คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก

ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที

เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ

อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป

ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)

มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...

...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...

หรือว่า

...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...

หรืออาจเป็นเพรา

...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...

หรือจริงๆแล้ว

...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...

หรือลึกลงไป

...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...

หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า

...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...

หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า

...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...

ทั้งๆที่จริงๆแล้ว

...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...

หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า

...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...

แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...

เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...


Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ

ตอน: ยกนำ...ปริศนาปลาดาว

บทนำ

ปริศนาปลาดาว

วายุ อาทิตยะ นักธุรกิจหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความใฝ่ฝัน
รักในการผจญภัยและความท้าทาย อดีตทำให้เขากลายมาเป็นชายหนุ่ม
ที่ตั้งมั่นเพื่อจะเดินตามความฝัน อยากจะไปยังเส้นขอบฟ้าที่ครั้งหนึ่งเขาเคยขีดมันเอาไว้
เพื่อว่าเขาและเธอจะได้เจอกัน
และวันนั้นเขาจะได้เจอกับน้องรหัสที่น่่ารักของเขาอีกครั้งอย่างที่เธอ
ได้สัญญากับเขาเมื่อสิบปีก่อนว่าเธอจะไปให้ถึงเส้นนั้น…

แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แม้ว่าวันนี้เขาจะสูญเสียน้องสาว
ที่คลานตามกันมาไปถึงสองคน เสียมารดาอันเป็นที่รักไปแล้วก็ตาม

ทว่า เขากลับเชื่อมั่นว่าเธอจะไปหาเขาตรงเส้นนั้น…

ด้วยรักและศรัทธาจึงทำให้เขามั่นอกมั่นใจว่าเธอยังมีชีวิตอยู่…
แล้ววันนี้เวลานี้เขาสามารถบินมาถึงเส้นที่เขาขีดไว้สำเร็จแล้ว
เขามีบริษัททัวร์เป็นของตัวเองแล้ว เขาสามารถทำตามความใฝ่ฝัน
ที่อยากจะพาผู้คนท่องเที่ยวไปในโลกกว้างได้สำเร็จแล้ว…

แล้วเธอล่ะ เธออยู่ที่ไหน เขายังหาเส้นที่เธอบอกว่าจะขีดไว้ข้างๆเขาไม่เจอเลย
ชายหนุ่มหยิบภาพถ่ายหมู่ที่เคยถ่ายไว้เมื่อตอนที่เรียนอยู่ที่
มหาวิทยาลัยก่อนจะยิ้มให้กับมันด้วยความชื่นใจ
แว่วได้ยินเสียงเพลงไก่ย่างพร้อมท่าเต้นของทุกคนในวันนั้น
ก่อนจะยกมือแตะลงตรงตำแหน่งที่น้องรหัสนั่งยิ้มร่าเริงสดใสอยู่ข้างๆเขา

ทุกวันนี้เขายังรักและคิดถึงเธออยู่เสมอ ความรักที่เขามีให้เธอมันคือ
ความรักบริสุทธิ์ที่เขาไม่เคยมีให้หญิงใดนอกจากมารดาและน้องสาว
ความรักความผูกพันในครั้งนั้นมันมีแต่ความหวังดี ปรารถนาดี
จวบจนวันนี้มันก็ยังอยู่อย่างนั้นอยู่ท่ีเดิมเหมือนภาพของเธอที่ยังคง
แจ่มชัดอยู่ในความทรงจำเสมอมา ก่อนกระตุกยิ้มเมื่อมองไปยัง
ภาพหญิงสาวอีกคนที่ยืนยิ้มอยู่ตรงด้านหลังของเขา หญิงสาวที่ถูกจับ
แต่งตัวให้กลายเป็นแม่ไก่บูชายัญด้วยกลอุบายของเขา…
ชายหนุ่มนั่งมองภาพนั้นอยู่นานก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตู
ห้องทำงานของเขาที่มองจากตรงหน้าต่างที่ยืนอยู่ก็จะเห็นท้องทะเลสีคราม

“มีจดหมายมาถึงคุณลมครับ”เสียงเลขาของเขาเอง ชายหนุ่มพยักหน้าเบาๆ
ก่อนจะวางกรอบรูปถ่ายนั้นเอาไว้ที่เดิม แล้วหันมาถาม

“เรื่องที่ให้ไปสืบ ไปถึงไหนแล้ว”ชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งอายุราวๆ
ยี่สิบปลายๆมองหน้าเจ้านายนิ่งก่อนจะยื่นบางอย่างไปให้คนที่รอคำตอบอยู่
วายุรับมาพร้อมกับก้มมองด้วยแววตาครุ่นคิด

“ผมว่่าคำตอบมันน่าจะอยู่ในโปสการ์ดใบนี้แล้วนะครับ หรือเจ้านายว่าไง”
น้ำเสียงและท่าทางสุภาพ หากแววตากลับวาววับ
ด้วยรอยยิ้มที่วายุเองพอจะเดาออกว่านี่คือข่าวดี…

“งั้นผมขอตัวนะครับเจ้านาย”เลขาหนุ่มหน้าหวานอารมณ์ดีโค้งนิดนึง
ก่อนจะเดินไปยังประตูห้อง แต่ก็ยังทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงสุภาพหากแฝงแววขี้เล่นว่า

“หลายปีที่ตามหาเธอ มันทำให้ผมอยากเจอเธอขึ้นมาแล้วสิครับ
หวังว่าเจ้านายจะกรุณา”

“ทะลึ่ง! ไปทำงานของแกได้แล้ว”วายุตวาดด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มร่า

“ผมก็แค่อยากรู้ว่่าคนที่ปั่นหัวเจ้านายคนเก่งของผมได้นั้น จะหน้าตาเป็นยังไง"

ใช่…เพราะเขาเห็นเจ้านายของเขาหัวหมุนกับการตามหาเธอคนนั้น
ตามสถานที่ที่ระบุในแสตมป์ของโปสการ์ดเหล่่านั้นมาหลายปี
แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว…

“ไอ้วาที!”เสียงคำรามในลำคอกับหน้าดุๆนั่นไม่ได้ทำให้คนเป็นลูกน้องสะท้าน
แต่ที่กลัวคือลูกหลงที่จะตามมาต่างหาก
แล้วคนรู้ใจเจ้านายอย่างเขาจะอยู่ให้ถูกเตะไปทำไม…

“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือขี้ข้ายังมีเจ้านาย เหนือหัวควายยังมีเขานะครับพี่ลม”
เสียงหัวเราะดังออกมาพร้อมกับเสียงประตูห้องที่ปิดลง

วายุส่ายหน้าปลงๆ ไม่น่าเอาไอ้วาที สายรหัสสุดแสบตอนเรียนมหาวิทยาลัย
มาเป็นเลขาให้เลย…แต่ถึงจะแสบยังไงก็คงไม่ถึงครึ่งนึงของน้องรหัสของเขาเป็นแน่
เพราะถึงตอนนี้ยังมีปริศนาคาใจอยู่แค่เรื่องเดียวที่เป็นความหวังว่าเธอยังไม่ตาย
นั่นก็คือโปสการ์ดเหล่านี้

วายุก้มลงหยิบกล่องกระดาษสีฟ้า ซึ่งเป็นสีที่เขาโปรดปรานที่สุด
แล้วค่อยๆเปิดออก เผยให้เห็นโปสการ์ดเกือบร้อยใบ
ที่เขาได้รับในช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ทุกๆสถานที่ในนั้นมันไม่ซ้ำกันเลย
บางที่อยู่กันคนละประเทศ คนละทวีปด้วยซ้ำ

จนเขาไม่รู้ว่าจะตามหาเจ้าของโปสการ์ดเหล่านี้ได้ที่ไหน…

แต่เหมือนแสงสว่างได้ส่องทางลงมา เพราะโปสการ์ดใบสุดท้ายในมือ
โปสการ์ดรูปดอกราชพฤกษ์สีเหลืองอร่าม ที่เขียนไว้ด้านหลัง
ด้วยตัวอักษรที่พิมพ์เป็นภาษาไทยสั้นๆแต่ได้ใจความว่า ‘รูปปั้นนางเงือก’
และเหมือนความทรงจำต่างๆได้ไหลพร่างพรูออกมา

ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบวิ่งออกจากห้องทำงานทันที
ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารูปป้ันนางเงือก แล้วนั่งลงตรงโขดหิน
ที่ครั้งหนึ่งเขาและน้องรหัสเคยมานั่งมองเส้นขอบฟ้าด้วยกัน

เพราะความเหนื่อยที่ต้องขับรถมาไกล ทำให้ชายหนุ่มเหลียวมองไปรอบๆกาย
ก่อนสูดเอาอากาศเย็นสบายเข้าเต็มปอด บรรเทาความล้าออกไปได้บ้าง
เขาไม่แน่ใจว่าจะเจอเจ้าของโปสการ์ดที่นี่รึเปล่า

แต่ที่ที่มีรูปปั้นนางเงือกในความทรงจำของเขา นอกจากที่นี่แล้วก็ไม่มีที่ไหนอีก
วายุทอดสายตาเหม่อมองไปยังตรงเส้นขอบฟ้าไกล
แล้วก็ต้องถอนใจออกมา นานแค่ไหนไม่รู้ที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น
นั่งนึกถึงความหลังครั้งยังเป็นเด็กหนุ่มวัยคะนอง

เสียงฝีเท้าด้านหลังทำให้ชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ก่อนจะหันไปมองที่มาของเสียง
แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวนัยน์ตาชวนฝันตรงหน้า
แล้วดูเหมือนเธอเองก็คงแปลกใจไม่ต่่างจากเขานัก
เพราะเขาเองไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเช่นกันว่าจะมีโอกาสได้มาเจอ
เธอที่นี่หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

“สวัสดีค่ะคุณวายุ”หญิงสาวหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณผุดผ่อง สดใส
อยู่ในชุดเรียบร้อยทักทายคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ดูเป็นทางการเกินไปสำหรับคนฟัง ทว่าแววตามีแต่ความสงสัยปนความรู้สึกไม่พอใจ
อะไรบางอย่าง บางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ว่ามันคืออะไร…

“สวัสดีปองขวัญ ไม่เจอกันนาน สบายดีรึเปล่าครับ”วายุยิ้มที่มุมปาก

“สบายดีค่ะ และจะสบายดีมากกว่านี้ ถ้าไม่มาเจอคุณที่นี่”
วายุลอบถอนใจ วันเวลาหรือความขุ่นเคืองเรื่องใดกันหนอที่ทำให้
คำว่าพี่ที่เคยเรียกเขาหายไปจากหญิงสาวตรงหน้า

แล้วทุกอย่างก็เงียบไปพักใหญ่ ไม่มีใครสนใจใคร ปองขวัญนั่งลง
ตรงโขดหินอีกฟากที่ห่างออกไป วายุเองได้แต่มองความห่างเหินนั้น
ด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาเธออีกครั้งพร้อมกับนั่งลง
ใกล้ๆแล้วถามด้วยน้ำเสียงห้าวลึก

“เธอมารอใครที่นี่รึเปล่าปองขวัญ”หญิงสาวหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ
ด้วยแววตาไม่พอใจ

“ว่าไง เธอมารอนาโนเหมือนกันใช่มั้ย”คำถามนั้นฉุดดึงให้หญิงสาว
จ้องตาคมตรงหน้านิ่งด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้าแบบขอไปที
วายุลอบถอนใจ หลุบตาต่ำก่อนจะชะงักเมื่อเหลือบไปเห็นบางอย่างที่มือบางถือไว้

“จะรังเกียจมั้ยถ้าพี่จะขอเปิดดูของในกล่องนั่น”ปองขวัญก้มมอง
กล่องสีเหลี่ยมในมือตัวเอง แล้วก็เป็นอีกครั้งที่คำพูดนั้นทำให้เธอ
อดสงสัยไม่ได้ แค่มาเจอเขาในวันนี้เธอก็ว่าแปลกแล้ว
แต่คนตรงหน้ายังถามอะไรแปลกๆอีก หรือว่า…
ไม่ต้องคิดนานปองขวัญเปิดประเด็นพูดกับคนตรงหน้าพร้อมกับยื่นกล่อง
ใบนั้นไปให้เขา

“ฉันไม่รู้ว่าไอ้สิ้นกำลังเล่นอะไรอยู่ แต่ถ้ามันคือคนเดียวกับคนที่ส่งสิ่งนี้มา
ฉันก็เชื่อหมดใจว่าวันนี้ฉันต้องได้เจอเพื่อนรักของฉันแน่นอน”ปองขวัญตอบ
โดยที่สายตามองมือหนาที่กำลังหยิบโปสการ์ดที่เธอได้รับมา

ตลอดระยะเวลาสิบปี สิบปีแห่งความหวัง สิบปีที่เธอรอคอยเพื่อนกลับมา
วายุมองโปสการ์ดทุกใบในนั้นด้วยความประหลาดใจก่อนจะลุกขึ้น
วางกล่องในมือนั่นลงบนหน้าตักของหญิงสาวแล้ววิ่งออกไปจากที่ตรงนั้นทันที
ทิ้งให้หญิงสาวมองตามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเห็นเขาวิ่งกลับมาอีกครั้ง
คราวนี้คนตัวโตหอบกล่องสีเหลี่ยมเล็กๆสีฟ้ามาด้วย

“ดูนี่สิ”วายุเปิดกล่องที่เขาถือมาหลังจากที่วิ่งไปเอามันมาจากในรถ
พร้อมกับหยิบโปสการ์ดใบสุดท้ายส่งไปให้คนตรงหน้าดู
ปองขวัญตกใจ ชะงักกับสิ่งที่เห็น ก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือ
คว้าโปสการ์ดใบนั้นขึ้นมองพลิกไปพลิกมา แล้วก็ทำให้สะดุดกับอะไรบางอย่าง
ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนตัวโตที่ตอนนี้หัวคิ้วเริ่มขมวดเป็นปม

“มันหมายความว่าไงคะ” ใช่…เธออยากรู้ว่่าคนที่ส่งมันมาต้องการจะบอกอะไรเธอ
ทำไมโปสการ์ดทุกใบที่เธอได้รับถึงได้เหมือนกับของอีกคนทุกอย่าง
จะต่างกันก็แค่…ปองขวัญมองโปสการ์ดใบสุดท้ายของเธอและของเขา
พร้อมกับสังเกตสัญลักษณ์ต่างๆบนนั้นไปด้วย
วายุที่นั่งมองมันด้วยแววตาครุ่นคิด ก่อนจะโพล่งออกมาด้วยความมั่นใจว่า

“โปสการ์ดทั้งหมดนี้เป็นลายแทง”

“ลายแทง!”ปองขวัญย้ำราวกับต้องการให้อีกฝ่ายช่วยขยายความ

“ใช่…ลายแทง ไม่เชื่อเธอก็ดูนี่สิ”ชายหนุ่มคว้าแขนหญิงสาวแล้วฉุดให้นั่ง
ลงตรงพื้นหินเรียบก่อนจะหยิบโปสการ์ดแต่ละใบของเขากับของเธอ
ออกมาวางตรงหน้า แยกภาพที่เหมือนกันให้วางอยู่ด้วยกัน
ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นสัญลักษณ์บางอย่างในโปสการ์ดนั้น
แล้วคำพูดหนึ่งของน้องรหัสของเขาก็แว่วเข้ามา

‘ขอเรื่องนี้เรื่องเดียวนะคะ ส่วนเรื่องอื่นสิ้นจะบอก อยู่ที่พี่ลมจะเข้าใจสิ้นรึเปล่าก็เท่านั้น’

…วันนี้เขาเชื่อหมดใจว่าน้องรหัสของเขายังไม่ตาย เธอยังมีชีวิตอยู่
แล้วกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้…โปสการ์ดเหล่านี้คือคำตอบ…
และเขากำลังจะเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังจะบอกเขาทั้งหมด…

“นี่หมายความว่าไอ้สิ้นยังไม่ตายใช่มั้ยคะ”ปองขวัญยิ้มออกมา
ด้วยความดีใจจับมือคนตรงหน้ามากุมอย่างลืมตัว

“พี่เชื่ออย่างนั้น”ชายหนุ่มยิ้มก่อนจะก้มลงมองมือบางนั่น ปองขวัญกระชาก
มือกลับทันทีพร้อมกับก่นด่าตัวเองในใจ…ไม่น่าเผลอเลยเรา…

วายุกระตุกยิ้มก่อนจะฉีกยิ้มเข้าไปอีกเมื่อเขานำโปสการ์ดใบล่าสุด
ทั้งของเขาและของเธอมาวางชิดติดกัน ส่วนที่แหว่งตรงมุมล่างด้านขวา
ของโปสการ์ดของเขาที่เขาเคยเห็นเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
แต่พอลองสลับข้างโดยการเอามันมาวางติดกับโปสการ์ดอีกใบของอีกคน
ที่มีสัญลักษณ์คล้ายกันทุกอย่างกับของเขาต่างกันแค่ของอีกคน
มีรอยเว้าแหว่งอยู่ตรงมุมล่างด้านซ้ายเท่านั้น
ไม่น่าเชื่อว่าพอมันมาวางอยู่ชิดติดกันจะกลายเป็นรูปหัวใจไปได้…

ปองขวัญหน้าแดงเมื่อเห็นสัญลักษณ์นั่น ก่อนจะพยายามสลัดความคิด
บางอย่างทิ้งไป แต่ก็ยังคงมองมือหนาที่หยิบโปสการ์ดทุกใบของเขา
และของเธอวางซ้อนกันเรียงตามวันที่ที่ส่งมา แล้วก็ได้โปสการ์ด
ที่มีความสูงเกือบฟุต แล้วยิ่งไปกว่านั้น เมื่อนำสองกองที่ซ้อนกันมาวาง
ไว้ใกล้ๆกัน กลับเป็นรูปหัวใจดวงเล็กๆที่ค่อยๆกลายเป็นดวงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ซ้อนกันสวยงามตามวันเวลาที่เขานั่งจัดเรียง พลันนึกในใจว่่า

…คนที่ทำอย่างนี้ได้มีแค่ไอ้สิ้นคนเดียว…

“พี่เชื่อเขาเลย”วายุเปรยออกมาด้วยรอยยิ้มสุขใจ ไม่น่าเชื่อว่าน้องรหัส
ของเขาจะคิดจะทำอะไรแผลงๆแบบนี้…นี่ถ้าเขาไม่ได้มาเจอกับปองขวัญ
ในวันนี้ เขาคงต้องวิ่งวนหาเธอไปทั่วโลกเลยใช่มั้ย…

“ใช่ค่ะ ไอ้สิ้นมันบ้า บ้าที่สุด”วายุมองหน้าคนพูดที่เหมือนจะร้องไห้

“แต่เราจะเชื่อได้ไงว่าคนที่เล่นอะไรบ้าๆแบบนี้คือไอ้สิ้น”
ปองขวัญแย้งด้วยแววตาไม่แน่ใจ

ใช่…เธอไม่แน่ใจนัก เพราะถ้าเป็นเพื่อนเธอจริงๆ ทำไมถึงปล่อยให้เพื่อนร้องไห้
และก็รอคอยมาเป็นสิบปีโดยไม่บอกกล่าวหรือโทรมาหากันบ้างเลย
ว่าทำอะไรอยู่ที่ไหน วายุมองแววตาไหวระริกนั้นด้วยความเข้าใจ
ก่อนจะเอ่ยปลอบใจอีกคนว่า

“พี่ว่านาโนเขาเล่าทุกอย่างให้เราฟังในแบบของเขาแล้วนะ
ไม่เชื่อเธอก็มองโปสการ์ดพวกนี้ดูดีๆสิ”วายุคลี่โปสการ์ดออกมาทีละใบ
พร้อมกับพลิกด้านหลัง เส้นหยักๆที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยเข้าใจว่ามันคืออะไร

ทว่าวันนี้เขาเข้าใจมันหมดแล้ว มันเหมือนจิ๊กซอร์ที่รอโปสการ์ดอีกใบ
มาต่อเพื่อให้เกิดภาพและความหมาย เพราะสิ่งที่เขาเห็นเมื่อต่อมันเข้ากัน
มันคือภาพของปลาดาว ดังนั้นโปสการ์ดร้อยใบก็เท่ากับปลาดาวร้อยตัว…

“เส้นหยักที่ว่าคือปลาดาวอย่างนั้นเหรอคะ ไม่น่าเชื่อ”ปองขวัญมองเส้นหยักๆ
หลายๆสีบนขอบโปสการ์ดทุกใบที่มุมด้านซ้ายของโปสการ์ดที่เธอได้
กับมุมขวาด้านบนของรอยเว้าแหว่งนั่นของอีกคน
ด้วยความแปลกใจปนความอึ้งและทึ่งในสิ่งที่ได้เห็น

“ใช่ เธอรู้รึเปล่าว่าปลาดาวเกี่ยวข้องยังไงกับนาโน”วายุถามด้วยความสงสัย
เพราะถ้ามันเกี่ยวข้องกับน้องรหัส ก็แสดงว่าเธอยังไม่ตายแน่นอน….

และเจ้าของโปสการ์ดทั้งหมดนี่ต้องเป็นเธอ ไม่ใช่ใครอื่น…

ทว่า ปองขวัญกลับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มฝืดๆ แล้วหยิบโปสการ์ดเหล่่านั้น
ขึ้นมาดูทีละใบๆอย่างพิจรารณารายละเอียดทุกอย่างในนั้น
พร้อมกับเปรยออกมาด้วยแววตามาดมั่น เมื่อเธอเห็นอะไรบางอย่าง
บนโปสการ์ดทั้งหมด

“แต่ปองเชื่อว่าคนที่ส่งมาต้องใช่ไอ้สิ้นแน่ๆค่ะ”วายุสะดุดกับสรรพนาม
ที่หญิงสาวตรงหน้าเผลอแทนตัวเหมือนตอนวัยเรียน และแววตาแฝงความ
พอใจของคนตรงหน้าทำให้ปองขวัญรู้ว่าตนได้เผลอลืมตัวออกไปทั้งๆที่ไม่ควร
ก่อนจะรีบกลบเกลื่อนด้วยการชี้ไปยังโปสการ์ดตรงหน้าแทนพร้อมกับพูดว่า

“โปสการ์ดใบแรกคือดอกซากุระนั่นก็หมายความว่าคนที่ส่งมาอยู่ที่ญี่ปุ่น
ตามตราไปรษณีย์นี่ แล้วก็ต้องอยู่ที่เมืองนี้”ปองขวัญชี้ไปที่รหัสชื่อเมือง
ตรงตราไปรษณีย์ที่ปรากฎบนโปสการ์ดใบแรกที่เธอและเขาได้มา
เหมือนๆกัน วายุพยักหน้า เพราะเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
ไม่อย่างนั้นเขาจะส่งคนออกตามหาตามเมืองเหล่านี้หรือ…
ทว่ามันกลับคว้าน้ำเหลวทุกครั้ง…

“โปสการ์ดใบที่สองเป็นรูปดอกศรีตรัง ส่งตรงมาจากโจฮันเนสเบิร์ก
นั่นก็หมายความว่าตอนนั้นคนที่ส่งมาอยู่ที่นั่น แต่จะอยู่นานเท่าไหร่นั้น
โปสการ์ดใบที่สามน่าจะให้คำตอบได้ เพราะใบที่สามกลับมาเป็นรูปของ
ยอดภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งดูก็รู้ว่่าภาพโปสการ์ดทั้งหมดนี้คนที่ส่งมาน่าจะถ่ายเอง
เพราะมีวันเวลาที่ปรากฎอยู่ใต้รูปทุกภาพ”ปองขวัญชี้ไปยังจุดแดงเล็กๆ
ตรงภาพโปสการ์ด มันเป็นตัวเลขที่บอกวันและเวลาตอนที่ถ่ายภาพนั้นมา
ซึ่งเธอคาดว่าคนส่งน่าจะพริ้นมาจากกล้องถ่ายรูปที่ตัวเองถ่าย
ไม่ใช่ซื้อเอาตามร้านที่วางขาย เพราะโปสการ์ดที่วางขาย
จะไม่มีรายละเอียดแบบนี้ระบุไว้…

“พี่รู้ เพราะพี่ก็คิดไม่ต่างกับเธอเหมือนกัน”วายุตอบตามสิ่งที่เขาเคยคิด
มาตลอดระยะเวลาที่ออกตามหาเจ้าของโปสการ์ดเพราะหวังหมดใจ
ว่าต้องเป็นน้องรหัสของเขา แต่สิ่งเหล่านั้นมันไม่ทำให้เขาเจอเธอเลย…
นอกจากรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหนตามรูปถ่ายบนโปสการ์ดเท่านั้น…

“แต่มันก็บอกได้ว่า ไม่ว่าเจ้าของภาพนี้จะไปอยู่ที่ไหนส่วนใดของโลก
อย่างภาพที่สี่ รูปพีระมิด หรือที่กำแพงเมืองจีนหรือที่ไหนก็ตาม
แต่มันจะมีภาพที่ถ่่ายที่ญี่ปุ่นตามมาตลอด นั่นก็แสดงว่า
เจ้าของต้องอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นที่หลัก”

“ใช่ สิ่งที่เธอพูดมามันฟ้องว่าเขาทำอะไรอยู่ที่ไหน เวลาไหน
คราวนี้เธอคงเข้าใจแล้วใช่มั้ยว่านาโนเขาไม่ได้ปิดบังเธอ”ปองขวัญ
ย่นจมูกใส่คนตรงหน้าที่ยิ้มร่าจนเธอนึกหมั่นไส้

…รู้ใจกันเหลือเกิน…

“เมื่อก่อนฉันอาจจะโง่ที่ตามความคิดบ้าๆของมันไม่ทัน
ทั้งที่ทุกๆวันฉันก็อยู่กับคนเหล่านั้นมาตลอด”ประโยคหลังทำให้วายุ
หัวเราะหึๆในลำคอ ก่อนจะอมยิ้ม เพราะรู้ว่าคนตรงหน้าทำอาชีพอะไร

“แล้วสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด มันเกี่ยวอะไรกับการที่เธอคิดว่า
เจ้าของโปสการ์ดพวกนี้เป็นนาโน แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับสัญลักษณ์ปลาดาว”
วายุหยั่งเชิง เพราะเห็นคนตรงหน้าแย้งเขาเมื่อครู่

“เพราะว่าไอ้สิ้นเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้รับสร้อยไข่มุกปลาดาวนั่นมาแล้วน่ะสิคะ
ฉันจำได้ว่ามันชอบนั่งมองปลาดาวที่ห้อยอยู่ที่สร้อยข้อมือแล้วก็มีอาการ
ปวดหัวจนต้องพึ่งยา ฉันว่าปลาดาวนั่นแหล่ะตัวดี”วายุกระตุกคิ้ว
ก่อนจะขมวดมุ่นกับเรื่องใหม่ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน

“แต่ที่ทำให้ฉันเชื่อหมดใจว่าเป็นไอ้สิ้นคือโปสการ์ดใบนี้ต่างหาก”
ปองขวัญหยิบโปสการ์ดใบสุดท้ายของเธอและของคนตัวโตขึ้นมา
พร้อมกับพลิกไปยังด้านหลัง

“ซากุระคือดอกไม้ประจำชาติของญี่ปุ่น ส่วนศรีตรังหรือแจ๊กคารันดา
เป็นสัญลักษณ์ของเมืองโจฮันเนสเบิร์ก แล้วดอกราชพฤกษ์บนโปสการ์ดใบสุดท้ายนี้
ก็เป็นดอกไม้ประจำชาติของบ้านเรา นั่นก็หมายความว่าเจ้าตัวมาอยู่ที่นี่แล้วน่ะสิคะ”
วายุทึ่งกับสิ่งที่คนตรงหน้าวิเคราะห์ออกมา เพราะเขาลืมไปเสียสนิท
และคิดไม่ถึงว่าดอกราชพฤกษ์คือดอกไม้ประจำชาติไทย
แต่ที่ทำให้เขาอึ้งยิ่งกว่าคือคำพูดต่อมาของเธอ

“แล้วตราไปรษณีย์ที่ส่งมาให้ฉันมันมาจากพัทลุง ส่วนของคุณมาจากกรุงเทพฯ
มาถึงฉันและคุณในเวลาไล่เลี่ยกัน คุณคิดว่่าเจ้าของโปสการ์ดเขาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ล่ะคะ
ระหว่างพัทลุงกับกรุงเทพฯ”

“แล้วคุณมีคนรู้จักที่อาศัยอยู่ที่พัทลุงนอกเหนือจากไอ้สิ้นรึเปล่าล่ะคะ”
วายุกะพริบตา ก่อนจะกระตุกยิ้มที่มุมปากพร้อมกับพูดว่า

“นาโนอยู่ที่กรุงเทพ”ปองขวัญยิ้มออกมากับคำตอบที่เธอเองก็คาดเดาเอาไว้เช่นนั้นเหมือนกัน
เพราะที่นั่นใกล้ทุกคนที่เพื่อนเธอรู้จักที่สุด

“ฉันเชื่อว่า ลองถ้ามันไม่ได้ตั้งใจจะให้โปสการ์ดใบสุดท้ายทั้งสองใบนี้
ซึ่งเป็นของคุณและฉันบอกพิกัดที่อยู่ตอนนี้ของมันแล้วล่ะก็
มันคงเลือกส่งโปสการ์ดที่มีตราไปรษณีย์จากพัทลุงไปให้คุณแทนที่จะเป็นฉัน
เพราะคุณจะไม่มีวันแน่ใจถ้าคุณไม่ได้เห็นโปสการ์ดของฉัน
และฉันจะไม่มีวันรู้ว่ามันอยู่ที่กรุงเทพฯ หากฉันไม่ได้เห็นโปสการ์ดของคุณ
แล้วเราจะไม่รู้อะไรเลย ถ้าเราไม่มาเจอกันที่นี่”

ใช่ วายุอยากจะตอบออกไปอย่างนั้น
เพราะถ้าเขาเห็นว่าโปสการ์ดของเขามาจากพัทลุง เขาคงเชื่อหมดใจว่า
ต้องเป็นน้องรหัสของเขาแน่นอน เพราะเขาไม่เคยมีคนที่รู้จักหรือมีเพื่อนที่นั่น
นอกเหนือจากน้องรหัสของเขา…

แสดงว่า เหนือสิ่งอื่นใด น้องรหัสของเขาต้องการให้เขาเจอกับปองขวัญ
แต่จะเพื่ออะไรนั้น นั่นคือคำถามที่เขาต้องถามเธอเม่ือเจอหน้าอย่างแน่นอน

“แสดงว่าเขานัดเธอมาเจอกับพี่เพื่อบอกพิกัดงั้นเหรอ”
ปองขวัญพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ที่วันนี้เธอรู้แล้วว่าเพื่อนยังไม่ตาย
แต่เพื่อนของเธออยู่ใกล้ๆพวกเธอนี่เอง…ใช่…ใกล้…แล้วที่ไหนล่ะ…

“กรุงเทพฯถึงแม้จะเป็นเมืองเล็ก แต่ก็ละเอียดยิบ ไม่ง่ายนักต่อการค้นหา
แล้วจะตามหามันเจอได้ไงล่ะคะ สถานที่ตามตราไปรษณีย์
อาจจะหลอกตาเราก็ได้”ปองขวัญไม่แน่ใจ

“ไม่หรอก พี่เชื่อว่านาโนจะไม่หลอกเรา เพราะโปสการ์ดทุกใบไม่เคยหลอกลวง”

“งั้นปองจะไปหามันเดี๋ยวนี้”ปองขวัญรีบเก็บโปสการ์ดของเธอเข้ากล่องทันที

“พี่ไปด้วย”วายุเองก็รีบเก็บของๆเขาด้วยเช่นกัน และด้วยความเร่งรีบ
ทำให้มือหนาคว้าหมับเข้าตรงมือบางอย่างไม่ได้ต้ังใจ
ปองขวัญรีบสลัดราวกับเป็นของร้อน ก่อนจะจ้องอีกคนด้วยแววตาวาวโรจน์

วายุลอบถอนใจกับอากัปกริยานั่น ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป
ทั้งๆที่เขาก็แน่ใจว่าไม่เคยไปทำอะไรเธอเลย อยู่ๆคนตรงหน้าก็ทำหมางเมิน
คำพูดและแววตาที่เคยมองเขาก็เปลี่ยนไป

เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนที่เขาเข้ามาเปิดบริษัททัวร์ที่กระบี่หลังจากที่ไม่เจอ
เธอมานานหลายปีเพราะไปเรียนต่อที่เมืองนอก ครั้งแรกที่เจอกัน
หลังจากที่ไม่พบกันมานาน เขาก็เห็นแววตากรุ่นโกรธ สีหน้าปั้นปึง
เหมือนไม่พอใจอะไรเขาบางอย่าง แรกๆก็เจอเธอบ่อยเวลาออกงานสังคม
เพราะว่าอยู่จังหวัดเดียวกัน แต่พักหลังๆเธอหายหน้าไป มารู้อีกที
เธอก็ขอย้ายไปทำงานที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ โรงพยาบาลเดียวกับที่
เพื่อนรักคู่ปรับอย่างนายรังทำงานอยู่….

“เดี๋ยวสิ”วายุคว้าแขนคนตัวเล็ก ปองขวัญหมุนตัวกลับมาพร้อมกับ
แกะมือหนาออกด้วยแววตาไม่พอใจ

“พี่ขอโทษ พี่ไม่รู้ว่าเธอโกรธพี่เรื่องอะไร แต่อย่าทำตัวห่างเหิน
ขนาดนั้นเลย อย่างน้อยเราก็เคยรู้จักกัน”หญิงสาวแสยะยิ้ม

“คุณก็เหมือนพี่ชายคุณนั่นแหล่ะ ผู้ชายก็เหมือนกันทั้งโลก”
พูดเสร็จหญิงสาวก็เดินจากไปทิ้งให้ชายหนุ่มยืนขมวดคิ้ว
มองร่างบางด้วยความไม่เข้าใจ

“พี่ชาย…พี่เพลิงอย่างนั้นน่ะเหรอ”


/////////////////

ณ โรงพยาบาลผู้ป่วยด้านจิตเวชแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ

จิตแพทย์หนุ่มหน้าตาคมเข้มในชุดกาวน์สีขาวสะอาดตา
กำลังทอดสายตาสีดำสนิทราวกับนิลมองลงไปยังสนามด้านล่าง
ซึ่งมีคนไข้ของเรากำลังทำกิจกรรมกันอยู่ ก่อนจะลอบถอนใจออกมา
หลายครั้งที่เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดว่าแท้จริงแล้วความสุขของเขา
คืออะไร สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริงคืออะไร

ทั้งที่ทุกวันนี้เขามีทุกสิ่ง มีทุกอย่างที่ใครๆหลายคนอยากจะมี
มีรอยยิ้ม ใช่ เขายิ้มได้เสมอไม่ว่าชีวิตจะเจออะไรมาก็ตาม
ยิ้มทุกครั้งที่เห็นคนที่รักมีความสุข โดยที่ไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตัวเองนั้นเพื่อใคร
เขากำลังยิ้มให้ตัวเองหรือใครกันแน่ คงไม่แปลกที่มารดาของเขาจะกลัวว่า
การที่เขาเอาชีวิตที่เหลือทั้งหมดทุ่มเทให้กับงานตรงนี้
งานที่ต้องใช้หัวใจ ความรู้สึกและจินตนาการเพื่อช่วยให้ปัญหาที่มีอยู่ของผู้ป่วยบรรเทาลง
หากบางครั้งหมออย่างเขาเองก็เริ่มสับสนเช่นกัน

จนมารดาถึงกับพูดว่า ที่ห้ามเขาเป็นหมอด้านนี้เพราะกลัวเขาจะกลายเป็นคนไข้ซะเอง
เพราะอยู่กับคนไข้แบบนี้ ใช้ชีวิตท่ามกลางคนเหล่านี้
มันเสี่ยงที่จะทำให้เขากลายเป็นผู้ป่วยได้ไม่ยาก ซึ่งเขาก็ไม่ปฎิเสธ
จนบางครั้งเคยถามหมอด้วยกันเองเช่นกัน

แต่เพราะอุดมการณ์และความรักที่มีต่ออาชีพ เพราะสภาพชีวิต
ความเป็นอยู่ของคนสมัยนี้ ทำให้มีภาวะเสี่ยงด้านจิตใจ
ภาวะความเครียดและปัจจัยอื่นๆอีกมากมายที่ทำให้ผู้ป่วยด้านนี้มีมากขึ้น
หลายคนมองข้ามปัญหาด้านจิตใจ จนลืมใส่ใจกับมัน
จนกลายเป็นปัญหาด้านสุขภาพตามมา เพราะถ้าจะให้เขาเลือกแก้
เขาก็อยากช่วยแก้ปัญหาที่จิตใจก่อน นั่นคือสิ่งที่เขามุ่งมั่นที่จะทำมาตลอดทั้งชีวิต
และเขาต้องพยายามไม่เป็นคนไข้เสียเอง

เขาจึงต้องหาที่ผ่อนคลาย หามุมสบายให้กับชีวิต ยอมรับว่าทุกวันนี้
เขามีความสุขกายสบายใจดีทุกอย่าง ทว่าบางครั้งเขากลับรู้สึกเหมือน
ชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป รู้สึกเหงาทุกครั้งที่อยู่คนเดียว
เขารู้จักคำๆนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่อยู่ๆคำๆนี้ก็เข้ามาทักทายโดยที่เขาไม่รู้ตัว
โดยเฉพาะช่วงหลังๆที่ได้หันมองรอบกาย เห็นคนมากมาย
หลายคนเดินมาด้วยกัน จูงมือกัน หัวเราะมีความสุข
หลายคนอุ้มลูก จูงลูกข้ามถนน หลายคนช่วยกันเกาะเกี่ยวแขน
เพราะไม่มีแรงที่จะเดิน แต่ก็พร้อมที่จะจูงมือกันเที่ยวไปในโลกกว้างด้วยกัน

…ใช่ ทุกๆครั้งที่เขาเห็นภาพเหล่านั้นมันทำให้เขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
จนต้องกลับมาถามตัวเองทุกครั้งว่า ทำไมทุกวันนี้เขาถึงต่างจากคนเหล่านั้น
แม้ที่ผ่านมาจะมีใครๆผ่านเข้ามาในชีวิตมากมาย
หากเขากลับรู้สึกว่า ไม่ใช่ พวกเธอไม่ใช่คนที่ใช่ของเขา

รักแรกในชีวิตพังลงแต่เขาก็พร้อมที่จะยิ้มให้กับมัน ดีใจที่เห็นเธอยิ้มได้
หากลึกลงไปข้างในแล้ว เขากลับเก็บใครคนหนึ่งเอาไว้ตรงนั้นตลอดเวลา
เก็บไว้จนลึกสุดห้วงหัวใจ แล้วกลับมาคิดถึงเธอคนนั้นทุกครั้ง

เวลาที่อยู่คนเดียว เมื่อวันที่ความเหงาเข้ามาทักทาย มันทำให้เขารู้ว่่า
อย่างน้อยเขาก็ยังมีเธอในหัวใจ อยู่ในความทรงจำกับภาพเดิมๆที่เวียนวนซ้ำไปซ้ำมา
แต่เขาก็เต็มใจที่จะนึกถึงมัน ไม่เคยคิดที่จะผลักใสเธอออกไปจากความทรงจำเลยสักครั้ง
และยังคงไม่หมดหวังที่จะเห็นเธอกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง

เขาแทบจำไม่ได้เลยว่าครั้งสุดท้ายที่เขาพูดคำว่า อยากให้ใครสักคน
มาเป็นที่ปรึกษาปัญหาหัวใจมันเมื่อไหร่กัน หรือว่ามันไม่เคยมีกันแน่

ชีวิตที่ดูสมบูรณ์ของเขามันขาดแค่สิ่งเดียว และเป็นสิ่งเดียวที่เขาต้องการมากที่สุด
นั่นคือคู่ชีวิต คนที่เขาพร้อมจะจูงมือไปด้วยกันและพร้อมจะทุกข์
จะสุขด้วยกัน หากวันนี้เขายังไม่เจอคนๆนั้น

ใช่…เขายังหาเธอไม่เจอ...เธอ…คนที่ใช่ของเขา…

แล้วภาพที่ชายหนุ่มเห็นตรงด้านล่างที่สนามหญ้า ทำให้ภวังค์
และความคิดต่างๆกลับมาสู่ปัจจุบัน ก่อนจะพยายามเพ่งมองหญิงสาวร่างเล็กแบบบางคนหนึ่ง
ซึ่งตอนนี้กำลังยืนคุยอยู่กับคนไข้พิเศษของเขา

แต่เพราะความไกลจึงทำให้เขามองไม่ชัดว่าเป็นใคร อีกทั้งเธอคนนั้นยังหันหลังให้กับเขาอยู่
หากเป็นคนไข้คนอื่นเขาคงไม่แปลกใจ ถ้าจะมีญาติมาเยี่ยม

ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบลงไปยังสนามหญ้านั่นทันที
แต่เพราะความเร่งรีบเนื่องจากตัวตึกไปสนามหญ้าค่อนข้างใช้เวลา
ทำให้เขาชนเข้ากับใครคนหนึ่งก่อนจะรีบขอโทษโดยไม่ทันมองหน้าของคู่กรณี
ด้วยจิตใจหมกมุ่นอยู่กับหญิงสาวร่างเล็กบางคนนั้น

รูปร่างและท่าทางที่เขารู้สึกคุ้นๆ จนอยากไปดูให้เห็นกับตา
ทว่าน่าเสียดาย เพราะเมื่อไปถึงเขากลับไม่เจอเธอ เจอแค่คนป่วยของเขา
ที่ยืนส่งยิ้มมาให้เขาด้วยแววตาไร้เดียงสาไม่ต่างจากเด็กเล็กๆ
หรือว่าเขาจะตาฝาดไป สงสัยจะคิดถึงเธอมากไปเลยทำให้สร้างภาพขึ้นมาเอง

…ชายหนุ่มสลัดภาพและความคิดนั้นทิ้งทันทีก่อนจะยิ้มให้คนไข้

“เธอไปแล้ว นังหนูไปแล้ว”เสียงของหญิงชราคนไข้พิเศษของเขาเอ่ยด้วย
แววตาเหม่อลอย ในมือกำอะไรบางอย่างอยู่

“คุณยายหมายถึงใครเหรอครับ”

“นังหนูไงคุณหมอ นังหนูมาหายาย มาหายายแล้ว ยายไม่ลืม ยายไม่ลืม”

น้ำเสียงและแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจ
ทำให้รังสิมันต์อดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้

เพราะเขารู้ว่ายายจันทร์เป็นคนป่วยด้านจิตเวชที่มักจะเห็นภาพแปลกๆ
มักพูดคนเดียวอยู่เสมอ พอเขาถามว่าคุยอยู่กับใคร
ก็มักจะบอกว่ากับพี่สาวคนเดียวที่ตายไปแล้วมาหามาคุยด้วย
คนที่ไม่คิดจะเชื่อเรื่องลี้ลับอย่างเขายังเคยขนลุกด้วยซ้ำ

หากในครั้งนี้มันกลับลุกซู่จนหัวใจของเขาเริ่มไหววูบ
เพราะคำว่านังหนูที่ยายจันทร์เรียกนั้น เขารู้ดีว่าท่านหมายถึงใคร
ท่านเคยถามเขาตอนที่ยังไม่มีอาการป่วยซึ่งตอนนั้นเขายังเรียนอยู่ที่
มหาวิทยาลัยที่ใต้ยามที่ไปนั่งเล่นชายหาดหลายต่อหลายครั้ง
ว่าเมื่อไหร่นังหนูจะกลับมา เขาก็เลยสงสัยว่านังหนูที่ยายจันทร์พูดถึง
คือใครกัน แล้วก็ได้คำตอบว่าเธอคือ สิ้นรัก

รังสิมันต์ใจหายวาบ แม้จะพอทำใจได้บ้างแล้ว แต่เขาก็ยังหวังมาตลอด
หรือว่าเขาจะหมดหวังแล้วจริงๆใช่มั้ย…

ทว่่า…อะไรบางอย่างกลับจุดประกายแห่งความหวังของเขาขึ้นมาอีกครั้ง
อะไรที่ว่่านั้นคือสิ่งที่หล่นอยู่ตรงพื้นหญ้าใกล้ๆกับที่ที่ยายจันทร์นั่งยิ้มอยู่
ชายหนุ่มก้มลงหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาก่อนจะยกขึ้นสูดดมกลิ่นของมัน
กลิ่นแชมพูชนิดนี้ยังมีขายอีกเหรอ…เขานึกในใจพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก
ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า

“นี่ของยาย นังหนูมันให้ยาย”หญิงชราคว้าที่ผูกผมรูปปลาดาวที่ทำจาก
ผ้าสีเหลืองยัดนุ่นนั่นจากมือของเขาก่อนจะเอาไปกอดไว้ราวกับเป็นของสำคัญ

ชายหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความดีใจ หากว่าความจำของเขายังเป็นเลิศอยู่
เขาว่าของสิ่งนี้ต้องเป็นของเธอ…เพราะอักษรสีเขียว
บนผ้ายัดนุ่นสีเหลืองรูปปลาดาวนั่นปักคำว่า…ปริศนาปลาดาว…

ยัยตัวเล็กยังอยู่…เธอยังไม่ตาย…และเขากำลังจะถูกปลดปล่อย…


.....โปรดติดตามตอนต่อไป....

โยเอามาแปะไว้ก่อน เพื่อยืนยัน นั่งยัน นอนยันว่า
จะเอาเจ้าแม่แห่งคานน้อย คอยรัก กลับคืนสู่สังเวียนอีกครั้ง
หลังจากปล่อยสองเรื่องก่อนหน้าเสร็จค่ะ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ก.ย. 2555, 11:26:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2555, 13:27:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 4587





   ยกที่ 1 ประกาศรับสมัครสมาชิกชมรมคานน้อยคอยรัก >>
กาซะลองพลัดถิ่น 2 ก.ย. 2555, 12:45:53 น.
รอคะ ...


น้ำตาหัวใจ 2 ก.ย. 2555, 13:17:06 น.
Finally you back!


ตามหาฝัน 2 ก.ย. 2555, 20:43:52 น.
เป็นน้อยกลับมาแล้ว ดีใจจังค่ะ


Pat 2 ก.ย. 2555, 21:24:17 น.
เริ่มใหม่


sai 3 ก.ย. 2555, 12:01:41 น.
อ๊ายยยยยย ปริศนามาให้เราขบคิดอีกแล้ววว


pookza 5 ก.ย. 2555, 13:49:10 น.
ดีใจมากมาย ที่คุณโยมาซะที รอนานมากกกก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account