รักในมือมาร
'ฉันเคยรู้จักความรัก และฉันรู้ดีว่ามันเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อไม่สมดังหวัง

แต่ฉันรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่า เมื่อต้องอยู่กับคนที่ไม่มีความรักให้ฉันเลย'


/////




"คุณไม่เข้าใจเหรอหนูหริ ว่าการอยู่ด้วยกันก็ไม่จำเป็นต้องรักกันมาก่อนก็ได้ ที่สำคัญคือคุณอุ้มท้องลูกของผม คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ"

"คุณเองก็มีผู้หญิงมากมายอยู่รอบตัว คุณจะกักขังฉันไว้ทำไม...คุณศินรินทร์ ฉันไม่ใช่คนที่คุณต้องการ... ไม่ใช่เลย..."

"ต้องการหรือไม่ต้องการคุณจะมารู้ใจผมได้ไงณสิริ แต่สิ่งที่รู้แน่ๆ ก็คือคุณเป็นของผมไงล่ะ หรือจะบอกว่าไม่ใช่ เพราะไอ้ที่ป่องมาก็เป็นหลักฐานชั้นยอดอยู่แล้วนี่"

"คุณมันใจร้าย"

"รู้ไว้ก็ดี!"

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ 3




วันนี้ฤกษ์งามยามดี คุณศินรินทร์บอกฉันเมื่อวานนี้ว่าเขาจะไปดูงานต่างจังหวัดสักสองสามวัน ตามที่เขาเคยบอกฉันไว้ก่อนนั้น และนี่เป็นครั้งที่สาม เพราะเขาคิดว่าการเว้นช่วงไม่ให้ฉันเห็นหน้าบ้าง จะเป็นวิธีดีที่สุดที่ทำให้ฉันไม่อาละวาด และลดความกลัวเวลาที่เขาเข้ามาหาฉัน เพราะก่อนที่เขาจะเข้ามาทุกครั้ง เขาจะส่งคนเข้ามาดูก่อนโดยไม่ให้ฉันรู้ แต่ฉันก็สังเกตและจับไต๋ได้

และเพียงแค่ฉันเห็นรถเก๋งคันหรูที่เขาใช้ประจำได้พ้นประตูใหญ่ ภารกิจปลดแอกของตนเองจึงเริ่มดำเนินการทันที

ฉันทั้งดึง ทั้งกระชาก ทั้งโยกเจ้าลูกกรงเหล็กดัดนั่นอย่างสุดแรง กระชากจนรู้สึกว่าแขนของฉันแทบจะหลุด

และที่สุด... เหล็กดัดมันก็หลุดออกมา แม้จะรู้สึกจุกเสียดเพราะก้นจ้ำเบ้าบ้าง แต่หัวใจของฉันก็กู่ร้องก้องโลกเชียวล่ะ

ฉันได้กลิ่นที่โหยหามาตลอดสี่เดือน หลังจากถูกขังและติดแง่กอยู่ที่นี่ มือทั้งสองไม่รอช้าที่จะผลักหน้าต่างออก และแม้ว่าจุดที่ฉันยืนอยู่จะเป็นชั้นสองและมีความสูงอยู่พอสมควร แต่ฉันก็เล็งไว้แล้วว่าจะไปลงตรงไหน

เสบียงกรังฉันก็ยัดใส่ท้องตั้งแต่ก่อนคุณศินรินทร์จะออกไป เพราะตั้งแต่ฉันพยายามสั่งตัวเอง บังคับตัวเองให้หยุดอาการเหมือนคนใกล้บ้า ในวันที่เขาบอกว่าเรามาเริ่มกันใหม่ คุณศินรินทร์ก็มาทานมื้อเช้ากับฉันตลอดก่อนจะออกไปทำงาน และฉันไม่ทำให้เขาเฉลียวใจว่าฉันกำลังคิดจะทำอะไร แม้ในแต่ละมื้อที่กินข้าวด้วยกัน ฉันแทบจะกลืนอะไรไม่ลง

แต่อ้อ! ข้อดีอีกอย่างคือ เขาไม่ล่วงเกินฉันอีกเลย นับตั้งแต่คืนนั้น

ตอนนี้ฉันกำลังไต่ไปตามขอบระเบียงบ้าน ซึ่งมีจุดหมายคือต้นไม้ใหญ่ตรงหัวมุมใกล้ๆ นี้

จริงๆ แล้วต้นไม้นี่ก็ไม่ได้ใหญ่อะไรมากมายหรอกนะ เพียงแต่มันเป็นจุดเดียวที่ฉันจะกระโดดแล้วไม่มีคนเห็น และเจ็บตัวน้อยที่สุดหากต้องตกลงไปถึงพื้นหญ้าเท่านั้นเอง

ดังนั้น ในตอนนี้ ฉันจึงพยายามเล็งกิ่งไม้ที่ดูใหญ่และแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักของฉันไหว ฉันหันไปดูรอบข้างอีกครั้ง และเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแน่แล้ว

พรึ่บ! แกรกกก!

โอย... นี่ฉันเพิ่งแน่ใจว่ามนุษย์มีพัฒนาการมาจากลิงก็จากประสบการณ์กระโดดใส่ต้นไม้ครั้งนี้นี่แหละ แต่ดูเหมือนว่าความเคยชินที่ต้องอยู่บนต้นไม้จะถูกความเป็นมนุษย์ที่มีพัฒนาการมายาวนานลบเลือนไปบ้าง จึงทำให้ฉันกะผิดจนเกือบพลาดตกลงไป อีกทั้งตามปลีน่องของฉันยังถูกกิ่งไม้หักครูดจนเลือดไหล ไม่นับกับฝ่ามือที่เคยเป็นแผลก็เจ็บแปลบและเลือดซึมออกมาอีกครั้ง

ฉันเห็นปากแผลเปิด ซึ่งคงเกิดจากแผลฉีกในตอนที่ฉันคว้ากิ่งไม้สำรองเอาไว้ก็เป็นได้ ก็อีตอนที่เล็งตอนแรก ฉันก็คิดว่ามันไม่ไกล แต่พอกระโดดเข้าจริงๆ ตัวฉันไม่ยักกะเบาเหมือนในหนังจีนบ้างนะ จะได้ไปถึงจุดหมายที่เล็งไว้ได้เหมาะเจาะพอดี ดีที่ว่ายังเกาะกิ่งไม้ใหญ่กว่าอีกกิ่งได้ทัน ไม่อย่างนั้น... ฉันคงต้องได้ใส่เฝือกที่ขาหรือไม่ก็แขน หรือไม่ก็ทั้งสองอย่างพร้อมกันแน่เลย

โฮ่งๆๆ

นั่น!

ไอ้เจ้าหมาฮีโร่บ้า ตกใจหมดเลย!

ฉันหมายถึงสุนัขเพศผู้ ชื่อฮีโร่ พันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ ที่คุณศินรินทร์เอามาเลี้ยงเมื่อสองปีก่อน เพราะมันดันหูดีตาดีมาเห็นฉันในตอนนี้เสียอีก ฉันก็เลยต้องส่งเสียงลงไปให้รู้ว่า ที่มันเห่าน่ะ เพื่อนเก่ามันเอง ซึ่งพอเจ้าฮีโร่ได้ยินเสียงของฉันที่ดังเพียงว่าจะกระซิบ มันก็พยายามกระโจนเข้าใส่ พร้อมกับครางหงิงๆ หมอบกับพื้นหญ้าบ้าง ตะกุยที่ลำต้นของต้นไม้ต้นนี้บ้าง สลับกับหงายท้องรอให้ฉันไปเกาบ้างเหมือนอย่างที่เคยเป็น ก็ทำให้หัวใจของฉันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

“ตอนนี้ขอตัวนะเกลอ ฉันต้องรีบแล้วล่ะ”

ฉันบอกมันเบาๆ แล้วก็รีบไต่ลงไป

อึ่ก!

เจ้าฮีโร่กระโดดใส่ฉันทันทีจนฉันล้มตุบ แม้คิดไว้แล้วว่าต้องตั้งหลักให้ดีก็ตาม เพราะมีหรือ ที่หมาจะไม่ดีใจหากได้เห็นหน้าเห็นตาคนเคยเลี้ยงซึ่งไม่ได้เจอกันเลย แล้วเจ้าฮีโร่ก็กระโดดเข้ามาซ้ำอีกรอบเพื่อรับประกันความรู้สึกจนฉันต้องรีบลุกให้เร็ว ไม่อย่างนั้นอาจเจอบาทาของเจ้าฮีโร่เป็นรอบที่สามจากอาการดีใจเกินเหตุ

ก็แรงเจ้าฮีโร่น้อยซะที่ไหนเล่า ขนาดวันที่ไม่ค่อยดีใจน่ะ เจ้าฮีโร่ยังลากฉันเสียจนคนเคยพาวิ่งต้องวิ่งตามหมา และที่สุดฉันก็ต้องกลับมานั่งรอเจ้าฮีโร่ที่หน้าบ้านแทน เพราะแรงมันดีจัดจนฉันวิ่งตามไม่ทัน แล้วจะนับประสาอะไรกับการที่เจ้าฮีโร่กระโดดใส่ฉันตอนที่ดีใจ แล้วฉันจะไม่ล้ม

‘นี่ใครปล่อยออกมาวิ่งเล่นเวลานี้กันเนี่ย ปกติจะพาไปเดินเล่นตอนตีห้าครึ่ง แล้วพาเข้าบ้านหมาตอนเจ็ดโมงเช้าไม่ใช่หรือ จะปล่อยออกมาวิ่งอีกทีก็เกือบเที่ยง นี่มันเก้าโมงกว่าๆ เกือบจะสิบโมงเช้าแล้ว ทำไมเจ้าฮีโร่ยังวิ่งเพ่นพ่าน ไม่ยอมเข้าบ้านของมันอีกล่ะ’

ฉันนึกอย่างเซ็งๆ เพราะตอนนี้เจ้าฮีโร่กำลังวิ่งตามฉันต้อยๆ บ้างก็วิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลัง บ้างก็วิ่งนำไปไกลอีกทาง แล้วก็วิ่งกลับมาพันแข้งพันขาฉันใหม่ ทำให้ต้องเสียเวลาไปอีก แต่ที่ฉันกลัวที่สุดก็คือ ยามหน้าบ้านหรือคนในบ้านจะเห็นฉัน ก่อนที่ฉันจะถึงประตู

ก็ถ้าสงสัยว่าทำไมฉันไม่ปีนรั้วหนี ก็ล่ะนะ ฉันจะมีปัญญาที่ไหนปีนขึ้นไปล่ะ ในเมื่อรั้วมันสูงตั้งสามเมตรครึ่ง แล้วยอดรั้วน่ะ ลวดหนามกลมๆ มีใบมีด ที่เขาใช้กับรั้วเรือนจำชัดๆ ซึ่งสรุปว่าทางออกเดียวของฉันก็คือประตูเล็กใกล้ป้อมยามนั่นแหละ

แต่ไม่เป็นไร ฉันรอได้ แม้จะต้องเสี่ยงดวงรอไปจนถึงตอนเที่ยง ว่ายามจะเข้าไปรับข้าวกล่องที่ครัวเอง หรือคนที่ครัวจะเอาข้าวมาให้ยาม ซึ่งถ้าเป็นอย่างแรก ฉันก็ออกไปง่ายดาย ขอเพียงแค่ยามหันหลังให้ ฉันที่ซ่อนอยู่หลังตู้ยามแล้วมีพุ่มไม้อยู่ ก็จะรีบวิ่งไปเปิดประตูเล็กได้ไม่ยาก หรือแม้แต่ถ้าประตูจะล็อก ฉันก็ยังปีนออกไปได้ เพราะเป็นประตูอัลลอยด์ มีร่องให้ปีนอยู่แล้ว

แต่ถ้าหากเป็นอย่างหลัง ฉันก็ต้องอาศัยตอนยามเผลอหลับหลังจากกินข้าวอิ่มแล้วค่อยหนี หรือไม่ก็อาจต้องรอถึงรอบเย็น แต่ฉันหวังว่าอย่าให้ถึงตอนเย็นเลย เดี๋ยวจะมีคนเข้า-ออกแล้วมาจ๊ะเอ๋ฉัน แผนการทุกอย่างรวมทั้งที่ต้องมาเจ็บตัวจนได้แผลและกำลังแสบ กำลังปวดตุบๆ ในตอนนี้จะไร้ค่าเอา

จะว่าไป ตอนไปถึงประตูหรือซ่อนอยู่หลังป้อมยามน่ะ ฉันไม่กลัว ฉันกลัวก็แต่ไอ้เจ้าฮีโร่นี่แหละ มันพยายามดมๆ ตะกุยๆ อยากให้ฉันเล่นด้วย แต่ฉันกลัวเจ้าฮีโร่จะงับขาฉันน่ะสิ ยิ่งมีกลิ่นเลือดโชยอยู่น่ะ

ฉันทั้งย่อง ทั้งแอบ และเกือบจะคลานเข่าคลานศอกประหนึ่งทหารเกณฑ์ออกศึก เพราะกลัวคนเห็น ในใจภาวนาว่า ขออย่าให้ใครรู้ระแคะระคายเลย อย่าให้ใครมารู้มาเห็นเลย จะมีก็แต่เจ้าเพื่อนซี้สี่ขา ที่วิ่งไปวิ่งมาแล้วก็กำลังดมๆ หน้าของฉัน ซึ่งตอนนี้ฉันกำลังซุ่มหมอบอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ นั่นก็คือพุ่มไม้หลังป้อมยามนั่นเอง

ฉันเห็นเจ้าฮีโร่ทำจมูกฟุดฟิดๆ เลยกระซิบบอกไปว่า

“ไปวิ่งที่อื่นก่อนได้ไหม ไปชวนยามเล่นก็ได้ ฉันอยากอยู่เงียบๆ ไปชวนยามเล่นด้วยสิ ไปเลยนะ ไปสิ”

และดูเหมือนเจ้าฮีโร่จะฟังภาษาคนรู้เรื่องขึ้นมาทันที ทั้งที่ปกติเจ้านี่ออกจะดื้อและเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ สงสัยจะเป็นเพราะต่อมกตัญญูรู้คุณที่ฉันเคยให้ข้าวให้ขนมกินจะออกฤทธิ์ เจ้าฮีโร่ถึงได้วิ่งแจ้นไปหายามที่หน้าตู้ แล้วตะกุยๆ อยู่อย่างนั้น แล้วก็วิ่งไปทางบ้านหมาที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำไม่ต่างจากอุณหภูมิขั้วโลก จนฉันนึกด่าเจ้าฮีโร่ในใจว่า

‘เออ... ดูมัน วิ่งๆ มาชวนเราเสียเวลา แล้วก็วิ่งหน้าเริดกลับไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นล่ะนะ’

แต่ฉันก็มารู้ในภายหลัง หลังจากเจ้าฮีโร่วิ่งกลับมาที่ตู้ยามอีกครั้ง แล้วตะกุยๆ ตรงประตู ซึ่งมีความหมายว่ามันกำลังชวนยามไปวิ่งเล่นอย่างที่ฉันบอกจริงๆ นั่นแหละ เพราะมันยังวิ่งไปวิ่งมาจนกระทั่งยามออกมา แล้วก็เดินเคียงคู่ไปทางบ้านหมาในอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง

เท่านั้น... ฉันก็ดีใจจนเนื้อเต้น เมื่อยามเดินห่างออกไป

และพอฉันแน่ใจแล้วว่าพ้นระยะที่ยามจะหันกลับมามองเห็น ฉันก็วิ่งไปที่ประตูเล็กทันที

เออ! น่าจะรู้อยู่แล้วว่าประตูเล็กหรือประตูใหญ่บ้านนี้น่ะ ล็อกไว้ตลอด ฉันก็เลยตัดสินใจปีนประตูเล็กขึ้นไปอย่างรวดเร็ว การหนีของฉันยิ่งกว่ามืออาชีพ เพราะฉันไต่ขึ้นไปอย่างเร็วรี่ แม้ว่าขาลงจะลื่นพรืดเพราะเสียหลักกึ่งๆ กะผิด แต่ก็ถือว่าพอรับได้

และเพียงแค่พ้นหลักโฉนดของบ้าน ฉันก็เผ่นแนบทันที แม้อาจจะต้องกึ่งวิ่งกึ่งเดิน กึ่งหลบๆ ตามพงหญ้าบ้าง แอบหลังต้นไม้ใหญ่ๆ บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะตอนนี้ฉันออกมาได้ไกลจากตัวบ้านเรื่อยๆ แต่ฝ่าเท้านี่สิ ชักจะปวด ไม่นับกับน่องที่เป็นแผล จนความเร็วที่วิ่งหนีก่อนนั้นเริ่มช้าลง

‘ทำไมคนรวยถึงชอบสร้างบ้านอยู่ในซอยลึกๆ ก็ไม่รู้’

ฉันบ่นกะปอดกะแปดกับตัวเอง แข้งขาเริ่มอ่อนแรง สงสัยเป็นเพราะช่วงที่ถูกขังอยู่ในนั้น ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ฉันถึงได้เหนื่อยง่ายนัก พร้อมกับใช้หลังมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก แต่ที่จริงคงเป็นเพราะแผลที่ได้ใหม่นี่ด้วยแหละ เลยทำให้ระบมจนเดินช้าลงยิ่งกว่าเดิม แถมมาด้วยอาการกระหายน้ำ แม้คิดว่าเตรียมตัวไว้ดีแล้ว แต่คอก็แห้งอย่างช่วยไม่ได้ หรืออาจเป็นเพราะใกล้เที่ยง แล้วแดดแรงจัด อีกทั้งยังเดินเท้าเปล่า ก็เลยทำให้ความอึดของฉันลดลงมากกว่าปกติ

ช่างมัน ไปให้ถึงบ้านภณิชชาก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันอีกที ส่วนเท้าก็ยังทำหน้าที่เร่งรุดต่อไป กระทั่งปากซอยมีรถวิ่งอยู่ให้เห็นไม่ไกล ก็ทำให้หัวใจของฉันโห่ร้องอย่างยินดีปรีดา

อีกไม่นานแล้ว...

อีกไม่ไกลแล้ว...

‘ขอให้ออกไปก็เจอแท็กซี่เลยนะคะ’

ฉันภาวนา เพราะไม่อย่างนั้นฉันต้องเดินต่อจากจุดที่เห็นนั่นไปอีกเกือบห้าร้อยเมตรเพื่อให้ถึงถนนใหญ่

ฉันเร่งตัวเอง ไม่สนใจขาที่เดินกะโผลกกะเผลกมาได้สักพัก เพราะใจจดใจจ่ออยู่กับเป้าหมายข้างหน้าอย่างตั้งตารอคอย

และสรุปว่า...

การภาวนาในครั้งแรกไม่เป็นผล เพราะฉันต้องทนเดินลากขามาถึงถนนใหญ่จนได้ ฉันรู้ว่ามีหลายๆ คนมองฉันอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีใครหยิบยื่นความช่วยเหลือ ซึ่งฉันก็ไม่สนใจ รู้แต่ว่าอย่าเสียเวลา รีบเผ่นให้เร็วที่สุด จนฉันเห็นรถที่วิ่งบนถนนข้างหน้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

และ...

ฉันก็โบกมือเรียกแท็กซี่สำเร็จ!

ฉันจะเป็นอิสระแล้ว ยาฮู้!

“ไป”

“ไม่ต้องไปแล้วครับ ผมจะพาเธอไปเอง”

มือที่ยังจับประตูรถแท็กซี่ชะงักค้าง เท้าเปล่าข้างที่กำลังจะสอดเข้าไปในตัวรถเสียหลักจนหน้าเกือบคะมำ เพราะถูกเบียดจากคนตัวใหญ่ที่โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ

แต่ที่ทราบอย่างแรกคือหัวใจของฉันหล่นวูบไปอยู่ตาตุ่ม ความร้อนแล่นไปทั่วแผ่นหลัง ก็เสียงของคนที่ขัดคำพูดฉันน่ะ คุณศินรินทร์ชัดๆ!

เขามาได้อย่างไร!

เขามาได้อย่างไร!

ฮือๆๆๆ

แล้วฉันก็รู้สึกได้ถึงวงแขนแข็งแรงและมือใหญ่อุ่นๆ กระชับเอวของฉันเอาไว้แน่น ก่อนจะกึ่งลากกึ่งดึงออกมา

แต่ฉันไม่ยอมหรอก รีบส่งเสียงบอกแท็กซี่ว่า

“พี่คะ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยหนูด้วย”

ฉันไม่รู้ว่าแท็กซี่จะเชื่อฉันไหม เพราะคนขับกำลังจ้องตากับคนร่างสูงใหญ่ที่ยืนค้ำฉัน แถมการแต่งกายประหนึ่งผู้ทรงอิทธิพล ก็เหมือนจะทำให้คนขับชะงักงันชั่วครู่ เนื่องจากสภาพความน่าเชื่อถือ หรือเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงในการช่วยเหลือฉันนั้นรึจะสู้คนที่แต่งกายด้วยชุดสูทสีเทาเข้มเต็มยศ หน้าตาหล่อเหลาดูดีสุดๆ และกำลังล็อกเอวฉันในตอนนี้ได้ แถมรถยนต์ของเขาที่เกือบจูบบั้นท้ายก็บ่งบอกฐานะไม่น้อย แล้วแท็กซี่จะเชื่อใครกันล่ะ

ใครกัน... ที่จะชนะ

และในระหว่างที่หัวของฉันกำลังมีแต่คำถาม สภาพของฉันก็ไม่ต่างจากจิ้งจกเกาะผนัง เพราะจิ้งจกตัวนั้นที่กำลังถูกใครสักคนดึงออกมาอย่างไม่เต็มใจ เพราะทั้งมือทั้งเท้าของฉันยังเกี่ยวประตูแน่น เรียกว่ารักประตูสุดใจขาดดิ้นเลยทีเดียว

ปึ่ก

แล้วเสียงประตูรถปิดก็ดังให้ฉันได้ยิน พร้อมๆ กับอิสรภาพที่โบยบินจากไป ซึ่งมีคำตอบจากความสงสัยของฉันก่อนนั้นได้เฉลยว่า แท็กซี่คันดังกล่าวเชื่อคำพูดคุณศินรินทร์

เขาชนะ!

น้ำตาของฉันเอ่อออกมาคลอเบ้า แหงนหน้าขึ้นมองตัวการใหญ่ด้วยความคับแค้นใจ ที่สุดท้าย เขาก็ทำลายความพยายามของฉันเสียราบเป็นหน้ากลอง ฉันอยากจะฝากรอยกรงเล็บไว้กับใบหน้าหล่อเหลาของเขาที่กำลังมองฉันมาด้วยสายตาเรียบนิ่ง แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตอนนี้ฉันกลายเป็นดาราที่มีแต่คนหันมาดูด้วยความสนใจใคร่รู้

“ขึ้นรถ ผมปล่อยคุณเล่นสนุกมามากเกินไปแล้ว”

ฉันยืนนิ่งไม่ขยับ กำมือไว้แน่น มองเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความกดดัน ความอัดอั้น ความคับแค้นที่ไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าน้ำตาจะไหลลงมารดแก้มให้ดูน่าอับอาย แต่ฉันก็อยากจะมองหน้าคุณศินรินทร์ให้ขึ้นใจ ว่าเขาคือคนที่ใจร้ายที่สุด

“คุณควรจะรู้ตัวว่าจะเป็นแม่คนอยู่แล้ว ทำไมถึงทำอะไรไม่คิดบ้าง”

อะไร

เขาว่าอะไรนะ

ไม่!

ไม่จริง!

แม่เม่ออะไรกัน ฉันยังไม่ได้ท้อง!

ฉันยังไม่ได้อยากมีลูก เขาพูดอะไรอย่างนั้น ฉันยังไม่พร้อมจะเป็นแม่ให้ใคร!

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คำพูดของเขาก็ทำให้มือเท้าของฉันอ่อนเปลี้ยไปทันที

ดูเหมือนคุณศินรินทร์จะเข้าใจถึงอาการวูบดิ่งทางอารมณ์ของฉัน และอาการวูบดิ่งของฉันก็คือ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่เราได้รับรู้เรื่องราวบางอย่าง จนทำอะไรไม่ถูก กระทั่งภาพทุกอย่างรวมทั้งความคิดดำมืดไปหมด นั่นแหละ อาการของฉันเลย ฉันทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

ดีที่คุณศินรินทร์ไม่พูดอะไรให้เข้าทำนองซ้ำเติม เพราะเขาพูดแค่ว่า

“เดินขึ้นรถไหวไหม”

ฉันได้ยินเสียงของเขาคล้ายว่าดังมาจากที่ไกลแสนไกล แม้ความจริงคือเขาจะยืนอยู่ตรงหน้า และห่างกันเพียงลมหายใจสัมผัส

ฉัน... ฉัน... ก้าวขาไม่ออก ฉันหวังว่าเขาจะหลอกฉัน

แม้เสียงหนึ่งในใจจะบอกตัวเองว่า สิ่งที่เขาพูด ก็น่าเชื่อถือไม่น้อย ฉันไม่ใช่เด็กอมมือที่จะปฏิเสธว่าไม่จริง ไม่ได้ เพราะถึงแม้ฉันจะหลอกตัวเองว่าที่ประจำเดือนขาดไป อาจเป็นเพราะฉันเครียด จึงทำให้มาช้ากว่าปกติ แต่ก็ยังมิวายพูดออกไปว่า

“คุณหลอกฉันใช่ไหม”

“ไม่... ผมมีหลักฐาน”

ความจริงที่ฉันไม่อยากจะให้มันเกิด กำลังเกิดขึ้นแล้ว แต่เขารู้ได้อย่างไร เขาอาจหลอกฉันจริงๆ ก็ได้นะ อย่าไปเชื่อเชียวล่ะหนูหริ

ทว่าแข้งขาของฉันก็สั่นไปหมด แทบจะทรงตัวไม่อยู่ หูเหออื้ออึ้งลามมาจนถึงตาลาย แรงพลังที่จะดิ้นรนต่อสู้หรือไขว่คว้าอิสรภาพที่มีอย่างมากมายก่อนนี้กลับหายไปหมดสิ้น ทุกคำพูดของตัวเองที่ก่อนนั้นฟังอย่างไรก็รู้ว่าไร้เรี่ยวแรง แต่ความจริงและรู้ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ฉันไม่เหลือแม้แต่แสงสว่างในหัวใจ มิหนำซ้ำเสียงลึกๆ ยังย้ำว่า ถึงจะสู้ต่อไป... ฉันก็คงเหนื่อยเปล่า

คุณศินรินทร์ประคองฉันไปยังรถด้วยสภาพคนที่มีร่างกายแต่ไร้ซึ่งวิญญาณ

และเมื่อฉันนั่งลงเบาะหลังเรียบร้อย เขาตามเข้ามานั่งเรียบร้อย คุณศินรินทร์ก็ดึงกระดาษสีขาวบางๆ จากกระเป๋าสตางค์ แล้ววางไว้บนตักของฉัน

ฉันค่อยๆ คลี่มันออกมา ในนั้นมีตารางกับตัวหนังสือภาษาอังกฤษพร้อมตราประทับ ที่ดูก็รู้ว่าน่าจะเป็นอักษรย่ออะไรสักอย่างเกี่ยวกับผลพิสูจน์ทางการแพทย์

สายตาที่พร่าไปด้วยม่านน้ำค่อยๆ ไล่เรียงว่าคืออะไร กระทั่งใจความทุกอย่างมีข้อความสรุปว่า ‘ผลบวก’

“ผมให้หมอรีเอาเลือดคุณไปตรวจ เมื่อตอนที่มาฉีดยากันบาดทะยักให้คุณ ผลตรวจนี่...ผมได้มาหลังจากนั้นอีกสองชั่วโมง”

ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังปฏิเสธอะไร

เขาอำฉันใช่ไหม แล้วเลือดของฉันเขาเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง

อ๋อ... ฉันมันโง่เองต่างหาก ที่ไม่ได้สนใจอะไร ไม่สนใจแม้กระทั่งตอนที่คุณหมอผู้หญิงคนนั้นเข้ามาตรวจบาดแผลที่มือ เพราะถูกแก้วบาดลึก จนกระทั่งมีการจิ้มเข็มเข้าๆ ออกๆ สามครั้ง สามจุด จุดแรกตรงข้อมือ จุดที่สองตรงหัวไหล่ จุดที่สามตรงข้อพับ

มานึกออกตอนนี้เองว่าตรงหัวไหล่น่ะ หมอฉีดยากันบาดทะยักให้ เพราะคำสั่งของหมอที่บอกว่าให้ฉันคลึงๆ นวดๆ ตรงนี้ก็ได้นะ จะได้คลายปวด ส่วนตรงข้อพับน่ะให้น้ำเกลือ เพราะต้องให้ทั้งคืน อันนี้เลยจำได้แม่น เพราะฉะนั้นก็เหลือตรงข้อมือ ตรงนี้สินะ คงจะเป็นตอนถูกเอาเลือดไป

มิน่าล่ะ เขาถึงไม่ทำอะไรกับฉันในเรื่องอย่างว่าอีก สาเหตุก็คงมาจากเรื่องนี้นี่เอง

นี่แหละนะ นี่แหละนะ!

แล้วฉันจะโทษใครได้อีกล่ะ นอกจากตัวเองอีกแล้ว

เพราะตอนนั้นฉันหวังเพียงให้เลือดมันไหลออกมาเยอะๆ แล้วจะได้ช็อกตายไปเร็วๆ ก็พอ ไม่ทันได้สนใจอะไร

แต่ตอนนี้ ฉันกำลังย้ำบอกกับตัวเองว่า วันหลังอย่ามัวแต่หมดอาลัยตายอยาก ให้สนใจรอบข้างมากกว่าที่เป็น ให้มีสติเป็นที่ตั้งเยอะๆ ไม่อย่างนั้นจะมาเสียใจภายหลังอย่างเช่นครั้งนี้ คงไม่ได้อีกแล้ว

ว่าแต่... คุณศินรินทร์มาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ฉันเห็นกับตาแล้วนี่ ว่าเขาออกไปทำงานตั้งแต่เมื่อเช้า ทำไมวันนี้เขาถึงกลับมาเร็วจัง ปกติเขาไม่กลับมาตอนเที่ยงนะ แล้วเขาจะไปต่างจังหวัดไม่ใช่เหรอ หรือมีใครเห็นฉันแล้วโทรไปบอกเขา หรือว่ามีคนโทรไปแจ้งตำรวจ หรือว่า...โอย

ฉันสับสนอย่างมาก ทั้งหมดแรง ทั้งมึนงง ไม่อยากที่จะหายใจเลยด้วยซ้ำ ชะตาชีวิตของฉันช่างน่าขำสิ้นดี

และ...

สิบนาทีหลังจากนั้น

ฉันถูกนำตัวกลับมายังสถานที่เดิม ด้วยอาการผิดจากตอนขาออกไป ฉันเห็นสายตาที่บ่งบอกความสงสารของป้าแก่นกับลุงจัน ลุงจันคือสามีของป้าแก่น ฉันเห็นท่านทั้งสองมองฉันจากมุมหนึ่งของประตู แต่ก็ไม่เท่าความอดสูในใจของฉันเอง

ฉันนี่มันโง่จริงๆ ที่หาเรื่องให้เจ็บตัว แต่ก็หนีไม่รอด แถมยังมารู้ข่าวที่น่าตกตะลึงอีก ตอนนี้ฉันไม่อยากคิดอะไรแล้ว ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว อยากหลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลยก็ได้

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

แต่สุดท้ายฉันก็หลับไม่ลง ข่มตาไม่ลง แม้นาฬิกาจะบอกว่าตีสามกว่าๆ แล้วก็ตาม ความเหนื่อยล้าไม่ได้สะกิดความรู้สึกของฉันให้ง่วงงุน เพราะความคิดทุกอย่างไปรวมอยู่ตรงหน้าท้องที่กำลังมีอีกชีวิตหนึ่ง สลับกับกระดาษบางๆ ใบนั้นบนโต๊ะตรงหน้าฉันในตอนนี้ ที่ถึงแม้จะอยู่ในความมืดสลัว แต่ฉันก็เห็นข้อความอย่างชัดเจน เพราะทุกตัวอักษรล้วนจำได้ขึ้นใจ และคอยตอกย้ำว่า

ฉัน... ไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

คุณศินรินทร์ไม่ได้ออกไปไหน เขาขังตัวเองอยู่ในห้องกับฉันตั้งแต่ตอนกลับเข้ามา เขาบัญชาการกองทัพบอดี้การ์ดขนาดย่อมผ่านโทรศัพท์มือถือ ประหนึ่งให้ฉันรู้ว่าเขาจะไม่ออมมือให้อีกแล้ว และจะไม่ยอมให้ฉันทำอะไรแผลงๆ จนอาจมีผลต่อเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาอีก เพราะขนาดฉันเข้าห้องน้ำ เขาก็ยังไม่ให้ฉันปิดประตู และอีกไม่กี่นาทีต่อมา ฉันก็ได้รู้ว่าคุณศินรินทร์สั่งให้ลุงจันมาถอดลูกบิดออกไป ยอมเหลือรูโบ๋นั่นไว้เป็นอนุสรณ์ต่างหน้า เหมือนกับว่าจะเอาไว้ย้ำวีรกรรมของฉันเลยทีเดียวล่ะ

ตอนนี้ ฉันได้แต่นั่งอยู่เงียบๆ มองมือมองน่องของตัวเองที่มีผ้าก๊อซสีขาวสะอาดพันไว้ มองทุกอย่างผ่านแสงจันทร์เลือนรางที่ลอดผ่านผ้าม่านตรงหน้าต่างและประตูระเบียงเข้ามา

และแสงสลัวนั้น กำลังตกกระทบใบหน้าและเรือนร่างของคุณศินรินทร์ที่นอนหลับอยู่ไม่ไกล เขานอนอยู่บนเตียงโดยไม่ได้อาบน้ำ เรือนร่างสูงใหญ่สมบูรณ์แบบยังใส่เสื้อผ้าชุดเดิมตั้งแต่เมื่อกลางวัน ยกเว้นสูทตัวนอกที่ถอดออก ดูเหมือนเขาต้องการจะเฝ้าระวังฉัน แต่เหตุไฉนจึงกลายเป็นว่าตัวฉันต่างหาก ที่นอนไม่หลับ และเป็นเสมือนฝ่ายเฝ้าระวังเสียเอง เช่นเดียวกับทุกค่ำคืนเมื่อมีเขาอยู่ ซึ่งกว่าจะหลับตาลง ฉันก็ต้องรอให้ร่างกายทนไม่ไหว แล้วหลับไปเอง

ฉันอยากได้ยานอนหลับจัง...

และเมื่อตอนเขาหลับ เขาช่างดูเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรเลย เหมือนกับที่ป้าแก่นพยายามกล่อมฉันตลอดเวลาระหว่างอยู่ที่นี่ เรื่องคุณความดีต่างๆ ของคุณศินรินทร์ที่ฉันเองก็ไม่เคยรู้ ซึ่งสรุปว่าถ้าเขาไม่ทำกับฉัน เขาไม่ข่มเหงฉัน เขาไม่รังแกฉัน ฉันก็คงทำใจเชื่อได้ และคิดว่าเขาเป็นคนที่ดีมากๆ คนหนึ่ง

ฉันบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ ความรู้สึกลึกๆ นั้นกำลังหดหู่แค่ไหน สับสนมากเพียงใด หวาดหวั่นกับอนาคตที่ไม่รู้เลยว่า ต่างฝ่ายต่างจะประคับประคองกันและกันให้ถึงฝั่งฝันที่สวยงามหรือไม่ เพราะแม้ว่าคุณศินรินทร์ได้ยื่นข้อเสนอที่ดีให้แก่ฉัน เขาตกลงทำสัญญาที่ล้วนให้ประโยชน์แก่ฉัน แต่ฉันไม่รู้ว่าจะเชื่อตัวเองได้ไหม

ในเมื่อตอนนี้ ที่ฉันนอนไม่หลับ ก็อาจเป็นเพราะเขายังอยู่ในห้องก็เป็นได้ แล้วเหตุการณ์ข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ฉันจะทำได้ดีแค่ไหน...เพื่อลูก

ฉันก็ยังไม่รู้เลย...

‘แม่จ๋า ตาจ๋า หนูหริจะทำอย่างไรดีคะ’

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ฉันไม่รู้ว่าหลับไปได้นานเท่าไหร่ เพราะแม้ว่าที่นอนหนานุ่มจะส่งสัมผัสอย่างเคยชินและช่วยให้นอนสบาย แต่ฉันก็รู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งตัวเหลือเกิน และดูเหมือนแผลที่น่องจะอักเสบ เพราะตอนนี้กำลังปวดตุบๆ

ฉันบิดขี้เกียจในสภาพที่เอื้ออำนวย

‘ว่าแต่... ฉันมานอนบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะ’

นึกได้อย่างนั้นฉันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น

พลัน ฉันก็เห็นเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายทั้งปวงที่เคยหายไป ได้กลับมาอยู่ที่เดิมอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ จนทำให้ห้องนอนใหญ่และโล่งก่อนนี้ ดูเล็กลงไปถนัดตา

‘นี่ฉันหลับไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย’

คือ... ฉันจำได้ว่า ฉันนอนไม่หลับทั้งคืน กว่าจะหลับตาลง พระอาทิตย์ก็ฉายแสงทักทายแล้ว แต่ฉันว่าตอนที่หลับน่ะ ฉันฟุบลงกับโต๊ะเขียนหนังสือนะ

อ๋อ... ใช่ละ ฉันจำได้ ก็พอรู้สึกเมื่อยๆ มึนๆ ปวดคอมาก ฉันก็เลยย้ายตัวเองมานอนที่ฝั่งซ้ายของเตียง เพราะฝั่งขวาคุณศินรินทร์จอง ถึงแม้ตอนที่ฉันรู้สึกตัวน่ะ จะไม่เห็นคุณศินรินทร์นอนอยู่ที่เดิมก็ตาม

และถึงจะสงสัยว่าคุณศินรินทร์หายไปไหน แต่ก็นะ ฉันง่วงมาก เพลียมาก ขอนอนก่อน

เฮ้อ... ทำไมฉันถึงเป็นคนอย่างนี้

‘แล้วนี่พวกเขาย้ายข้าวของเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ย้ายเข้ามาด้วยวิธีไหน ทำไมถึงเงียบเชียบนักเชียว’

นึกได้อย่างนั้น ฉันก็อยากจะเขกหัวตัวเองซ้ำอีกสักรอบ

ฉันไม่รอช้า รีบสำรวจตรวจตรากับสิ่งของทั้งหลายประหนึ่งไม่เคยพบไม่เคยเห็น ก็แหงล่ะ ฉันไม่เห็นโซฟา ไม่เห็นโทรศัพท์ ไม่เห็นคอมพิวเตอร์ และไม่เห็นอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่างเหมือนกับที่กำลังสำรวจในตอนนี้ตั้งสี่เดือนเชียวนะ สี่เดือนเชียว!

แล้วนี่ จู่ๆ ของพวกนี้ก็กลับมา เพียงแค่ฉันหลับ แล้วก็ลืมตาในชั่วระยะเวลาแค่หนึ่งตื่น ทุกอย่างก็ครบครันเหมือนเดิม ไม่เหมือนก่อนนั้น ที่เหลือเพียงโต๊ะเขียนหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้ง เตียงนอน แล้วก็โทรทัศน์

และพอฉันเปิดที่ตู้เสื้อผ้า กลิ่นหอมจากน้ำยาปรับผ้านุ่มก็ลอยมาแตะจมูก นั่นจึงทำให้รู้ว่ามีเสื้อผ้าที่เพิ่งผ่านการซักรีดบรรจุเข้ามาใหม่ ซึ่งไม่ใช่เสื้อผ้าของฉัน และไม่ใช่เสื้อผ้าชุดเดิมของคุณศินรินทร์ที่ถูกทิ้งไว้ หลังจากเขาปล่อยให้ฉันครอบครองห้องที่เคยเป็นห้องนอนของเขาเพียงฝ่ายเดียว

และความหมายจากสิ่งที่เห็น หากไม่ใช่เพราะเจ้าของเดิมจะกลับมา ฉันก็แปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เพราะสูททุกชุดกลับเข้าที่เดิมจนครบ ฉันรีบเปิดอีกประตูหนึ่งก็พบเสื้อยืดลำลองแขวนเรียงเป็นตับ เปิดอีกประตูหนึ่งก็พบกางเกงสแล็คแขวนเรียบร้อยกับกางเกงยีนส์ที่ถูกพับเป็นตั้ง ไม่ต่างจากอีกประตูหนึ่งที่แขวนชุดนอนและกางเกงขาสั้นเต็มราว

และพอเปิดลิ้นชักด้านล่าง ฉันก็เห็นถุงเท้าหลายคู่ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ หรือแม้แต่กางเกงในก็ล้วนกลับมาอยู่ในที่ที่เคยอยู่เรียบร้อย

สัญญาณจากข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ที่สมบูรณ์พร้อมเช่นนี้ หากมิใช่คำตอบว่าคุณศินรินทร์จะไม่ย้ายตัวเองออกไปที่ไหน ฉันก็ไม่รู้จะหาเหตุผลอะไรใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่เห็นในตอนนี้อีก

กริ๊ก

“อ้าว คุณหนูหริตื่นพอดี ดีเลยค่ะ รีบล้างหน้าล้างตาเถอะนะคะ คุณขุนให้ป้าขึ้นมาดูคุณ บอกว่า ถ้าคุณตื่นแล้ว ให้ลงไปข้างล่างเลยค่ะ เธอรอทานข้าวเที่ยงอยู่”

ป้าแก่นรีบบอกกับฉัน เพราะตอนที่ป้าแก่นเข้ามานั้น ฉันยังนั่งแหมะอยู่ตรงหน้าตู้เสื้อผ้าสุดหรูอลังการงานสร้าง ฉันไม่รู้ว่าช่วงที่หลับไปนั้นมีใครเข้าออกในห้องนี้บ้าง แต่ปกติจะไม่มีใครมายุ่มย่ามเลย

คือ... ที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ ก็เพราะสงสัยเพียงว่าทำไมป้าแก่นไม่เคาะประตูก่อนเข้ามาก็เท่านั้น แต่พอนึกได้ว่าท่านคงคิดว่าฉันหลับอยู่ เพราะขนาดขนย้ายข้าวของมากมายขนาดนี้ฉันยังหลับไม่รู้เรื่อง นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ป้าแก่นไม่อยากรบกวนก็เป็นได้

และเมื่อคำถามนี้จบไป คำถามใหม่ก็แล่นเข้ามาทันที ว่าคุณศินรินทร์จะเริ่มกระหนาบฉันให้อยู่ในกรอบเลยหรืออย่างไร เมื่อวานนี้ฉันแค่ตกลงว่าจะไม่หนีไปไหน จะไม่ทำตัวเหลวไหลแบบไม่คิดหน้าคิดหลังอย่างที่เคยทำอีกก็เท่านั้น แต่นี่เขาเล่นจะสร้างผัง ตีตารางชีวิตให้ฉันใหม่นับตั้งแต่ตอนนี้เลยเชียวหรือ ฉันยังไม่ยอมรับนะ

“รีบเถอะค่ะคุณหนูหริ”

“ค่ะป้า”

ฉันพยักหน้า และไปจัดการธุระของตัวเองให้เรียบร้อย

ใช่ว่าฉันจะกลัวหรอกนะ แต่สมองมึนเสียจนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไร รู้แต่ทำตามที่ป้าแก่นบอกไปก่อน ขอเวลาคิดสักพัก แล้วค่อยกลับมาว่ากันอีกที

เพราะฉันทั้งมึนทั้งสับสนเหลือเกิน...

ว่าแต่... ฉันรู้สึกแปลกๆ เวลาเข้าห้องน้ำแล้วไม่มีกลอนประตู หรือมีลูกบิดประตูอย่างที่ควรจะเป็น มันตะขิดตะขวงใจอย่างไรชอบกล โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนที่ฉันจะปลดทุกข์ แล้วหากกลิ่นบางอย่างจะลอยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องล่ะ จะทำอย่างไรทีนี้ หวังว่าคุณศินรินทร์จะไม่เป็นลมไปเสียก่อนนะ เพราะฉันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อเขาเลือกทำแบบนี้เองนี่นา

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -

ตอนนี้ อายุครรภ์ของฉันได้เกือบห้าเดือน หรือที่จริงคือประมาณสิบเก้าสัปดาห์แล้ว คุณศินรินทร์พาฉันไปฝากท้องกับคุณหมอศิลา เห็นคุณศินรินทร์บอกว่าคุณหมอคนนี้เก่งมาก แต่ฉันก็กลัวๆ เขินๆ ทุกทีเวลาพบคุณหมอ เพราะฉันจินตนาการไปถึงตอนคลอด ว่าไม่อยากให้ใครมาเห็นน้องหนูของฉันเลย ฉันอายจัง

แต่ฉันก็ไม่ได้พูดอะไรไปหรอกนะ ก็ได้แต่ฟังๆ ตลอด เวลาคุณหมอบอกอะไร ฉันก็พยายามทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม โดยเฉพาะคำสั่งล่าสุดเรื่องภาวะความเครียด เพราะเมื่อไหร่ที่ฉันมาตรวจ ก็เจอความดันสูงทุกที จนกระทั่งคุณหมอศิลาตัดสินใจบอกว่า ถ้ายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ อาจเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ นั่นจึงทำให้ฉันรู้ถึงสาเหตุที่ตัวเองต้องมาพบหมอบ่อยๆ ตั้งแต่รู้ว่าตั้งท้อง

ฉันไม่รู้มาก่อนจริงๆ ว่าความเครียดจะส่งผลกระทบมากถึงขนาดที่ว่าจะทำร้ายฉันกับลูกให้ถึงตายได้ แต่คุณหมอศิลาท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ให้ทำใจสบายๆ ขอเพียงแต่ฉันห้ามเศร้า ห้ามเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ หาอะไรทำก็ได้ อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่ว่างๆ เวลานอนก็ให้นอนตะแคงซ้าย เพื่อไม่ให้มดลูกกดเส้นเลือดใหญ่ และการนอนท่านี้จะช่วยให้ลดความดันในเส้นเลือดที่ส่งออกซิเจนและส่งสารอาหารไปสู่ลูกได้ดี ให้ฉันงดของเค็ม ดื่มน้ำให้มาก งดกาแฟและสุรา ซึ่งฉันก็บอกไปว่าฉันไม่กินอะไรที่มีแอลกอฮอล์ค่ะ เพราะผิดศีลห้า คุณหมอก็ถึงกับหัวเราะ

และคุณหมอก็บอกว่าที่เตือนไว้น่ะ เพราะฉันอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งคุณหมอไม่ต้องการให้เกิดกรณีแบบนั้น ขอให้เป็นภาวะชั่วคราวและหายไป ขอเพียงฉันดูแลตัวเองให้มาก ปฏิบัติตามที่หมอสั่งอย่างเคร่งครัด แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น ซึ่งฉันคิดว่าจะต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้ ฉันเองก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน

เพราะภาวะครรภ์เป็นพิษนั้น คุณหมอบอกว่าหากมีอาการอ่อนๆ และได้รับการดูแลที่ไม่ดี ก็อาจเปลี่ยนเป็นขั้นรุนแรง แต่ถ้าเป็นขั้นรุนแรงอยู่แล้ว ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากขึ้น จนถึงขั้นชักและความดันโลหิตสูง ทำให้เส้นเลือดในสมองแตก หรือเด็กตายในครรภ์ ซึ่งที่สุด หากมีอาการรุนแรงและเกินความสามารถ คุณหมออาจต้องวินิจฉัยให้ยุติการตั้งครรภ์หรือทำแท้ง เพื่อรักษาชีวิตคนเป็นแม่อย่างฉันเอาไว้ แต่ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้เลยเสียทีเดียว

เฮ้อ...

ตอนนี้ฉันออกมานั่งรอตรงที่จ่ายยา คุณศินรินทร์บอกว่าขอคุยอะไรกับคุณหมออีกนิดหน่อยเรื่องการดูแลฉัน เพราะเขาไม่อยากให้มีปัญหา เขาบอกว่าพอได้ยินเรื่องภาวะครรภ์เป็นพิษแล้วใจไม่ดี เป็นห่วงลูก ฉันเองก็รู้สึกหิวน้ำมาก และเห็นว่าในส่วนของฉันเรียบร้อยแล้ว ก็เลยขอตัวออกมาก่อน

ฉันนั่งรอได้สักพัก คุณศินรินทร์ก็ตามมา ฉันสังเกตว่าเขาขรึมไป แม้จะยิ้มให้ฉันเป็นครั้งคราวระหว่างที่นั่งรอ

“มีอะไรหรือเปล่าคะ”

มันอดใจไม่ไหวจริงๆ เมื่อเห็นความอึดอัดและความตึงเครียดในสายตาคู่นั้น

ฉันรอคำตอบจากเขา คุณศินรินทร์ไม่ได้ตอบเสียทีเดียว

ฉันเห็นเขาถอนหายใจ นิ้วมือเรียวยาว ขาวสะอาด กับฝ่ามือนุ่มใหญ่ของคุณศินรินทร์ค่อยๆ วางทับบนหลังมือของฉัน ฉันเกือบจะชักมือออก แต่ก็หยุดไว้ได้ทัน เพราะสภาพของเขานั้นบ่งบอกว่ากำลังวิตกกับเรื่องของฉันจริงๆ

นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ฉันถูกจับกลับมา เป็นครั้งแรกที่เขาแตะเนื้อต้องตัวฉัน เพราะก่อนนั้นแม้ว่าเราจะอยู่ในห้องนอนเดียวกัน นอนเตียงเดียวกัน เห็นหน้ากันทุกวัน พูดคุยกันทุกวัน (อย่างน้อยมาก) แต่เขาก็ไม่เคยสัมผัสฉันอีก

ไม่... แม้แต่จะทำให้รู้สึกว่าเขาจะทำมิดีมิร้ายกับฉัน

และนั่นจึงทำให้ฉันลดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขาลงไปได้บ้าง หรืออาจเป็นเพราะฉันเป็นคนขี้สงสารมาแต่ไหนแต่ไรก็ได้ พอเมื่อไหร่ที่เห็นว่าอีกฝ่ายสำนึกผิดจริงและไม่ได้เสแสร้ง ฉันก็ไม่อาจใจแข็งหรือปั้นหน้ายักษ์ใส่ได้ตลอด และดูเหมือนคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน

ฉันรอฟัง กระทั่งคุณศินรินทร์สูดลมหายใจลึกๆ อย่างช้าๆ

“ผมบอกตรงๆ หนูหริ ผมไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรดี ถึงจะทำให้คุณอาการดีขึ้น ผมอยากให้คุณหาย ไม่ได้อยากให้คุณเป็นแบบนี้เลย ขอแค่ผมทำได้ ผมจะทำ”

เขาถอนหายใจยาว ฝ่ามือใหญ่นั้นบีบมือฉันเบาๆ แล้วค่อยๆ คลาย ก่อนจะวางไว้นิ่งๆ แล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบ

ฉันรู้สึกว่าความเงียบก็มีดีตรงนี้ คือให้เวลาได้คิดและตรึกตรองอะไรหลายๆ อย่าง โดยไม่ต้องพูดให้มากความ

และระหว่างนั้น... คุณศินรินทร์ก็ขยับนิ้วที่เรียวยาวดั่งเทียน เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยบนหลังมือของฉันอย่างเชื่องช้าอ้อยอิ่ง ไล่ไปทีละนิ้ว... ทีละนิ้ว... นั่นจึงทำให้ฉันรู้ว่าเขากำลังกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง เพราะสายตาของเขามองอยู่เพียงแค่มือ แต่นัยน์ตาแฝงแววครุ่นคิด

ฉันรู้... ว่านี่คืออาการเหม่อลอย เพราะทุกครั้งที่ในใจของเขากำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด อาการแบบนี้ก็มีให้เห็นเสมอ ซึ่งจะเป็นอะไรนั้น ฉันก็ไม่อาจเข้าไปล่วงรู้ได้

แต่ก็น่าจะเดาไม่ยาก

“ผมคิดไม่ถึงว่ามันจะรุนแรงขนาดนี้”

เขาสารภาพสิ่งที่คิดออกมา คุณศินรินทร์ค่อยๆ สบตาฉัน

ฉันรู้สึกสงสารเขา ดูเหมือนเขาสำนึกผิดอย่างที่สุด เพราะอาการที่เห็น ฉันว่าเขาไม่ได้เสแสร้งจริงๆ นะ

ฉันหวังว่าคุณศินรินทร์คงรู้ซึ้งถึงผลแห่งการกระทำชำเราผู้อื่นที่อีกฝ่ายไม่ได้เต็มใจ เพราะก่อนนั้นเขาอาจคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงได้กล้าลงมือทำกับฉัน เพราะเท่าที่ฉันรู้นั้น ในชีวิตของเขามีแต่ผู้หญิงคอยให้ท่า ประมาณว่ามีแต่คนเต็มใจให้ เลยไม่ได้นึกถึงหัวอกคนขี้เหร่อย่างฉันซึ่งจิตใจไร้ความพิศวาสกับเขาในทางชู้สาว

และเมื่อเรื่องราวมันบานปลาย เขาจึงอาจคิดว่าการรับฉันอยู่กินด้วยกัน รับผิดชอบอย่างเต็มที่กับเรื่องที่เกิดขึ้น เพียงเท่านี้ก็น่าจะเรียบร้อย คงไม่มีปัญหาอะไรอีกแล้ว และเรื่องแบบนี้ก็มีอยู่ถมไป โดยหารู้ไม่ว่านั่นเป็นความคิดที่ผิดและเป็นความเชื่อที่ผิดที่สุด

เพราะบทสรุปของผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเขาในครั้งโน้น กำลังกระทบมาถึงตอนนี้ ซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตของฉัน เพราะที่ผ่านมาฉันมีแต่ความหวาดระแวง ผวา เครียด และซึมเศร้า

ฉันเชื่อว่าผู้หญิงที่เจอสถานการณ์เดียวกันนี้ส่วนมากไม่มีความสุข แม้ว่าเขาคนนั้นจะเต็มใจรับผิดชอบอย่างดีที่สุดก็ตาม หรือผู้กระทำจะเป็นผู้ชายหน้าตาดี หล่อ เท่ห์ สุดแสนเพอร์เฟ็กต์แค่ไหน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ ต่อให้หน้าตาหล่อเหลาเพียงใด ฐานะดีเพียงใด มันก็แทบจะช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันเหมือนตราบาปที่ฝังไว้ในใจอย่างไม่อาจลบเลือนไปจนวันตายเลยทีเดียว

ฉันหวังว่าคุณศินรินทร์จะรู้ซึ้งและเข้าใจถึงความรู้สึกของฉันเสียที ว่านี่ไม่ใช่เรื่องสนุก ฉันไม่ได้เสแสร้ง แต่นี่คือความเป็นความตายของผู้หญิงคนหนึ่ง คือความเป็นความตายของฉัน โดยเฉพาะการเกิดภาวะตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ซึ่งทุกอย่างย่อมตกแก่ฉันคนเดียว และฉันเองก็ใช่ว่าจะเครียดเพื่อเรียกร้องความสนใจอะไรจากเขา อยากหาเรื่องให้ตัวเองต้องเจ็บป่วย แต่ฉันห้ามไม่ได้ ทั้งที่พยายามบอกตัวเองทุกวันว่าให้ทำใจ ทุกอย่างแก้ไขไม่ได้อีกแล้ว และฉันจำต้องยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องทำให้ได้

แต่ก็ยากเหลือเกิน...

เพราะทุกอย่างระหว่างฉันกับคุณศินรินทร์ไม่ได้มีเหตุมาจากความรัก ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความผิดพลาดและไม่ตั้งใจ ภาพที่เขาทำร้ายฉันไม่เคยลบเลือน ไม่ได้หายไป แม้คุณศินรินทร์จะดูแลฉันอย่างดีมากขนาดไหน พยายามทำดีเพื่อให้ฉันลบความทรงจำพวกนั้นออกไปมากเท่าไหร่ แต่ทว่าในหัวของฉันก็ยังมีภาพเหล่านั้นอยู่

อีกทั้งในส่วนลึกก็มีแต่คำถามว่าลูกที่จะเกิด พ่อของลูกจะรักลูกมากไหม เขาจริงใจหรือไม่กับการรับผิดชอบในครั้งนี้ แล้วอนาคตข้างหน้าล่ะ จะเป็นอย่างไร หากเขาเจอคนที่ถูกใจและอยากใช้ชีวิตทั้งหมดที่เหลือกับผู้หญิงคนนั้น แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันกับลูกจะทำอย่างไร จะอยู่กันอย่างไร และอีกมากมายหลายคำถามที่วนเวียนอยู่แต่ในหัว ซึ่งยังไม่ได้รับคำตอบ ฉะนั้นฉันจึงหวังว่าเขาจะคิดได้ และหวังเหลือเกินว่าเขาจะสำนึกผิดจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่แกล้งแสดงออกมา

เพราะหลังจากที่ฉันได้ฟังคุณหมอศิลาบอก ฉันก็พยายามไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเท่าที่สมองทื่อๆ ของฉันพอจะทำได้ ประมวลภาพรวมทั้งหลาย แล้วชั่งวัดถึงผลได้ผลเสีย โดยดูจากการกระทำของคุณศินรินทร์ที่ปฏิบัติต่อฉันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งฉันเห็นว่าเขาก็ทำได้ดีในระดับหนึ่ง นั่นจึงทำให้ตอนนี้ และนับจากนี้เป็นต้นไป ฉันไม่อยากจะทำร้ายเขาอีก ฉันไม่อยากให้เราสองคนตกอยู่ในสภาพที่มีแต่ความเครียดตลอดเวลา เพราะฉันรู้ซึ้งและเข้าใจมันเป็นอย่างดี

ส่วนเรื่องภาวะครรภ์เป็นพิษนั้น ก็คงต้องรอดูกันต่อไป ว่าฉันจะดูแลตัวเองได้ทันการณ์หรือไม่ หรือว่าจะเป็นมาก หรือเป็นน้อย หรือว่าจะหาย ก็ต้องรอไปอีกสักระยะ คุณหมอแค่เห็นว่าฉันอยู่ในกลุ่มเสี่ยง จึงต้องบอกฉันให้รู้ จะได้ดูแลตัวเองแต่เนิ่นๆ และทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับฉันเพียงคนเดียว

นั่นสินะ... ฉันคงต้องพึ่งตัวเองเสียแล้วสิ

ส่วนเรื่องในอดีต ฉันคงกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้จริงๆ สิ่งที่จะทำได้นับจากนี้ก็คือมองไปข้างหน้า ทำทุกอย่างเพื่อลูกเท่านั้น

ใช่... ฉันต้องทำให้ได้เพื่อลูก

ต้องขอบคุณคุณหมอที่เตือนฉัน เพราะจากนี้... หากเกิดอะไรที่ไม่ดี ฉันคงโทษใครไม่ได้อีกแล้ว เพราะทุกย่างก้าว ทุกเวลานับจากนี้ไป ฉันต้องตั้งสติให้มาก ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังที่สุด เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉัน ประสบการณ์จากอดีตเคยสั่งสอนให้ฉันเรียนรู้ว่า ฉันผิดพลาดเช่นไร และฉันไม่ควรให้เป็นเหมือนเดิมเช่นไร

นี่คงต้องสั่งตัวเองให้ทำใจลืมๆ เรื่องเก่าก่อนให้ได้อย่างเร็วที่สุด ต้องให้อภัยให้ได้มากที่สุด แม้จะไม่ทั้งหมด แต่ฉันก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นลูกอาจตายตั้งแต่อยู่ในท้อง หรือแม้ว่าลูกจะได้เกิด แต่ก็เสี่ยงที่จะพิการ หากยังปล่อยให้เป็นแบบนี้อยู่ ซึ่งฉันไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด ความผูกพันในเวลาแค่ไม่กี่เดือนนับตั้งแต่ฉันมีเขา เป็นเวลาสั้นๆ ตั้งแต่เขาถือกำเนิด นั่นก็มากพอที่จะทำให้ฉันรักลูก แม้ว่าต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ลูกมาอยู่กับฉันจะไม่สวยสดงดงามนัก แต่ตอนนี้ฉันก็มีเขาแล้ว ลูกเป็นดวงใจของฉัน ลูกคือชีวิตของฉัน และฉันต้องทำให้ได้

และถ้ามองในทางบวก ก็ถือว่าอย่างน้อยฉันก็โชคดีจริงๆ นะ โชคดีกว่าผู้หญิงอีกหลายคนที่เจอเหตุการณ์เหมือนกัน เพราะบางทีฉันอาจจะเป็นหนึ่งในล้านที่เจอผู้ชายหน้าตาดีและสมบูรณ์แบบอย่างคุณศินรินทร์ด้วยซ้ำไป แถมเขายังเป็นผู้ชายแท้ๆ ไม่แอ๊บแมน ทรัพย์สินหรือก็มีพร้อม ฐานะความมั่นคงก็เข้าขั้นดีมาก ไม่ใช่ไอ้บ้าที่ไหนสักคนที่ดูแลฉันไม่ได้ ไม่ใช่ขี้เมาหยำเป หรือพวกติดยา หรือพวกผีพนัน หรือพวกที่ชอบเลี้ยงดูด้วยลำแข้งกับฝ่ามือแทนข้าวทุกวัน ซึ่งนั่นก็นับว่าฉันรอดตัวแล้ว

ฉันควรจะหวังอะไรไปมากกว่านี้อีก...

ดังนั้น ฉันจึงพยายามเลื่อนมืออีกข้างที่ว่างอยู่มาวางไว้บนหลังมือของคุณศินรินทร์ เขามีสีหน้าตกตะลึงนิดๆ ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับการกระทำของฉันเช่นนี้ ฉันจึงได้แต่ยิ้มให้กำลังใจเขา บอกกับเขาว่า

“ฉันก็รักตัวกลัวตายนะคะ ฉันจะพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุด ลูกเกิดมาแล้ว ฉันรักลูก ฉันไม่อยากได้ชื่อว่าทำร้ายลูก ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฉันแล้วค่ะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด คุณไม่ต้องกังวลนะคะ”

นี่ถ้าใครไม่รู้เรื่องราวตื้นลึกหนาบาง คงคิดว่าฉันกับคุณศินรินทร์เป็นสามีภรรยาที่รักกันมากมาย เพราะตอนนี้เขากำลังกุมมือข้างหนึ่งของฉันเอาไว้ แล้วใช้อีกแขนหนึ่งโอบที่ไหล่ของฉัน ลูบต้นแขนของฉันขึ้นลงเบาๆ เกยคางของเขาไว้ที่กลางกระหม่อมของฉัน จนเหมือนกอดฉันไว้หลวมๆ

“ขอบคุณ... ขอบคุณ”

เสียงของเขาดังคล้ายว่าจะกระซิบ

ฉันไม่ได้พูดอะไร รู้แต่ว่าฉันเองก็ขอบคุณเขาในใจเช่นกัน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา คุณศินรินทร์ได้แสดงให้ฉันรู้ว่าเขาพยายามถึงที่สุดแล้ว ที่จะไม่ทำให้ฉันเสียใจ ทุกข์ใจ กังวลใจ หรือมีอาการหวาดกลัวเขามากกว่าที่เป็นอยู่

ฉันรู้ว่าเขาพยายามที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ฉันก็หวังว่าเขาจะรักษาการกระทำเช่นนี้ไว้ตลอดไป เพราะคุณศินรินทร์มิใช่แค่ย้ายตัวเองมาทำงานที่บ้าน เป็นนัยให้รู้ว่าไม่ได้ออกไปเที่ยวเตร่ที่ไหน ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายสำหรับเสือผู้หญิงอย่างเขา แต่เขายังดูแลไปถึงข้าวปลาอาหารซึ่งก็จัดแจงสั่งและเตรียมไว้อย่างดี ดูแลแม้กระทั่งตอนฉันหลับ แล้วฉันนอนดิ้นจนผ้าห่มหลุดไป แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาเพื่อห่มผ้าให้ใหม่ทุกครั้ง ในทุกค่ำคืน

และที่สำคัญ... คือเขาไม่ทำอะไรกับฉันอย่างที่ฉันกลัว แม้จะนอนอยู่ในห้องเดียวกัน นอนเตียงเดียวกันก็ตาม คุณศินรินทร์ดูแลฉันอย่างที่คนสองคนจะสร้างชีวิตครอบครัวด้วยกัน และอีกมากมาย ซึ่งสรุปว่านับจากนี้เป็นต้นไป ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับฉันเป็นหลัก และฉันหวังว่าจะทำได้สำเร็จ

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * - * -



สุชาคริยา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ส.ค. 2555, 16:31:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 ส.ค. 2555, 16:31:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 2896





<< บทที่ 2   บทที่ 4 >>
หนอนฮับ 9 ส.ค. 2555, 16:51:12 น.
เป็นห่วงน้องชินนนนนนนนนน อิอิ


nunoi 9 ส.ค. 2555, 17:09:41 น.
ไปตามอ่านที่เวปเด็กดีมาหมดแล้ว เขียนได้เริ่ดมากค่ะ


supayalak 9 ส.ค. 2555, 17:40:20 น.
ลุ้นไป เครียดไป เจ็บใส้ เจ็บตับไปหมด เหมือนเราท้องด้วยเลยแฮะ


รอให้เป็นเล่ม 9 ส.ค. 2555, 20:08:56 น.
หูยยยยยยย ลุ้นอ่ะ


ฟิน 10 ส.ค. 2555, 10:28:17 น.
แอบสับสนเรื่องระยะเวลานิดนึงค่ะ ตอนนี้แล้ว 49 วัน ก็ทำเอาหนูหริเหมือนเป็นโรคจิตอ่อนๆ แล้วตอนนี้ผ่านไป 4 เดือน หนูหริก็เหมือนจะเคลียดขึ้นไปอีก ดูเหมือนมันจะห่างกันเกินไปไหมคะ เอ๊ะ หรือยังไง เพราะถ้าเป็นฟินต้องทนอยู่กับสถานการณ์แบบนี้นานๆ คงแย่มากๆ ถึงยังไม่ท้องก็เถอะ คืออินจัดมากอ่ะคะ


สุชาคริยา 10 ส.ค. 2555, 11:51:32 น.
หนอนฮับ = อิอิ
nunoi = ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ
supayalak = ^^
รอให้เป็นเล่ม = ขอบพระคุณค่ะ ดีใจที่ลุ้นไปด้วยกันค่ะ
ฟิน = 49 วันนี่คือ 45 วันแรกพระเอกยัง...นางเอกค่ะ แต่พอนับจากวันที่ 46 เป็นต้นมา พระเอกไม่ยุ่งกับนางเอกเลยเพราะได้แผล พอวันที่ 49 ทั้งสองคนได้คุยกัน โดยนางเอกก็พยายามสงบเสงี่ยมเนื่องจากกำลังหาทางหนี ซึ่งช่วงที่นางเอกหาทางหนีและรอเวลาเหมาะๆ นี้ นางเอกใช้เวลาราวๆ 1 เดือนครึ่ง ถึงสองเดือน ค่ะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่มีจังหวะเลย คือรู้ว่าถ้าไม่หาจังหวะให้ดี ก็ถูกจับกลับมาอีก เพราะลองหนีมาทุกวิถีทางแล้ว สังเกตคำในบทที่ 2 ตรงที่ว่า "ฉันขอให้การหนีครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยเถอะ เพราะหลายครั้งก่อนนั้น ผลที่ออกมาล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า และฉันก็ไม่อยากสาธยายว่ามันน่าอายขนาดไหน" และสิ่งที่นางเอกทนมาได้ ก็เพราะพระเอกไม่xxxเธอเลย นางเอกของเราเจึงพอจะทำใจเพื่อรออิสรภาพ มีความหวังว่าจะได้อิสรภาพ จนกระทั่งหนีได้ แต่ไม่สำเร็จ และวันเดียวกันนั้นก็ได้รู้ตัวเองท้อง และพอรู้ว่าตัวเองท้อง นางเอกก็พยายามทำใจค่ะ จนกระทั่งว่าอายุครรภ์ได้สี่เดือนกว่าๆ เกือบห้าเดือน ซึ่งถ้าหากนับรวมวันทั้งหมดนับตั้งแต่เกิดเรื่องจนมาถึงบทนี้ ก็อยู่ราวๆ 6 เดือนกว่าๆ นั่นเองค่ะ // และแน่นอน ว่าสภาพจิตใจนางเอกแย่มากๆ ค่ะ แต่สิ่งที่ทำให้นางเอกยืนหยัดได้อีกครั้งก็คือลูกค่ะ เพราะมีสัญชาตญาณความเป็นแม่สูงนั่นเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account