ลิลลี่สีเพลิง

Tags: โรแมนติก-ดราม่า

ตอน: ฤดูแห่งรัก

“บริษัทไวท์ธิงตัน เรียลเอสเตทกำลังตกเป็นจำเลยว่าโกงหุ้นส่วน ส่วนตัวหลานสาวก็ทำตัวเหลวแหลกคบกับไอ้หนุ่มชั้นต่ำ อยากรู้จริงถ้าบริษัทตาเธอไปไม่รอด ไอ้หนุ่มนั่นมันจะยังเอาเธออยู่ไหม?” เสียงมาร์วินดังลอยมาจากเบื้องหลัง อิศราวดีที่กำลังมุ่งเดินกลับบ้านบนทางเท้าหันขวับ จ้องมองคนหาเรื่องตาขวาง จึงเห็นหนุ่มแสบส่งยิ้มยียวน สอดมือลงในกระเป๋ากางเกงสแล็กอย่างสบายใจเฉิบด้วยท่ายืนที่กวนอารมณ์เคียงข้างเพื่อนเกลออีกสามนาย หน้าเดิมๆ
พวกหนุ่มแสบทั้งสี่ไม่เห็นหน้าเจซาเร็ตมาหลายวันแล้ว วันนี้ออกมาดูลาดเลาล่วงหน้าก็พบว่าทางสะดวก มาร์วินจึงตามมาตอแยอิศราวดีได้อย่างที่ใจนึก
“นายพูดเรื่องอะไรของนาย มาร์วิน?”
“โอ๊ะโอ...นี่เธอไม่รู้เรื่องที่ตาเธอคิดจะโกงหุ้นส่วนตัวเองหรือไง?”
“ตาของฉันไม่มีวันทำแบบนั้นแน่ ท่านเป็นนักธุรกิจใจซื่อมือสะอาด” เธอเถียงกลับ เชื่อมั่นในตัวผู้เป็นตาเต็มร้อย คิดเพียงอย่างเดียวว่ามาร์วินหาเรื่องมาปั่นหัวเธอเล่นเพื่อความสะใจ หนุ่มผมสีเทาหน้าตาคมคายหัวเราะเสียงเสียดเย้ยก่อนก้าวมาข้างหน้าสองก้าว ก็ถึงคนตัวเล็กที่ยืนกัดริมฝีปาก กำมือแน่น ประสานสายตาอย่างขุ่นเคือง
“ลองถามตาเธอดูดีไหม...ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ฉันจะยอมให้ญาติของฉันช่วยเหลือตาเธอก็ได้...เพียงแค่เธอยอมอ้าขารับฉันเข้าไปสักครั้ง!” มาร์วินยื่นหน้าเข้ามาบอกเสียงกระเส่าในท้ายประโยค อิศราวดีผงะถอยหลัง ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด
“ไอ้คนทุเรศ หยาบคาย คนอย่างนายน่าจะไปเกิดในสลัมนะ โอ๊ะ...ไม่สิ คนบางกลุ่มในสลัมยังมีสามัญสำนึกดีกว่านายเป็นพันเท่า คนอย่างนายมันต้องไปเกิดในนรกเท่านั้น”
“ตอนนี้เธอก็พูดด่าฉันได้ แต่อย่าให้ถึงทีฉันมั้ง รับรองว่าเธอจะต้องวิ่งมาอ้าขาให้ฉันอย่างเต็มใจแน่ เฮ้ย...ไปเว้ย ปาร์ตี้รอพวกเราอยู่” มาร์วินปรายตามองหญิงสาวอย่างแข็งกร้าวระคนหื่นกระหาย แล้วสะบัดหน้ากลับ หมุนตัวหันหลังเดินตรงไปยังที่ที่เฟอร์รารี่สีแดงสดจอดอยู่ อิศราวดีหายใจลึกข่มอารมณ์โกรธจัดอย่างหนักหน่วง ไม่ให้เผลอเอากระเป๋าสะพายฟาดหัวมันระบายความแค้นใจ รู้ดีว่าถ้าเธอตอบโต้ทำร้ายมาร์วินคืน หนุ่มแสบก็จะทำร้ายเธอกลับและจะไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเธอแน่
อิศราวดีหันหลังเดินกลับที่พักอีกครั้ง หัวสมองเริ่มเต็มไปด้วยคำพูดโสมมของหนุ่มผมสีเทา คำพูดของผู้เป็นตากับเลขาส่วนตัวในห้องทำงานเมื่อวันเสาร์วิ่งเข้ามาในหน่วยความจำ มันเลือนลางเพราะฟังไม่ชัด จับใจความได้ว่าแม่ของเธอถูกข่มขืนเท่านั้น หลังจากนั้นก็มีเรื่องด่วนเข้ามา..หรือว่าจะเป็นเรื่องงาน!
หญิงสาวเริ่มไม่สบายใจ ตัดสินใจล้วงมือถือออกจากกระเป๋าสะพายโทรหาผู้เป็นตาทันที สัญญาณดังอยู่นานแต่ในที่สุดผู้เป็นตาก็รับสาย
“ว่าไงหลานรัก ตากำลังติดประชุมผู้ถือหุ้นสามัญอยู่ หลานต้องรีบพูดหน่อยนะ” เสียงปลายสายดังเข้ามาพร้อมเสียงจ๊อกแจกจอแจเหมือนอยู่ริมถนนมากกว่าจะอยู่ภายในห้องประชุมใหญ่
“เอ่อ...คือ” พอเอาเข้าจริงๆอิศราวดีก็ไม่กล้าถาม
“เอลย่า...หลานมีอะไรหรือเปล่า?” น้ำเสียงคนถามเต็มไปด้วยความห่วงใย
“คุณตาคะ...เอ่อ...บริษัทของคุณตาไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมคะ” อิศราวดีกลั้นใจถามออกไป ปลายสายนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเล็ดลอดเข้ามา
“ตอนนี้ตากำลังยุ่งนะหลาน จำไว้ให้ดี...ใครพูดอะไรมาอย่าไปเชื่อเด็ดขาด หลานต้องฟังตาคนเดียวเท่านั้น”
“ค่ะ...คุณตา” อิศราวดีรับคำเสียงอ่อย ปลายสายกดตัดสายไปแล้ว สุดท้ายคุณตาก็ไม่ยอมเล่าเรื่องบริษัทให้ฟังสักครั้งเดียว แต่ถึงอย่างไร...เธอก็เชื่อมั่นในตัวท่านและวิสัยทัศน์ของท่าน แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องที่มาร์วินพูดมามีมูลแค่ไหน แต่เธอเลือกที่จะเชื่อในคำพูดของคุณตาเท่านั้น!
เช้าวันเสาร์ อิศราวดีตื่นแต่เช้ามืดเพื่อเตรียมอาหารสำหรับเดตครั้งที่สองที่เซ็นทรัลปาร์ก หญิงสาวลงมือทำแซนด์วิชไส้ทูน่าราดมายองเนสสิบกว่าชิ้นจัดใส่ทัพเปอร์แวร์ เตรียมเบียร์ห้ากระป๋องของเจซาเร็ตใส่กล่องโฟมแช่เย็น น้ำหวานขวดหนึ่งและน้ำเปล่าสองขวดใหญ่ ตามด้วยขนมกรุ๊บกรอบอีกสามสี่ถุง แก้วเปล่าสองใบ ก่อนจะจัดเรียงทั้งหมดลงในตะกร้าสานใบใหญ่สีขาวนวล จากนั้นจึงขึ้นไปจัดเตรียมตำราวิชาที่จะสอบลงกระเป๋าสะพายเพื่ออ่านในสวนอันร่มรื่นใจกลางแมนฮัตตัน แล้วอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดที่คิดว่าสวยและเก๋ไก๋ที่สุด แต่งหน้าบางๆด้วยสีพาสเทล เกล้าผมยาวสลวยเป็นมวยมีเปียเส้นเล็กคาดบนศีรษะ เสร็จสรรพก็ลงมานั่งรอที่ม้านั่งยาวหน้าระเบียงบ้านรับไอแดดบางๆเพื่อให้ผิวกายได้รับวิตามินหลังจัดการล็อกบ้านเรียบร้อย
เพียงสิบนาที รถ Dodge Charger สีดำก็แล่นมาจอดหน้ารั้วบ้าน เจซาเร็ตก้าวลงจากรถพร้อมรอยยิ้มบาดใจ เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมทับด้วยเสื้อไหมพรมแขนกุดลายตารางหมากรุกสีน้ำตาลเข้มสลับขาว สวมกางเกงผ้าเนื้อดีสีน้ำตาลอ่อนพับขา รองเท้าคัตชูสีน้ำตาลเข้ม เขาดูเหมือนหนุ่มเจ้าสำอางทีเดียว อิศราวดีรีบฉวยตะกร้าปิกนิกข้างตัวเดินลงจากระเบียงไปหาเขาด้วยอารามตื่นเต้นดีใจ เจซาเร็ตรับตะกร้าใบใหญ่มาถือไว้ มิวายโอบเอวบางเข้าแนบกายเพื่อจะหอมแก้มนวลด้วยความคิดถึงและเอาใจ
“คิดถึงจังเลย มายเดียร์” บุรุษหนุ่มพูด มองสาวหน้าหวานแก้มแดงก่ำด้วยความอายอย่างเอ็นดู อิศราวดีเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดไม่น่าเกลียดเกินไปนัก ยังไม่เคยชินกับความสนิทชิดเชื้อระดับนี้ แม้จะเคยจูบกับเขามาถึงสองครั้งสองคราแล้วก็ตาม เจซาเร็ตคลายวงแขนออกตามใจคนตัวเล็ก แม้อยากจะแกล้งด้วยการกอดรัดแรงๆแล้วจูบกลีบปากอิ่มอย่างโหยหาเพียงไร
“เตรียมอะไรมาบ้างจ๊ะเนี่ย หนักพอดูเลย” เขาถามขณะเดินเอาไปใส่ไว้ท้ายรถ
“ของกินแทบทั้งนั้นค่ะ” เธอเข้าไปนั่งในรถเมื่อเจซาเร็ตเดินมาเปิดประตูให้
110 นาทีหลังจากนั้น หนุ่มสาวก็เดินทางมาถึงสวนสาธารณะเซ็นทรัลปาร์ก เจซาเร็ตหาที่จอดรถได้ก็หิ้วตะกร้าโดยไม่ลืมหยิบผ้าปูสีขาวพับเรียบร้อยออกจากท้ายรถนำมาหนีบข้างตัว และจูงมือคนรักเดินเข้าไปในสวน เพื่อหาทำเลสวยๆและเป็นส่วนตัวสำหรับพวกเขา ตัวบุรุษหนุ่มเองก็มีกระเป๋าสะพายแบบสปอร์ตติดตัวมาด้วย
ทั้งสองเดินมาตามเส้น The Mall (รู้จักกันใน The Mall & Literary Walk) หรือทางเดินเล่นที่ปูด้วยหินเรียบ สองข้างทางมีม้านั่งไม้สีเขียวแก่ตัวยาว มีฐานรองรับทำด้วยหิน ชิดรั้วเตี้ยๆสีดำแบ่งอาณาเขตสนามหญ้าที่มีต้นเอลม์ยืนต้นสูงครึ้มให้ร่มเงาเหมือนหลังคาโบสถ์ มีโคมไฟสูงให้แสงสว่างตอนกลางคืนถูกตั้งเป็นระยะๆ The Mall อยู่ใจกลางเซ็นทรัลปาร์กแห่งนี้
สองหนุ่มสาวเดินผ่านความร่มรื่นของเดอะมอลล์ จนถึงเส้น Literary walk ที่อยู่ใต้สุด ถนนวรรณกรรมมีรูปประติมากรรมของนักเขียนชื่อดังตั้งอยู่เช่น วิลเลียม เชคสเปียร์และเซอร์ วอลเตอร์ สกอตต์ ก่อนทั้งสองจะเดินขึ้นบันไดระเบียง Bethesda Terrace ที่ออกแบบสร้างได้อย่างวิจิตรบรรจง แล้วน้ำพุ Bethesda หรือที่เรียกขานกันในนาม ‘Angel of the Waters’ ก็ปรากฏโฉมอยู่เบื้องหน้า รวมระยะทางประมาณ 600 เมตร
น้ำพุ Bethesda มีฐานน้ำพุเป็นทรงกลมมีสองส่วน ส่วนบนสุดมีรูปปั้นผู้หญิงผมสั้นติดปีกแบบนีโอคลาสสิค โดยมือข้างซ้ายถือดอกลิลลี่ น้ำพุไหลลงมาจากฝ่าเท้าของเธอ ส่วนล่างถัดลงมาเป็นรูปปั้นเด็กน้อยสี่นายยืนหันหน้าไปคนละทิศห่มผ้าน้อยชิ้น ฐานล่างสุดเป็นบ่อน้ำพุที่ปลูกดอกบัวหลากสีสัน
อิศราวดีเดินไปหยุดยืนหน้าน้ำพุแห่งนี้เพื่อให้เจซาเร็ตช่วยถ่ายรูปของเธอไว้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่วนตัว บุรุษหนุ่มไม่รีรอที่จะหยิบมือถือของเขาออกมาเก็บภาพความงดงามของแม่เทพธิดาของเขาเช่นกัน
เบื้องหลังน้ำพุBethesda คือทะเลสาบสีเขียวกระจ่างใสแวดล้อมไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่และพุ่มเตี้ยที่แยกย่อยออกมาจากผืนทะเลสาบกว้างใหญ่ทางทิศตะวันตก แลเห็นคู่รักกำลังพายเรือแจวผ่านไปมา ถัดไปทางทิศตะวันออกสุดจะแลเห็นอาคารแบบวิคตอเรียน สร้างด้วยอิฐสีแดงและหินปูน หลังคาเคลือบสีเขียว ที่เรียกกันว่า Loeb Boathouse ภัตตาคารและสถานที่ให้เช่าเรือแจวกับจักรยานซึ่งอยู่ห่างจากน้ำพุ 250 เมตร
สองหนุ่มสาวชื่นชมความงามเพียงไม่นานก็เดินไปทางทิศตะวันตก เพื่อข้ามสะพาน Bow Bridge สะพานเหล็กหล่อที่ทอดผ่านส่วนที่แคบที่สุดของทะเลสาบ จะเห็นป้ายเล็กๆเขียนห้ามขี่จักรยานขึ้นมาบนสะพานแห่งนี้ เจซาเร็ตและอิศราวดีต่างถ่ายรูปเก็บภาพทิวทัศน์ทะเลสาบบนสะพานกับภาพของพวกเขาทั้งสอง ว่ากันว่าสะพาน Bow Bridge เป็นจุดโรแมนติกที่สุดของเซ็นทรัล ปาร์ก
พอข้ามพ้นสะพานก็แลเห็นสนามหญ้ากว้างติดทะเลสาบที่มีผู้คนจำนวนมากมาพักผ่อนในอิริยาบถแตกต่างกัน เหล่าเด็กน้อยวิ่งเล่นรอบๆพ่อแม่ที่นั่งบนผ้าปูหรือเสื่อขณะกินอาหารที่เตรียมมาหรือนอนอ่านหนังสือ บางกลุ่มก็นั่งบนม้านั่งยาวเรียบฝั่งทะเลสาบเพื่อชื่นชมความงามของท้องน้ำสีเขียวกระจ่างสะท้อนแสงแดดยามสาย
เจซาเร็ตและอิศราวดีหยุดยืนอยู่ใต้ต้นเอลม์ใหญ่ที่ห่างจากทะเลสาบพอสมควร และมีนักท่องเที่ยวนั่งพักไม่กี่คน บุรุษหนุ่มวางตะกร้าปิกนิกลงบนพื้นหญ้า ก่อนจัดแจงปูผ้ารองนั่งสีขาวโดยมีหญิงสาวคอยช่วยอีกแรง แล้วทั้งสองก็นั่งลงเคียงข้างกัน ปลดกระเป๋าสะพายของแต่ละคนวางลงข้างตัว อิศราวดีเปิดฝาตะกร้าออกแล้วหยิบทัพเปอร์แวร์บรรจุแซนด์วิชทำเองออกมา เปิดฝาแล้วเลือกแซนด์วิชชิ้นที่น่ากินที่สุดยื่นให้เจซาเร็ตด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ทานก่อนนะคะ คุณคงหิว เพราะฉันเองก็หิวจะแย่แล้ว...แต่ไม่รู้ว่าอร่อยหรือเปล่านะคะ”
“ผมไม่เคยผิดหวังในฝีมือคุณสักครั้ง เพราะฉะนั้นมันย่อมอร่อยถูกปากผมแน่” เจซาเร็ตหลิ่วตา แล้วกัดแซนด์วิชคำโต เคี้ยวหยับๆแล้วทำหน้านิ่ง ปรายตามองคนที่ลุ้นระทึกเมื่อเห็นเขาไม่เอ่ยปากชมเสียที เรียวหน้าสวยเริ่มจืดเจื่อน
“ไม่อร่อยใช่ไหมคะ” อิศราวดีถามเสียงเบา ใจชักเสีย เมื่อเห็นเรียวคิ้วหนาเข้มพันกันยุ่งเหยิง
“อืม” บุรุษหนุ่มส่งเสียงในลำคอยาว ทำหน้าซีเรียส ก่อนจะกลืนแซนด์วิชลงคอแล้วหันมายิ้มแฉ่ง
“อร่อยมากเลยจ้ะ มายเดียร์...ไม่มั่นใจฝีมือตัวเองละสิ” เขาล้อ
“เจซาเร็ตบ้า คนเจ้าเล่ห์ คนร้ายกาจ...ฉันนึกว่าไม่อร่อยจริงๆเสียอีก สีหน้าคุณทำเอาฉันใจฟ่อเลย รู้ไหมว่าฉันทำสุดฝีมือเพียงใด”
“ผมก็จะทำ ‘ครั้งแรก’ ของเราให้สุดฝีมือเหมือนกัน” เจซาเร็ตยื่นหน้ามากระซิบเรื่องที่ห่างไกลกันราวพันไมล์เสียอย่างงั้น สาวเจ้าหน้าแดงเถือก ค้อนขวับ หันหลังหนี นั่งกินแซนด์วิชฝีมือตัวเองคนเดียวไม่แบ่งปันให้แฟนหนุ่มเพราะทั้งอายทั้งโกรธคนหน้าด้าน
“เฮ้...ไม่เอาน่า สวีตตี้ ผมหิวเหมือนกัน แบ่งบ้างสิครับ” บุรุษหนุ่มฉอเลาะ ถือโอกาสเกยคางบนไหล่กลมกลึงหอมกรุ่น รู้สึกได้ถึงอาการแข็งเกร็งของแฟนสาว แต่เธอก็ไม่สะบัดไหล่หนี
“บอกมาก่อนว่าคุณจะเลิกพูดจาลามกกับฉัน” หญิงสาวกระเง้ากระงอด
“อืม...ยากจัง เรื่องลามกเนี่ยมันคู่กันกับผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วน้า” เขาทำหน้าลำบากใจ
“เจซาเร็ต!” อิศราวดีเอี้ยวคอมาแว็ดเสียงแหลม ตาเขียวปัด เหนื่อยใจกับความหน้าทนของอีกฝ่าย
“โธ่...สวีตตี้ สัปดนวันละนิดจิตแจ่มใส คุณไม่เคยได้ยินคำคมนี้เลยหรือ?”
“...”
“เอ่อ...ขอโทษก็ได้ ขอโทษครับ สวีตตี้ ผมจะไม่พูดอีกแล้ว เลิกงอนเถอะน้า ผมหิวมาก หิวจริงๆ หิวจนไส้แทบขาดแล้ว”... หิวจนแทบจะกลืนกินคุณได้ทั้งตัว ถ้อยความหลังคิดในใจ กลัวพูดออกไปคงได้ดึงหญ้าขึ้นมากินแทนแซนด์วิชแน่ เจซาเร็ตละดวงหน้าคมสันออกจากไหล่มนกลับมานั่งตัวตรง อิศราวดีอารมณ์ดีขึ้นพะเรอเกวียนที่สามารถข่มคนรักหนุ่มได้ รีบหันกลับมายื่นแซนด์วิชให้อย่างใจดี แล้วหยิบเบียร์กระป๋องแช่เย็นในกล่องโฟมออกมาให้อย่างรู้ใจ
“ขอบคุณมากจ๊ะ มายเดียร์ คุณรู้ใจผมจริงๆ” เจซาเร็ตรับกระป๋องเบียร์พลางโน้มหน้าลงจุมพิตหน้าผากเนียนเบาๆ
“รถดอดจ์นี่ของเพื่อนคุณหรือคะ” อิศราวดีชวนคุย พลางเหยียดขายาวทั้งสองข้าง ทานแซนด์วิชอย่างเรียบร้อย
“ว่าจะซื้อต่ออยู่เหมือนกัน ราคากันเอง เอลย่าว่าไง” บุรุษหนุ่มหันมาถาม พร้อมยกเบียร์ขึ้นดื่มอึกใหญ่ แล้วหยิบแซนด์วิชอีกชิ้นขึ้นมากัด
“ตามใจคุณค่ะ ปิดเทอมแล้วฉันต้องกลับไปอยู่แมกคลีน ถ้าเจซาเร็ตพบคุณตาของฉันแล้ว เราคงได้เจอกันบ่อยๆ ฉันอาจขอคุณตาไปหาคุณที่บรู๊คลินก็ได้นะคะ”
“ให้ผมมาหาคุณที่แมกคลีนก็ได้ แต่คงเป็นช่วงสุดสัปดาห์นะจ๊ะ”
“ฉันอยากไปดูคุณล้างรถค่ะ” หญิงสาวหยอกเย้า เจซาเร็ตหัวเราะเบาๆ
“ได้เลยที่รัก ผมจะใช้คุณล้างรถตลอดทั้งวันเลย”
หลังกินแซนด์วิชชิ้นที่ห้าเสร็จ หนุ่มสาวก็อิ่มแปล้ จึงนั่งชมวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบสักพัก แลเห็นตึกแฝดรูปทรงสี่เหลี่ยมแต่มียอดแหลมสูงใหญ่โผล่ตัวเบื้องหลังท้องน้ำสีเขียวใสกระจ่างที่รู้จักกันในชื่อตึก ซาน เรโม (San Remo)
แล้วก็เหม่อมองดูคู่รักพายเรือแจวผ่านหน้าไปพร้อมกับกระแสลมอุ่นๆโชยมาเป็นระยะๆ
“บ่ายๆเราไปแจวเรือเล่นกันบ้างดีไหม?” เจซาเร็ตหันมาชวน
“ฉันพายเรือไม่เป็นค่ะ” อิศราวดีบอกเขินๆ
“ผมพายเอง...คุณนั่งชมวิวถ่ายรูปตามสบาย”
“ตกลงค่ะ”
เจซาเร็ตดื่มเบียร์กระป๋องที่สามหมดลง ส่วนอิศราวดีก็ดื่มน้ำหวานพร่องไปครึ่งขวด ทอดสายตาชมความงามของเซ็นทรัลปาร์กอีกสักพัก แล้วหญิงสาวก็ล้วงตำราเรียนเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋าสะพาย
“จะอ่านหนังสือแล้วใช่ไหม ผมจะได้ไม่กวน”
“ค่ะ”
“งั้นผมอ่านบ้าง เอาของสตีเฟ่น คิง มาอ่านพร้อมกับคุณเหมือนกัน” เขาล้วงนิยายสยองขวัญของเจ้าพ่อนิยายสยองขวัญชาวอเมริกันชื่อดังออกจากกระเป๋าบ้าง แล้วเอนตัวลงนอนหนุนตักหญิงสาวที่นั่งเอนหลังพิงต้นเอลม์ใหญ่ยักษ์ อิศราวดียิ้มละมุน อบอุ่นหัวใจ ไม่คิดจะบ่นด้วยหากเรียวขาทั้งสองเกิดเป็นเหน็บชาขึ้นมา ความรักสอนให้เธอรู้จักกับคำว่า อดทน
“ถ้าเมื่อยก็บอกนะ ผมจะได้นอนหนุนแขนตัวเอง ตอนนี้อยากหนุนตักคุณ นิ่มอย่างที่ฝันไว้จริงๆด้วย” อิศราวดีหัวเราะขำ ก่อนจะหน้าแดงระเรื่อเมื่อเผลอคิดเอาเองว่าเขาเคยวาดฝันในค่ำคืนเข้าหอของทั้งคู่หรือเปล่า หาว่าเขาลามก ตัวเองก็ลามกเหมือนกันแหละ ยัยเอลย่า โธ่เอ๊ย...น่าขายหน้าที่สุด!
“ค่ะ...ว่าแต่คุณเคยนอนหนุนตักใครมาก่อนหรือเปล่า?” อดถามด้วยความหวงของรักเสียมิได้
“คุณเป็นคนแรก เอลย่า...ผมไม่โกหก เชื่อใจผมได้เลย”
“อืม...” พอได้รู้ว่าเธอคือสาวคนแรกที่เขานอนหนุนตัก ก็เกิดอายขึ้นมาดื้อๆที่ไม่ไว้ใจในตัวเขาตั้งแต่แรก ก็แหม...มีหญิงสาวคนไหนบ้างที่อยากเป็นรองสาวอื่นของคนรักตัวเอง ถูกไหม?
“งั้นขอให้นอนอ่านนิยายให้สนุกนะคะ” อิศราวดีสรุป ริมฝีปากอิ่มของเจซาเร็ตฉีกยิ้มเย้า พร้อมเสียงหัวเราะขำเบาๆ
“ไม่ต้องคิดมากหรอกสวีตตี้...ผมอาจจะเคยคบกับใครมาบ้าง แต่คุณคือสาวน้อยคนแรกที่ผมรักสุดหัวใจ” ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอหลอมละลายด้วยคำพูดของเขาได้เสมอ ไม่รู้ว่าหัวใจพองโตลอยไปไหนต่อไหนแล้ว ต้องเรียกอยู่นานกว่าดวงใจดวงน้อยจะกลับเข้าที่เดิม
“คุณก็เป็นชายคนแรกที่ฉันรักสุดหัวใจเช่นกันค่ะ” อิศราวดีก้มลงกระซิบข้างใบหู ก่อนจะถูกเจซาเร็ตยกศีรษะขึ้นเพื่อจุมพิตแก้มนวลหนักๆอย่างถูกใจ
“อ่านหนังสือเถอะ มายเดียร์”
“ค่ะ”
บรรยากาศที่ชวนผ่อนคลาย สงบงัน ทำให้อิศราวดีอ่านตำราเรียนอย่างลื่นไหล เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไปนานเท่าไหร่มิอาจหยั่งรู้ จวบจนกระทั่งรู้สึกเมื่อยตามเนื้อตัวและแผ่นหลังเต็มทน อยากเปลี่ยนท่านั่งบ้าง จึงลดหนังสือลงเพื่อจะบอกคนหนุนตัก แต่ทว่า...เขากลับนอนหลับลึกเสียแล้ว มีนิยายสยองขวัญปกหนาวางทาบบนแผ่นอกที่สะท้อนขึ้นลงเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ริมฝีปากบางผลิยิ้มหวานละมุน ก่อนเธอจะวางหนังสือเรียนลงข้างกาย เพื่อใช้เวลานับจากนี้เพ่งพินิจวงหน้าหล่อเหลาคมคายอย่างแสนรักแสนหวง
อิศราวดีค่อยๆวางปลายนิ้วลงบนหน้าผากกว้าง ลากไล้ผะแผ่วลงมาตามสันจมูกโด่งตรง หยุดนิ่งที่ริมฝีปากอิ่มเต็มสีแดงอย่างคนสุขภาพดี ไล้ปลายนิ้ววนรอบเบาๆ ก่อนลากเลื่อนลงมาที่ปลายคางเหลี่ยมมนรกครึ้มด้วยไรเคราเส้นสั้นๆ แอบหัวเราะคิกคักเบาแผ่วเมื่อเจ้าของใบหน้าที่กำลังถูกสำรวจทำปากขมุบขมิบและบ่นงึมงำแบบไม่รู้สึกตัว ก่อนจะเริ่มต้นสำรวจต่อด้วยการลากปลายนิ้วไปตามสันกรามแกร่งที่เต็มไปด้วยเคราเขียวครึ้ม จั๊กจี้ซ่านซ่าที่ปลายนิ้วเรียวแต่ห้ามใจไม่ให้สัมผัสต่อไม่ได้ การสำรวจยุติลงที่กึ่งกลางหน้าผากกว้างอีกครั้ง แล้วหญิงสาวก็เปลี่ยนไปลูบไล้ผมหยักศกสั้นสลวยที่ตัดได้รูปเข้ากับใบหน้าอย่างทะนุถนอม แต่จู่ๆ...มือเล็กก็ถูกมือหนาคว้าจับเสียแน่น
“อุ๊ย!”
“ไม่สำรวจหน้าผมต่อแล้วหรือ กำลังเพลินเชียว” เสียงหยอกเย้ารู้ทันดังขึ้น จุดรอยแดงระเรื่อแต้มที่พวงแก้มผ่อง
“คุณไม่ได้หลับหรือคะ...?”
“ผมเป็นคนไวต่อสัมผัสน่ะ จะว่าไป...ก็เหมือนมีตาหลังนะ” เจซาเร็ตลืมตาขึ้น นอนแหงนหน้ามองนักสำรวจด้วยแววตาอ่อนโยนรักใคร่
“ขอโทษที่ปลุกคุณนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” อิศราวดีรู้สึกผิดขึ้นมา
“อย่าโทษตัวเองแบบนี้สิ เอลย่า คุณไม่ได้ปลุกผมเลย ผมเกือบจะตื่นแล้วล่ะพอดีรู้สึกถึงนิ้วเล็กๆบนใบหน้าด้วยจึงตื่นเต็มที่ ผมชอบให้คุณสำรวจใบหน้าผมนะ เพลินมาก...” เจซาเร็ตหลิ่วตา ก่อนจะลุกขึ้นนั่งหลังตรง เห็นหญิงสาวหน้าเหยเก ร้องครางเบาๆก็รู้ว่าเขาทำให้ขาเธอเป็นเหน็บชา
“ขอโทษ...สวีตตี้ เจ็บมากไหม? เดี๋ยวผมนวดให้” บุรุษหนุ่มถามอย่างห่วงใยแกมตกใจ
“มะ...ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็หาย”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ มา...สวีตตี้ ผมนวดให้ คุณน่าจะบอกผมว่าเป็นเหน็บ ไม่ควรอดทนฝืนนั่งท่าเดิมแบบนี้”
“ก็...” ขวยเขินเกินกว่าจะบอกเขาว่าเพราะความรัก เธอถึงอดทนมาได้ กลัวเขาจะได้ใจมากกว่านี้ จึงยินยอมให้เจซาเร็ตบีบนวดต้นขาให้อย่างขะมักเขม้น ประกายสีม่วงสดเต็มไปด้วยความรักท่วมท้น
“หายเจ็บหรือยัง” บุรุษหนุ่มเงยหน้าถามเมื่อนวดไปได้ชั่วครู่ใหญ่
“ดีขึ้นมากแล้วค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” อิศราวดีดึงขากลับมานั่งในท่าขัดสมาธิ เจซาเร็ตช่วยจับปอยผมที่ล้อเล่นลมมาทัดใบหู ถามว่า
“อ่านหนังสือเรียนถึงไหนแล้ว”
“อ่านจบไปสามเล่มแล้วค่ะ”
“บ่ายแล้ว ไปนั่งเรือแจวกันไหม แล้วค่อยกลับบ้าน”
“ดีค่ะ...อยากทำเหมือนคู่รักคู่อื่นบ้างเหมือนกัน” เธอยิ้มเย้า เขาจึงหัวเราะ
“แต่เราไม่หมือนพวกเขาอยู่อย่าง คือเราทั้งคู่จะรักกันตราบชั่วชีวิต”
“ใช่ค่ะ...รักกันตราบชั่วชีวิต”อิศราวดีพยักหน้า ดวงตาสีม่วงสดมองเขาอย่างซาบซึ้งและรักท่วมท้น
จากนั้นหนุ่มสาวก็ช่วยกันเก็บสิ่งของลงในตะกร้าปิกนิกตัวใหญ่ แล้วจึงพากันจูงมือเดินย้อนกลับไปเส้นทางเดิม แวะหยุดชื่นชมความงามบน Bow Bridge อีกครั้ง แล้วมุ่งหน้าสู่ Loeb Boathouse ทางทิศตะวันออกเพื่อไปเช่าเรือแจว
เรือแจวลำสีเขียวสดลอยละล่องเหนือห้วงน้ำสีเขียวใสกระจ่าง นำพาคู่รักหนุ่มสาวอย่างเจซาเร็ตและอิศราวดีเยือนชมบรรยากาศอันมีมนตร์ขลัง หญิงสาวหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายน้ำพุเบสเทสดาเมื่อเรือลำน้อยลอยผ่านหน้าน้ำพุแห่งนี้ ก่อนที่เจซาเร็ตจะพายไปเรื่อยๆจนลอดใต้ท้องสะพาน Bow Bridge เข้าสู่ท้องทะเลสาบกว้างใหญ่ ที่มีหมู่เรือแจวลอยผ่านหน้าเรือของพวกเขาไปทีละลำๆ ระหว่างนั้นอิศราวดีฮัมเพลง A Thousand Years ให้แฟนหนุ่มฟังเสียงเจื้อยแจ้ว เจซาเร็ตอมยิ้มเอ็นดูตลอดเวลา
เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงที่บุรุษหนุ่มพายเรือพาสาวคนรักชื่นชมสายน้ำและรับแสงแดดยามบ่าย ก่อนจะพายกลับไปที่ Loeb Boathouse เพื่อคืนเรือ รับของฝากกลับคืนและออกเดินมาตามเส้นทางเดอะมอลล์อีกครั้ง เพื่อกลับไปยังลานจอดรถ จากนั้นจึงเข้าไปนั่งในรถดอดจ์ ชาร์เจอร์ แล้วออกเดินทางกลับพรินซ์ตันในช่วงเกือบเย็น
ระหว่างรถแล่นออกไปด้วยความเร็วที่จำกัด เจซาเร็ตเปิดเพลงฟังเพื่อสร้างบรรยากาศเริงรื่น แล้วเพลงป๊อบจังหวะสนุกสนานก็ดังออกมาจากลำโพงเครื่องเสียง
‘Cuz When I’m kissing you my senses come alive
Almost like the puzzle piece I’ve been trying to find
Falls right into place you’re all that it takes
My doubts fade away when I’m kissing you’
“ผมชอบเนื้อเพลงนี้ มันบอกแทนความรู้สึกของผมทั้งหมดขณะ...จูบคุณ...เอลย่า” เจซาเร็ตหันมาบอกเสียงทุ้มกังวาน ดวงตาสีทองเปิดเปลือยความรู้สึกทั้งมวลออกมา
“คุณรู้สึกอย่างเดียวกับผมไหม?”
“...” อิศราวดีเงียบ ก้มหน้ามองมือที่ประสานกันบนตักด้วยอารมณ์อุ่นละไม ก็มันเขินนี่น่า...ถ้าจะต้องบอกความรู้สึกทั้งหมดของเธอ เจซาเร็ตเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังอายอย่างหนัก ตัดสินใจวาดแขนโอบไหล่บางมาแนบชิดข้างตัว เอียงศีรษะเข้าใกล้ใบหูเล็ก แล้วกระซิบกล่าวทั้งๆที่นัยน์ตาสีสวยจ้องมองตรงไปที่เบื้องถนน
“ผมรักคุณ”



อิลวลาอิลตาร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ส.ค. 2555, 15:49:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ส.ค. 2555, 15:49:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1182





<< ความหวัง ความหลัง ความฝัน   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account