บ่วงรักแรงอธิษฐาน
รักในปัจจุบันผูกพันกับรักที่ปวดร้าวในอดีตชาติ
คำอธิษฐานและบุพเพสันนิวาสนำเขาและเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง
แต่จะทำเช่นไรเมื่อหนึ่งคือเพื่อนรักที่ยอมสละชีพเพื่อเราและหนึ่งคือยอดดวงใจที่เฝ้ารักเฝ้ารอมาหลายภพชาติ
Tags: ย้อนอดีต ระลึกชาติ บุพเพสันนิวาส

ตอน: บทนำ

สวัสดีครับ
หลายคนอาจจะคุ้นๆว่าเคยผ่านตาสำหรับนิยายเรื่อง บ่วงรักแรงอธิษฐาน จากเวปเก่า ^^
ตอนนี้เรื่องนี้ผ่านการพิจารณาและกำลังจะตีพิมพ์เป็นรูปเล่มในนามสนพ.บ้านนางฟ้าแล้วนะครับ
นำฉบับรีไรท์ล่าสุดมาให้เพื่อนๆในเวปสิรินดาอ่านก่อนหนังสือจะเป็นเล่มช่วงต้นเดือนหน้า
และแน่นอนว่าจะต้องขนมาแจกผู้อ่านที่น่ารักเช่นเคยครับ (แต่ไม่รู้ว่าจะมีคนอยากได้หรือเปล่า หุหุ ) ^^
เพื่อนๆอ่านแล้วมีความเห็นเช่นไร ต้องการให้แก้ไขตรงไหน บอกได้เลยครับ
น้อมรับไปปรับปรุง(ในเรื่องต่อไป)ครับผม

อ่านให้สนุกนะครับ ^^

ไอรายา

++++++++++++++++++++++++

“พระเจ้าพี่เรา จะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่าเชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกันให้เป็น เกียรติยศ ไว้ในแผ่นดินเถิด กาลภายหน้าไปไม่มีกษัตริย์ที่จะได้ทำยุทธหัตถีอีกแล้ว”

แปร๋นนน....

เสียงประกาศก้องท้าทายอย่างห้าวหาญ หนักแน่นและทรงพลังจากเบื้องสูง กังวานผ่านกลุ่มควันหนาและฝุ่นผงที่ฟุ้งกระจาย เสียงช้าง ฝีเท้าม้า เสียงอาวุธยุทโธปกรณ์แหวกอากาศและปะทะกัน เสียงคำรามของผู้คนนับพันนับหมื่นผสานเสียงกรีดร้องโหยหวนอื้ออึงกึกก้องทั่วทุกสารทิศ สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้จำต้องอยู่ในเหตุการณ์อย่างไม่คาดฝันและปรารถนา

“นี่มัน...สงครามเหรอ! ”

“ถวายอารักขาพ่ออยู่หัว! ”

ยังไม่ทันจะหาคำตอบให้หายสงสัย เบื้องหน้าก็ปรากฏชายไทยวัยฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสัน สองมือถือดาบแกว่งไกวเกรี้ยวกราดและดุดัน โลหะคมกริบฟาดฟันหนักหน่วงและรุนแรง ศัตรูที่กรูกันเข้ามาต้องสังเวยชีวิตคนแล้วคนเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ศีรษะและแขนขาของพวกมันต้องขาดกระเด็น เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดเจิ่งนองส่งกลิ่นคาวคละคลุ้ง

ท่ามกลางความตกตะลึงหนึ่งในพวกมันพุ่งตรงเข้ามาเงื้อดาบสุดแขนหมายฟาดฟันให้สิ้นซาก แต่ในเสี้ยวพริบตา ศีรษะชั่วๆ ของมันก็ขาดกระเด็นด้วยคมดาบในมือที่ตวัดสวนออกไปตามสัญชาติญาณการป้องกันตัว

‘ดาบ! เรามีดาบ’ ฉับพลันนั้นความตื่นตระหนกที่เคยมีก็เหือดหายไปหมดสิ้น ความฮึกเหิมและกำลังใจที่กร้าวแกร่งพุ่งกระฉูดขึ้นมาแทนที่ บัดนี้ถึงเวลาพญาราชสีห์ออกล่าเหยื่อแล้ว สองขาแข็งแรงกระโจนทะยานไปเบื้องหน้า มันผู้ใดบังอาจล่วงล้ำกล้ำกรายหมายลอบปลงพระชนม์พ่ออยู่หัว กูจะตัดคอมันไม่ให้มีโอกาสได้มองเห็นแสงทองของวันพรุ่งอีกต่อไป

สองชีวิตสี่คมดาบมุ่งมาดฟาดฟันเหล่าทหารพม่ารามัญล้มตายกลาดเกลื่อน เบื้องบนการยุทธหัตถียังดำเนินไปอย่างไม่มีผู้ใดเพลี่ยงพล้ำและล่าถอย

“ระวัง!”

ในจังหวะแห่งการประหัตประหารอย่างติดพัน นักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ร้องเตือนมาทางด้านหลัง ทำให้ต้องหันไปมองพร้อมดาบสุดท้ายที่ตวัดฉับเข้าลำคอของศัตรู ร่างกำยำนั้นพุ่งเข้าขวางทางธนูที่กำลังแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วและรุนแรงโดยไม่มีท่าทียำเกรงเลยแม้แต่น้อย

‘ชายผู้นี้...คิดจะปกป้องเรา...ด้วยชีวิต’

ฉึก!

ภาพสุดท้ายปลุกชายหนุ่มให้สะดุ้งตื่นจากการหลับใหล หัวใจที่เต้นแรงบวกกับความชัดเจนของภาพเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ ‘ปราณ’ แทบไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นแค่ความฝัน กระทั่งสติสัมปชัญญะปัจจุบันเข้ามาแทนที่ ค่ำคืนธรรมดาที่แสนเงียบเหงาจึงกลับมาเยือน

โคมไฟแสงนวลบนโต๊ะทำงานถูกเปิดขึ้นอีกครั้ง ร่างสูงโปร่งในชุดกางเกงนอนและเสื้อกล้ามสีขาวหย่อนตัวลงนั่ง บรรจงวางถ้วยกาแฟที่ยังมีไอละอองเบาบางล่องลอยอ้อยอิ่งส่งกลิ่นหอมกรุ่น ก่อนจะเอนหลังชิดพนักพิงอย่างผ่อนคลาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาและแววตาอ่อนโยนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

ดาวเดือนเคลื่อนคล้อยบอกให้รู้ว่านี่เป็นเวลาค่อนคืน กลุ่มเมฆบางๆ สะท้อนแสงจากพระจันทร์กลมโตดูนุ่มนวล หมู่ดาวน้อยใหญ่แข่งกันอวดแสงระยิบระยับพราวพรายทั่วผืนฟ้า ดึกดื่นป่านนี้จะมีใครตื่นอยู่รับรู้ความคิดถึงที่ส่งไปบ้างไหมนะ

ฤทธิ์คาเฟอีนช่วยขับไล่ความง่วงให้หายไปได้บ้าง ช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบเช่นนี้เหมาะที่จะนั่งเขียนนิยายเรื่องใหม่ให้จบ นิยายที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งรัก ความหวัง และการรอคอย ‘นิยายรักของเรา’

เอื้อมมือไปหยิบนิยายรักเรื่องล่าสุดจากตู้หนังสือที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ ความพิเศษที่ทำให้นี่เป็นยิ่งกว่านิยายรัก คืออารมณ์และความรู้สึกที่กลั่นจากส่วนลึกของหัวใจ เพื่อถ่ายทอดสู่หัวใจของใครอีกคน ความรักที่กรุ่นๆ รอการเปิดเผยถูกส่งไปยังผู้รับพร้อมของขวัญปีใหม่แล้ว คงต้องรอดูสักพักว่า ‘นิยายรักของเรา’ จะทำงานได้ดีเพียงใด จะเป็นเพียงนิยายรักที่เรียกรอยยิ้มจางๆ เพราะสนุกถูกใจคนอ่าน หรือจะเป็นของขวัญชิ้นพิเศษที่สำคัญพอจะแง้มประตูใจของสาวเจ้าให้เปิดกว้างรอรับไออุ่นแห่งรักที่แตกต่างไปจากเดิมของพี่ชายคนนี้ อีกครั้ง...

‘น้องปิ่นจะอ่านรึยังนะ จะรับรู้สิ่งที่พี่อยากจะบอกได้รึเปล่า’

ภาพเก่าๆ ในอดีต เมื่อครั้งยังเด็กชัดเจนแจ่มใสทุกรายละเอียดประหนึ่งเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง จุดเริ่มต้นของความใกล้ชิดผูกพันอันยาวนานจนสามารถผันเปลี่ยนความรู้สึกของชายหนุ่มให้เป็นอย่างทุกวันนี้ วันที่หัวใจอบอวลไปด้วยไออุ่นและกลิ่นละมุนแห่งรัก ดอกไม้สีสวยชูช่อสะพรั่ง อาบลมห่มน้ำค้างเฝ้าคอยเวลาที่แสงทองของวันใหม่จะฉายส่อง


‘อ้าวปราณ กำลังคิดถึงอยู่พอดี รอแป๊บนะ‘

เพื่อนใหม่เมื่อวัยเด็กกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแสดงความยินดีเมื่อ ‘เด็กชายปราณ’ เพื่อนบ้านที่เพิ่งย้ายมาอยู่ชั่วคราวในช่วงปิดเทอมแวะมาหาที่บ้าน ‘เด็กชายปณิธาน’ หรือ ‘ปอนด์’ กระโดดขึ้นจากสระว่ายน้ำและวิ่งปร๋อเข้าบ้านไป รอยเท้าขนาดกลางของเด็กชายวัยสิบสองปีพาน้ำเลอะพื้นเป็นทาง ‘คุณรำเพย’ ผู้เป็นมารดาอ้าปากจะห้ามแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ดวงหน้าอิ่มและแววตาอบอุ่นเปลี่ยนเป็นยิ้มขำเมื่อสังเกตเห็นมือข้างหนึ่งของลูกชายจอมซนเหนี่ยวหัวกางเกงว่ายน้ำตัวเก่งที่ยางยืดเก่าจนยานเจียนจะหลุด

"ท่าจะรักมาก กางเกงตัวนี้‘ เธอโน้มตัววางจานขนมขบเคี้ยวบนโต๊ะหินอ่อน ใต้ชายคาศาลาร่มเย็น รับไหว้เด็กชายผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ปราณนั่งรอเพื่อนใหม่อย่างสงบ

วันนี้อากาศกำลังเย็นสบาย แดดอ่อนๆ สาดส่องผ่านกลุ่มเมฆขาวบางๆ ลงมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บ้านหลังนี้ถูกตกแต่งดูแลเอาไว้ร่มรื่นสวยงาม สมฐานะผู้เป็นเจ้าของ

‘พี่ปริม...มาเล่นทางนี้ดีกว่า‘

น้ำเสียงแจ่มใสเริงร่าของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ลูกสาวเจ้าของบ้านที่กำลังดำผุดดำว่ายในบริเวณน้ำตื้น เรียกความสนใจจากเด็กชายผู้เป็นแขกได้ไม่น้อย อดจะอมยิ้มกับความน่าเอ็นดูของเธอไม่ได้ เด็กหญิงตัวน้อยน้องสาวคนเล็กติดพ่อของปณิธานอายุประมาณหกขวบ ตาโตแก้มป่องริมฝีปากจิ้มลิ้มสีชมพูระเรื่อในชุดว่ายน้ำแบบกระโปรงสีฟ้าสด แว่นตากันน้ำสีเขียวสะท้อนแสงถูกเลิกขึ้นไปคาดไว้บนหน้าผากมนสวย เธอชื่อ ‘เด็กหญิงปิ่นปัทมา’ หรือ ‘น้องปิ่น’

‘ทางนั้นน้ำลึกนะน้องปิ่น มาเล่นทางนี้ เดี๋ยวจมน้ำ‘ ‘ปาริมา’ พี่สาวคนรองลูกติดอีกคนของ ‘คุณบุญเลิศ’ อายุเก้าขวบร้องห้ามเมื่อเห็นน้องสาวทำท่าจะว่ายออกไปบริเวณน้ำลึก ด้วยวัยที่ยังเด็กจึงไม่ใช่เรื่องยากนักที่ทั้งสามจะรักกันแน่นแฟ้นประหนึ่งว่าเป็นพี่น้องร่วมครรภ์มารดาเดียวกัน

‘ไม่เป็นไรหรอก เขาว่ายน้ำเป็นแล้ว‘ ร่างเล็กๆ พาตัวเองแหวกว่ายไกลออกไปจนพ้นบริเวณที่ขาสั้นๆ และสองเท้าน้อยๆ จะหยั่งถึง

‘อ๊า...ช่วยด้วย! ‘ ต้องร้องเสียงหลง กลืนน้ำในสระไปหลายอึก สองแขนไขว่คว้าตีน้ำป๋อมแป๋ม

‘ช่วยด้วย น้องปิ่นตกน้ำ! ’ อารามตกใจ คนเป็นพี่สาวได้แต่ยืนขาแข็งและร้องตะโกนหาคนช่วย

ในวินาทีแห่งความตื่นเต้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนั้น เด็กชายผู้มาเยือนรีบกระโดดลงน้ำไปช่วยพยุงไม่ให้เด็กหญิงตัวเล็กต้องกินน้ำในสระไปมากกว่านั้น เขาพาน้องปิ่นที่เริ่มจะคลายจากอาการตกใจเข้าฝั่งได้อย่างง่ายดาย

‘แค่ก...ยังว่ายไม่เป็นนี่นา‘ คนตัวเล็กหัวเราะร่วนจนตาหยี มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีแก้เขิน ที่แท้ที่ผ่านมาเพราะมีคนให้เกาะต่างหากจึงลอยน้ำอยู่ได้โดยไม่จม


เหตุการณ์ในวันนั้นทำให้ปราณกลายเป็นเสมือนสมาชิกอีกคนหนึ่งของครอบครัว ในทุกๆ วันหยุดยาวหรือเวลาช่วงปิดเทอม ปราณจะเดินทางจากต่างจังหวัดมาช่วยงานที่บ้านของคุณป้า และในยามว่างเขาสามารถไปมาหาสู่ที่บ้านของปณิธาน ปาริมา และปิ่นปัทมา ได้ทุกเวลา ท่ามกลางการต้อนรับที่อบอุ่นและเป็นกันเองของคุณบุญเลิศและคุณรำเพย

เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ เติบโตตามกาลเวลา โตพอที่จะหัดขี่จักรยานได้ ด้วยความซุกซนเธอมักไม่สนใจจักรยานคันเล็กสำหรับหัดขี่ของตัวเอง แต่...

‘หลีกปาย...อ๊า! ‘

จักรยานเสือภูเขาคันใหญ่ของปณิธานแหวกอากาศมาด้วยความเร็วค่อนข้างสูงโดยมีร่างเล็กๆคร่อม ขาขวาลอดช่องใต้คานกลางยื่นเท้าไปถึงบันไดซึ่งในอิริยาบถนั้นคิดว่าคงปั่นได้เพียงครั้งละครึ่งรอบ สองมือเล็กๆ จับแฮนด์เอาไว้แน่นสีหน้าและแววตาตื่นตระหนก เส้นผมนุ่มสลวยปลิวสยายตามแรงลม ความเร็วขนาดนี้ทำให้ไม่กล้าเอาเท้าแตะพื้น เกรงจะทำให้เสียหลัก ถ้าล้มลงไปคงได้เก็บเศษหินเล็กๆ ออกจากหัวเข่าเป็นแน่ ลืมเรื่องเบรกที่อยู่ใกล้ๆ มือไปเสียสนิทใจ

พื้นต่างระดับทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เด็กหญิงผู้ซุกซนหลับตาปี๋ ...สาธุเทวดาช่วยด้วยหนูยังไม่อยากตาย.. พี่ๆ ทั้งสามมองตามด้วยความเป็นห่วงแต่ก็อดหัวเราะกับท่าทางแบบนั้นไม่ได้ นี่แหละหนอผลของการไม่เชื่อฟังพี่ๆ

โครม!!

‘ฮือ...‘

‘ไม่ต้องกลัวนะ ทรงตัวดีๆ แล้วก็ปั่นไปเรื่อยๆ พี่จะพยุงไว้ไม่ล้มหรอก‘

เมื่อคันใหญ่ไม่ได้ทำให้เข็ดขยาดก็ยังต้องพยายามกันต่อไป เป็นหน้าที่ของพี่ปราณที่ต้องช่วยพยุงเพื่อฝึกการทรงตัว โดยมีพี่ปอนด์และพี่ปริมคอยให้กำลังใจอยู่ห่างๆ การหัดขี่จักรยานเป็นการพิสูจน์ความกล้าอย่างหนึ่ง กล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะตัดสินใจ บางครั้งแค่เพียงเรากล้าที่จะก้าวออกไปจากจุดที่เรายืน ความสำเร็จที่ดูเหมือนจะเข้าถึงอย่างยากเย็นก็รออยู่แค่เอื้อม

‘โอเค ไปโลด พี่ปราณห้ามปล่อยนะ‘ เด็กหญิงค่อยๆ ออกแรงปั่นช้าๆ ปรับร่างกายให้โอนอ่อนตามจังหวะการเคลื่อนไหว ให้มีแรงฝืนน้อยที่สุด หากเกิดอะไรขึ้นเชื่อว่าพี่ปราณที่กำลังประคองอยู่จะช่วยเอาไว้ได้ทัน ขึ้นนั่งบนอานคร่อมคานกลางอย่างไม่ต้องกลัวล้มแม้ขาจะแตะไม่ถึงพื้นก็ตาม ต้องแบบนี้สิถึงจะเป็นการหัดขี่จักรยานที่อุ่นใจที่สุดในโลก

‘อ๊า! พี่ปราณบ้า หลอกเขา...‘ เสียงใสๆ โวยวายลั่นเมื่อปั่นไปเรื่อยๆ โค้งไปไกลๆ และย้อนกลับมาพบว่า พี่ปราณยังยืนอยู่ ณ จุดเริ่มต้น หาได้คอยประคองอยู่ด้านหลังอย่างที่เข้าใจตลอดเวลาไม่ อยากจะกระโดดกัดหูสักทีให้หายแค้นแต่ก็ยิ้มออกเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เพราะถูกหลอกให้ลืมความกลัวจึงทำให้ขี่จักรยานเป็นแล้ว

‘เด็กน้อยของพี่...’ รอยยิ้มปริ่มใบหน้าหนุ่มเมื่อนึกถึงภาพน่ารักในอดีต วางหนังสือลงเอื้อมหยิบกรอบรูปอันเล็กบนโต๊ะทำงาน เกลี่ยนิ้วบนแก้มอิ่มของคนถูกแอบรักด้วยหัวใจคะนึงหา

++++++++++++++++++

“คุณผู้ชมคะ ขณะนี้ดิฉันกำลังยืนอยู่หลังแนวรั้วของกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งขณะนี้เริ่มมีการชุลมุนกันแล้วเมื่อทางเจ้าหน้าที่ได้เดินหน้ากดดันเพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมนั้นยอมสลายการชุมนุมค่ะ”

เสียงปืนที่ดังเป็นระยะผสานเสียงฝูงชนอื้ออึงทำให้ปิ่นปัทมาซึ่งกำลังทำหน้าที่รายงานข่าว ต้องหันรีหันขวางด้วยความตื่นตระหนก แต่ด้วยสำนึกของผู้สื่อข่าวที่ต้องการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด รายงานสถานการณ์บ้านเมืองให้ประชาชนได้รับรู้อย่างชัดเจนและตรงไปตรงมา หญิงสาวรูปร่างกะทัดรัดปราดเปรียวในเครื่องแต่งกายทะมัดทะแมงสวมหมวกและเสื้อกันกระสุน ขยับย้ายจุดยืนเพื่อเปลี่ยนมุมกล้อง

“ถอยมาอีกหน่อยครับน้องปิ่น ตรงนั้นอันตรายเกินไป”

“เทคเดียวค่ะพี่” ตะโกนบอกพี่โตช่างภาพที่แสดงความเป็นห่วงด้วยเสียงอันดังแข่งกับฝูงชน เตรียมพร้อมสำหรับการรายงานสดต่อไป แต่แล้วก็ต้องกระโดดหลบเข้าที่กำบังอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นในบริเวณพื้นที่ชุมนุมใกล้ๆ นั้น หลายคนต้องร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดเพราะโดนสะเก็ดระเบิด

เหมือนเทน้ำมันราดรดบนกองไฟ กลุ่มผู้ชุมนุมลุกฮือพุ่งตรงเข้าประทะกับเจ้าหน้าที่ทหารนับร้อยที่ตั้งแถวหน้ากระดานพร้อมโล่เดินเข้ากดดัน โดยมีปืนยาวลูกยางยิงขู่ขึ้นฟ้าเป็นระยะ

หญิงสาวที่ยังหลบอยู่ในที่กำบังให้สัญญาณช่างภาพเพื่อถ่ายเก็บภาพข่าวทั้งหมดเอาไว้ ขณะรายงานสดด้วยเสียงเปล่าสลับกับภาพที่ถ่ายได้บ้างต่อไป ไม่ว่านี่จะคือการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยหรือเรียกร้องอะไรเพื่อใครก็ตามก็ตาม แต่สถานการณ์ได้ลุกลามล่วงเลยจุดที่เรียกว่าชุมนุมโดยสงบมาแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลที่จะเดินหน้าตามจุดยืนของตนเอง สิ่งที่ตามมาอาจจะเลวร้ายเกินคาดคิด

ประชาธิปไตยคืออะไรปิ่นปัทมาไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก เพราะตั้งแต่โตมาพ่อกับแม่ก็สอนให้รู้จักเคารพสิทธิ์ของผู้อื่นพอๆ กับสิทธิ์ของตนเอง แค่เพียงไม่ใช้สิทธิ์ของตนเองอย่างเสรีจนไปล่วงล้ำหรือลิดรอนสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่นเท่านั้นสังคมไทยที่มีพื้นฐานจิตใจเอื้ออาทรอยู่แล้วก็จะสวยงามและน่าอยู่ยิ่งขึ้น แต่นี่มันอะไรกัน

“แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นค่ะ มีระเบิดถูกโยนเข้ามาท่ามกลางกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับสิบคน และตามด้วยเสียงปืนที่ยิงเข้ามาเป็นระยะ ทำให้หน่วยกู้ภัยต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อทยอยคนเจ็บส่งโรงพยาบาลค่ะ” ปิ่นปัทมารายงานข่าวเร็วปรื๋อด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณ สตรีวัยกลางคนคนหนึ่งถูกสะเก็ดระเบิดและล้มคว่ำหน้าอยู่กับพื้นท่ามกลางผู้คนนับร้อยที่วิ่งพล่านไปมา

“แย่แล้วค่ะคุณผู้ชม มีผู้บาดเจ็บเป็นผู้หญิงนอนคว่ำอยู่ที่พื้นท่ามกลางความอลหม่าน เจ้าหน้าที่กู้ภัยไม่สามารถฝ่าฝูงชนเข้ามาช่วยเหลือได้” หญิงสาวหยุดการรายงานชั่วขณะ มองซ้ายมองขวาอย่างลังเล ก่อนจะตัดสินใจแน่วแน่หันมาบอกกับผู้ชมด้วยแววตามุ่งมั่น

“แล้วดิฉันจะกลับมารายงานความคืบหน้าเป็นระยะ สวัสดีค่ะ”

“น้องปิ่น!!” ตากล้องคู่ใจร้องห้ามเสียงหลงแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างเล็กๆ ของผู้สื่อข่าวสาวคนเก่งโน้มตัววิ่งฝ่าฝูงชนออกไป เสียงปืนและลูกกระสุนที่ไม่รู้มาจากฝ่ายไหนปลิวว่อนไปหมด ก่อนจะพยุงกึ่งแบกผู้บาดเจ็บเข้าสู่ที่กำบังได้อย่างหวุดหวิด หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งพิงกำแพง หายใจหอบถี่ด้วยความตื่นเต้น รอยยิ้มอิ่มใจพราวพรายบนใบหน้าชื้นเหงื่อ หากเพียงเธอตัดสินใจช้าไปกว่านี้อีกสักนิด เหยื่อผู้น่าสงสารของการเรียกร้องประชาธิปไตยอาจจะไม่มีลมหายใจอยู่เพื่อชื่นชมภาพแห่งความสงบสุข อันหวังว่าจะเกิดขึ้นได้ในเร็ววันนี้อีกครั้ง
และก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายต่อไป เสียงแกนนำก็ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียง เพื่อยุติการชุมนุม

“พี่ลุ้นใจหายใจคว่ำเลยน้องเอ๊ย ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

เมื่อกลับเข้าสู่สถานี พี่ๆ หลายคนวิ่งเข้ามาโอบกอดร่ำไห้กับภาพที่เห็นผ่านการรายงานสดที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ ปิ่นปัทมาเป็นคนน่ารัก เข้ากับเพื่อนๆ และพี่ๆ ทุกคนได้ดี ใครมีอะไรขอร้องหรือไหว้วาน ในฐานะน้องเล็กหญิงสาวยินดีช่วยเหลือทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เธอจะได้รับความรักและความห่วงใยจากทุกคนอย่างมากมายพอๆ กับคิวงานที่แปะเต็มกระดานรอให้กลับมาสะสางและแสดงความมีน้ำใจในแต่ละวัน

“ปิ่นอยู่ตรงนั้น ปิ่นทิ้งเขาไม่ลงหรอกค่ะ”

“โอย...เมื่อยจังเลย”

ผู้สื่อข่าวสาวสวยสะพรั่งผู้เพิ่งผ่านเหตุการณ์สุดระทึกมาเมื่อวานนี้ พาร่างบอบบางในชุดนอนกางเกงลายการ์ตูนสีฟ้าอ่อน ออกมายืนบิดขี้เกียจที่ระเบียงหลังบ้านบนชั้นสอง ดวงหน้าเรียวสวยและตาหวานซึ้งมีแววอิดโรย มืองามป้องปากหาวยาวๆ จนน้ำตาไหล หมู่นี้งานชุกจนมีเวลานอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไม่นึกเลยว่าแค่เพียงอายุยี่สิบสองปีก็ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบมากมายถึงเพียงนี้

สายลมเอื่อยแผ่วพาความเย็นยามเช้าที่ยังหลงเหลืออยู่กระทบใบหน้า ปอยผมสีน้ำตาลเข้มปลิวสยายสะท้อนแสงแดดที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้าเป็นสีทองเรื่อเรือง รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาบ้างแต่ก็มิอาจขับไล่ความง่วงสะสมให้หมดไปได้ในทันที ผีเสื้อสีสวยโผผินหยอกล้อเล่นกันตรงพุ่มไม้ดอกที่เลื้อยเป็นเครือบนซุ้มโครงไม้ระแนงสีขาวสูงท่วมศีรษะในสวนหย่อมใกล้ๆ เรียกรอยยิ้มจางๆ ให้ปรากฏที่มุมปากสวย ริมผีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อตามธรรมชาติ ไร้การฉาบแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมใดๆ

มองชิงช้าไม้ตัวเก่าสีซีดที่สงบนิ่งอยู่ใต้ต้นฉำฉาก็อดนึกสงสารไม่ได้ นานแล้วที่ไม่มีเวลาสนใจเพื่อนเก่าเมื่อเยาว์วัย ปล่อยให้รอคอยอย่างอ้างว้างตากแดดตากฝนจนสีซีด ..

รอก่อนนะเจ้าชิงช้าไม้ รอให้ปิ่นสะสางงานที่กองท่วมหัวให้เสร็จสิ้นไปก่อน แล้วจะหาเวลาหยุดยาวมานั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อน ระลึกความหลังให้สบายใจไปเลย..

‘เหวอ...แกว่งสูงขนาดนี้ น้องปิ่นกลัวมั้ย‘ พี่ปราณที่ดูสูงเก้งก้างเพราะกำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่น เอ่ยถามพร้อมออกแรงแกว่งชิงช้าให้สูงขึ้น

‘สูงอีกก็ได้เขาไม่เห็นกลัวเลย ฮ่าๆๆ‘ เมื่อสองมือยึดแน่นที่เชือกสองข้างและนั่งอย่างมั่นคงก็ไม่เห็นจะต้องเกรงกลัวอะไร ถึงยังไงพี่ปราณก็ต้องกลัวทำปิ่นตก คงไม่กล้าไกวแรงหรอกน่า

‘ไม่กลัวใช่มั้ย นี่แน่ะ‘

‘อ๊า...กลัวแล้ว...‘

‘พี่ปราณบ้า’ รอยยิ้มกว้างขึ้นจนเห็นฟันซี่สวยเมื่อนึกถึงภาพเก่าๆ ครั้งยังเด็ก พี่ปราณคือเพื่อนและพี่ชายที่แสนดีเสมอมา แม้กาลเวลาจะทำให้หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่อุ่นๆ อยู่ในหัวใจเสมอนั่นคือ ความเอ็นดูและปรารถนาดีที่พี่ปราณมีให้ นี่ถ้าได้ดูข่าวการชุมนุมเมื่อวานนี้มีหวังได้โทรมาบ่นจนหูชากันไปข้างแน่ๆ

ผีเสื้อสีสวยคู่นั้นบินขึ้นมาวนเวียนหยอกเย้ารอบๆ ตัว ดังจะชื่นชมดอกไม้งามอีกดอกหนึ่งที่เพิ่งแย้มกลีบเบ่งบานรับแสงอรุณ เรียกความสดชื่นให้ตื่นจากหลับใหลขับไล่ความเมื่อยล้าและง่วงเหงาหาวนอนให้สิ้นไป นี่เป็นมุมเล็กๆ ของธรรมชาติที่สดชื่นซึ่งหาได้ค่อนข้างยากในเมืองใหญ่

รอยยิ้มแจ่มใสมีอันต้องหุบลงเมื่อเสียงวุ่นวายบนท้องถนนจากฝั่งหน้าบ้านดังแว่วมา ซึ่งมากพอจะกลบกลืนอารมณ์สุนทรีย์ท่ามกลางธรรมชาติยามเช้าให้หมดสิ้นไปโดยง่าย

“เฮ้อ... อยากหยุดพักยาวๆ สักเดือน จะนอนให้อิ่มไปเลย ทำไมชีวิตของแกมันวุ่นวายจังเลยนะปิ่นเอ๊ย”

ตัดพ้อออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะหันหลังเดินเข้าห้อง คว้าผ้าเช็ดตัวเตรียมอาบน้ำเพื่อออกไปเผชิญมลพิษและความวุ่นวายของสังคมเมืองอีกครั้งในวันนี้ เหลือบมองนิยายรักเล่มน้อย ของขวัญปีใหม่จากพี่ปราณที่เพิ่งแกะกล่องแต่ยังไม่มีโอกาสได้อ่านแล้วต้องถอนใจเบาๆ เกือบหนึ่งเดือนเต็มที่พี่ปราณให้มา แต่เธอยังไม่ได้อ่านเลย ดูจากคำนำพอจะรู้ว่าเป็นนิยายที่ตั้งใจเขียนจากความรู้สึกเพื่อบอกบางสิ่งกับใครบางคน ซึ่งก็พอจะรู้ว่าเป็นใคร แต่...รอก่อนนะแล้วคนสวยจะมาอ่านให้ได้ในเร็ววัน

หญิงสาวชะงักเท้าเมื่อเสียงโทรศัพท์สายแรกของวันนี้ดังขึ้น คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าทันใด เอ๊ะ..ทำไมวันนี้พี่โตโทรมาแต่เช้าเชียว หันขวับไปมองนาฬิกาบนฝาผนัง ...นี่มันยังหกโมงเช้าอยู่เลยนี่นา...

“ว่าไงนะคะพี่โต...ได้ค่ะ ปิ่นจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

ปิ่นปัทมารีบอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็วหลังจากวางสายของพี่โต ช่างภาพคู่ใจที่โทรมาบอกว่าวันนี้มีเหตุเร่งด่วนต้องออกไปทำงานกันอีกแล้ว เนื่องจากทีมข่าวอีกทีมหนึ่งที่รับผิดชอบข่าวการค้ายาเสพติดได้หายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้ ทางสถานีจึงมอบหมายเขาและเธอออกปฏิบัติหน้าที่แทน


“หลังจากที่สายข่าวรายงานเข้ามาว่าจะมีการส่งมอบยาบ้าจำนวนหลายพันเม็ดในบริเวณพื้นที่คลองเจ๊ก อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ทีมข่าวของเราก็ได้เกาะติดสถานการณ์อย่างใกล้ชิดไปพร้อมๆ กับทีมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งในขณะนี้สถานการณ์ได้รุนแรงขึ้นอีกเมื่อเป้าหมายจวนตัวหมดทางหลบหนีและได้จับผู้สื่อข่าวพร้อมช่างภาพของเราเป็นตัวประกัน ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ล้อมพื้นที่เอาไว้ทั้งสี่ด้านแล้วค่ะ”

“ออกมามอบตัวซะเถอะ โทษหนักจะได้กลายเป็นเบา ผมสัญญาว่าจะให้ความเป็นธรรมกับคุณอย่าทำแบบนี้เลย”

เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งพยายามเกลี้ยกล่อมเป้าหมายซึ่งได้กลายเป็นคนร้ายเต็มตัวแล้วด้วยเสียงอันดังผ่านทางโทรโข่ง หลังจากที่ตำรวจกรูกันเข้าแสดงตัวหมายควบคุมตัวพ่อค้าขายผักที่กำลังเข็นรถขนผักเพื่อนำไปส่งให้กับแม่ค้าที่ตลาดสด ด้วยความตกใจ พ่อค้าที่ถูกหมายมั่นว่าเป็นผู้ร้ายค้ายาบ้าจึงวิ่งหนีเข้าไปในตรอกซอกซอย ก่อนจะฉวยปืนเด็กเล่นซึ่งมองไกลๆ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่านั่นคือปืนปลอม เมื่อทีมผู้สื่อข่าวจากสถานีเดียวกับปิ่นปัทมาวิ่งสวนทางเข้ามาพอดีจึงถูกจี้บังคับให้ตามเข้าไปในโกดังเพื่อเป็นตัวประกัน และนั่นคือสาเหตุที่ปิ่นปัทมาจะต้องมาทำหน้าที่แทนในวันนี้

“ความเป็นธรรมยังงั้นเหรอ...ถุย!...ถ้าโลกนี้ยังมีความเป็นธรรม พ่อค้าขายผักหากินไปวันๆ อย่างกูคงไม่ต้องถูกไล่ล่ายิ่งกว่าอาชญากรแผ่นดินขนาดนี้หรอกโว้ย ทีไอ้พวกปล้นบ้านโกงเมือง ทำไมมึงไม่ไปจับ หรือพวกมึงไม่มีปัญญาวะ”

เสียงตะโกนก่นด่าด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นหยามเหยียดดังออกมาจากโกดังสังกะสี ราวกับไม่ได้สำนึกว่ากำลังทำผิดเลยแม้แต่น้อย นี่สังคมไทยเสื่อมทรามขนาดนี้แล้วหรือ ถ้าการค้ายาบ้าและจับผู้บริสุทธิ์เป็นตัวประกันไม่ใช่เรื่องที่ควรละอาย สามัญสำนึกของผู้คนไม่ได้บอกว่านี่คือการกระทำที่เลวร้าย ประเทศนี้คงไม่สามารถเจริญทัดเทียมอารยประเทศได้อีกแล้ว อย่าเลยแม้แต่จะเพียงฝัน

“มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากัน ใจเย็นๆ”

“ไม่ต้องพูดมาก ส่งตัวคุณปิ่น เข้ามาคุยกับกู”

“ปิ่นไหนล่ะที่นี่ไม่มีใครชื่อปิ่นหรอกนะ” เจ้าหน้าที่ตำรวจพยามบ่ายเบี่ยงอย่างนุ่มนวลที่สุด คนร้ายมีผู้สื่อข่าวสองคนเป็นตัวประกันคงไม่สามารถบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปในตอนนี้ได้ แม้จะถูกหยามศักดิ์ศรีอย่างร้ายแรงสักเพียงไหน แต่ถ้าผู้รักษากฎหมายไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุขุมรอบคอบ แล้วจะทำให้ประชาชนอุ่นใจที่ได้ฝากชีวิตเอาไว้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองได้ยังไงกัน ระหว่างนี้คงต้องช่วยกันคิดหาทางคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็วที่สุด โดยไม่ให้มีใครต้องสูญเสีย

“ปิ่นปัทมาที่เป็นนักข่าวไง โง่รึเปล่าไม่รู้จักคุณปิ่นปัทมา”

“ปิ่นอยู่นี่ค่ะสารวัตร” ปิ่นปัทมาและพี่โตตรงเข้าแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่ออาสาเข้าไปเกลี้ยกล่อมคนร้าย จากน้ำเสียงและสรรพนามที่ใช้เรียกชื่อเธอ หญิงสาวคิดว่าน่าจะช่วยพูดให้คนร้ายยอมมอบตัวได้ หรืออย่างน้อยก็อาจจะช่วยทำให้สถานการณ์เลวร้ายน้อยที่สุด และจะได้ถือโอกาสเข้าไปดูว่าเพื่อนร่วมงานที่ถูกจับเป็นตัวประกันเป็นอย่างไรบ้าง

หญิงสาวสวมเสื้อกันกระสุนและสวมทับด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตอีกชั้นหนึ่งตามที่สารวัตรแนะนำ ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูและเดินเข้าไปข้างในพร้อมๆ กับพี่โตที่ไม่ยอมให้เธอเข้าไปเผชิญชะตากรรมตามลำพัง

“หนูปิ่น ช่วยลุงด้วย…”
แล้วหญิงสาวก็ต้องแปลกใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ร้ายค้ายาบ้า ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีเศษเนื้อตัวผอมเกร็ง ผมเกรียนผิวคล้ำและกร้านแดด สวมเสื้อยืดคอกลมสีเขียวของแถมยาฆ่าแมลงยี่ห้อหนึ่ง กางเกงขายาวสีดำสีหมองซีดจนกลายเป็นสีเทาพับปลายขาหนีความชื้นแฉะ รองเท้าคีบที่ผ่านการใช้งานจนพื้นบางเจียนจะขาด คนร้ายที่เธอต้องเกลี้ยกล่อมให้มอบตัวกำลังนั่งลงคุกเข่าพนมมือ ละล่ำละลักขอความช่วยเหลือด้วยเนื้อตัวสั่นเทา เธอพอจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเห็นลุงคนนี้เข็นผักขายที่ตลาดตั้งแต่จำความได้

“ใจเย็นๆ ค่ะลุง ทุกปัญหามีทางออกนะคะ”

ปิ่นปัทมาโน้มตัวพยุงคนที่กำลังตัวสั่นขึ้นนั่งบนลังไม้ซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ เหงื่อเม็ดโป้งผุดพรายชื้นใบหน้า ทีมข่าวที่ถูกจับเป็นตัวประกันไม่มีใครได้รับอันตราย ตรงกันข้ามทั้งสองกลับกำลังช่วยกันหว่านล้อมให้ชายผู้นี้ยอมมอบตัวสู้คดี หากเป็นผู้บริสุทธิ์จริงย่อมต้องได้รับความเป็นธรรมอยู่แล้ว แต่คุณลุงกลับไม่ยอมรับแนวคิดนี้ เพราะจากตัวอย่างหลายต่อหลายคดี ผู้ต้องหาที่ถูกตัดสินจำคุกนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ การมียาเสพติดร้ายแรงอยู่ในครอบครองแม้จะด้วยความไม่ได้ตั้งใจโทษของมันก็รุนแรงมาก หรือเมื่อคดีถึงที่สุดในชั้นศาลแล้วจะไม่ถูกลงโทษใดๆ แต่สำหรับชาวบ้านตาดำๆ ที่หาเช้ากินค่ำไปวันๆ ก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว การมีคดีความต้องขึ้นโรงขึ้นศาลย่อมเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสเหลือเกิน

“ดูท่าจะอับจนหนทางจริงๆ ล่ะน้องปิ่น พี่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง พูดยังไงแกก็ไม่ยอมมอบตัว อยากจะคุยกับน้องปิ่นคนเดียว” พี่แมว ผู้สื่อข่าวหญิงผู้กลายเป็นตัวประกันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“เงียบเถอะน่า!”

“โธ่ลุงเอ๊ย...หนูรู้ตั้งนานแล้วว่าปืนปลอม ที่ยอมอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากให้ลุงถูกตำรวจยิงตาย” หญิงสาวแผดเสียงโต้กลับอย่างเหลืออด นี่คุยกันมาตั้งนานสองนานตาลุงคนนี้ยังคิดว่าเธอกลัวปืนปลอมของแกอยู่อีกหรือ อ้าปากจะต่อว่าให้สาสมที่ไม่เห็นความหวังดี แต่ก็ต้องสลดเมื่อเห็นท่าทางสิ้นฤทธิ์ของผู้ร้ายค้ายาบ้ากำมะลอ

“ผม...ขอโทษ...ผมกลัว...”

แล้วความน่าเห็นใจสงสารก็พร่างพรูจากปากของพ่อค้าขายผักผู้เคราะห์ร้าย ตลอดชีวิตนี้แม้จะยากจนต้องทำงานปากกัดตีนถีบแต่ก็ไม่มีเลยแม้สักวินาทีที่คิดจะหากินด้วยวิธีสกปรก เพราะนั่นคือสิ่งที่ ‘คนดี’ ควรจะเป็น และมันทำให้เขาสามารถอบรมสั่งสอนลูกหลานได้อย่างไม่รู้สึกกระดากหรือละอายใจ วันนี้ที่ถูกล้อมจับก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีใครซุกยาบ้าเอาไว้ในรถเข็นผัก ความตกใจทำให้เหตุการณ์ล่วงเลยมาเป็นแบบนี้ และคนเดียวที่เขานึกถึง หวังว่าจะยื่นมือเข้ามาช่วยให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ร้ายๆ ในวันนี้ได้ก็คือปิ่นปัทมา ผู้สื่อข่าวน้ำใจงามที่เขาชื่นชม ติดตามผลงานมาโดยตลอดคนนี้นั่นเอง

“ลุงใจเย็นๆ นะคะ ค่อยๆ คิดว่าจะทำยังไงต่อไป หนูเชื่อลุงนะ” ปิ่นปัทมาลอบถอนใจแผ่วเบา มือเล็กเกาะกุมมือกร้านนั้นมาบีบเบาๆ เพื่อส่งกำลังใจ พลางนึกหาทางออกสำหรับเหตุการณ์ในวันนี้ ถ้าหากชายผู้นี้ยอมมอบตัวก็ยังไม่แน่นักว่าสู้คดีแล้วจะรอด ทำยังไงดีนะ...คิดสิปิ่นคิดสิ....

“แล้วพวกตำรวจล่ะน้องปิ่น มียาบ้าเยอะขนาดนี้ไว้ในครอบครอง มีหวังลุงแกติดคุกตลอดชีวิตแน่ๆ เลย”
“มันต้องมีทางสิ...”

+++++++++++++++++++

“ผมหิว!”
เสียงตะโกนออกมาจากในโกดัง ทำให้ตำรวจที่เฝ้ารออยู่ข้างนอกตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้ง ปลายกระบอกปืนนับสิบชี้ไปที่ประตูโกดัง สารวัตรมองหน้าลูกน้องคนสนิทพยักหน้าน้อยๆ อย่างรู้กัน

“ได้ๆ ใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจะให้เด็กเอาเข้าไปให้ แต่ปล่อยคนออกมาสักคนได้มั้ย” เมื่อมีโอกาสสารวัตรก็ต่อรองทันที แม้ความหวังจะมีน้อยแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไป หากที่สุดแล้วต้องตัดสินใจใช้ความรุนแรงลงไป นั่นก็เป็นหนทางสุดท้ายหลังจากได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว

“ตกลง”

“ขอบคุณมาก คุณทำดีแล้ว รอสักครู่จะให้คนเอาอาหารเข้าไป” นายตำรวจหนุ่มใหญ่ยิ้มน้อยๆ เมื่อการต่อรองประสบความสำเร็จ

ปิ่นปัทมาพร้อมช่างภาพคู่ใจคือคนที่คนร้ายตัดสินใจปล่อยตัว หญิงสาวรีบเดินออกมาบอกเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก ระหว่างที่คนร้ายตัดสินใจปล่อยตัวเธอ ช่างภาพอีกคนที่ติดอยู่ข้างในตัดสินใจต่อสู้ และเหตุการณ์กำลังชุลมุนกันอยู่ข้างใน ระหว่างที่ถอยออกมาพี่โตก็ได้ยกกล้องขึ้นบ่าถ่ายภาพเหตุการณ์ไว้เป็นระยะ

“รีบเข้าไปช่วยข้างในเถอะค่ะสารวัตร ปิ่นไม่เป็นไร”

และเมื่อตำรวจกรูกันเข้าไปก็พบว่า ผู้สื่อข่าวหญิงถูกมัดมือติดเสาเอาไว้ ส่วนช่างภาพสองคนนอนคว่ำอยู่บนพื้น ไร้เงาของผู้ร้ายค้ายาบ้าคนนั้น

“น้องปิ่นอยู่ไหน...เห็นน้องปิ่นมั้ยครับสารวัตร” โต ที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ มอซอยันกายลุกขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือยกมือลูกศีรษะป้อยๆ กวาดสายตาไปทั่วบริเวณ แต่ก็ไม่มีวี่แววของนักข่าวคู่ใจ

“อ้าว แล้วคนที่ออกไปเมื่อกี้นี้ล่ะ” สารวัตรร้องถามด้วยความสงสัยก่อนสบถออกมาเบาๆ เมื่อรู้ตัวว่าถูกผู้ร้ายหลอกเอาเสียแล้ว

หญิงสาวนั่งแท็กซี่จากมาลำพังบนทางด่วนด้วยหัวใจพองโตเมื่อนึกถึงวีรกรรมที่ได้ทำไปเมื่อสักครู่ คนขายผักเคราะห์ร้ายซึ่งปลอมตัวเป็นพี่โตได้ลงจากรถไปแล้ว และคงต้องหาทางเอาตัวรอดโดยการหลบลี้หนีหน้าไปสักพัก หรืออาจต้องย้ายที่ทำมาหากินใหม่ บทเรียนในวันนี้สอนให้เขาได้รู้ว่าอย่าไว้ใจทางอย่าวางใจคน โชคดีที่คนอยู่ในเหตุการณ์วันนี้คือเธอไม่เช่นนั้นลุงขายผักคงต้องติดคุกหัวโตเป็นแน่

เอื้อมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายมาถือไว้ คงต้องรออีกสักพักแล้วค่อยโทรไปบอกพี่ๆ ที่สถานีว่าคนร้ายได้ปล่อยตัวแล้วจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง และเธอคงต้องตีสีหน้าให้แนบเนียนเพราะทางตำรวจคงต้องเรียกตัวไปให้ปากคำและลงบันทึกประจำวัน

‘เอาน่ะปิ่นปัทมา วันนี้เธอได้ช่วยผู้บริสุทธิ์ไว้ตั้งคนนึงนะ...’

++++++++++++++++++++++++++




ไอรายา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2554, 15:56:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2554, 15:56:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 2938





   ตอนที่ 1 สายใยแห่งรัก >>
ปลาวาฬสีน้ำเงิน 13 พ.ค. 2554, 21:32:45 น.
ดีใจจัง ได้อ่านอีกครั้ง มาอัพเร็วๆ นะคะ ยังติดตามเหมือนเดิมค่ะ Rewrite แล้ว คงเข้มข้นกว่าเดิม นิ


ปูสีน้ำเงิน 14 พ.ค. 2554, 00:11:53 น.
ช่วยผู้บริสุทธิ์กับหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวนี่ระยะห่างกันแค่เส้นยาแดงเลยนะยัยปิ่น


ปิลันธน์ 14 พ.ค. 2554, 01:40:44 น.
^________^ รอลุ้นค่ะ


ไอรายา 14 พ.ค. 2554, 10:01:58 น.
สนพ.นี้ บก.ใจร้ายมากครับขอบบอก
แต่ก็รักนะ จุ๊บๆ ^^

ปลาวาฬสีน้ำเงิน
ถ้าเคยอ่านเวอร์ชั่นเก่าจะเห็นว่ามีตัดออกและเขียนใหม่เยอะเลยครับ ถึงจะไม่ดีเลิศ แต่ก็เป็นความพยายามสูงสุด ณ เวลานี้ หวังว่าจะไม่เลวร้ายเกินไปในสายตาผู้อ่านครับ (ต้องบอกมั้ยว่า มันเป็นนิยายที่ต้องค่อยๆ อ่านนะ อ่านไวจะไม่ได้อะไรเลย ^^)

ปูสีน้ำเงิน
มันเป็นความสามารถพิเศษของนักข่าวครับ ^^

ปิลันธน์
ไม่ขำแล้วนะเจ๊เวอร์ชั่นนี้ จัดปาย ^^

ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจครับ
อ้อๆ ปกๆ ไม่รู้ว่าแปะยังไง แปะลิงค์ไว้ละกันนะครับ
http://a7.sphotos.ak.fbcdn.net/hphotos-ak-snc6/231060_197639636946109_100001002211355_493323_1598364_n.jpg


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account