอาชีพที่เธอไม่เคยปรารถนาจะเป็นจึงทำให้เธอเกิดความรังเกียจ หญิงสาวไม่พอใจนราวรรณ เธอต่อว่าพี่ตนเองจนหนำใจดีพอแล้วสุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงว่าในเมืองหลวงซึ่งหาความจริงใจในสังคมยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรแบบนี้ อาชีพที่ทำได้ง่ายและได้เงินดีเพื่อช่วยเหลือครอบครัวได้สำหรับนราวรรณแล้วมีแค่วิธีนี้เท่านั้นเอง
นีรนาเหลือบสายตามองดูเสื้อผ้ารัดรูปของพี่สาวตัวเองกับกางเกงยีนส์ขายาว แต่งหน้าเปรี้ยวจัดจ้านแล้วก็ต้องถอนหายใจ
“แกเป็นอะไร”นราวรรณถาม “อาบน้ำอาบท่าได้แล้ว เพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเพลีย รีบนอนแล้วก็หาอะไรกินแถวๆนี้ พรุ่งนี้พี่คงว่างพาแกไปเที่ยวอุทยานที่แกอยากจะไปนักหนา”
“วันนี้คงรีบไปหาลูกค้าล่ะสิ”นีรนาเหน็บแนม
“แกอย่าพูดมาก อย่าทำให้ฉันอารมณ์เสียนะนีร”นราวรรณบอกก่อนจะรีบเดินออกจากห้องเมื่อรู้ว่าทันทีที่เธอกล่าวจบน้องสาวตัวดีจะต้องเถียงจนอาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่อีกก็ได้ “ฉันจะทำงานอะไรมันก็เรื่องของฉัน ส่วนแกมีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ เข้าใจไหม”พี่สาวบอกก่อนจะกล่าวลารีบเดินทางกลับไปยังห้องพักของตนเองกับแฟนเก่าซึ่งนีรนาเชื่อได้เลยว่าแฟนเก่าของพี่สาวตนเองคนนี้เป็นแค่เพียงแมงดาซึ่งคอยเกาะกินนราวรรณทุกวันเท่านั้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งเกลียดและกลัดกลุ้มใจ ... นีรนาเกลียดตัวเอง เธอทำอะไรไม่ได้เลย เธอรู้แต่เพียงว่าเธออยากให้พี่สาวเลิกทำอาชีพขายบริการ หางานง่ายๆได้เงินค่าจ้างพองาม ส่วนเธอก็อาจจะช่วยเหลือพี่โดยไม่ต้องเรียนต่อแม้เธอคิดว่าเส้นทางเดินของเธอมีความจำเป็นในการเรียนต่อในระดับสูงขึ้นไปอีกก็ตามที แต่ด้วยสภาพฐานะที่เป็นอยู่เธอจึงไม่มีทางเลือกมากมายนัก
“เฮ้อ”นีรนาได้แต่ถอนหายใจ ก้มหน้างุดๆเริ่มรู้สึกร้อนอบอ้าวแล้วก็อยากจะอาบน้ำ แต่เมื่อมองดูผนังห้องซึ่งมีแต่ใยแมงมุมและคราบฝุ่นเธอก็แทบจะคลั่งตาย หญิงสาวคงต้องทนอยู่ที่นี่สักพักใหญ่ๆเพื่อหาหอพักใกล้ๆมหาวิทยาลัย เธอเริ่มสงสารชีวิตตัวเอง หญิงสาวรู้สึกโดดเดี่ยวขึ้นมาในบัดดลนั้น
นีรนารีบเก็บกวาดเช็ดถูกห้องพักของเธอซึ่งพี่สาวไม่ได้มาอาศัยเป็นแรมปีแล้ว จากนั้นก็รีบอาบน้ำแล้วจึงวิ่งถลาเข้าห้องนอนแคบๆ ด้วยความอ่อนเพลียตลอดช่วงวันที่ใช้ในการเดินทางเข้ามาในเมืองหลวง


\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\\




“ไม่ต้องหรอกครับแม่”ปรุฬห์ยิ้ม หันไปมองแม่ซึ่งหยิบชุดสูทให้กับเขาในห้องแต่งตัว “ผมใส่ชุดนี้ก็ได้”ว่าพลางชี้ไปยังเสื้อคอกลมสีฟ้าซึ่งตนเองสวมใส่อยู่
“ไม่ได้หรอกลูก แขกผู้ใหญ่มาเยี่ยมเยียนเราต้องแต่งตัวดีๆ”เธอมองดูลูกชายย่นคิ้วหนาๆสบสายตาตอบแต่ทว่าเธอไม่ได้สนใจ ผู้เป็นแม่ผูกเน็กไทให้แก่ปรุฬห์ก่อนจะมองดูรูปลักษณ์ของลูกชายในกระจกแล้วจึงเผยยิ้มบางๆ “ลูกดูเป็นผู้ใหญ่แถมยังหล่อเหลาอีกด้วย แม่ดีใจจริงๆ”ปรุฬห์ยืนนิ่ง เห็นร่างสูงของตนเองในกระจก ชายหนุ่มเหลือบดูสีหน้ายกยอปอปั้นของแม่ตนเองแล้วปรุฬห์ก็รู้สึกเหนื่อยหน่าย
“คุณชายหล่อเหลาจริงๆค่ะ คุณนายรพินทร์ ป้ารู้สึกภูมิใจที่เห็นคุณชายโตขึ้นมากขนาดนี้ เมื่อวันก่อนป้ายังอุ้มคุณชาย ร้องเพลงกล่อมให้ฟัง บางครั้งก็คอยให้นมให้น้ำหรือบ้างก็พาไปนอนเปล แต่ตอนนี้คุณชายเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกไม่นานหน้าที่การงานของคุณท่านก็ต้องมอบหมายให้แก่คุณชาย เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง”แม่บ้านหัวเราะกับแม่ของเขา
ปรุฬห์ไม่ได้ฟังสิ่งที่ทั้งสองต่างสนทานากันเกี่ยวกับตนเองอีก เขามองออกไปนอกผ้าม่านผืนสีขาว ผ่านสวนหน้าบ้านไปยังประตูรั้วสีเทา เขาสังเกตพ่อบ้านวิ่งไปเปิดประตูให้รถเบนซ์สีดำสนิทเคลื่อนเข้ามาอย่างช้าๆ ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็รู้ทันทีว่ามีแขกเดินทางมาถึงแล้ว เขาแทบจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอไม่ทันเพราะแขกคนที่ชายหนุ่มรู้จักดีก็คือครอบครัวธนากิจซึ่งลูกสาวของครอบครัวนี้กำลังจะถูกหมั้นหมายกับเขาในไม่ช้า
ปรุฬห์ก้มหน้าพับแขนเสื้อ เขาคิดในใจว่าอยากจะหนีออกไปจากบ้านถ้าหากไม่มีบรรดาคนใช้คอยติดตามตลอดทุกซอกทุกมุมตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า
“คุณผู้หญิงคะ”พี่เลี้ยงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาคุณนายรพินทร์ “คุณศักรินทร์และครอบครัวเดินทางมาถึงแล้ว ดิฉันจะพาพวกเขาไปรอที่ห้องรับรองแขกก่อนนะคะ”
“จ้ะ”คุณนายบอกก่อนจะหันมามองลูกชายตัวดี “เอาล่ะ แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ลูกควรจะนำของเล็กๆน้อยๆให้แก่ครอบครัวของคุณศักดิ์เขานะ”
“อะไรอีกล่ะครับ”ปรุฬห์ถามก่อนจะมองดูคนใช้ช่วยกันขนกล่องขนาดใหญ่ก่อนจะเปิดให้ดู พร้อมกับช่อดอกไม้ในมือแม่ตนเอง “ม้าหยกสองตัว?”
“ใช่จ้ะลูก ม้าหยกสองตัวนี้เราจะมอบให้กับครอบครัวของธนากิจ แม่จะให้ลูกเป็นคนบอกคุณศักดิ์เรื่องนี้แล้วก็ช่อดอกไม้ที่ลูกจะต้องนำไปให้น้องเปมิกานะจ๊ะ”
“เปมิกาหรือ?”
“ค่ะ คุณหนู”คนใช้กล่าว “คุณเปมิกาเป็นคู่หมั้นของคุณหนูอย่างไรล่ะคะ”
“เป็นว่าที่คู่หมั้นดีกว่ามั้งครับ ผมยังไม่ได้บอกว่าอยากจะหมั้นด้วยเลยนะ”
“อย่าพูดอย่างนี้สิ รุฬห์”แม่ของเขามีสีหน้าไม่พอใจ
“แม่ก็รู้ๆอยู่”เขาบ่ายหน้าหนีดวงตาตำหนิของผู้เป็นแม่และสาวใช้ซึ่งคาดหวังว่าจะเห็นเขาพอใจกับว่าที่คู่หมั้นของตนเอง
เมื่อพร้อมแล้วพวกเขาก็เดินทางไปยังห้องรับรองแขก ปรุฬห์เดินทอดน่องขณะที่แม่ต้องสั่งให้เขากระฉับกระเฉงกว่านี้ ชายหนุ่มมองดูคนใช้เปิดประตูบุนวมพร้อมกับกล่าวสวัสดีครอบครัวคุณศักรินทร์ ชายหนุ่มยกมือไหว้ผู้ใหญ่หันไปมองดูหญิงสาวร่างเล็กในชุดกระโปรงสีขาวกับที่คาดผมสีขาว ใบหน้าของเธอระบายรอยยิ้มน้อยๆ โดยภาพรวมแล้วเธอไม่ได้น่าพิสมัยอะไรเลยเพียงสักนิดเดียว แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอคนนี้คงจะเป็นน้องเปมิกาว่าที่คู่หมั้นของเขาแน่ๆ
หญิงสาวมีสีหน้าเขินอายรีบหลุบตาเมื่อเขาสบมองด้วย
ปรุฬห์หันไปเห็นแม่ใช้สายตาออกคำสั่ง เขาจึงต้องมอบช่อดอกไม้งามให้แก่เจ้าหล่อนอย่างจำยอม
“รับไว้สิลูก”คุณแม่ของเปมิกากล่าวก่อนที่ผู้ใหญ่จะส่งยิ้มหัวเราะมองดูเปมิกากล่าวขอบคุณชายหนุ่มน่ารักผู้เป็นลูกเจ้าของกิจการบริษัทซึ่งมีหุ้นส่วนร่วมกับกิจการของพ่อตนเอง
ปรุฬห์พยักหน้ายิ้มตอบเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง เขาผิวปากเรียกพ่อบ้านพร้อมกวักมือให้นำม้าหยกสองตัวเป็นของฝากแก่คุณศักรินทร์ ทว่าคุณนายรพินทร์ไม่พอใจกับการแสดงออกของลูกชายเลยเพียงสักนิดเดียว
“ของขวัญเล็กๆน้อยๆจากครอบครัวคฤษฐานนท์ให้แก่ครอบครัวธนากิจครับ”ปรุฬห์บอกขณะมองดูคุณศักรินทร์พึงพอใจจากของขวัญชิ้นนี้
เมื่อปรุฬห์นั่งลงบนโซฟาและรับน้ำจากสาวใช้เรียบร้อยก็หันไปมองดูน้องเปมิกาซึ่งลอบมองเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องนี้แล้ว
ชายหนุ่มปล่อยให้ผู้ใหญ่สนทนากันอย่างออกรสขณะที่เขาได้แต่เพียงยิ้มและหัวเราะตอบบ้างเพียงเท่านั้น
“จบปริญญาโทแล้วออกมาช่วยเหลืองานพ่อสินะ ปรุฬห์”
ปรุฬห์ยักไหล่หันไปมองคุณศักรินทร์
พ่อของเขาคงรู้ดีว่าลูกชายคนนี้ไม่พอใจการดูตัวในครั้งนี้เลยเพียงสักนิดเดียว
“คงจะอย่างนั้นมั้งครับ หน้าที่คณะกรรมการบริหารค่อนข้างหนักหนาพอควรสำหรับผม”
“วางแผนเรียนต่อปริญญาเอกเมื่อไหร่ล่ะ”
ชายหนุ่มต้องส่ายหน้า “ไม่แน่ใจครับ”
“ฉันเสนอให้รุฬห์เลื่อนเรื่องนั้นออกไปก่อน”พ่อของเขาแทรกตอบ “ฉันอยากให้รุฬห์ช่วยเหลืองานของฉันก่อน เด็กมันได้ร่วมงานรู้จักกับลูกน้องและเรียนรู้วิธีบริหารที่ดีด้วย”พ่อของเขาหันไปสนทนากับเพื่อนตนเองอีกยาวพรืดเห็นดีเห็นชอบกันเอง โดยไม่สนใจความคิดส่วนตัวของปรุฬห์เลยเพียงสักนิดเดียว
ชายหนุ่มถูกถามอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับเป้าหมายและการเรียนกับประสบการณ์ในช่วงปริญญาตรีและโทที่ผ่านมา ปรุฬห์ได้แต่เพียงตอบไปตามเนื้อผ้า เมื่อเขาเริ่มเบื่อก็แกล้งทำทีราวกับมีโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาครั้นแล้วจึงรีบขอตัวออกไปจากห้อง ทว่าไม่วายคนใช้ก็เดินตามถามเขาตลอดเส้นทางไม่ว่าเขาจะไปไหน ชายหนุ่มหันไปหรี่สายตามองรีบๆสาวเท้ากลับเข้าห้องนอน
เขาคงจะปล่อยให้เวลาผ่านไปจนกว่าแม่จะตะโกนเรียกหรือบางทีอาจจะรอจนถึงเวลาอาหารค่ำเพื่อทานอาหารด้วยกันกับครอบครัวคุณศักรินทร์อีกครั้งก่อนจะเชิญพวกเขากลับไปให้พ้นๆสายตา
ตอนนี้ปรุฬห์ต้องการความเงียบเพื่อคิดหาทางออกที่จะยกเลิกการหมั้นหมาย
ชายหนุ่มไม่รู้หรอกว่างานหมั้นจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เขาไม่อยากมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงที่เขาไม่รู้จักมักคุ้น
น้องเปมิกายังเด็กเกินไป เขาอาจจะมีเวลารู้จักเธอมากขึ้นอย่างน้อยก็ปีหนึ่งหรือสองปีแต่ทว่าเขาเกลียดการคลุมถุงชน ชายหนุ่มจะต้องแสดงให้ครอบครัวทั้งสองฝ่ายเห็นอย่างชัดแจ้งว่าเขาไม่ชอบความคิดของการผูกมัดหมั้นหมายครั้งนี้ แต่เขาควรจะทำอย่างไร
ควรจะทำยังไงดีนะ?
ก๊อก ก๊อก
มีใครสักคนเคาะประตูโดยไม่ส่งเสียงตอบ ปรุฬห์ขานรับรีบลุกจากเตียงนอนก่อนจะเดินไปเปิดประตู ซึ่งก็พบว่าคนใช้และน้องเปมิกายืนรอเขาอยู่
“คุณน้าสงสัยว่าพี่รุฬห์เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะค่ะ”เธอหน้าแดงก่ำราวกับมะเขือเทศสุก “คือว่า ..” เธอยิ้มหวานให้เขา เห็นเช่นนี้ก็รู้ในทันทีว่าแม่ของเธอหรืออาจจะแม่ของเขาเองเป็นคนวางแผนให้เธอเดินขึ้นมาเรียกเขาเป็นแน่แท้
ปรุฬห์ต้องเกาศีรษะถอนหายใจ เขาก้มลงมองเธอหลบหน้าแทบจะม้วนตัววิ่งลงบันไดถ้าหากเธอทำได้ “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่เพลียนิดๆหน่อยๆ”เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดต่อแถมยังยืนนิ่งอยู่อีก ปรุฬห์ก็เลยต้องเอ่ยชวน “น้องเปมิกาชมสวนรอบบ้านของพวกเราแล้วหรือยังครับ มีไม้บางพันธุ์ที่คุณแม่เอามาปลูกใหม่ด้วยนะ”
“จริงหรือคะ”เปมิกาตาลุกวาวดูตื่นเต้น เธอคงจะรอให้เขาชวนอยู่ก่อนแล้วล่ะ
ปรุฬห์เดินนำเธอไปยังทางเดินเข้าสู่สวนดอกไม้ทันทีนั้น
สภาพสีเขียวและดอกไม้นานาชนิดสวยงามจนหญิงสาวพออกพอใจเป็นอย่างมาก เธอชอบลักษณะการสร้างเขาวงกตของสวนแห่งนี้ ปรุฬห์คอยบอกพันธุ์ไม้ บางครั้งพ่อบ้านก็จะคอยอธิบายเสริมซึ่งทำให้การสนทนากันระหว่างเขาและคู่หมั้นดูไม่จืดชืดจนน่าเบื่อ
หลังจากนั้นแล้วครอบครัวทั้งสองก็ร่วมกันรับประทานอาหารเย็น
แม้ว่าตลอดวันนี้ปรุฬห์เพียงแค่สร้างภาพให้ตนเองดูเป็นผู้ใหญ่ในสายตาของครอบครัวธนากิจ แต่มันก็เป็นเพียงสิ่งหลอกลวงที่เขาทำเพื่อพ่อแม่ ไม่ใช่ตัวของเขาเองเลย ชายหนุ่มมองดูรอยยิ้มรอบกายและความพึงพอใจของพ่อแม่ทว่าเขาไม่ได้มีความสุขร่วมด้วย เขารู้ดีว่าเขาไม่พร้อมจะแต่งงาน ...
ปรุฬห์กำลังคิดเพียงเรื่องงานและการศึกษา เขาอาจจะสนใจหญิงสาวต่างคณะในบางครั้งแต่เขาไม่ได้อยากจริงจังกับใครเลย
เปมิกาอาจจะเป็นแฟนของเขาได้ แต่เป็นภรรยาของเขาไม่ได้ ไม่ใช่ตอนนี้ ... ไม่ใช่ช่วงเวลาที่หัวใจของเขามอบให้คนอื่นจนมันเหี่ยวเฉาแห้งตายไปกับแฟนเก่าของเขา ณ กรุงลอนดอน ซึ่งก็นับว่าเป็นประสบการณ์เพียงครั้งเดียวนับตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ... แล้วมันก็เป็นความรักอันบริสุทธิ์หนึ่งเดียวของเขาตลอดมา



PakkieDavie
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ส.ค. 2555, 21:02:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ส.ค. 2555, 21:04:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1586





<< บทนำ   พบเจอ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account