รักในมือมาร
'ฉันเคยรู้จักความรัก และฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อไม่สมดังหวัง

แต่ฉันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อต้องอยู่กับคนที่ไม่มีความรักให้ฉันเลย'


/////




"คุณไม่เข้าใจเหรอหนูหริ ว่าการอยู่ด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องรักกันมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือคุณอุ้มท้องลูกของผม คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"

"คุณเองก็มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัว คุณจะกักขังฉันไว้ทำไม...คุณศินรินทร์ ฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการ... ไม่ใช่เลย..."

"ต้องการหรือไม่ต้องการคุณจะมารู้ใจผมได้ไงณสิริ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณเป็นของผมไงล่ะ หรือจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะไอ้ที่ป่องมาก็เป็นหลักฐานชั้นยอดอยู่แล้วนี่"

"คุณมันใจร้าย"

"รู้ไว้ก็ดี!"

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 4




สามเดือนต่อมา...

วันนี้ฉันมาจันทบุรีกับคุณศินรินทร์ เขามาดูพลอยสดจากพ่อค้าและนักสะสมพลอยเก่าๆ แล้วก็นายหน้าที่ตกลงกันไว้ เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ก่อนจะรับกลับไปเพื่อคัดแยก และเตรียมนำไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ

เขาคงอยากให้ฉันสูดอากาศนอกบ้านบ้างกระมัง เพราะฉันไม่เคยได้ออกไปไหนเลยยกเว้นโรงพยาบาล วันนี้ก็เลยให้ฉันตามมาด้วย

“คุณอยากเล่นน้ำทะเลหรือเปล่า”

นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน ฉันคงกระโดดโลดเต้น บอกขอบคุณ แล้ววิ่งลงเล่นน้ำอย่างสนุกนาน โดยเฉพาะมาในสถานที่ส่วนตัวสวยๆ แบบนี้ด้วยแล้ว ยิ่งดีเข้าไปใหญ่

หากตอนนี้อารมณ์ของฉันเปลี่ยนไป ฉันไม่นึกสนุกอย่างแต่ก่อนเลย ฉันอยากพักผ่อนมากกว่า แม้ว่าท้องของฉันจะไม่ใหญ่มากทั้งที่อายุครรภ์จะเข้าสัปดาห์ที่สามสิบสอง แต่ฉันก็ปวดหลังและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางราวๆ สามชั่วโมง

ที่นี่เหมือนรีสอร์ทหรูมากกว่าบ้านพักธรรมดา พื้นที่ในอาณาเขตล้วนเป็นหญ้าสีเขียวไม่มีดินให้เห็น ปลูกไม้ใหญ่ไว้เป็นจุดๆ มีแผ่นหินปูไว้เป็นทางเดินรวมทั้งทางรถ มีบ้านสีขาวทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่สองชั้น สไตล์โมเดิร์น ตั้งอยู่บนเนินหญ้า เด่นเป็นสง่า

ห่างออกไปจากตัวบ้านไม่มาก เป็นเนินหาดทราย ลาดลงไปถึงทะเล หาดทรายที่นี่เป็นสีขาวหม่น เนื้อละเอียด น้ำก็ใส มองไปไม่ไกลก็เห็นน้ำทะเลเป็นสีเขียวปนสีฟ้าอ่อน และฉันคิดว่าจุดที่ฉันยืนอยู่ คงจะเป็นโซนหลังบ้าน เพราะนอกจากจะติดกับโรงจอดรถที่จอดได้สามคัน ฉันก็ยังไม่เห็นหน้าบ้านเลย เพราะฉันเห็นแค่ด้านข้างและประตูทางเข้าด้านหลัง

ฉันเพิ่งรู้ว่าทะเลฝั่งอ่าวไทยก็สวยไม่แพ้ทะเลฝั่งอันดามันสักนิด และทะเลทั้งสองที่นั้นก็ล้วนสวยไปคนละแบบ แต่รู้สึกว่าที่นี่เงียบสงบดีจัง

และเพราะความสวย ทะเลสะอาด จึงทำให้ฉันสรุปได้ว่า บางที... แถวนี้อาจไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็จะมาเที่ยวเล่นก็เป็นได้ หาดทรายหรือสภาพแวดล้อมถึงยังคงความสวยงามอย่างที่เห็นนี้

“ผมอยากเห็นคุณร่าเริงเหมือนเดิมนะหนูหริ ไม่ใช่แค่ยิ้มเฉยๆ เวลาเห็นอะไรถูกใจ”

คุณศินรินทร์เดินมายืนเคียงใกล้ มองไปทางเดียวกับฉันซึ่งเป็นทะเลกว้าง

“อาจเป็นเพราะฉันโตขึ้นมั้งคะ จะเป็นแม่คนแล้วด้วย แล้วฉันก็รู้สึกเพลียน่ะค่ะ”

คุณศินรินทร์ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขากุมมือฉันเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน ฉันเห็นบริเวณชั้นล่างนั้นเกือบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นกระจกใสที่ข้างในล้วนปิดไว้ด้วยผ้าม่านสีขาว

และเมื่อประตูถูกเปิดออก ฉันเห็นภายในบ้านได้ถูกทำความสะอาดไว้เรียบร้อย ที่นี่ตกแต่งสไตล์โมเดิร์นโทนสีขาว-น้ำตาลเข้ม ดูเรียบๆ แต่ก็สวยเก๋ไก๋มาก

ฉันได้ข้อมูลมาว่าที่นี่เป็นบ้านพักของเพื่อนคุณศินรินทร์ แต่ฉันไม่เคยเห็นเจ้าของบ้านหรอกนะ เพราะถึงฉันจะเคยทำงานให้เขามากขนาดไหน รู้จักคนใกล้ชิดของเขามากเท่าไหร่ แต่ใช่ว่าฉันจะรู้ไปหมดเสียทุกเรื่องนี่นา

และระหว่างที่ฉันกำลังชมสิ่งที่เห็นอย่างเพลินตา คุณศินรินทร์ก็บอกฉันว่า

“แม่บ้านที่นี่เตรียมของสดไว้แล้ว เดี๋ยวผมจะโชว์ฝีมือเอง”

ฉันเงยหน้ามองเขา

“คุณไม่เหนื่อยหรือคะ พักก่อนก็ได้ ฉันแค่เพลีย ยังไม่หิวเลยค่ะ”

“ผมรู้ว่าคุณยังไม่หิวหรอก แค่บอกเฉยๆ จะได้เตรียมตัวเป็นลูกมือให้พ่อครัวสุดหล่อคนนี้ไง”

คุณศินรินทร์ก้มลงกระซิบบอกฉัน แววตาขี้เล่นไม่เคยปิดบัง ขณะพยักพเยิดไปทางประตูกว้างที่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นครัว แล้วเขาก็เดินแยกเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ ส่วนฉันก็เดินเข้าไปตามทิศทางที่คุณศินรินทร์บอก แล้วก็ใช่ห้องครัวจริงๆ ด้วย

ตอนนี้ฉันไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเขาเหมือนในช่วงก่อนอีกแล้ว เนื่องจากเราสองคนใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกัน และการทำอาหาร ก็เป็นหนึ่งในรายการที่คุณศินรินทร์เลือกใช้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างเราให้ดีขึ้น

คุณศินรินทร์พยายามทำให้ฉันลดความกลัวเขาด้วยการอยู่ดูแลอย่างใกล้ชิด ทำตัวประหนึ่งเป็นเงาของฉัน ดูแลจนบางครั้งฉันก็ยังกลัวว่าตัวเองจะเป็นง่อย เพราะเขาหยิบจับทำให้เกือบทุกอย่าง ไม่มีเลยที่จะหายหน้าไปเกินห้านาที จนทำให้ความสนิทสนมก่อตัวขึ้นมาใหม่

ฉันรู้ว่าคุณศินรินทร์ประกบความเคลื่อนไหวของฉันตลอด และคิดว่าเขาวัดดัชนีความกลัวของฉันจากผลการวินิจฉัยทุกครั้งหลังจากการพบคุณหมอ ซึ่งครั้งล่าสุด ความดันของฉันเข้าสู่ภาวะปกติ สภาพร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติ นั่นจึงทำให้คุณศินรินทร์สบายใจ ว่าทั้งฉันทั้งลูกปลอดภัยแน่นอน และนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากล้าพาฉันออกมานอกบ้านไกลๆ เช่นวันนี้ด้วยกระมัง

ฉันเปิดตู้เย็น หยิบน้ำออกมารินใส่แก้ว คุณศินรินทร์คงหิวน้ำไม่น้อย เพราะระหว่างทางเขาไม่ดื่มอะไร แล้วสายตาของฉันก็เหลือบแลไปเห็นว่าชั้นล่างในตู้นั้นมีส้มเขียวหวานเตรียมเอาไว้เพียบ

‘คุณศินรินทร์คงสั่งไว้สินะ’

เพราะพลขับกิตติมศักดิ์ของฉัน เขาไม่ชอบดื่มน้ำอัดลม ไม่ดื่มน้ำผลไม้สังเคราะห์ เขาชอบน้ำส้มคั้นสดๆ ใส่เกลือนิดหน่อยมากกว่า แต่พวกไวน์กับเหล้าเพียวๆ ไม่ยักกะเว้นแฮะ แถมยังคอแข็งอีกด้วย

ฉันไม่รอช้าที่จะคว้ามีด เขียง กับแก้วเปล่าอีกหนึ่งใบ จากนั้นก็ลงมือปฏิบัติการล้างส้มและคั้นน้ำอย่างว่องไว

และ...

เกลืออยู่ไหนกันล่ะเนี่ย

ฉันไล่เรียงมองหาสิ่งที่ต้องการไปรอบๆ

หากในใจกลับสะดุดกับสิ่งของที่เห็น ว่าคนมีเงินนี่เขาทำอะไรก็ดูเหมือนจะใช้แต่ของดีๆ สวยๆ ทั้งนั้น ก็แน่ล่ะ สิ่งเหล่านี้ล้วนตอบสนองความสำเร็จหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการทำงานหาเงินนี่นา จนฉันอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงเมื่อครั้งอาศัยอยู่กับภณิชชา หรือแม้แต่ที่บ้านเก่าของตัวเอง เพราะบ้านของเพื่อนรักฉันนั้น สภาพบ้านก็กลางเก่ากลางใหม่ บางจุดก็มีตะไคร่ แต่ฉันว่าคลาสสิกดีออก ฉันว่ามันเหมือนชีวิตคนธรรมดาๆ ที่ใครเขาก็เป็นกัน

ส่วนเครื่องอุปโภคภายในบ้านของภณิชชาก็ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่ามากมาย มีเครื่องมือเครื่องใช้เกือบครบ แต่ฉันรู้สึกได้ว่าในบ้านนั้นล้วนมีแต่ความอบอุ่น มีจิตวิญญาณ แม้ว่าเจ้าของบ้านเดิมคือพ่อกับแม่ของภณิชชา จะไม่ได้อยู่กับลูกสาวคนเดียว เพราะต้องไปอยู่ต่างจังหวัดเพื่อดูแลทวด ส่วนสภาพบ้านเดิมของฉัน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับบ้านของภณิชชาหรอก จะต่างกันก็ตรงที่มีต้นไม้เยอะกว่ามากๆ เท่านั้นเอง

คือ... ที่ฉันนึกไปถึงสถานที่ทั้งสอง นั่นก็เพราะไม่ว่าฉันจะอยู่ที่ไหน ฉันก็ล้วนปรับตัวได้ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าที่ที่ตัวเองอยู่นั้นไม่เหมาะสมกับตัวเองสักนิด ซึ่งฉันไม่ต้องการของใช้ที่หรูหา ไม่ต้องการเครื่องใช้ที่ทันสมัย ไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องมีอะไรๆ ที่ไฮเทคเทียบเท่ากับคนอื่นที่เขามีมากกว่าฉัน หรือมีของดีมากกว่าฉัน

เพราะความจริงนั้น ขอเพียงทุกๆ อย่างในบ้านล้วนมีความหมาย มีความอบอุ่น มีประวัติที่มา เช่นว่า ฉันเห็นกระทะไฟฟ้าใบละไม่กี่สตางค์ที่เอาไว้ผัดเอาไว้ต้ม ซึ่งกระทะไฟฟ้าใบดังกล่าวมาจากน้ำพักน้ำแรงของฉัน หรือเป็นสิ่งของที่พ่อแม่หามาด้วยความเหน็ดเหนื่อยจนตกทอดมาถึงฉัน และไม่ว่าฉันเห็นกระทะไฟฟ้าใบนั้นสักกี่ครั้ง ฉันก็ต้องยิ้มและภาคภูมิใจเสมอ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องมีราคาค่างวดแม้แต่น้อย

และที่สำคัญคือไม่ทำให้ฉันประหม่า ไม่ทำให้รู้สึกว่าฉันไม่เหมาะสมกับสิ่งนั้น หรือไม่ทำให้ฉันรู้สึกว่าใช้ชีวิตกันคนละโลก เช่นเดียวกับตอนนี้ที่รู้สึก ก็คงจะดีไม่น้อย

ฉันรู้ดีว่าคุณศินรินทร์เขาอยู่ในสังคมระดับไหน ฉันอยู่ในสังคมระดับไหน เพราะทุกครั้งที่ฉันติดตามเขาไปทำงานและต้องเข้าพักในสถานที่ต่างๆ ซึ่งแต่ละแห่งล้วนต้องดีที่สุด สวยที่สุด สะดวกที่สุด และแน่นอน ไม่พ้นความหรูหราสมฐานะตำแหน่ง ซึ่งตอนนั้นฉันไม่ได้รู้สึกอะไร ฉันรู้สึกเพียงว่าดีเสียอีก ลาภลอยแท้ๆ เจอของแปลกใหม่ ได้ไปในที่ไม่เคยพบไม่เคยเห็น เกิดมาเพิ่งเคยเจอะเคยเจอ และเคยสัมผัสสังคมคนไฮโซ ก็เลยตื่นเต้นเป็นธรรมดา

แต่ทว่าในวันนี้... ฉันกลับรู้สึกเพียงของพวกนี้ ไม่จีรัง ไม่ยั่งยืน แม้จะหรูหรา งดงาม แต่ในความรู้สึกของฉันกลับไม่ได้งดงามหวือหวาตามสิ่งของเลย การใช้ชีวิตอยู่กับของพวกนี้ ไม่ได้ช่วยให้ฉันรู้สึกอบอุ่นหรือมั่นคงเหมือนที่เคยอยู่บ้านของตา ที่ตอนนี้ตกเป็นของพี่ชาย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ฉันเติบโตมานับแต่จำความได้ หรือแม้แต่จะเปรียบเทียบกับตอนอยู่บ้านของภณิชชา ก็ยังไม่ให้ความรู้สึกเช่นนั้นสักเสี้ยวกระผีก ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่ที่นี่ แต่รวมถึงบ้านของคุณศินรินทร์ เพราะความรู้สึกลึกๆ ของฉันที่อยู่ท่ามกลางสิ่งของเหล่านี้มีเพียงความเหน็บหนาว กลัว โดดเดี่ยว และไม่มั่นคง ฉันไม่ได้รู้สึกถึงการเป็นเจ้าของที่ได้มาอย่างภาคภูมิใจในสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าฉันจะจดทะเบียนสมรสกับคุณศินรินทร์เมื่อราวๆ สองเดือนก่อนแล้วก็ตาม

ฉันไม่รู้ว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่ลงลายมือชื่อแล้วเปลี่ยนคำนำหน้าของตัวเองจากนางสาวณสิริ เจริญชยุต มาเป็น นางณสิริ กุลวัฒนา ตามคำบอกกึ่งคำขู่ของเขา

คือ... จริงๆ แล้วคุณศินรินทร์ก็ไม่ได้ขู่ฉันฟ่อๆ หรอกนะ หากแต่ละคำพูดของเขาก็เจ็บๆ คันๆ น้อยเสียเมื่อไหร่ เช่นที่ว่าลูกต้องใช้นามสกุลเขา ควรมีชื่อฉันเป็นแม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าในเมืองไทยจะไม่ถือเรื่องการจดทะเบียนสมรสหรือการแต่งงาน แต่เขาถือมาก เพราะเมืองนอกนั้น หากลูกที่เกิดกับแม่ที่ไม่ได้รับการแต่งงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือแม้แต่โดยประเพณี จะถูกคนอื่นเขาดูถูกดูแคลน ซึ่งคุณศินรินทร์ต้องปกป้องลูกของเขา

คือ... ฉันเองก็ไม่รู้ธรรมเนียมอะไรนั่นหรอก เพราะฉันเกิดที่ประเทศไทย โตในประเทศไทย และใช้ชีวิตในประเทศไทย ก็เลยไม่คิดว่าจะสำคัญตรงไหน แต่ถ้าคุณศินรินทร์เขาคิดแบบนั้น ก็ให้ถือว่าเขาให้ความรู้กับฉันก็แล้วกัน และนั่นก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี

และเมื่อฉันยังไม่ให้คำตอบ คุณศินรินทร์ก็พูดจาหว่านล้อม ทำนองว่าฉันจะไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับเขาได้อย่างไร ในเมื่อลูกก็มีด้วยกันแล้ว แล้วลูกออกมาจากตรงไหน คนๆ นั้นก็ต้องเป็นแม่ ที่สำคัญคือต้องมีชื่อเขาเป็นพ่อ เพราะเขาเป็นคนให้กำเนิดชนิดเสียน้ำพักน้ำแรง แถมยังต้องแลกมาด้วยเลือดด้วยเนื้อเกือบทุกครั้ง

และเขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาเป็นแม่ของลูกเขา เช่นนั้น ฉันไม่ควรยึกยักหรือดึงเรื่องให้ยืดเยื้อ เพราะลูกจำเป็นต้องมีพร้อมทุกอย่าง ในเมื่อเขารับผิดชอบเต็มที่ และฉันซึ่งเป็นแม่ก็ไม่ควรปฏิเสธหรืออิดออดด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น เพราะประโยชน์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ย่อมตกแก่ลูกเพียงคนเดียว รวมถึงอะไรอีกมากมาย ที่กว่าฉันจะยอมเซ็นชื่อ คุณศินรินทร์ก็ต้องเปลืองน้ำลายไปหลายวัน

และในวันจดทะเบียนสมรส ทุกอย่างล้วนทำการที่บ้านคุณศินรินทร์ เพราะเขาไม่ให้ฉันออกไปไหน

ในวันนั้น หลังจากที่นายทะเบียนมาถึง ฉันจึงได้รู้ว่าคุณศินรินทร์ใจดี ยอมให้ฉันมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของเขาถึงครึ่งหนึ่ง เฉพาะในส่วนที่เขาหามาได้ทั้งก่อนและหลังจากที่เราจดทะเบียนสมรสกัน โดยไม่รวมถึงมรดก ยกเว้นว่าลูกของฉันจะถือกำเนิดและอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ ซึ่งมรดกนั้นจะตกเป็นของลูกอย่างชอบธรรม แต่มรดกนั้นจะต้องเฉลี่ยอย่างเท่าเทียมกับบุตรคนอื่นๆ ของคุณศินรินทร์ หากมีและถือกำเนิดขึ้นในภายหลัง

ฉันเองก็ฟังๆ โดยไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่อยากให้คุณพ่อกับคุณแม่ของคุณศินรินทร์ท่านหนักใจมากกว่าเดิม เพราะแค่ที่ต้องมานั่งมองลูกชายของท่านจดทะเบียนสมรสกับเลขาฯ ส่วนตัว แถมกำลังท้องป่องอย่างฉัน ฉันก็ยิ่งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ในเมื่อท่านทั้งสองก็พอจะรู้จักฉัน ดังนั้น ฉันจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาตลอดงาน เพราะฉันรู้ว่าบิดามารดาของคุณศินรินทร์รับรู้พฤติกรรมของบุตรชายเป็นอย่างดี รู้สเป๊กสาวๆ ของลูกชายท่านเป็นอย่างดี รู้ความเคลื่อนไหวทุกอย่าง แต่ท่านก็ไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยว แล้วงานนี้ หากท่านไม่คิดว่าฉันจะจับคุณศินรินทร์เพราะเห็นแก่เงิน ฉันก็ไม่รู้ว่าท่านจะคิดกับฉันเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร

และในเมื่อท่านทั้งสองมาลงชื่อเป็นสักขีพยานให้ แถมคุณแม่คุณศินรินทร์ยังถามฉันอีกว่าอยากได้งานแต่งแบบไหน ซึ่งฉันก็ตอบแบบเกรงใจว่าไม่ต้องก็ได้ ที่ผ่านมาก็ถือว่าได้แต่งไปแล้ว ฉันไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนจะมาร่วมงานหรอกค่ะ ซึ่งท่านก็พยักหน้าว่าเข้าใจ

เพียงเท่านั้นก็นับว่าท่านทั้งสองเมตตาฉันมากพอสมควร และโชคดีที่ท่านไม่โวยวายกับการต้องรับสะใภ้กะโหลกกะลาอย่างฉันเข้าร่วมวงศ์ตระกูล

เฮ้อ... ฉันรู้สึกว่าทุกอย่างดูขลุกขลักเหลือเกิน มันดูผิดที่ผิดทางจริงๆ

หลายสิ่งที่ฉันได้มา จึงทำให้ไม่มั่นใจว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป ฉันกลัว... ว่าสักวันหนึ่ง ฉันเองก็อาจจะมีชะตากรรมไม่ต่างจากผู้หญิงในอดีตของคุณศินรินทร์ ที่เมื่อไหร่ยังสด ยังใหม่ หรือมีเรื่องให้คุณศินรินทร์ตื่นเต้นเร้าใจ หรือทำให้เขารักเขาหลง เขาก็ทุ่มเทเต็มที่ แต่เมื่อไหร่ที่เขาเบื่อ เซ็ง ไม่พอใจ เขาก็จะให้เงินเอาไว้ให้ทำทุนสักก้อน แล้วต่างฝ่ายต่างก็ลาจาก ไม่ว่าฝ่ายหญิงจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็เถอะ

แต่นั่นจะมีความหมายอะไรสำหรับฉัน ฉันไม่ได้ต้องการเงินทองของเขา ฉันไม่เคยต้องการทรัพย์สินของเขา ไม่เคยต้องการตัวเขา เพราะสิ่งที่ฉันต้องการคือความมั่นคงในชีวิต ต้องการชีวิตธรรมดาๆ ที่มีความสุขในทุกๆ วัน ฉันไม่อยากได้ครอบครัวที่มีแนวโน้มว่าจะแตกแยก เมื่อที่สุดแล้วหากลูกต้องมารับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นไม่วันใดก็วันใด แล้วคนเป็นแม่ที่ไหนอยากจะให้ลูกต้องมาเจอะเจอกับสภาพเหล่านี้ คนเป็นแม่ที่รักลูกจริงๆ จะเห็นแก่เงินทองหรือเอาแต่ความสุขส่วนตนมากกว่าอนาคตของลูกเชียวหรือ หากรู้แน่แก่ใจเช่นเดียวกับฉัน

แล้วฉันจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรกัน เมื่อที่สุดแล้ว ความสวยงามหรูหราไม่ได้ให้ความมั่นคงในความรู้สึกแก่ฉันเลย สิ่งของที่ได้มาและเป็นอยู่ ไม่ได้ทำให้ฉันมั่นใจขึ้นได้เลย

“คิดอะไรอยู่ ยืนเหม่อตั้งนาน”

ฉันสะดุ้ง “ป...เปล่าค่ะ” นี่คุณศินรินทร์เดินมาถึงตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เขากำลังพยายามเอื้อมมือมากอดฉันจากด้านหลัง

ฉันพยายามเบี่ยงตัวออกมา แต่คนตัวโตกว่าก็ยืนบังและปิดกั้นทางหนี ฉันจึงได้แต่อยู่นิ่งๆ กระทั่งมือทั้งสองของคุณศินรินทร์วางไว้บนท้องของฉันเรียบร้อย เกยคางไว้บนไหล่ของฉันเรียบร้อย พูดกับฉันว่า

“ผมแค่อยากกอดลูกบ้าง คุณจะไม่ยอมเลยหรือหนูหริ ผมจับที่พุงคุณทีไร ไม่เห็นเหมือนได้กอดลูกสักนิด”

“ฉัน...”

ฉันอยากจะบอกเขาว่า เอาไว้รอให้ลูกออกมาก่อนก็ได้ จะกอดวันละยี่สิบรอบสามสิบรอบ หรือกอดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก แต่นี่ลูกยังอยู่ในท้องของฉัน ก็ไม่เท่ากับว่าตอนนี้เขากอดฉันหรอกหรือ

แต่ฉันก็พูดไม่ออก ฉันไม่อยากทำร้ายความรู้สึกของเขา ไม่อยากทำให้เขาเสียอารมณ์ เช่นเดียวกับที่คุณศินรินทร์ไม่ทำร้ายความรู้สึกของฉัน นับตั้งแต่วันนั้นที่เราตกลงกันว่าจะทำทุกอย่างเพื่อลูก

ฉันรู้สึกแปลกๆ ที่คุณศินรินทร์จะกอดลูกแบบนี้ ประมาณว่าเขาต้องการกอดฉัน เลยเอาเรื่องนี้มาบังหน้า แต่ฉันก็ไม่อยากคิดไปเองหรอกนะว่าตัวเองมีดีจนทำให้เขารักเขาหลงได้ ฉันไม่อยากผิดหวัง ไม่อยากเสียใจ คุณศินรินทร์อาจพูดจริงเรื่องกอดลูก เพราะก่อนนี้เขาก็เคยเอามือมาวางไว้ที่หน้าท้องของฉันบ่อยๆ ตั้งแต่รู้ว่าลูกเริ่มดิ้น และจากนั้นทุกวัน เขาก็มักจะทำแบบนี้หลังจากคิดว่าฉันหลับไปแล้ว

แต่ถึงฉันจะหลับ ฉันก็สะดุ้งตื่นทุกครั้งที่เขาสัมผัสนั่นแหละ

นั่นสินะ เขาคงรักลูกมากๆ อยากกอดลูกมากๆ ต่างหาก

ฉันนี่คิดอะไรไปได้

“น้ำค่ะ”

ฉันตัดสินใจยกน้ำในแก้วที่เทไว้ก่อนนี้เป็นระฆังบอกว่าหมดยก

“ว้า ให้เวลาน้อยจังเลย”

ดูเหมือนคุณศินรินทร์จะรับมุกกับความคิดของฉัน และแม้จะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ถอยห่างออกไปโดยดี

มือใหญ่รับน้ำไปพร้อมกับส่งรอยยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้ เขาจะรู้บ้างไหม ว่ารอยยิ้มแบบนี้ช่างขับเน้นความหล่อเหลาของเขาให้ดูสดใสมีเสน่ห์มากมาย และใบหน้านั้นก็ดูเด็กกว่าอายุจริงเสียอีก

ว่าแต่... ทำไมฉันถึงได้มีความคิดแบบนี้กัน

“ชื่นใจจัง”

เขาพูด หลังจากยกน้ำขึ้นดื่มจนหมด แล้วก็ต่อด้วยน้ำส้มที่ฉันถือไว้รอ

และเพียงแค่เขาดื่มเข้าไปหนึ่งอึก

“น้ำส้มนี่ไม่กลมกล่อมเหมือนทุกทีเลยหนูหริ”

ดูเขาทำหน้าเข้าสิ ฉันก็เลยสารภาพว่า

“คือ... ฉันหาเกลือไม่เจอน่ะค่ะ พอดีคุณลงมาก่อน”

“อืม... ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมัน เล่นน้ำกันไหม”

ฉันส่ายหน้า ยิ้มให้นิดหนึ่ง และเดินเบี่ยงออกมา หวังจะนั่งที่โซฟา แต่คุณศินรินทร์กลับยกเข่าขึ้น ทำนองว่าเอาขามาขวางไว้ไม่ให้ฉันเดินหนี

ฉันว่าสภาพในตอนนี้ชักจะใกล้ชิดกันมากเกินไปเสียแล้ว จนฉันไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวจะไปโดนอะไรนอกจากขาอ่อนของคุณศินรินทร์

“เกลืออยู่ตรงนี้”

เขาเอื้อมมือขึ้นไปยังตู้ชั้นบนตรงกับหัวของฉัน แล้วเขาก็ขยิบตาให้ฉันนิดหนึ่ง โดยในมือมีขวดแก้วขนาดเล็กติดมาด้วย ดวงตาของเขาจับจ้องที่ใบหน้าของฉันโดยไม่ได้เคลื่อนจากไปไหน แม้ในขณะที่มือข้างเดียวนั้นกำลังบิดฝาสีเงิน แล้วเหยาะๆ เกลือลงในแก้วน้ำส้ม

นี่เขากำลังให้ท่าฉันหรือเปล่า เขาอ่อยฉันใช่ไหม แต่ที่จริงแล้วคุณศินรินทร์ก็ทำท่าทางแบบนี้บ่อยไปนะ ฉันต่างหากที่คิดมากไปเอง

“หยิบช้อนให้ผมหน่อยสิ”

แล้วน้ำเสียงเหมือนจะอ้อนๆ นี่อีกล่ะ ฉันชักจะขนลุกแฮะ เลยรีบปฏิบัติการตามคำเรียกร้องในทันใด เพราะรู้สึกอึดอัดที่เขาอยู่ใกล้ชิดในลักษณะนี้ จนคิดว่าถ้าเป็นผู้หญิงอื่น คงไม่พ้นว่าถูกเขาเกี้ยวเป็นแน่แท้ แถมยังถูกเกี้ยวในระยะเผาขนเสียด้วยสิ

และเมื่อสบโอกาส ฉันก็รีบเดินออกมา เสียงกริ๊กๆ กระทบโสตให้รู้ว่าเขาอยู่ข้างหลังไม่ไกล

แล้ว...

“สวยจังเลยค่ะ”

ฉันพึมพำอย่างไม่ได้ตั้งใจเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ฉันไม่คิดว่าคุณศินรินทร์จะรูดผ้าม่านออกไปทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว

ตอนนี้ สายตาและท่าทางของฉันอาจคล้ายดังคนละเมอ เมื่อสิ่งที่เห็นคือเวิ้งทะเลไม่มีจุดสิ้นสุด ฉันเห็นน้ำทะเลสีเขียวปนสีฟ้าอ่อนไล่ไปจนสีเขียวแก่และเป็นสีคราม มีหาดทรายขาวสะอาดตา พร้อมกับลมโชยมาเบาๆ

ฉันมองทุกอย่างผ่านกระจกบานใส จนเหมือนกับว่าสิ่งที่เห็น ถูกบรรจุอยู่ในกล่องแก้วขนาดใหญ่ใบหนึ่ง

สวยมากจริงๆ สวยเสียจนเปลี่ยนความคิดของฉันที่ไม่อยากเล่นน้ำก่อนนั้น ต้องเอากลับมาทบทวนใหม่ และฉันคิดว่าตอนนี้แดดแรงไป เอาไว้ให้ตะวันคล้อยใกล้ตกดิน ค่อยเดินออกไปรับลมก็คงไม่สายเกิน

ใช่! นั่นเป็นความคิดที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว

คุณศินรินทร์มาหยุดยืนข้างๆ เขาโอบไหล่ของฉัน แล้วพาฉันเดินออกไปที่ชานข้างนอกด้วยกันอย่างไม่เร่งรีบ และเมื่อเราหยุดอยู่ตรงราวกั้น

“นี่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมว่าคุณคงลงเล่นน้ำทั้งชุดที่ใส่มาแน่ๆ ผมจำได้นะ ตอนที่ไปหาดขนอมน่ะ คุณลงทั้งชุดทำงานเลยทีเดียว”

เอ่อ... นี่เขารู้ด้วยหรือว่าฉันลงไปเล่นน้ำ ฉันนึกว่าเขาเข้าห้องพัก แล้วก็หลับไปเลยเสียอีก

แล้วนี่เขาไปเห็นตอนไหน ก็ตอนที่ฉันเล่นน้ำน่ะ ฉันแอบไปเล่นนี่นา เพราะฉันเห็นว่ามีเวลาว่างอีกตั้งสามชั่วโมง ก็เลยขอใช้เวลาที่เหลือเป็นการฉลองให้ตัวเอง หลังจากทำงานให้เขาอย่างเหน็ดเหนื่อย เพราะฉันรู้ว่าเวลาที่คนยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้เหนื่อยจากการทำงานหรือเหนื่อยจากการเดินทาง เขาจะเข้าห้องแล้วหลับเป็นตาย รอจนฉันเคาะประตูเพื่อเช็กตารางงานกันอีกรอบนั่นแหละ ถึงจะตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

แต่ก็ล่ะนะ ตอนนั้นมันตื่นเต้นจริงๆ ก็ฉันมันเด็กบ้านนอกนี่นา นานๆ จะเห็นทะเลสักที ชุดบิกิน่งบิกินี่ก็ไม่ถนัด แถมเสื้อผ้าก็เอาไปจำกัด แล้วก็ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะได้เล่นน้ำด้วย เพราะตารางงานนั้นแน่นเอี๊ยด แต่เผอิญว่าเราไปถึงที่หมายเร็วกว่ากำหนด อีกทั้งที่พักก็เป็นหลังๆ ฉันก็เลยลงสรงแบบไม่ต้องยั้งความคิดให้เสียเวลา เพราะวันนั้นฉันใส่กางเกงขาวยาวอยู่แล้วด้วย เพียงถอดสูททำงานตัวนอกออก ถอดรองเท้า ล็อกห้อง แล้วก็วิ่งลงทะเลทั้งชุดนั้นนั่นแหละ ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว แถมยังประหยัดอีกต่างหาก

เพราะเมื่อเล่นน้ำเสร็จ ก็ส่งผ้าไปซัก ในเมื่อตอนนั้นน่ะ ฉันเบิกค่าซักรีดได้ ไฉนจึงไม่ใช้สิทธิ์ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดล่ะ แล้วตอนเช้าก็รับมาใส่เรียบร้อยพร้อมทำงาน

เห็นไหม... ว่าฉันออกจะฉลาด ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว

แต่ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะจำได้

แล้วเหตุการณ์นั้นก็ผ่านมาเกือบปีเชียวนะ ที่สำคัญคือฉันไม่เห็นคุณศินรินทร์เคยพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็นะ เขาดันรู้ แล้วยังจำแม่นเสียอีก

“เอาน่า ผมไม่ได้ไปรู้ความลับสุดยอดอะไรของคุณเสียหน่อยหนูหริ อย่าทำหน้าแบบนี้เลย เดี๋ยวผมลืมตัว นึกว่ามีเมียเป็นปลาปักเป้าหนามทุเรียนหนามยาว เวลาพองตัว ก็แย่เลยนะ แต่ก็น่ารักดี ผมชอบ”

เออ เอาเข้าไป มาหยิกแก้มฉันทำไมกันนี่ ฉันไม่ได้เหมือนปลาปักเป้าตัวกลมๆ พองๆ แล้วมีหนามอย่างที่เขาว่าสักหน่อย แต่ฉันก็ไม่ได้ปัดป้องอะไรนะ แค่มองหน้าเขาเฉยๆ ฉันนี่ไม่น่าพลาดเลยจริงๆ วันหลังจะระวังไม่ให้เขาเอาเรื่องเก่าๆ มาล้ออีกเด็ดขาด

“ไม่เอาน่า อย่าทำหน้างอนผมเลยนะ...คนดี ตอนนั้นผมแค่จะเช็กตารางงานกับคุณเท่านั้น กะว่าจะพาไปหาอะไรกินด้วย แต่เห็นว่าคุณไม่อยู่ที่ห้อง ผมก็เลยเดินอ้อมไปข้างหลัง เผื่อคุณจะไปเดินยืดเส้นยืดสาย ไม่คิดว่าคุณจะเล่นน้ำ แถมยังลงทั้งชุดทำงาน แล้วคุณก็ดูมีความสุข ผมก็เลยจำได้ ดีออก เป็นตัวของตัวเองดี ผมชอบ”

เอาละสิ ทำไมเขาต้องย้ำคำว่าผมชอบบ่อยๆ ด้วย ตอนนี้ฉันก็เลยได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ให้ แม้ในใจกำลังมีความรู้สึกแปลกใหม่เข้ามาแทนที่ แต่ยังไม่อยากคิดว่าคืออะไร

และคุณศินรินทร์คงเดาใจได้ว่าฉันกำลังทำอะไรไม่ถูก เขาจึงเลือกทางออกให้ด้วยการพูดว่า

“คุณคงง่วงแล้ว เข้าไปข้างในเถอะ ตรงนี้ลมแรง แดดจัดด้วย เดี๋ยวนอนพักสักงีบ แล้วค่อยมาทำกับข้าวด้วยกันนะ เย็นๆ ค่อยไปเดินเล่นนะจ๊ะ”

ฉันยิ้มและพยักหน้าให้คุณศินรินทร์เล็กน้อยเป็นการตอบตกลง แล้วก็เดินตามแรงแขนที่โอบเอวให้เดินเข้ามาด้วยกัน ความรู้สึกลึกๆ ของฉันถามว่าไม่รู้สึกอะไรกับเขามากกว่าเดิมจริงหรือ ไม่ลองค้นหาสักหน่อยหรือ ในเมื่อตอนนี้ฉันไม่ได้กลัวเขาเหมือนเดิมอีก ไม่ได้เกลียดเขาอย่างเดิมอีก เช่นนั้น น่าจะลองค้นหาคำตอบว่าความรู้สึกที่ต่างไปจากเดิมคืออะไร...

หากฉันเองก็ชักจะไม่มั่นใจที่จะค้นหาคำตอบนั้นเสียแล้วสิ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

หลังจากเราสองคนเดินเล่นรอบๆ ชายหาดในเวลาเย็นที่แสงสีส้มเริ่มฉายอยู่ตรงขอบฟ้า ตอนนี้ฉันก็มานั่งมองคุณศินรินทร์ว่ายน้ำได้ชั่วโมงกว่าๆ และตะวันโพล้เพล้เต็มที ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าเขาว่ายน้ำเก่งทีเดียว เพราะเขาผุดดำผุดว่ายโดยไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยสักนิด

เชื่อไหม ว่าระหว่างที่นั่งรอ ตัวหนังสือที่ปรากฏบนไอแพดในมือไม่สามารถดึงสมาธิของฉันไว้ได้เลย เพราะเมื่อไหร่ที่เผลอ สายตาของฉันก็เป็นต้องมองไปทางเขาทุกครั้ง ซึ่งเรื่องของเรื่องก็คือเหตุการณ์ก่อนที่เราจะไปเดินเล่นยังติดตา

คิดไป... ฉันก็อดหน้าแดงไม่ได้จริงๆ เมื่อจู่ๆ คุณศินรินทร์ก็ใส่แต่กางเกงว่ายน้ำรัดติ้วลงมาหาฉัน บอกว่าจะไปเดินเล่นแบบนี้แหละ แต่ให้ฉันช่วยทาครีมกันแดดให้ก่อน

ฉันก็ได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อสายตาประหวัดไปเห็นบางสิ่งจนทำให้มือไม้อ่อนแรง

คือ... ฉันก็ไม่อยากคิดว่าตัวเองลามกหรอกนะ ก็ห่อหมกของเขาน่ะเล็กเสียเมื่อไหร่ เนื้อหนังเต่งตึงเต็มไปด้วยมัดกล้ามโชว์ซิกแพ็กล่อตาล่อใจ จนฉันต้องขอร้องเสียงสั่นว่าหากจะเดินเล่นด้วยกัน ก็ขอให้กลับไปใส่เสื้อยืดก่อนเถิด ช่วยหาอะไรใส่คลุมไว้หน่อยเถอะนะ เดี๋ยวตัวดำแล้วจะดูไม่ดี ถึงจะทาครีมกันแดดไว้ก็ตาม ทั้งที่เหตุผลแท้จริงในใจของฉันจะเป็นคนละเรื่องกันเลยทีเดียว

และตอนนั้น... ฉันรู้ว่าเสียงของตัวเองสั่นมาก

ทำไมฉันถึงสั่นได้ขนาดนี้นะ บ้าจริง!

“ถ้าอย่างนั้นคุณทาให้ผมก่อนสิจ๊ะหนูหริ เดี๋ยวผมค่อยขึ้นไปเอาเสื้อ”

แหมๆๆ เขาจะทำให้ฉันหัวใจวายหรือไร ขนาดจะพูด ฉันก็ยังพูดแทบไม่เป็น แล้วจะให้ฉันมาช่วยทาให้ ประเดี๋ยวก็เป็นลมกันพอดี เพราะในทุกๆ วันที่อยู่ด้วยกันจนมาถึงตอนนี้ แม้ฉันจะไม่มีอาการสะดุ้งเวลาเขาจับมืออีกแล้ว ไม่มีอาการสะดุ้งเวลาเขาพาร่างกายสูงใหญ่เข้ามาชิดใกล้เหมือนเคยอีกแล้ว ไม่มีอาการสะดุ้งเวลาเขาสัมผัสที่ท้องและโอบกอดฉันอีกแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่พร้อมที่จะทำอะไรให้เขาแบบนี้สักนิด

ระหว่างที่ฉันกำลังคิด ร่างกายก็ไม่ได้กระดิกไปไหน กระทั่งคุณศินรินทร์พูดย้ำว่า

“ก็ถ้าคุณไม่ทำ แล้วใครจะทำให้ผม มือผมไม่ได้ยาวขนาดที่จะทาทั่วทั้งแผ่นหลังได้นะจ๊ะหนูหริ เดี๋ยวผมตัวดำขึ้นมาแล้วคุณไม่ใยดีผม ใครจะรับผิดชอบ”

“ฉัน... ฉัน...”

ได้แต่พูดไปแค่นั้นโดยไม่ได้ขยับเขยื้อน

และสงสัยว่าคุณศินรินทร์จะรำคาญ เขาจึงตัดสินใจว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปแบบนี้แหละ ผมไม่กลัวตัวดำเลย”

ฉันจิกเท้ากับพื้นทันที เมื่อจู่ๆ คุณศินรินทร์ก็ลากให้เดินไปด้วยกัน

เอาละสิ นี่เขาจะมัดมือชกฉันใช่ไหม แค่ที่เห็น ก็ทำเอาใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่แล้ว ขืนเดินไปด้วยกันในสภาพนี้ตลอดทาง มีหวังว่าฉันอาจหัวใจวายตายก็ได้

“คือ... เอ่อ... ฉัน ฉันทาให้ก็ได้ค่ะ แต่คุณไปเอาเสื้อมาเตรียมไว้ใส่ก่อนได้ไหมคะ”

“ก็แค่นั้น เสื้อน่ะ เดี๋ยวค่อยขึ้นไปเอานะจ๊ะ ตอนนี้ผมขี้เกียจวิ่งขึ้นวิ่งลง”

แล้วคุณศินรินทร์ก็เอกเขนกให้ฉันลงมือทันที แต่ฉันนี่สิ ได้แต่ยืนค้างอยู่ท่าเดิม

“เร็วเข้าสิ”

เขาเร่ง

และเพียงแค่ได้ฟัง ฉันก็ยิ่งเกร็งหนักขึ้นกว่าเดิม และอดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้ เพราะคุณศินรินทร์ไม่เคยมีท่าทีว่าจะเกร็งเช่นเดียวกับฉัน เขาอยู่ในท่าทางสบายๆ ทุกครั้งยิ่งกว่าตอนทำงานด้วยกันเสียอีก นิสัยบางอย่างก็แสดงให้เห็นชัดมากกว่าเดิมเสียอีก และเขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดนับตั้งแต่วันที่รู้ว่ากำลังจะมีสมาชิกใหม่ หรือเป็นเพราะเขาคิดว่าลูกก็มีด้วยกันแล้ว อีกทั้งยังเห็นอะไรต่อมิอะไรมามากต่อมากแล้ว เลยไม่จำเป็นต้องอาย คิดว่าทุกอย่างเปิดเผยได้ พูดคุยกันได้ แตะเนื้อต้องตัวได้ เพราะเราก็อยู่ด้วยกันอย่างถูกต้องตามกฎหมายและผู้ใหญ่ก็รับรู้ ยกเว้นสิ่งเดียวที่เขาไม่ทำก็คือเรื่องนั้น

และระหว่างที่ฉันกำลังคิด

“หนูหริ ผมไม่ได้ให้คุณมาเดินลุยไฟเสียหน่อยนะจ๊ะ ทำไมคุณต้องคิดนานขนาดนั้นด้วยล่ะ หืม?”

ฉันเผลอกำขวดพลาสติกในมือแน่น น้ำเสียงของเขากำลังทำให้ใจของฉันสั่นรัวอย่างควบคุมไม่อยู่

คือ... เอ่อ... ฉันอยากจะบอกเขาว่า ขอเวลาให้ฉันสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะได้ไหม ฉันไม่รู้ว่าทำไมหัวใจของฉันถึงได้เต้นแรงเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนนี้ที่เห็นท่าทางเอกเขนกของเขาพร้อมกับสายตาที่ทอดมองมา

และฉันคิดว่าท่านี้ของคุณศินรินทร์ ทำให้เขาดูเพอร์เฟ็กต์ยิ่งกว่านายแบบชุดชั้นในชายเสียอีก

ตายๆๆๆ

ตายแน่ๆ คราวนี้

ฉันกำลังคิดอะไรของฉันกันนะ!

และในที่สุด... ฉันก็ค่อยๆ ขยับนั่งลงเคียงข้าง แล้วจัดการลงมือ

“คุณจะกินสลัดหรือจ๊ะหนูหริ ถึงได้โปะครีมกันแดดมากมายขนาดนี้น่ะ หึหึ”

“คือ... คือ... ฉัน... ฉันทำหกน่ะค่ะ”

เอาล่ะสิ ก็มือไม้ของฉันมันสั่นจนทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะตอนที่มือข้างหนึ่งค่อยๆ ลูบเนื้อครีมบนแผ่นหลังเต็มตึงอย่างกับนักกีฬาของเขา

ก็ฉันเคยไปทำอะไรแบบนี้กับใครที่ไหน ทาไปทามา มือเจ้ากรรมอีกข้างก็อ่อนแรงจนทำให้ขวดพลิกลง และจังหวะนั้น ฉันก็เผลอบีบเสียเต็มแรงจนเนื้อครีมทะลัก ฉันก็เลยรีบช้อนๆ แล้วโปะกลับไปเพราะความเสียดาย

“เอามาใส่มือผมก็ได้”

ฉันถึงกับถอนหายใจเมื่อเขาลุกนั่งและหันมาหา เขายื่นมือมารับ แต่ดูเหมือนฉันจะคิดผิดถนัดกับการให้เขาทำเช่นนี้ ก็ตอนที่ฝ่ามือลูบโดนฝ่ามือโดยมีครีมเป็นตัวเชื่อมน่ะ สัมผัสชวนให้ฉันร้อนไปทั้งตัวน้อยเสียเมื่อไหร่ แถมยังเห็นเขาเอามือลูบไล้ครีมไปตามแผงอกตึงแน่นและกล้ามท้องเป็นลอนเป็นลูกอย่างเต็มตา

ที่สำคัญคือฉันรู้ว่าเขากำลังจ้องมาตลอด!

โอยยย คุณพระคุณเจ้า... ให้ลูกตายอยู่ตรงนี้เถอะ

แค่นั้น... ความร้อนก็แล่นไปทั่วทุกอณูร่างกาย

ฉันได้แต่ก้มหน้าเอาไว้ แล้วรีบเผ่นกระดึ๊บๆ ไปอยู่ข้างหลังของเขาในทันที เพราะไม่อย่างนั้นฉันอาจเกิดอาการร้อนในฉับพลันจากสิ่งที่เห็น

‘เพิ่งจะรู้ว่าผู้ชายเซ็กซี่เป็นแบบนี้นี่เอง’

เอ๊ะ! นี่ฉันคิดอะไรกัน สมองของฉันมีเรื่องแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

แล้วฉันก็รีบทาครีมไปทั่วแผ่นหลังของคุณศินรินทร์ หวังว่าจะให้เสร็จเร็วไว เพราะหากนานกว่านี้ ฉันคิดว่าคงมีเอฟเฟ็กต์กับร่างกายของตัวเองไม่ส่วนหนึ่งก็ส่วนใดแน่ๆ โดยเฉพาะแถวจมูกที่เลือดกำเดาจะทะลักออกมา

“หลังผมร้อนหมดแล้ว...หนูหริ ขืนคุณยังทาแบบนี้อยู่ มีหวังผิวผมคงถลอกปอกเปิกว่ายน้ำไม่ได้นะจ๊ะ”

เอ่อ... ฉันรีบเก็บมือเก็บแขนแนบลำตัวในทันที รู้สึกว่าหน้าของตัวเองร้อนเหลือเกิน หัวใจของฉันสั่นรัวเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขาที่เอ่ยออกมาธรรมดาๆ แต่ทว่าความรุนแรงในการเขย่าหัวใจกลับมีมากมายยิ่งนัก

แล้วทำไมก่อนนั้นฉันถึงไม่เป็นแบบนี้นะ ฉันเคยเห็นเขานุ่งเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวมาจนชิน แต่ความรู้สึกกลับไม่เหมือนตอนนี้เลยสักนิดเดียว

และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า เมื่อไหร่ที่ฉันเผลอ สายตาก็ต้องมองหาเขาทุกครั้งไป

เอาอีกแล้ว!

แค่เห็นคนรูปร่างสูงใหญ่กำลังขึ้นจากน้ำและเดินเข้ามา เห็นหยดน้ำเกาะไปตามลำตัวและใบหน้า เห็นอาการเสยผมไปทางด้านหลังทั้งที่ยังมีน้ำอยู่และกระเซ็นเมื่อเขาสะบัดศีรษะ แค่เห็นเพียงเท่านั้นก็แทบจะทำให้ฉันเป็นลมอยู่รอมร่อ

ทำไมวันนี้ ฉันถึงมีอาการแปลกๆ อย่างมากมายกัน กระทั่งเท้าเปล่าของคุณศินรินทร์มาหยุดอยู่ใกล้ๆ ฉันก็ยื่นผ้าขนหนูออกไปทันทีโดยไม่แหงนมอง

“เช็ดให้หน่อยสิจ๊ะ”

คุณพระคุณเจ้า เขานั่งอยู่ตรงหน้าฉันแล้ว!

งานนี้เราสองคนก็เลยเล่นเกมจ้องตา แต่ทว่าฉันกลับไม่สามารถสู้ได้เหมือนเคย เลยอาศัยสิ่งที่อยู่ในมือโปะหน้าเขาไปอย่างจัง แล้วก็ถูๆๆ

“แรงไปจ้า...เมียจ๋า”

ยังมาทำเสียงล้ออีก ก็ล่ะนะ เขาเช็ดเองก็ได้นี่ จะมาใช้ฉันทำไม แต่เชื่อเลยว่าลูกอ้อนของเขานี่แพรวพราวจริงๆ

ตอนนี้... ความรู้สึกของฉันหวั่นไหวเหลือเกิน ก่อนนี้เขาเคยพูดลอยๆ เรียกฉันว่าเมียอยู่หลายครั้ง แต่ฉันไม่ยักหวั่นไหวตามสักนิด ถึงได้ยินก็ปล่อยให้ผ่านไป เพราะคิดว่าเขาต้องการย้ำสถานะของฉันและลดความห่างเหินระหว่างกันต่างหาก แต่ไฉนสิ่งเหล่านั้นกลับซึมซาบได้รวดเร็วยิ่งนัก ซึ่งกว่าฉันจะรู้ตัว ก็กลายเป็นว่ายอมรับความสัมพันธ์ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันไปแล้ว

“มานี่... คุณต้องจำไว้นะจ๊ะหนูหริ ถ้าจะเช็ดหน้าให้ผม คุณต้องทำให้แบบนี้ ค่อยๆ ซับแบบนี้ อย่างเมื่อกี้ไม่เอานะจ๊ะ เจ็บ”

เขาจับสองมือของฉันให้ขยับตามอย่างช้าๆ เบาๆ ให้ฉันรู้ว่าต้องลงน้ำหนักมือเท่าใด ดีที่ยังมีผ้าบังหน้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนกับเหตุการณ์นี้

แล้วเหมือนเขาจะแกล้ง คุณศินรินทร์เลื่อนผ้าขึ้นไปเช็ดผมเฉยเลย จนฉันก็ต้องขยับมาอยู่ในท่าคุกเข่า เพราะแขนไม่ได้ยาวขนาดที่จะทำให้เขาในระยะเดิมได้ แถมยังติดพุงนี่อีก จนกลายเป็นว่าตอนนี้ ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงคืบ

‘รู้สึกเซ็ง ที่เมื่ออยู่ใกล้กันทีไร สรีระร่างกายของฉันก็เข้าข่ายผู้หญิงไซส์มินิทันที’

ก็อย่างที่คิดนั่นแหละ ตัวเขาออกจะใหญ่นี่นา

ตอนนี้ฉันได้แต่พยายามบังคับสายตาตัวเองให้อยู่ที่มือ ว่าแต่... ใครกันนะ ที่บอกว่าการมองเห็นของผู้หญิงกว้างกว่าผู้ชาย ประมาณว่าเห็นได้หนึ่งร้อยแปดสิบองศา และนั่นจึงทำให้ฉันรู้ว่าสายตาของเขาไม่ได้ลดละไปจากใบหน้าของฉัน เขายังคงมองแม้มือใหญ่นั้นจะเลื่อนลงไปอยู่ที่เอวของฉันแล้วก็ตาม

และฉันก็ไม่กล้ามองหน้าเขาเลยสักนิดเดียว

“ฉันอยากเข้าห้องน้ำค่ะ”

เป็นข้ออ้างเดียวที่นึกขึ้นได้ในตอนนี้ แต่คุณศินรินทร์ก็ยึดเอวเอาไว้

“ทำไมคุณไม่เปิดใจให้ผมบ้าง หนูหริ”

ฉันชะงักค้าง คำพูดหรือจะเท่าน้ำเสียงตัดพ้อ ซึ่งไม่ใช่แค่เขายังรั้งฉันเอาไว้ แต่แท้จริงก็คือน้ำเสียงตัดพ้อก็ยังไม่เท่าความหมายในสายตาที่ส่อแสดงเมื่อฉันก้มมองอย่างไม่ตั้งใจนี่ต่างหาก ที่ทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูก

ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร รู้แต่ว่าในใจฉันยังกลัว นั่นก็เพราะฉันเคยเห็นว่าเขาออดอ้อนผู้หญิงด้วยท่าทางเช่นไร เคยเห็นว่าเขาทำสำเร็จเช่นไร และเคยเห็นว่าเขาทิ้งผู้หญิงทั้งหลายที่เคยทำท่าว่ารักนักรักหนา รักจนปานจะกลืนเหล่านั้นอย่างไม่ใยดีเช่นไร นั่นจึงทำให้ฉันรู้เพียงว่าหากไม่อยากเจ็บ ไม่อยากเป็นเหยื่อ ก็ควรมีระยะห่างไว้ป้องกัน

คิดได้อย่างนั้นฉันก็รีบใช้จังหวะที่คุณศินรินทร์เผลอ ลุกขึ้นยืนโดยไม่พูด แล้วเดินตัวปลิวกลับไปยังบ้านพัก... คนเดียว

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

เวลากลางคืน ที่นี่เงียบสงบ ฉันได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งตลอดเวลาเพราะหลับตาไม่ลง เรื่องตอนเย็นทำให้ฉันต้องวนเวียนคิดไม่ตก โดยเฉพาะคุณศินรินทร์ ที่ตอนนี้เขาไม่ยอมขึ้นมานอน แม้พรุ่งนี้ต้องไปตรวจสอบคุณภาพสินค้าซึ่งสำคัญมาก

และนั่นจึงทำให้ฉันอดรนทนไม่ไหว ฉันค่อยๆ เดินลงมาดูโดยไม่ได้เปิดไฟ เพราะในคืนพระจันทร์เกือบเต็มดวงก็สว่างพอให้เห็นทาง

ฉันมองหาเขาเกือบทั่วบ้าน แต่ก็ไม่เจอ จึงตัดสินใจเดินออกไป

“ทำไมยังไม่นอน”

คุณศินรินทร์ถาม เขารีบวางแก้วบรั่นดีไว้ที่ข้างเก้าอี้อาบแดดแล้วขยับลุกนั่ง เขาไม่เงยหน้ามองฉันขณะที่เขายื่นมือมาให้ ซึ่งฉันพอเข้าใจความหมายแห่งท่าทีเช่นนี้ว่าชวนให้นั่งลงด้วยกัน แต่ฉันนั้นกำลังสับสน ฉันไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี โดยเฉพาะเมื่อเหลือบไปเห็นขวดใส ทรงสวย บรรจุน้ำสีอำพันพร่องไปกว่าครึ่ง

นี่เขาเสียใจเรื่องเมื่อเย็นหรือ เขาเสียใจที่ฉันปฏิเสธหรือ คือ...ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ เขาจู่โจมเร็วเกินไป เขาควรจะให้เวลาฉันบ้างสิ ให้เวลาฉันคิดบ้าง เขาน่าจะรู้ว่าฉันเคยใกล้ชิดและเห็นพฤติกรรมของเขามามากขนาดไหน และที่สำคัญคือเขาเคยทำอะไรไว้กับฉัน แล้วเช่นนั้นจะให้มาเกิดอารมณ์รักโรแมนติกในระยะเวลาสั้นๆ มันก็ย่อมแปลก ฉันไม่สามารถเสแสร้งได้เก่งขนาดนั้นหรอก

แต่กระนั้นฉันก็วิตกและพลอยเครียดเมื่อไม่เห็นเขา และเสียใจที่เห็นเขาเป็นเช่นนี้ เป็นห่วงที่เห็นเขาเป็นแบบนี้

และเมื่อฉันพอจะคิดได้ในระยะเวลาเท่าที่มี ฉันจึงค่อยๆ วางมือของตัวเองไว้ในอุ้งมือของคุณศินรินทร์ เขาดึงเบาๆ ให้ฉันนั่งลงใกล้กัน ฉันเห็นเขาอยู่ในเสื้อผ้าชุดใหม่ คงอาบน้ำข้างล่างสินะ มิน่าล่ะ ฉันถึงไม่ได้ยินเสียง และก่อนที่ฉันจะมองสำรวจอะไรไปมากกว่าเดิม จิตใต้สำนึกก็สั่งว่าฉันควรรีบแก้ไขสถานการณ์อย่างเร่งด่วน ถ้าไม่อยากให้เขาแย่ลงกว่านี้

“คือ... ฉันนอนไม่หลับค่ะ รอคุณอยู่”

คุณศินรินทร์ถอนหายใจ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสิ ผมไม่คิดว่าคุณจะรอผม”

ได้ยินคำพูดของเขา ได้ยินน้ำเสียงของเขา ฉันยิ่งไม่สบายใจเลย

นี่ฉันเป็นอะไร สงสัยเป็นเพราะความชิดใกล้ จึงทำให้ฉันรู้สึกกังวลกับท่าทางของคุณศินรินทร์ นั่นก็เพราะเขาไม่เคยเป็นแบบนี้ เขาไม่ใช่คนนิสัยแบบนี้ ฉันรู้ดี นี่เขาคงเสียใจเรื่องเมื่อตอนเย็นจริงๆ สินะ

ตอนนี้ ความคิดของฉันกำลังตีกันอีรุงตุงนัง จนเลือกคำพูดไม่ถูกว่าจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นได้อย่างไร จึงได้แต่หยิบความรู้สึกส่วนลึกในใจออกมาบอกกับเขาว่า

“ฉัน... ขอโทษค่ะ”

เขายิ้มทั้งที่ยังก้มหน้าไว้ ก่อนจะค่อยๆ หันมา และพูดกับฉันว่า

“ขอโทษเรื่องอะไรจ๊ะ คุณไม่ได้ทำอะไรนี่หนูหริ อย่าคิดมาก”

น้ำเสียงทุ้มของเขาฟังดูเรื่อยๆ ไม่มีอะไร ขณะเดียวกันมือของเขาก็เกลี่ยเส้นผมของฉันที่ตกลงมาปรกหน้าปรกไหล่ให้ไปอยู่ข้างหลัง เกลี่ยปอยผมขึ้นทัดไว้ที่ใบหูอย่างเบามือ โดยรอยยิ้มนั้นไม่ได้จางหายไปไหน

ยิ่งได้เห็นอาการ ยิ่งได้ฟังน้ำเสียง และได้ยินคำพูดของคุณศินรินทร์ ฉันจึงบอกตัวเองว่าควรตัดสินใจพูดบางสิ่ง เพราะหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ฉันเองก็พลอยเครียดไปด้วย เพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นตอ และที่สำคัญคือปัญหามันก็ไม่จบ

“เรื่องเมื่อตอนเย็น... คุณ... เอ่อ... จะให้เวลาฉันหน่อยได้ไหมคะ”

“หึหึ”

เสียงหัวเราะในลำคอนั้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม แต่ฉันว่ารอยยิ้มของเขาแปลกๆ ฉันว่ามันดูเจ็บปวด โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดว่า

“แค่คุณเดินลงมาตามผมก็ดีแล้ว ไปเถอะจ้ะ ขึ้นไปนอนกัน ผมเองก็ง่วงแล้ว คุณต้องพักผ่อนเยอะๆ นะ ต้องคิดถึงลูกให้มากๆ ด้วย ร่างกายเพิ่งจะเข้าที่ไม่นานเอง”

คุณศินรินทร์พูดโดยไม่มองหน้าฉัน เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับยกแก้วบรั่นดีที่เหลือนั้นเข้าปากรวดเดียวหมด

ยิ่งเห็นแบบนี้ ฉันก็ยิ่งไม่สบายใจ ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ฉันไม่เคยเห็นเขาแตะของพวกนี้อีกเลย

ฉันลุกขึ้นยืน ค่อยๆ สอดมือตัวเองไว้กับฝ่ามือของคุณศินรินทร์อย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ฉัน... ฉัน... ฉันเสียใจจริงๆ ค่ะ”

แล้วจู่ๆ คุณศินรินทร์ก็หันมากอดฉัน เขาจูบที่หน้าผากของฉัน โดยฉันไม่ทันตั้งตัว

ร่างกายของฉันแข็งทื่อ แต่ก็ไม่คิดปัดป้องแต่อย่างใด เพราะฉันเกรงว่าการทำแบบนั้นอาจทำให้เขาเสียใจมากขึ้นกว่าเดิม จึงได้แต่อยู่นิ่งๆ ให้เขากอดฉันนิ่งๆ ให้เขาสูดลมหายใจที่กลางกระหม่อมของฉันนิ่งๆ เพื่อทดแทนกับสิ่งที่ฉันได้ทำร้ายความรู้สึกของเขา

กระทั่ง...

“คุณรู้ไหม...หนูหริ ที่ผมไม่เคยชอบผู้หญิงตัวเล็ก ก็เพราะเวลากอดจูบมันเมื่อย แต่กับคุณมันไม่ใช่”

เขาถอยใบหน้าให้ห่างออกไป แต่วงแขนไม่ได้คลายออกเลย

ฉันได้แต่แหงนหน้ามองเขา พยายามเพ่งพิศในนัยน์ตาสีน้ำผึ้งที่สบอยู่ว่ากำลังสื่อความหมายใด ในใจสับสนเหลือเกินกับสิ่งที่ได้ฟัง เขากำลังบอกว่าเขาชอบฉันอย่างนั้นหรือ แต่ฉันไม่ค่อยมั่นใจเลย นั่นอาจเป็นเพราะทุกคืนวันที่อยู่ด้วยกัน ทำให้หัวใจของฉันวูบไหว สภาพหัวใจของฉันไม่ต่างจากหินที่ถูกน้ำหยดลงทุกวันจนกระทั่งกร่อนในที่สุด ความรู้สึกเลวร้ายที่ผ่านมาของฉันจึงถูกการกระทำดีๆ ของเขากัดกร่อนในที่สุด และเข้าใจความหมายในคำพูดผิดไป ทำนองว่าเข้าข้างตัวเองก็ได้ด้วย

เพราะความจริงจากคำพูดของคุณศินรินทร์ ก็คือเขาให้เกียรติฉัน เขายกฉันไว้ตำแหน่งพิเศษ ซึ่งก่อนนั้นเขาเห็นฉันเป็นเสมือนน้องสาวคนหนึ่ง เช่นนั้นในวันนี้ ในเวลาที่เขาได้กอดฉัน ความหมายที่ต้องการจะบอกนั้นก็คือ

“ลูกดิ้นใหญ่แล้ว ไปนอนกันเถอะจ้ะ”

นั่นสินะ ฉันพิเศษก็ตรงที่มีลูกกับเขาอย่างไรล่ะ ความสนิทสนมระหว่างเราก่อนจะเกิดเรื่องราวจึงทำให้ฉันไม่เหมือนคนอื่นอย่างไรล่ะ

ฉันไม่น่าเพ้อเจ้อเลย

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ส.ค. 2555, 12:08:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ส.ค. 2555, 12:08:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 2814





<< บทที่ 3   บทที่ 5 - ลบแล้ว >>
หนอนฮับ 10 ส.ค. 2555, 15:11:05 น.
55555 เสียดายครีมกันแดด อิอิ


แว่นใส 10 ส.ค. 2555, 16:44:58 น.
นางเอกเราคิดไปเองหมดเลยนะเนี่ย


อริสา 12 ส.ค. 2555, 04:39:10 น.
พระเอกน่ารักอยู่นะ เอาอกเอาใจสาระพัด สงสัยต้องการแก้ตัว


สุชาคริยา 15 ส.ค. 2555, 17:58:36 น.

หนอนฮับ = อิอิ นั่นสิเนอะ

แว่นใส = 555 เดี๋ยวไปเจอตอนที่ขุน อาจมีฮา+ตะลึงก็ได้ค่ะ ^^

อริสา = อันนี้ต้องติดตามตอนต่อไปนะคะ ขืนเฉลยก่อน ก็คงไม่ลุ้น ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account