ลำนำรักสายลม
และสายลม,
สายลมปรากฏกายเพื่อทักทายตะวัน
ณ รุ่งอรุณเมื่อรัตติกาลสิ้นสุด
ความยโสของเขาซัดสาดหมู่เมฆแหลกกระจาย
และโลกกลับกลายเป็นสีเทา
และสีเทากลับกลายเป็นผืนฟ้า
ในโมงยามที่ดวงดาราม้วยมรณา
แลดวงจันทราเร้นลี้แสงเผือดเศร้า
ด้วยโลกของเธอลาลับไปกับรัตติกาล

ตะวันโผนผงาดด้วยอภิอำนาจ
โลกตื่นสู่โมงยามแห่งการทักทาย
ผืนนทีแดงชาดด้วยจุมพิต
ความรุ่งโรจน์อันทรงเกียรติพัดสู่สายลม
เร่าร้อน
เร่งเร้า

ในความแข็งแกร่งที่มองไม่เห็น
ชัยชนะได้ถือกำเนิด
(ดัดแปลงจากบทกวี The Wind at Dawn ของ Alice Elgar)


(ยังเขียนเรื่องย่อไม่เสร็จ ประมาณนี้ก่อนนะคะ ^^X)
Tags: รักโรแมนติก วัยรุ่น ผู้ใหญ่

ตอน: 3.2

การแสดงซึ่งใช้เวลาเตรียมการหลายวันจบลงในเวลาไม่ถึงยี่สิบนาที คนว่าจ้างพอใจกับการแสดงทั้งสองชุดมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รำฉุยฉายยอพระกลิ่น
“แปลกตาดีนะ ยายเตย ขอบใจมาก ยายหนูคนรำฉุยฉายนั่นหลานหรือ” น้องสาวเฮียพิณยื่นซองน้ำใจให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อัจจิมามองยายเตย เห็นแกพยักหน้าอนุญาต จึงก้มกราบแล้วรับซองไว้ด้วยความยินดี สามีของประภาภรณ์ยืนยิ้มอยู่ไม่ห่าง โดยมีอาจารย์ใหญ่ของเด็กหญิงยืนค้อมตัวเยื้องไปทางด้านหลัง
อาจารย์ใหญ่เป็นที่รู้จักของผู้คนละแวกนั้นพอสมควร เนื่องจากอยู่มานาน ไต่เต้าตำแหน่งตั้งแต่เป็นครูน้อย สอนนักเรียนมาเกือบค่อนอำเภอ คนแถบศาลเจ้าแม่เห็นอาการพินอบพิเทาของอาจารย์ใหญ่ต่อเทอดยศและประภาภรณ์ ความยำเกรงจึงพลอยมีต่อชายหญิงทั้งคู่ โดยเดินหลีกไปทางอื่นบ้าง หรือเพลาเสียงคุยลงบ้าง
“ไม่ใช่หลานยายเตยหรอกครับ แกเป็นเด็กนักเรียนผมเอง”
“หรือคะ อย่างนี้ต้องชมโรงเรียนแล้วล่ะ ฝึกเด็กได้ดีขนาดนี้” ประภาภรณ์หันมองเด็กหญิงอย่างพินิจพิจารณามากขึ้น ใบหน้ายิ้มละไม ทำให้นัยน์ตาดุลดความแข็งกระด้างลงมาก
“ทางโรงเรียนไม่ได้เปิดสอนหรอกครับ เราไม่มีทุน แต่ยินดีสนับสนุนถ้าเด็กมีแวว” อาจารย์ใหญ่ชี้แจง “อัจจิมาจะรำวันงานโรงเรียนด้วย งานเดียวกับที่เชิญท่านเป็นประธาน”
“ดีค่ะ ฉันเห็นด้วย เด็กรำสวยอย่างนี้ต้องสนับสนุน ฉันจะเรียนไปทางภรรยาท่านด้วยอีกแรง” ประภาภรณ์อาสา
“หนูเรียนอยู่ชั้นอะไรแล้ว”
“ป. 5 ค่ะ”
“เด็กมันมีหัวค่ะคุณ” ไม่รู้เป็นเพราะอัจจิมาถามคำตอบคำ หรืออาการหน้าบานแข่งผืนกลองแขกจนพูดไม่ออก ยายเตยรุดเข้ามาสมทบพร้อมโฆษณาสรรพคุณศิษย์ให้ผู้ใหญ่ทั้งสามฟังอย่างหมดเปลือก
“สอนให้นิดเดียวก็จำได้ บางครั้งก็ไม่ได้สอนหรอกค่ะ อาศัยว่านั่งขายมาลัยดูรำทุกวันเลยจำท่าได้แม่น รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เก็บได้หมด มันคงอยู่ในสายเลือด”
“แม่หรือ?”
“ทั้งแม่และยายเลยล่ะค่า แต่ทั้งคู่เลิกรำแล้ว ยายอิ่มหันมาร้อยมาลัยขาย บางทีก็ไปปักเสื้อละคร ส่วนแม่ของเด็กเคยเรียนนาฏศิลป์ ตอนนี้อยู่อยุธยา ทำงานโรงงาน เขาว่ารายได้แน่นอน ไม่เหมือนรำ”
“แล้วพ่อล่ะ” ทั้งประภาภรณ์และเทอดยศมองเด็กหญิงด้วยแววตาพิจารณากว่าเดิม เจ้าตัวรู้สึกเหมือนแขนขาเกะกะ ไม่รู้จะวางตรงไหนดี ยิ่งเหลือบเห็นสายตาบุตรสาวคนโตของทั้งคู่ ความร้อนก็แล่นซู่ขึ้นโหนกแก้ม
มันเป็นสายตาแบบเดียวกับอ้อยทิพย์ เวลาเห็นคะแนนสอบของหล่อนไม่มีผิดเพี้ยน
“ไม่มีใครเคยเห็นพ่อเจ้าอัจหรอกค่ะ คงเลิกรากันไปตั้งแต่ท้องอ่อนๆ แล้วไม่ได้ติดต่อกันอีก แต่เจ้าอัจเป็นเด็กดีนะคะ ไม่มีปัญหาเหมือนเด็กไม่มีพ่อคนอื่น ตื่นมาช่วยยายร้อยมาลัยแต่เช้ามืดก่อนไปโรงเรียน เลิกเรียนก็รีบกลับมาเฝ้าแผง ถ้าแขกน้อยจึงแอบมาเรียนรำบ้าง ไม่ไปเถลไถลที่ไหน”
“ทั้งแม่และยายรำละครมาก่อน มิน่าเล่า อย่างนี้น่าสนับสนุนนะคะอาจารย์ใหญ่”
กลองแขกย้ายไปบานบนหน้ายายเตย
“ยายกับแม่มันไม่ให้รำหรอกค่าคุณ กลัวลูกจะลำบากเพราะเต้นกินรำกิน ถ้าเห็นล่ะก็ เจ้าอัจเป็นโดนทำโทษ เฮ้อ ไม่รู้อะไรหนักหนา ครั้นจะไม่สอนให้ก็เวทนาเด็ก มันชอบมันรักทางนี้ สอนเอาบุญให้เด็กมีวิชาติดตัว แต่ต้องคอยดูต้นทางดีๆ ไม่อย่างนั้นบุญจะกลายเป็นบาปไป วันนี้ทั้งแม่ทั้งยายไม่อยู่เลยเรียกมารำซะ เด็กมันจะได้มีรายได้ อ้าว เจ้าอัจ เป็นอะไร หน้าซีดเชียว ร้อนหรือลูก”
ผู้เป็นหัวข้อสนทนาแทบไม่ได้ยินเสียงยายเตยแล้วตอนนั้น เพราะพอเป่งยื่นหน้าโบ้ยไปทางแผงมาลัย คลื่นร้อนที่เพิ่งวิ่งซู่ขึ้นโหนกแก้มกลับไหลลู่สู่ปลายนิ้วมือนิ้วเท้า ก่อนหายลับ ทิ้งไว้แต่อุณหภูมิเย็นเยียบขัดกับอากาศอบอ้าว
ร่างผอมคุ้นตาปรากฏด้านหลังคลื่นร้อนของมวลอากาศ ดวงตาประพิมพ์ประพายคล้ายกันพุ่งประสานมายังแม่ยอพระกลิ่น
มันเป็นแววตระหนกระคนผิดหวัง
ดวงหน้าเล็กเผือดเสียยิ่งกว่าปุยเมฆ แรกๆ ผู้ว่าจ้างชายหญิงยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จนกระทั่งได้ยินเสียงยายเตยอุทานว่า
“ตายละวา แม่เจ้าอัจมันกลับมายืนตาแข็งอยู่หน้าเพิงมาลัย ทำไมมันกลับมาเงียบๆ ไหนว่าอยู่อยุธยาไง”
**********************************************

อัจจิมาไม่เคยเห็นมารดาโกรธรุนแรงเยี่ยงนี้มาก่อน แม่อรเป็นคนนิ่ง ใจเย็นเป็นแม่น้ำ มักเป็นหน่วยห้ามทัพระหว่างยายอิ่มและอินทิราเสมอ แต่คนนิ่ง บทจะโกรธกลับน่ากลัวกว่าคนปึงปังหลายเท่า
“อย่าไปว่าเจ้าอัจมันนะ พอดีคนขาด ยายและปู่แสงจึงขอร้องให้ช่วย” มือระนาดโบกมือรับรอง
“อย่ามีคราวหน้าอีกแล้วกัน ยาย ฉันขอล่ะ” อรตอบเสียงสั่น คว้ามือบุตรสาวกลับบ้านโดยไม่ยอมเสียเวลาร่ำลาใคร เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในสายตาอาจารย์ใหญ่ เขาเคยสอนอรมาก่อน จึงถือวิสาสะเข้ามาขวาง
“สบายดีหรือ อร ไม่เห็นเสียนาน”
“สบายดีค่ะ” มารดาเด็กหญิงทำความเคารพ สีหน้ายังไม่ดีขึ้นแม้จะได้ยินคำชมจากอาจารย์ใหญ่ต่อไปว่า
“ลูกสาวเก่งจริง ตัวแค่นี้เอง รู้สึกสืบสานศิลปวัฒนธรรม ทางบ้านน่าจะสนับสนุนนะ”
“ค่ะ” แม่อรเพ่งรองเท้าหุ้มส้นราคาถูกของตนเอง
“ดีแล้ว งานโรงเรียนคราวนี้จัดใหญ่กว่าทุกปี ครูขออัจจิมาให้ช่วยรำฉุยฉายยอพระกลิ่นในงานหน่อย ค่าใช้จ่ายเรื่องชุดนั้นทางโรงเรียนจะรับผิดชอบ ทางบ้านคงไม่ขัดใช่ไหม เห็นรายชื่อยายอิ่มในนามคนออกร้าน แกจะมาขายขนมในงานอยู่แล้ว”
“อ้อ” อรตอบแค่นี้แล้วเงียบลงไปอีก
“อรยังไม่รู้ล่ะสิเพราะอยู่ไกล” อาจารย์ใหญ่ถือโอกาสอธิบายให้ศิษย์เก่าฟัง
“เจ้าอินนั่นแหละเป็นคนลากยายอิ่มมาลงชื่อจองออกร้าน เห็นว่าควักสตางค์ตัวเองออกทุนให้แม่ด้วย”
“ยายกังวลว่าขนมจะไม่อร่อย กลัวขาดทุน แต่น้าอินบอกว่าทำการค้า ต้องรู้สึกเสี่ยง ขนมของยายอร่อยออก เกลี่ยกล่อมเสียนานกว่ายายจะยอมเพราะน้าอินรับปากควักทุนให้หมด ถ้ามีกำไรค่อยคืนให้จ๊ะ” อัจจิมารีบรายงานมารดาเสียงแจ๋ว
ก็ได้หน่วยสนับสนุนระดับอาจารย์ใหญ่ ใครบ้างจะไม่ใจชื้น
แต่แม่อรใจแข็งกว่าที่คิด
สิ้นเสียงเด็กหญิง มารดาลาอาจารย์ใหญ่เร็วๆ และคว้าข้อมือเด็กหญิงกลับบ้านก่อนที่ประภาภรณ์และสามีจะตามมาสมทบ
**********************************************

จากวันนั้น แม่อรหายไป ไม่ยอมส่งข่าว มีเพียงอินทิราเป็นฝ่ายโทร.หาหลังจากฟังเรื่องราวผ่านเสียงสะอึกสะอื้นของหลานสาว
“เดี๋ยวแม่เขาก็หายโกรธ เรามันก็นะ รู้อยู่ว่าเขาห้าม”
ดีว่าอินทิราปรามยายอิ่มไว้เพราะเห็นว่าหลานเสียใจมากแล้ว อัจจิมาจึงรอดพ้นการถูกดุซ้ำ แต่ต้องถูกจำกัดบริเวณอย่างเข้มงวด
“ถ้าหนูไม่ขายมาลัยที่ศาลเจ้าแม่แล้วใครจะไปขาย น้าอินต้องไปทำงานร้านเจ๊เพ็ญ ยายต้องเฝ้าแผงที่ตลาด” อัจจิมาประท้วง
“ไว้ถามแม่เราแล้วกัน” น้าสาวตัดบท
“งั้นให้ยายไปขายที่ศาลเจ้าแม่ หนูไปขายที่ตลาดแทน” อัจจิมาเสนอและยิ่งใจเสียเมื่อได้รับคำตอบว่าไม่ได้
หนูน้อยสังเกตอีกว่า สมาชิกทุกคนในบ้านหลีกเลี่ยงการไปศาลเจ้าแม่อย่างเด็ดขาดด้วย หากความกังวลเรื่องนี้ค้างคาในใจได้ไม่กี่วัน เพราะเด็กหญิงมีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่ข้างหน้า นั่นคืองานโรงเรียน
หนึ่งอาทิตย์ก่อนวันงาน ทุกคนต่างโกลาหล ยายอิ่มวุ่นกับการตระเตรียมของสดและแห้ง อินทิราทำงานหนักขึ้นโดยควบกะบ่ายและค่ำในวันหยุดเพื่อสะสมเงินทุน ส่วนอัจจิมาต้องซ้อมรำกับครูแสงนวลทุกเย็นทั้งที่ต่อท่ารำกับยายเตยไว้แล้ว โดยครูให้เหตุผลว่า ท่ารำบางอย่างยังไม่ถูกต้อง เด็กหญิงไม่กล้าขัดคำสั่งแม้ใจจะเชื่อครูคนแรกเต็มเปี่ยม ขณะที่อัจจิมาวุ่นวายกับการซ้อมรำจนต้องงดเรียนบางวิชา แพรวตาเพื่อนสนิทต้องหัวปั่นกับการทำความสะอาดอาคารสถานที่
“ดีแล้วล่ะ ฉันเรียนไม่เก่ง ไม่มีผลงานติดบอร์ดโรงเรียนเหมือนอ้อยทิพย์ งานทำความสะอาดเป็นประโยชน์ออก ไม่ต้องเรียนด้วย”
อัจจิมาได้เห็นแพรวตาลาดตระเวณกวาดล้างขยะในชุดแต่งกายประหลาด นั่นคือหมวกหนังสือพิมพ์พับรูปสามเหลี่ยมฝีมืออัจจิมา ผ้ากันเปื้อนสีตุ่นได้รับความอนุเคราะห์จากร้านข้าวแกงร้านสองประจำโรงอาหาร และถุงมือสีส้มแปร๋นไม่เกรงใจใคร ซึ่งเป็นเครื่องมือปฏิบัติการชุดเดียวที่ได้รับมอบอย่างเป็นทางการจากครูฝ่ายอาคาร คณะของแพรวตามีด้วยกันเกือบยี่สิบคน เมื่อมองหน้ากันตาปริบๆ แพรวตาก็ได้ข้อสรุปว่า กลุ่มทำความสะอาดเป็นพวกหน้าตาไม่โดดเด่น การเรียนเอนไปทางย่ำแย่ ความประพฤติพอใช้ คือไม่ถึงกับดีเลิศแต่ไม่เคยมีเรื่องให้ครูต้องปวดหัว
การได้ร่วมขบวนการขัดสีฉวีวรรณตึกทำให้แพรวตาไม่ต้องเข้าเรียนหลายวิชาโดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ซึ่งข้อนี้ อัจจิมาแอบอิจฉาเล็กๆ อ้อยทิพย์เคยให้ความเห็นแบบไม่ได้รับเชิญว่า ทั้งสองอาจแพ้วิชาคณิตศาสตร์เหมือนอ้อยทิพย์แพ้อาหารทะเล เพียงแต่ไม่มีผื่นแดงตามผิวหนัง แต่กลายเป็นอาการง่วงสัปหงกในห้องเรียนแทน
โรงเรียนเตรียมการใหญ่โตเพราะมีคนสำคัญมาร่วมงาน ครูแต่ละท่านแทบไม่เป็นอันสอน หลายคนบ่นอุบเพราะถูกขอร้องให้ช่วยงานสารพัด อาจารย์ใหญ่เข้มงวดกับทุกเรื่อง ไม่ปล่อยให้ลอดสายตาไปสักเรื่องเดียว
ด้วยเหตุนี้ ชุดรำไทยของอัจจิมาจึงถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด จากที่เคยเป็นสไบจับจีบธรรมดา ครูแสงนวลต้องวิ่งไปหาผ้าแบบพิเศษซ้อนทับด้วยลูกไม้สีทองพร้อมเครื่องประดับชุดใหญ่ ลำดับการแสดงที่เตรียมไว้ถูกปรับหลายครั้ง วุ่นวายจนครูแสงนวลหลุดปากบ่น
“น่าเกลียดจริง จะเอาการแสดงฝรั่งเปิดงาน รำอวยพรเหมาะกว่า”
“ใคร?” ครูผู้สังเกตุการซ้อมคนหนึ่งถาม
“พวกนั้นแหละ” ครูแสงนวลลดเสียงเพราะไม่อยากให้นักเรียนที่กำลังซ้อมรวมถึงพวกตามมาให้กำลังใจรู้เรื่อง แต่เด็กนักเรียนมักมีความสามารถพิเศษในการถอดความ คล้อยหลังไม่ถึงชั่วโมง เรื่องกระซิบกระซาบในห้องซ้อมก็ปิดกันให้แซ่ดทั้งโรงเรียน
“ตายจริง น่าเกลียดจริงๆ ด้วย ทำอย่างนี้เหมือนไม่ไว้หน้าเจ้าภาพ แล้วครูใหญ่ไม่ว่าอะไรหรือ กำชับให้อัจจิมาแสดงเปิดงานแท้ๆ”
“นอกจากไม่ว่าอะไรแล้ว ยังคล้อยตามเสียด้วยซ้ำ ที่แย่มากที่สุด คือการแสดงชุดเปิดงานเป็นการแสดงของนักเรียนเหมือนกัน ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ”
“อ้าว! ถ้าล่มขึ้นมาหรือไม่สวยจะว่ายังไงกัน งานกร่อยตาย”
“กร่อยน่ะคงไม่หรอก เพราะหนึ่งในนั้นเป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตประจำจังหวัด”
“อ้อ” คู่สนทนากล่าวได้เพียงแค่นี้ก็อึ้งไป
ความตื่นเต้นเรื่องงานโรงเรียนในหมู่นักเรียนและครูกลับกลายเป็นความจดจ่ออยากรู้รายละเอียดการแสดงเปิดงาน พร้อมๆ กับการคาดเดาไปต่างๆ นานาว่าการแสดงเส้นใหญ่จะสวยกว่ารำของอัจจิมาหรือไม่
“แย่นะ อุตส่าห์ลงทุนค่าชุดตั้งหลายร้อย เห็นจะแพ้เขา” อ้อยทิพย์ซึ่งธรรมดาไม่เคยสุงสิงกับอัจจิมาถึงกับขอกินข้าวเที่ยงด้วย นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันมา
“นั่นสิ” นิ่มนวลเสริม
นิ่มนวลเป็นเด็กผู้หญิงรูปร่างผอม ผิวสีเดียวกับอ้อยทิพย์ ทั้งสองมีเชื้อจีนเหมือนแพรวตา แต่ชอบค่อนขอดผิวคล้ำๆ ของแพรวว่าคนจีนแท้ไม่มีใครมีผิวสีช้ำเลือดช้ำหนองแบบนี้ ความเป็นคนสนิทของอ้อยทำให้นิ่มนวลได้ประโยชน์สำคัญ คือเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิที่อ้อยคอยติวหนังสือให้อย่างเข้มข้น ขณะที่คนเรียนอ่อนอย่างแพรวตาหรืออัจจิมาไม่มีโอกาส เพราะแค่ปรายตาขอให้ช่วย คนเรียนเก่งของห้องจะรีบออกว่า “ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน” “ทำไม่เป็นเลย”
“รู้ได้ไง เธอเคยเห็นการแสดงนั่นแล้วเหรอ” แพรวตาอดไม่ได้ทั้งที่ตั้งใจว่าจะรูดซิบปากตลอดมื้อ
“รู้สิ” นิ่มนวลเถียงเสียงยวบเหมือนชื่อ
“อ้อยไปกรุงเทพฯ บ่อย ทุกอย่างในกรุงเทพฯ ดีกว่าบ้านเราทั้งนั้น รถราดีกว่า ตึกรามบ้านช่องดีกว่า โรงเรียนดีกว่า การแสดงก็ต้องดีกว่า ดูอย่างในทีวีปะไร”
อัจจิมาทำเป็นไม่สนใจ แต่จริงๆ อดกังวลไม่ได้ ตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ให้อัจจิมารำไทยงานโรงเรียน ครูท่านอื่นดูมีเมตตากับเด็กเรียนอ่อนอย่างอัจจิมาขึ้นมาบ้าง ไม่อย่างนั้น ต้องหาทางดุอยู่เสมอ ตั้งแต่ลายมือ ทำการบ้านผิด ไปจนถึงเสื้อเก่ารุ่ย ที่สำคัญ การแสดงครั้งนี้แม่ของอัจจิมาอาจลางานมาดูด้วย เด็กหญิงจึงตั้งใจเต็มที่



อลินน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ส.ค. 2555, 02:25:48 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ส.ค. 2555, 02:25:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1339





<< ตอนที่ 3.1   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account