ชะตารัก พิศวาสหัวใจเถื่อน (ร้าย เถื่อน ดุ) NC+
พิมพ์นารากอดเข่าตัวสั่น เธอร้องไห้จนเเทบหมดเเรง 'ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอยังจะช่วย'ผู้ชาย'คนนี้อยู่รึเปล่า' ถ้ารู้ว่าเขาจะย่ำยีหัวใจและร่างกายเธอเเบบนี้ ก็จะไม่ขอพบเจอเขาเลยดีกว่า

อัลลัยล์ ทำไมเธอจะต้องทำท่ารังเกียจเขาขนาดนั้นด้วย ทุกสิ่งที่เกิดจากเธอ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ เสียงพูด ล้วนเเต่ทำให้เขาสนใจในตัวเธอ คอยดูเถอะ ถ้าหากเขาทำให้เธอยอมสยบนอนครวญครางใต้ร่างได้ เธอยังจะทำท่ารังเกียจเขาอีกไหม!
Tags: ทะเลทราย ร้าย เถื่อน NC

ตอน: บทที่หนึ่ง จุดเริ่มต้นจากศูนย์

บทที่หนึ่ง


“นารา เล่มต่อไปน้าอยากให้เธอแปลเล่มนี้นะ”หญิงสาววัยกลางคนสวมแว่นทรงรีบอกหญิงสาวผมยาวที่กำลังสาละวนเก็บของใส่กระเป๋าด้วยท่าทีรีบร้อน เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมายิ้มฝืดๆก่อนจะรับหนังสือเล่มหนาจากมือของ ‘น้ารภี’ ไป

ปัจจุบันนารา หรือ พิมพ์นารา ทำงานอยู่กับสำนักพิมพ์ชงโคที่ประจำอยู่ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ชีวิตของเธอกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้นั้นเผชิญความยากลำบากมาไม่ใช่น้อย ตอนแรกเกิด ผู้ชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาก็มาทิ้งเธอและมารดาไปอย่างไม่ไยดีเธอกลายเป็นเด็กกำพร้าตอนอายุ 15 เนื่องจากมารดาประสบอุบัติเหตุจากไปอย่างกะทันหัน ในตอนนั้นชีวิตเธอเหมือนเสียศูนย์ แต่ยังดีที่น้ารภี น้องสาวเพียงคนเดียวของแม่เธอรับอุปการะเธอไว้ พร้อมกับส่งเสียให้เธอเรียนด้านภาษาโดยเฉพาะ ซึ่งเธอก็ชอบทางด้านนี้อยู่แล้วจึงไม่ทำให้ผู้เป็นน้าผิดหวัง พอเรียนจบมาน้ารภีเลยให้เธอมาช่วยงานที่สำนักพิมพ์ของเจ้านายน้ารภี ซึ่งสำนักพิมพ์ของน้ารภีนั้นมีสาขาอยู่ 6 สาขาคือที่ ประเทศไทย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และอียิปต์

และเธอที่เรียนจบด้านภาษาอาหรับมาโดยตรงแล้ว ถึงขอเลือกมาประจำการที่กรุงไคโรดีกว่า ได้อยู่ในที่ที่เธอถนัด จะได้ช่วยผู้เป็นน้าได้อย่างเต็มที่ และสองปีที่เธอได้มาอยู่เมืองไคโรนี้ เงินจำนวนหนึ่งที่เธอเก็บหอมรอมริบมาตลอดก็ทำให้เธอสามารถออกมาเช่าบ้านเล็กๆอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งความช่วยเหลือจากน้าสาวแล้ว น้ารภีช่วยเธอมาเยอะ ดังนั้นเธอจึงไม่อยากหาเรื่องรบกวนอีก

“ตำนานรักไอยคุปต์เหรอค่ะ”พิมพ์นาราทวนชื่อก่อนจะมองหน้าผู้เป็นน้าสาว

“แต่ทางสำหรับพิมพ์เราก็มีเรื่องแบบนี้เยอะแล้วไม่ใช่เหรอค่ะน้ารภี”

“ที่สาขาใหญ่บอกมาว่าตอนนี้ที่ประเทศไทยกำลังฮิตพวกแนวเจ้าหญิงเจ้าชายแบบนี้เหลือเกิน”รภีหัวเราะกับใบหน้างงงวยกับหลานสาว

“แต่ไม่ต้องรีบขนาดอดหลับอดนอนนะ น้าเชื่อว่าเธอจะทำมันออกมาได้ดี”รภีลูบผมยาวสลวยของหลานสาวอย่างแผ่วเบา ซึ่งไม่นานมานี้หลานสาวของเธอยังเป็นเด็กกะโปโลตัดผมสั้นตามระเบียบโรงเรียนรัฐบาลอยู่เลย ไม่รู้ว่าเอาเวลาไปโตเป็นสาวสวยขนาดนี้เมื่อไหร่

นับวันพิมพ์นาราก็ยิ่งเหมือนแม่ของเธอ ทั้งผมสีดำยาวสลวยนั่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกาย และผิวสีเข้มของคนไทยที่ใครเห็นต่างชมว่าผิวสีนี้แหละเซ็กซี่หนักหนา

“ค่ะน้ารภี นาราจะตั้งใจ ไม่ทำให้น้าผิดหวังแน่นอนค่ะ!”พิมพ์นาราทำท่าสู้ตายในแบบฉบับของเธอและหัวเราะเสียงใส ร่างบางแต่สูงโปร่งกอดน้าสาวอย่างเอาใจ รภีหัวเราะด้วยความเอ็นดูก่อนที่หญิงสาวจะยกมือไหว้และคว้าหนังสือโยนใส่กระเป๋าวิ่งออกไปจากสำนักงาน

“กลับบ้านดีๆละนารา”รภีตะโกนตามหลังไปก่อนจะเหลือบไปเห็นปฏิทินตั้งโต๊ะของหลานสาว วันนี้เป็นวันที่หพิมพ์นาราวงเป็นจุดสีแดงเข้มไว้ รภีเอื้อมมือไปสัมผัสอย่างแผ่วเบาพร้อมกับส่ายหน้าเล็กน้อย

วันนี้วันเกิดของพี่สาวเธอ ถ้าหากผู้เป็นพี่สาวนั้นได้ยินเธอก็คงอยากจะบอกว่า
พี่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้านารามันแล้วนะ ลูกพี่โตเป็นสาวที่เก่งและดูแลตัวเองได้ นับวันยิ่งเหมือนพี่ไม่มีผิด…



ตลาดในกรุงไคโรยังมีผู้คนพลุกพล่านเช่นเดิม ร้านรวงข้างทางที่ตะโกนแข่งกันเรียกลูกค้าชาวต่างชาติบวกกับเสียงแตรรถที่ดังขึ้นทุกๆสองวินาทีนั้นดังก้องไปทั่วบริเวณ สิ่งที่เธอเรียนรู้เมื่อมาอยู่ที่นี่คือชาวพื้นเมืองนั้นชอบบีบแตรมากกว่าเหยียบเบรก ช่วงแรกๆที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็มีบ้างกับอาการรำคาญเสียงดังแบบนี้ แต่พออยู่ไปอยู่มาก็อย่างที่น้าสาวบอก เดี๋ยวก็ชินไปเอง ในเวลานี้เธอก็รู้สึกแบบนั้นแหละ รู้สึกชินไปเอง

ร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลกับกางเกงยีนส์สีดำเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมายิ่งนัก ผมยาวสลวยสีดำสนิทถูกเจ้าตัว ‘มัดรวบแบบลวกๆ’ ไปด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาเข้มเป็นประกายรับกับจมูกเล็กๆและริมฝีปากสีแดงระเรื่อได้รูปนั่น ถึงแม้เธอจะไม่ได้ผิวขาวหลวกแบบชาวต่างชาติแต่เมื่อผิวสีเข้มสุขภาพดีแบบคนไทยนั้นบวกกับรูปหน้าของเธอแล้ว ทำให้ผู้คนสามารถชมได้เต็มปากเต็มคำว่า ‘ผู้หญิงคนนี้ สวย เซ็กซี่ จริงๆ!’

ในตลอดเวลาที่เดินเข้ามาในตัวเมือง ชายหนุ่มหลายคนพยายามเหลือเกินที่จะ ‘แต๊ะอั๋ง’ เธอ ทั้งขอจับมือ แอบจับเอว หรืออะไรเทือกๆนั้นทำให้เธออดที่จะขมวดคิ้วเซ็งไม่ได้ เธอถอนหายใจใหญ่เฮือกหนึ่งก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นตรอกแคบๆไร้ผู้คนนั่น

อ่า…สวรรค์เป็นใจ เธอได้ทางกลับบ้านใหม่ที่ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนแล้ว!

อืม…แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นทางไปบ้านเธอได้รึเปล่านะ แต่ไม่เป็นไรนี่น่า ลองไว้ก็ไม่เสียหาย!



ดวงอาทิตย์สีแดงเข้มปรากฏอยู่ ณ ขอบของทะเลทรายอันเวิ้งว้างบ่งบอกถึงเวลาใกล้อัสดง ลมทะเลทรายพัดผ่านก่อให้เกิดเป็นเนินน้อยใหญ่สวยงามยิ่งนัก แต่ในเวลานั้น ชายหนุ่มทั้งสามก็ไม่มีอารมณ์สนใจบรรยากาศสวยงามตรงหน้าแม้แต่น้อย

ชายหนุ่มสองคนในชุดกาลาไบยาสีน้ำตาลยืนบังชายหนุ่มอีกคน ใบหน้าของพวกเขามีเหงื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นจำนวนศัตรูที่ดูท่ายังจะต้องจัดการกันอีกนาน

“ท่านอัลลัยล์ ขอท่านจงล่วงหน้าไปก่อน ทางนี้พวกผมจะจัดการเอง”ชายหนุ่มร่างหนาบอกชายหนุ่มอีกคนในชุดกาลาไบยาสีดำด้านหลังที่กำลังกวัดแกว่งดาบโค้งในมือสู้กับเหล่าคนชุดดำปิดหน้าตา ซึ่งผู้ถูกเรียกก็ไม่มีท่าทีจะฟังจนผู้พูดต้องถีบผู้ขวางทางออกเพื่อเขยิบเข้ามาใกล้บุคคลผู้เป็นเจ้านาย

“ฮาฟิซ! เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังพูดกับใคร”อัลลัยล์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

ไม่มีเวลาจะสนทนากันอีกต่อไปเมื่อเหล่า ‘พวกมัน’ ต่างรุมกันเข้ามาราวกับมดที่เจอน้ำผึ้ง ควันฝุ่นจากทรายฟุ้งปลิวไปทั่วบริเวณ ฮาฟิซสบถคำหยาบรัวเมื่อเห็นผู้เป็นนายเสียหลักล้มลงกับพื้นทรายคุกกรุ่น

“ยะตีม! คุ้มครองท่านอัลลัยล์ไว้!”ฮาฟิซตะโกนบอกชายหนุ่มในชุดกาลาไบยาสีน้ำตาลเช่นเดียวกับตน ซึ่งชายหนุ่มนามยะตีมก็ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม

หลักจากที่พวกเขาเดินทางออกจากเมืองมุบาร็อกโดยทิ้งเหล่าองครักษ์ทั้งหมดไว้ที่เมืองเนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า

‘ข้าจะเข้าไปตรวจงานส่งออกที่สาขาไคโรเพียงสองวัน พวกเจ้าไม่ต้องตามมาหรอก เกะกะ’

ถ้าไม่เห็นว่าเจ้าของเหตุผลนี้คือ ‘ท่านชีคอัลลัยล์ ซามาล ฟาฮัด’ ผู้เป็นเจ้านายแล้วละก็ ดูท่าพวกเขาผู้ติดตามทั้งสองก็ได้มีการวางมวยกับเจ้าของเหตุผลนี้เป็นแน่แท้ รู้ทั้งรู้ว่าตนเองมีฐานันดรต่างคนธรรมดาย่อมจะมีผู้ปองร้ายได้ง่าย แต่เจ้าตัวกลับไม่สนใจชอบใจชีวิตเสี่ยงบนเส้นด้ายแบบนี้ตั้งกี่ครั้งกี่หน ‘พวกมัน’ ก็ดูเหมือนรู้จุดอ่อนข้อนี้ดีว่าท่านอัลลัยล์ไม่ชอบไปไหนโดยมีผู้ติดตามจำนวนมาก เลยมาดักรอโจมตีพวกเขากลางทะเลทรายแบบนี้!

ยะตีมยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้สัญญาณตอบรับจากเครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเหล่าองครักษ์ทั้งหมดที่เมืองมุบาร็อก เขาเชื่อว่าภายในเวลาไม่เกิน 15 นาทีนี้ พวกเหล่าองครักษ์ทั้งหมดจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน หน้าที่ในตอนนี้คือยื้อเวลาให้ได้นานที่สุดเพื่อรอความช่วยเหลือ

แต่ในระหว่างนั้นเขาก็อยากให้ท่านอัลลัยล์หลบจากวิถีดาบออกไปก่อนเพื่อความปลอดภัย แต่ม้าที่ขี่ม้าต่างก็ตกใจจนวิ่งกระเจิงไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ยังไม่ถึงกลับหมดหวังซะทีเดียว ยังมีม้าเหลืออีกตัว! อยู่ตรงนั้น!!

ชายชุดดำนับสิบต่างวิ่งกรูเข้ามาหาเป้าหมายสำคัญ ‘ชีคอัลลัยล์’ แต่ก็ถูกผู้ติดตามทั้งสองขจัดออกไปจนหมด สมคำร่ำลือจริงๆว่าผู้ติดตามของคนผู้นี้นั้นยอดฝีมือทั้งนั้น!

“ไอ้พวกโง่ จัดการมันให้ได้ ไม่งั้นกลับไปพวกแกก็ต้องตายกันหมดอยู่ดี!”ชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งซึ่งดูท่าเหมือนเป็นผู้ควบคุมการลอบสังหารครั้งนี้ตะโกนลั่นขึ้นจากหลังม้า เหล่าสมุนทั้งหลายที่ได้ยินต่างวิ่งกรูเข้าไปหาชายหนุ่มในชุดกาลาไบยาสีดำอย่างไม่คิดชีวิต!

ร่างหนาในชุดกาลาไบยาสีน้ำตาลทั้งสองถูกตีล้อมด้วยเหล่าคนชุดดำถูกดันออกมาห่างเรื่อยๆทำให้ไม่สามารถคอยเป็นกำบังเป็นด่านหน้าให้ผู้เป็นนายได้ ทั้งสองสบถออกมาพร้อมกันและทุ่มแรงทั้งหมดเพื่อฝ่าวงล้อมออกไป แต่ไม่ได้ผลเนื่องจากจำนวนคนที่ต่างกันเกินไป!

อัลลัยล์มองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เหยื่อผู้โชคร้ายที่ถลาเข้ามากลับทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย กลับกัน เลือดสีแดงเข้มจำนวนมากของผู้ลอบสังหารต่างไหลย้อมผืนทรายสีทองอร่ามนี้!

ผู้มีศักดิ์เป็นท่านชีคใช้แขนเสื้อเช็ดคราบเล็ดบนหน้าตนอย่างลวกๆโดยไม่สนใจผ้าโพกหัวที่จะหลุดแหล่มิหลุดแหล่

“ไอ้อัลลัยล์ ไหนบอกว่าเก่งนักเก่งหนา ทำไมหลบหลังลูกน้องซะละ!”ชายชุดดำพยายามตะโดนยั่วยุเพื่อให้อีกฝ่ายโมโห ซึ่งดูเหมือนจะได้ผล ชายหนุ่มชุดกาลาไบยาสีดำกระชากผ้าโพกหัวของตนเขวี้ยงลงบน
พื้นพร้อมกับยกดาบขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย

“หมาลอบกัดมีสิทธิ์เห่าด้วยเรอะ!”อัลลัยล์ยิ้มเยาะ

“ขนกันมาครึ่งร้อยแต่กลับทำอะไรข้าไม่ได้ เพราะหัวหน้ามันจอกนะสิ ทั้งกระจอกและอ่อนแอ!”

ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าโกรธจนหน้าแดงก่อนจะกระโดดลงจากม้าวิ่งถลาเข้าไปหาชายหนุ่มที่ยืนยิ้มรออย่างสงบ

อัลลัยล์หลบปลายดาบที่พุ่งเข้ามาอย่างหวุดหวิด ก่อนจะตวัดดาบโค้งเข้าไปเรียกเลือดของอีกฝ่าย ร่างหนาในชุดกาลาไบยาสีดำถีบเข้าไปที่หน้าอกของผู้เป็นหัวหน้าชายชุดดำอย่างแรงจนอีกฝ่ายเสียหลัก ทั้งคู่ชี้ปลายดาบเข้าหากันและจ้องมองอย่างลองเชิง

การต่อสู้ครั้งนี้เป็นมันปรากฏมาแล้วว่าไร้ซึ่งความสูสี

‘เอาละวะ ถึงข้าแพ้กลับไปก็ต้องตายอยู่ดี’ชายชุดดำคิดในใจก่อนจะวิ่งเข้าไปหาผู้มีฐานันดร
เหมือนฟ้าเป็นใจให้ชายชุดดำได้ยิ้มออกมา เมื่อเหยื่อของเขาได้เหยียบเข้ากับผ้าโพกหัวที่ปาทิ้งไปสักครู่ ร่างหนาเสียหลักเซหงายลงไปทำให้ไม่อาจหลบปลายดาบทัน ปลายดาบโค้งได้เรียกเลือดของผู้เป็นท่านชีคออกมาได้แล้ว!

อัลลัยล์จับที่ต้นแขนของตน แผลที่โดนดาบจังๆแบบนี้ทำให้เขาไม่สามารถขยับดาบได้ดั่งใจคิดอีกต่อไป ชายหนุ่มสบถคำหยาบออกมาอีกหลายคำเมื่อต้องหลบดาบโค้งที่ฟาดสะเปะสะปะลงมาไม่ยั้งแบบนี้

ฮี้!!

เสียงดังจากด้านข้างเรียกให้ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมอง ร่างหนาของยะตีมกำลังควบม้าเข้ามาใกล้โดยมีชายชุดดำวิ่งตามมาอีกสองคน เมื่อมองเลยไป ฮาฟิซก็กำลังชุลมุนกับคู่ต่อสู้อยู่อีกด้าน!

“ท่านอัลลัยล์ ท่านล่วงหน้าไปก่อนเถอะ!”ยะตีมกระโดดลงจากหลังม้าพร้อมกับเข้าไปขวางกลางระหว่างหัวหน้าเหล่าชายชุดดำกับอัลลัยล์

“ยะตีม ข้าไม่ใช่พวกปอดแหกทิ้งลูกน้องได้”อัลลัยล์กัดฟันกรอดให้กับผู้ติดตามของตน
แต่แล้วสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากหูก็ยังจากปากของยะตีม

“ถ้าท่านไม่ล่วงหน้าไปก่อน ผมจะควานท้องตัวเองให้ตายไปเลย ในเมื่อคำขอของผมไร้ค่าสำหรับท่านขนาดนั้น ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม!”ยะตีมพูดรัว

“เฮ้ย อย่าทำอะไรบ้าๆ”ชายหนุ่มยกมือห้ามเมื่อเห็นผู้ติดตามทำท่าจะเอาดาบควานท้องตัวเองจริงๆ
ไม่รู้ผีห่าอะไรดลใจทำให้เขาเลือกทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนจะได้ผลเมื่อผู้เป็นเจ้านายร้อนรนขึ้นมาทันที ยะตีมคิด

“ขึ้นม้าไปท่านอัลลัยล์ ทางนี้พวกผมจะจัดการเอง!”ยะตีมยิ้มให้ผู้เป็นนายอีกครั้งเมื่อเห็นร่างหนาขึ้นไปอยู่บนหลังม้าเรียบร้อยแล้ว

“เออ! ไอ้พวกผู้ติดตามเผด็จการ”อัลลัยล์ดึงบังเหียนม้าเพื่อบังคับทิศทางให้มุ่งเข้าสู่ตัวเมืองไคโร

“พวกเจ้าก็รีบตามข้ามาละ!”ประโยคสุดท้ายร่างหนาก็ทะยานไปพร้อมกับม้า คล้อยหลังไปชายหนุ่มก็ยิ้มให้กับความบ้าดีเดือดของผู้ติดตาม

‘ถ้าจบเรื่องนี้แล้วเห็นทีต้องหาบทลงโทษ โทษฐานที่กล้าสั่งเจ้านายให้ซะแล้ว!’อัลลัยล์คิดในใจก่อนจะควบม้าไปเต็มฝีเท้า

ฮาฟิซฝ่าวงล้อมออกมาเห็นยะตีมกำลังปะทะกับหัวหน้าพวกคนชุดดำนี้ ทั้งคู่หันมายิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะสะสางเรื่องของตัวเองต่อ

“เอาไว้อีกสามนาทีค่อยมาคุยกันนะฮาฟิซ!”

เพียงเวลาเสี้ยววินาที ท่ามกลางทะเลทรายผืนนี้ก็เต็มไปด้วยการต่อสู้ห้ำหั่นอีกครั้ง!!



“แหวะ!”พิมพ์นาราทำเสียงล้อเลียนหนังสือในมือก่อนจะวางลงบนโต๊ะข้างเตียง

“อะไรมันจะไปหวานเลี่ยนขนาดนั้น”เธอพูดบ่นเป็นภาษาแม่เมื่ออ่านนิยายไปได้เกือบๆจะครึ่งเล่ม เรื่องของเจ้าหญิงเจ้าชายที่หยอกล้อกันไปมา โธ่…ในชีวิตจริงในสังคมที่แข่งขันรวดเร็วแบบนี้ คงจะมีเวลาไปนั่งหยอกล้อกันอยู่เนอะ

เธอเหลือบตามองนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง ตอนนี้ก็ทุ่มครึ่งแล้ว เวลาที่เธอรอคอย การดินเนอร์กับครอบครัว

พิมพ์นารากระโดดลงจากเตียงวิ่งตรงไปยังห้องรับแขกเล็กๆที่เต็มไปด้วยหนังสือ มีโซฟายาวสีเลือดหมูนุ่มนิ่มตั้งอยู่ใจกลางห้องกับทีวีจอเล็กๆที่เธอไม่ค่อยได้เปิดดูเท่าไหร่ ร่างบางหยุดที่รูปถ่ายเก่าๆในกรอบที่ตั้งอยู่บนชั้นวางหนังสือขนาดกลาง

“สวัสดีค่ะแม่ วันนี้วันเกิดแม่นะ นาราจะโชว์ฝีมือทำอะไรให้แม่ดูนะคะ แม่จะได้เห็นว่านาราทำเก่งขึ้นตั้งเยอะ!”พิมพ์นารายิ้มหวานให้คนในรูปถ่ายตรงหน้า เธอรู้สึกถึงความร้อนผ่าวในดวงตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเพดาน

‘วันนี้วันสำคัญ อย่าร้องสิ’เธอบอกกับตัวเองในใจ

“เอาละค่ะ นารารู้ว่าแม่ชอบกินอาหารไทยรสจัด แต่อยู่ที่นี่นาราไม่รู้จะไปหาพวกเครื่องปรุง พวกเครื่องสมุนไพรขิงข่าตระไคร้มาจากไหน เอาเป็นว่านาราจะทำสปาเก็ตตี้ไก่ให้แม่นะคะ”หญิงสาวยิ้มขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะวิ่งเข้าไปในครัวเล็กๆของเธอ

เมื่อเธอเปิดตู้เย็นดู อุปกรณ์ในการทำสปาเก็ตตี้ไก่พร้อมหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นสปาเก็ตตี้ หอมใหญ่ เนื้อไก่ พริกไทยป่น แล้วก็…

เธอหยิบกระปุกซอสสปาเก็ตตี้ขึ้นมาดู เมื่อเห็นปริมาณแล้ว

“เหลือแค่นี้เองเหรอเนี่ย”พิมพ์นาราบ่นพึมพำกับตนเอง แค่นี้มันก็ทำได้แค่ที่เดียวนะสิ ไม่นะ วันนี้เธอจะต้องทำ สปาเก็ตตี้ไก่สำหรับสองที่

หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายของวันนี้ ทางตรอกแคบนั่นเป็นทางผ่านมาบ้านเธอจริงๆ โชคดีเหลือเกินที่เธอค้นพบเส้นทางใหม่โดยไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้อื่นอีกต่อไป

ร่างบางหยิบกระเป๋าสตางค์พร้อมกับเสื้อคลุมตัวหนามา ที่ไคโรนี้ถึงแม้กลางวันจะร้อนจัดแต่พอตกกลางคืนแล้วอากาศก็เย็นได้เรื่องทีเดียว

เธอดูการแต่งกายของตนในกระจก เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงออกจากบ้านไป



ตรอกแคบนี่ในตอนกลางวันเธอก็สัมผัสถึงความชื้นได้ แต่ในตอนนี้สำหรับตรอกแคบๆนี่คืออากาศเย็นจนถึงหนาว เธอเดินไปเรื่อยๆโดยพยายามไม่คิดอะไร ที่เมืองไคโรนี้เจ้าหน้าที่จะกระจายไปทุกที่ในเมือง ถ้าเกิดเหตุการณ์ปล้นฆ่าหรืออะไรในตรอกนี้ อันดับแรกก็เธอจะทำก็คือกรี๊ดให้เสียงดังที่สุดและพยายามวิ่งไปถึงทางออก ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่สี่นาย เธอจำได้

ระหว่างที่คิดอะไรเพลินๆ สายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นคนในชุดกาลาไบยาโพกหัวนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆลังของที่กองพะเนินกันจนสูง คนเร่ร่อนเหรอ? เมื่อตอนกลางวันยังไม่เห็นมีใครเลยนี่น่า

พิมพ์นาราส่ายหัวเบาๆกับตนเองที่เอาเรื่องแบบนี้มาคิด ก็ถ้าคนนั้นเป็นคนเร่ร่อนก็ต้องหาที่นอน ตรงนั้นก็มีลังพอบังความหนาวได้ ไม่แปลกอะไรหรอก

หญิงสาวเดินไปตามตรอกจนในที่สุดก็ทะลุออกไปในตัวเมืองไคโรได้ เธอเดินไปที่ซุปเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่เพื่อเลือกมะเขือเทศลูกโตมาสี่ห้าผล ซอสมะเขือเทศ แล้วก็ของกินจุกจิกอีกหลายอย่าง รวมถึงขนมปังด้วย

เธอยิ้มให้เจ้าหน้าที่เล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตรอกแคบ ระยะทางในการเดินกลับของเธอดูเหมือนจะไกลกว่าตอนขามา เพราะใจของเธอกระวนกระวายถึงคนเร่ร่อนในตรอกนั่น เธอซื้อขนมปังไปให้ ถ้าท้องอิ่มก็คงจะช่วยได้หลายอย่าง เธอรู้ว่ามันไม่ใช่กงการอะไรของเธอ แต่ถึงยังไงเธอก็อดที่จะสงสารไม่ได้

บ้านก็ไม่มีอยู่ เผลอๆอาจจะไม่มีครอบครัวเลยก็เป็นได้

พิมพ์นาราเดินกลับมาจนถึงลังของสูงพะเนิน เธอค่อยๆก้าวเบาๆพร้อมกับชะเง้อคอเพื่อมองคนในชุดกาลาไบยาสีดำนั่น เธอยืนนิ่งสูดหายใจระยะห่างประมาณห้าก้าว ก่อนจะเดินเข้าไปอีก

ดูท่าคนตรงหน้าเธอจะนั่งหลับกระมัง ตัวโยกโงนเงนไม่มีที่ยึดเกาะ เธอคิดในใจว่าจะปลุกดีไหม เพราะเวลาคนถ้าถูกรบกวนการนอนคงจะโมโหไม่น้อย

เธอตัดสินใจวางขนมปังที่ซื้อมาให้คนตรงหน้าก่อนจะเดินจากไปอย่างเงียบๆ แต่แล้วก็มีบางสิ่งขัดขึ้นมาทำให้เธอต้องชะงักฝีเท้า

“เจ้าเที่ยวเอาอาหารมาโยนให้คนนู้นที คนนี้ที ข้าไม่ใช่ขอทาน ไม่ต้องการการช่วยเหลือจากเจ้า”เสียงทุ้มเอ่ยเนิบๆ พิมพ์นาราหันกลับไปมอง แสงสว่างเพียงเล็กน้อยทำให้เธอเห็นหน้าผู้พูดไม่ชัด แต่พอสังเกตดีๆอีกที ผู้พูดมีผ้าสีดำปิดอยู่ที่หน้าโผล่มาแต่ดวงตานี่น่า

ชายหนุ่มในชุดกาลาไบยาขยับตัวเล็กน้อย เขารู้ถึงเหมือนว่าเรี่ยวแรงถูกดูดกลืนไปหมด อาการตาพร่าลายเกิดขึ้นเป็นระยะทำให้เห็นหน้าคนหวังดีที่วางขนมปังก้อนขาวๆไว้ให้ไม่ชัดเท่าที่ควร แต่ดูจากรูปร่างผอม
บางนั่นน่าจะเป็นผู้หญิง และคนอย่างเขาก็ไม่หวังให้ผู้หญิงมาช่วยหรอก ถือเป็นดูถูกกันยิ่งนัก!

พิมพ์นารามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างชั่งใจ เธอคิดว่าการที่เธอวางขนมปังไว้ให้ มันต่างจากกิริยาการโยนมากนะ แต่ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงพูดแบบนี้ละ

อ่า…เธอลืมไป ปกติคนที่นี่ใช้ชีวิตต่างคนต่างอยู่ คงไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับชีวิตของตนสินะ

พิมพ์นาราพยักหน้ากับตนเองก่อนจะสาวเท้าเดินออกมา แต่เดินไม่กี่ก้าว เธอก็รู้สึกถึงสิ่งเย็นเฉียบฉวยจับที่ข้อมือเธอ!

“ปล่อยเดี๋ยวนี้”ชายเร่ร่อนนั่นลุกขึ้นมาคว้าข้อมือเธอตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ เมื่อยืนเทียบกันแล้วร่างกายเขาช่างสูงใหญ่หน้ากลัวยิ่งนัก!

เธอพยายามจะบิดข้อมือออก แต่มือของชายเร่ร่อนนี้แข็งเหมือนคีมเหล็ก และถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่ถืออยู่อีกข้างทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ถนัด

“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า”เสียงทุ้มเย็นยะเยือก

เธอรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวอย่างหวาดกลัวของตัวเอง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เธอคงไม่มายุ่งเรื่องคนอื่น จะไม่มาสงสารคนเร่ร่อนแบบนี้แน่!

ชายหนุ่มจับอาการตัวสั่นของหญิงสาวตรงหน้าได้ เขาถอนหายใจเล็กน้อยว่าตนเองละเมอไปหรือไร ถึงได้เที่ยวมาหาเรื่องผู้หญิงแบบนี้

แต่ก่อนที่จะได้ปล่อยมือ ร่างหนาก็ทรุดลงไปที่พื้น

มาอีกแล้วสินะ อาการตาพร่าแบบนี้…ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะเอื้อมมือกดแผลที่ต้นแขนของตนเองไว้

พิมพ์นาราถอยออกจากชายเร่ร่อน เธอสั่งให้ขาทั้งสองวิ่งออกมาให้เร็วที่สุด แต่สมองของเธอกลับไม่สั่งการแบบนั้นนะสิ สมองเธอสั่งการให้หยุดมองคนตรงหน้า

ชายหนุ่มที่อยู่ๆก็ทรุดทรงไปนั่งกุมแขนตัวเองอย่างนิ่งเงียบ แขนอีกข้างพยายามดันพื้นพยุงตัวไว้ เขาก้มหน้ามองต่ำก่อนจะถอยเขยิบไปนั่งพิงกำแพงและกองลังเช่นเคย

เธอต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ พิมพ์นาราคิดในใจเมื่อเท้าของเธอก้าวตามร่างหนาของชายเร่ร่อนมา

“มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า?”หญิงสาวกลั้นใจถามออกไป

มีอีกสิ่งที่ชายหนุ่มเพิ่งจะรู้ หญิงสาวคนนี้คงเป็นคนต่างชาติมาเที่ยว แม้เธอจะพูดภาษาอาหรับได้ แต่สำเนียงและเสียงเหมือนร้องเพลงนั่น ฟังดูยังไงก็ไม่ใช่คนอียิปต์แน่

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงียบ เธอจึงเอื้อมมือไปจับตัวชายตรงหน้าเบาๆที่แขนข้างที่เขากุมไว้

“คุณแขนหักเหรอค่ะ?”

“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”เสียงทุ้มตอบกลับมา

“ฉันช่วยคุณได้นะ ฉันพาไปส่งโรงพยาบาลให้เอาไหม หรือว่าคุณจะให้ฉันโทรเรียกรถพยาบาลก็ได้นะ”เสียงหวานยังคงถามต่อ

“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า”เสียงทุ้มยังคงตอบคำเดิม พิมพ์นาราถอนหายใจเบาๆหนึ่งทีก่อนจะลุกขึ้นถอยออกมา

“เอาเป็นว่าฉันจะโทรเรียกรถพยาบาลให้คุณนะ แต่คงต้องรอสักครู่ เพราะฉันไม่ได้เอาโทรศัพท์ออกมาด้วย”หญิงสาวพูดตัดบทก่อนจะเดินออกมา เธอรู้สึกชื้นๆที่มือ คงเป็นน้ำอะไรสักอย่าง ไม่ก็คงเป็นเหงื่อของผู้ชายคนนั้น เธอคิดในใจพลางเช็ดมือกับเสื้อคลุม

ร่างบางเดินมาเรื่อยๆจนทะลุออกจากตรอกแคบนั่น เธอถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบกุญแจออกมาเพื่อจะนำมาไขประตู แต่สิ่งที่เห็นทำให้เธอเบิกตากว้าง!

กริ้ง!

ลูกกุญแจหล่นลงพื้นแรกสติเธอคืนมา

มือเธอเปื้อนเลือด!!

เธอก้มมองที่เสื้อคลุม ยังคงมีรอยเลือดติดอยู่ และข้อมือของเธออีกข้างที่เธอโดนคนเร่ร่อนนั่นจับไว้ก็ปรากฏรอยเลือด เธอรู้สึกถึงอาการตัวชาไปซักระยะ ก่อนจะวางของลงไว้ที่หน้าประตูบ้าน

ก่อนจะหันหลังกลับไปยังทางที่จากมา สมองอีกด้านของเธอก็เกิดคำถามขึ้นมา ถ้านั่นเป็นฆาตกรฆ่าคนละ? พูดแล้วเธอก็หนาวถึงสันหลัง

แต่ถ้านั่นเป็นคนบาดเจ็บ? เธอจะปล่อยให้เขาอยู่ตรงนั้นจริงเหรอ เธอตั้งคำถามกับตนเอง เมื่อได้คำตอบแล้วร่างบางก็วิ่งกลับไปทางเดิม

เธอไม่ได้ใจร้ายปล่อยให้คนที่อาจจะบาดเจ็บนอนอยู่ตรงนั้นแน่!

ร่างบางวิ่งกลับมาที่ตรอกแคบ เธอวิ่งตรงมาเรื่อยๆจนสุดท้ายก็เห็นร่างหนาในชุดกาลาไบยาสีดำนอนพิงอยู่ข้างๆกองลัง

“คุณ คุณ”เธอเขย่าตัวอีกฝ่ายแต่อีกฝ่ายไม่มีสติรับรู้แล้ว เธอกัดริมฝีปากจนห้อเลือดขึ้นมา

เอาก็เอา!

ร่างบางพยุงร่างหนาของชายหนุ่มขึ้นมา ตัวของเขาหนักมากจนเธอเดินเซ เสียงทุ้มดังอยู่ข้างๆใบหูเธออีกครั้ง

“ไม่ต้องยุ่งกับข้า”เสียงทุ้มเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก คุณบาดเจ็บอยู่นะ”พิมพ์นาราตอบกลับ

เธอเดินเซไปเซมาจนในที่สุดก็ออกจากตรอกแคบมาได้ เมื่อเดินมาอีกไม่ไกลในที่สุดก็ถึงบ้านหลังเล็กของเธอ

ตอนนี้ก็มืดมากแล้วทำให้ผู้คนบางตาลงไปมาก แทบไม่มีใครสังเกตเลยว่าเธอหอบอะไรกลับเข้ามาที่บ้าน
เธอล้วงกุญแจเปิดประตูบ้านแล้วจึงพยุงชายร่างหน้าเข้าไปข้างใน โซฟาตัวยาวสีเลือดหมูของเธอดูตัวเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับร่างชายเร่ร่อนนี่ หญิงสาวเดินกลับไปที่หน้าบ้านเอาถุงของที่ซื้อตามเข้าไปเก็บในครัวอย่างรีบร้อนก่อนจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาชายที่นอนอยู่

ดวงตาทั้งคู่หลับพริ้มมีเหงื่อผุดขึ้นมาตามไรผม ผ้าปิดหน้ายังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป เธอนึกสงสัยว่าทำไมเขาไม่เอามันออกจะได้หายใจสะดวก ในที่สุดมือเรียวก็ค่อยๆดึงผ้าปิดหน้าออกมา

จมูกเป็นสันได้รูปรับกับริมฝีปากบางซีดและใบหน้าที่ไว้เคราเล็กน้อยนั้นทำให้สมชายชาตรี ผิวสีเข้มเหมือน
ชาวอาหรับทั่วไป เขาลืมตาปรือขึ้นมาเล็กน้อยทำให้เธอเห็นดวงตาสีดำคู่นั้น

ดวงตาสีดำที่สะกดให้เธอนิ่งไปสักพัก…

ชายเร่ร่อนนี้จัดได้ว่าหน้าตาดีถึงดีมาก ถ้ากำจัดหนวดเครานั่น แทนที่จะเป็นคนเร่ร่อน ไปเป็นดาราจะดีกว่าไหม เธอคิดในใจ

“ฉันจะไปตามคนมาช่วยนะ คุณยังไหวใช่ไหม?”พิมพ์นาราถามชายหนุ่มตรงหน้า

“อย่า อย่าตามใครมา ไม่มีใครไว้ใจได้”ชายหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงล้า

“อ้าว แล้วถ้าคุณมาตายในบ้านฉันล่ะ”เป็นคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบเมื่อชายหนุ่มผล็อยหลับไปอีกครั้ง เธอนั่ง
คิดอย่างชั่งใจก่อนจะจับแขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั่นอย่างเบามือ

เลือดยังคงไหลไม่หยุด เธอลุกขึ้นเดินไปเอากล่องสามัญประจำบ้านมาเพื่อห้ามเลือดให้กับจนตรงหน้า
พิมพ์นาราตัดแขนเสื้อทิ้งไปพร้อมกับล้างแผลทำแผลตามที่เธอเคยเรียนมาในช่วงมัธยมศึกษาตอนต้น เมื่อเสร็จแล้วก็เธอพันแผลด้วยผ้าสีขาวสะอาดอย่างเบามือ เธอปาดเหงื่อเล็กน้อยก่อนจะมองผลงานตัวเอง
เลือดหยุดไหลจริงๆด้วยแฮะ

เธอสำรวจแขนอีกข้างและช่วงลำตัว เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเธอจึงเช็ดหน้าเช็ดตัวทำความสะอาดพวกรอบคราบดินสกปรกให้แล้วจึงเดินไปล้างมือให้เรียบร้อย

“คุณต้องกินยาแก้ปวดกับแก้อักเสบก่อนนะ”เธอปลุกชายหนุ่มที่นอนขดตัวขึ้นมา เขาปรือตามองเธออีกครั้งและกินยาตามที่บอกอย่างว่าง่าย

หญิงสาวมองดูนาฬิกาเป็นเวลาจะสี่ทุ่มครึ่งอยู่แล้ว เธอเดินเข้าไปเอาผ้าห่มสำหรับแขกออกมาห่มให้ชายตรงหน้าก่อนจะเข้านอน

พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่แล้วกัน…


--------------------------------------------------

สวัสดีค่ะทุกท่าน (^___^)\\
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณที่สละเวลาคลิกเข้ามานะคะ ฮ่า ๆ

นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องเเรกของกี้
เเต่ด้วยความที่กี้ชอบมนต์ขลังเเนว ทะเลทรายร้อนๆ เจ้าหญิงเจ้าชายอะไรเเบบนี้
เรื่องเเรกเลยขอประเดิมด้วยเเนวทะเลทรายเลยเเล้วกันค่ะ (TTwTT)\\

ผิดพลาดประการใดเเนะนำได้เลยนะคะ เพราะบางอย่างกี้ก็ดำน้ำ มั่วนู่นมั่วนี่เอา

ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่เเวะเข้ามาอ่านจนจบค่ะ (*o*)\\









เสี้ยวเดือนเเรม
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ส.ค. 2555, 22:26:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ส.ค. 2555, 22:26:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 12146





   บทที่สอง ไม่มีอะไรที่ข้าอยากได้เเล้วไม่ได้! 100% >>
pkka 26 ส.ค. 2555, 14:57:18 น.
สนุกค๊า


เทียนจันทร์ 26 ส.ค. 2555, 20:14:25 น.
รอตอนต่อไปนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account