คานน้อย คอยรัก (จบแล้วค่ะ)
คานน้อย คอยรัก
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
มาดูเหตุผลของคนที่ยังไม่ลงจากคานกันค่ะ...
อาจจะมีเหตุผลมากมายที่ไม่อยากลงจากคาน
หรืออาจมีเพียงแค่หนึ่งเหตุผลง่ายๆก็คือ...
...ไม่ใช่คนที่ใช่ก็ไม่ใช่...
หรือว่า
...โดนข้อหาหลายใจ เพราะเคยมีแฟนหลายหน...
หรืออาจเป็นเพรา
...เขาบอกให้รอ เราก็รอ...
หรือจริงๆแล้ว
...ขออยู่รอคนสุดท้ายคนนั้นได้ไหม...
หรือลึกลงไป
...กำลังรอเจ้าชายในฝันอยู่อย่างอดทนได้ทุกอย่าง...
หรือกำลังปลอบใจตัวเองว่า
...ครึ่งหนึ่งของฉันยังมาไม่ถึง...ซึ่งสักวันเขาจะมาอยู่ข้างกัน...
หรือกำลังหลอกตัวเองด้วยการปกปิดว่า
...ไม่หวั่นไหว หัวใจไม่ปรารถนา...
ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
...อยากรัก อยากฝัน แต่เพราะกลัว ก็เลยไม่กล้ารักใคร...
หรือว่าอาจจะเป็นเหตผลสุดท้ายที่ไม่ค่อยมีใครกล้ายอมรับดังๆว่า
...ไม่เคยมีใครมาจีบ ไม่มีใครสน เรามันคนธรรมดาๆ...
แต่ไม่ว่าจะเหตุผลใด...
เราก็ยังหวังและยังคงรอคอยปาฏิหาริย์ว่าจะได้เจอคนที่ใช่ในสักวัน...
Tags: ดราม่า หวานซึ้ง อบอุ่น หมอรัง สิ้นรัก วายุ ปองขวัญ
ตอน: ยกที่ 1 ประกาศรับสมัครสมาชิกชมรมคานน้อยคอยรัก
จากผลโหวต ปรากฏว่า 100% ให้โพสต์ต่อทันที...อิอิ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกไลค์ทุกกำลังใจที่มีให้โยมานะคะ....
หวังว่าเรื่องนี้จะสร้างความสนุกให้กับนักอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ...
เรื่องนี้...เป็นภาคที่ 3 ค่ะ...(ภาคจบ)ค่ะ
ภาคแรก...คือเรื่อง..."รังรัก"
ภาคท่ี่ 2...คือเรื่อง..."หัวใจไร้ที่อยู่"
และ
ภาคที่ 3...คือเรื่อง..."คานน้อย คอยรัก"
บทสรุปของทุกตัวละครที่ผ่านมาค่ะ....
อย่าลืมอ่านยกนำก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ...เพราะโยโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ
ยกที่1
ประกาศด่วน!
รับสมัครสมาชิกชมรม “คานน้อยคอยรัก”
คติประจำชมรม
(อ่านแล้วใช้วิจารณญาณเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการสมัคร)
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
รับ10รับ
1.รับปรึกษาปัญหาหัวใจ
2.รับปรึกษาปัญหาเฉพาะหน้า
3.รับบริจาคหัวใจที่ไม่มีใครต้องการ
4.รับฝากของเก่ารุ่นลายคราม
5.รับซ่อมอะไหล่และชิ้นส่วนหัวใจที่แหลกสลายและขึ้นสนิม
6.รับเหมาก่อสร้างคานทุกชนิดที่คุณคิดว่าใช่
7.รับจำนอง จำนำอายุเท่าที่อายุคุณจะมี
8.รับแจ้งเหตุแฟนหายพร้อมยื่นใบสมัครในทันที
9.รับทุบ รื้อถอนและประสานรอยร้าวบนคานเมื่อสมาชิกต้องการ
10.รับประกันความสนุก
หลักในการทำกิจกรรมร่วมกัน
เราจะทำงานกันเป็นทีมฟุตบอล คือแบ่งออกเป็น3ศูนย์
1.สมาชิกเพศชาย เป็น ศูนย์หน้าพร้อมยิงประตูและทำคะแนนสะสมแต้ม
2.สมาชิกเพศหญิง เป็น ศูนย์กลาง เลี้ยงลูกให้ศูนย์หน้า
3.สมาชิกเพศที่สาม เป็น ศูนย์หลัง คอยเฝ้าระวังประตู เมื่อศูนย์กลางทำงานบกพร่อง
คณะกรรมการคาน
1.กรรมการประจำศูนย์หน้า เต็มกมล นรัณยา
2.กรรมการประจำศูนย์กลาง ช่อลิลลี่ ปราบธรณี
3.กรรมการประจำศูนย์หลัง ริชาร์ด (ริรี) ช่อบุญมี
คุณสมบัติของผู้สมัคร
1.โสดสมัครเล่น
2.โสดมืออาชีพ
3.โสดไม่อยาก ไม่ยอมและไม่ขอเปลี่ยนแปลง
4.เลขสามกำลังจะมาเยือนหรือมีเป็นเพื่อนเดินนำหน้ามาหลายปีแล้ว
5.ชอบทานผลไม้ห้าชนิดเป็นชีวิตจิตใจ
6.กลัวความรักมากกว่่าความเหงา
7.กลัวความเจ็บปวดและความผิดหวังมากกว่าความรัก
8.กลัวการมีครอบครัว
9.คู่รักคือทางผ่าน งานคือคู่ชีวิต
10.อยากมีลูก แต่ไม่อยากมีสามีและหรือภรรยา
11.มีคนที่ชอบแต่ยังไม่เจอคนที่ใช่
12.มีคนที่เข้าตาแต่หาคนที่เข้าใจไม่มี
13.กำลังเก็บใจเพื่อรอใครสักคนที่เป็นทุกอย่่าง ใครสักคนที่รักจริง
14.ต้องการใครสักคนมาเป็นคู่ใจมากกว่าคู่กาย
15.เฝ้าคอยใครสักคนที่จะเข้ามาปลอบโยน รักษาหัวใจ ดูแลและห่วงใยกัน
พร้อมที่พักพิงอิงใจในยามที่โดดเดี่ยวเดียวดายให้หายเหนื่อย
16.อยู่ๆก็รู้สึกหนาวอย่่างหาสาเหตุไม่ได้
17.รักอิสระ ไม่ชอบพันธะผูกพัน
18.เดินคนเดียว นั่งร้านเดิมๆประจำ
19.รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีเสน่ห์
20.หัวใจเจ้าชู้เพราะไม่รู้จักรัก
หรือเป็นเพราะอกหักถึงไม่กล้าปักใจรักใครจริงจัง
ใบสมัคร
กรอกใบสมัครตามความรู้สึก
1.นามแฝง……………………………..
2.ต้องการประจำยังศูนย์ใด (หน้า กลาง หลัง)………………..
3.จำนวนอายุที่ต้องการจำนองและจำนำ………………………….
4.เลขที่คุณชอบที่สุด……………………….
5.มีสัตว์เลี้ยงกี่ชนิดและกี่ตัว……………………..
6.เหลือฟันแท้อีกกี่ซี่…………………
7.มีฟันคุดกี่ซี่……………………
8.งานอดิเรกยามว่่าง…………………………..
9.กรอกตัวเลขข้างหน้าตามคุณสมบัติของผู้สมัคร
ที่คิดว่าตรงกับคุณสมบัติของคุณตามที่กล่าวไว้ (มากกว่าหนึ่งข้อได้ค่ะ)
…………………………………………………………………
10.จะรับอะไรเป็นพิเศษจากรับ10รับของทางเรา
…………………………………………………………………
11.เหตุผลที่เลือกสมัครกับทางชมรมคานน้อยคอยรัก
………………………………………………………………….
………………………………………………………………….
………………………………………………………………….
………………………………………………………………….
ควบคุมประสานงานโดย
…………………………
เลอเลิศ เลอเลื่องตระกูล
(รองประธานชมรม)
อนุมัติโดย
……………………
สิิ้นรัก ลือสื่อสกุล
(ประธานชมรมและศิราณี)
ส่งใบสมัครได้ที่ ชมรมคานน้อยคอยรัก ณ ร้านสุดทางรัก
ซอยxxxxx ถนนxxxx
โทร: 080xxxxxxxx
e-mail:xxxxxxxxx
หลังจากที่ยืนอ่านใบปลิวมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ทำให้หัวใจของคนอ่าน
ไหววูบอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งรู้สึกดีใจ ตกใจและความรู้สึกอีกมากมาย
ที่ประเดประดังกันเข้ามาในยามนี้
รังสิมันต์ระบายยิ้มเต็มดวงหน้าด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุดท้ายเขาก็ได้รู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหนหลังจากพยายามออกตามหามาร่วมเดือน
ทว่าวันนี้ ใบปลิวที่เขาได้รับจากเด็กขายพวงมาลัย
กลายเป็นความบังเอิญที่จะทำให้เขาได้เจอกับเธอ
นานเหลือเกินที่เขาและเธอไม่ได้พบเจอกันอีกเลย
อยากรู้เหลือเกินว่่าวันเวลาจะทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน
แล้วหัวใจของเธอจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า การรอคอยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เขากำลังจะได้เจอกับเธออีกครั้ง เขาบอกตัวเองเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะยังไง
ครั้งนี้เขาจะทำให้เธอมีความสุข ยิ้มได้ และจะไม่ทำให้เธอร้องไห้อีก…
1เดือนก่อนหน้านี้
“ไอ้สิ้น! แกจริงๆด้วย แกยังไม่ตาย”ปองขวัญเปิดประตูร้านเข้ามาหาเพื่อน
สิ้นรักหันไปมองยังประตูทางเข้าเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าร้าน
ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นเพื่อนรักที่ห่างหายกันไปนานร่วมสิบปีวิ่งเข้ามากอด
เธอพร้อมกับคำถามมากมาย ก่อนจะชวนเพื่อนรักนั่งลงตรงโซฟา
ที่มีไว้สำหรับลูกค้าและแขก
“เดี๋ยวฉันจะไปหาน้ำมาให้นะ แกจะดื่มอะไรดีล่ะ”สิ้นรักเริ่มถามเพื่อน
เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆซึมจากใบหน้าหวานใสของคนตรงหน้า
“ขอน้ำเปล่าแล้วกัน พอดีฉันรีบมา”ปองขวัญอธิบายด้วยน้ำเสียงหอบนิดๆ
“งั้นแกนั่งรอหรือจะเดินชมร้านของฉันไปพลางๆก็แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันมา”
พูดเสร็จสิ้นรักก็เดินไปยังด้านหลังของร้าน ทิ้งให้ปองขวัญนั่งมองแผ่นหลัง
ของเพื่อนพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ เพื่อนของเธอก็ยัง
ตัวเล็กเหมือนเดิม แต่ที่ดูจะเปลี่ยนไปคงจะเป็นหน้าตาและบุคลิก
เพราะเท่าที่เธอสังเกต เพื่อนของเธอดูมีสง่า ท่วงท่าในการเดินก็ดูดี
น่ามองกว่าแต่ก่อนเยอะมาก เพราะเมื่อก่อนยัยเพื่อนคนนี้ดูเฟอะฟะ ซุ่มซ่ามเป็นที่หนึ่ง
ดูเอ๋อๆอีกต่างหาก หากตอนนี้เปลี่ยนไป และเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสียด้วย
ชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าอะไรที่ทำให้เพื่อนของเธอเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้กัน
หญิงสาวยิ้มปรายพร้อมกับมองไปรอบๆห้องที่มีขนาดกว้างขวาง
การตกแต่งดูเป็นธรรมชาติ สบายใจ มองแล้วสบายตา ไม่ว่าจะเป็นผนังห้อง
เพดานห้องก็ถูกตกแต่งได้ราวกับอยู่ท่่ามกลางสวนป่า ดูนิ่งและสงบ
ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จนเธอต้องลุกขึ้นสำรวจร้านของเพื่อน
ที่ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่ามันคือร้านอะไร หากพอเดินมาหยุดยืนตรง
หน้ากระจกบานใหญ่ที่วางเรียงกันหลายบาน ทำให้สามารถเห็นตัวเองได้ในทุกมุม
หญิงสาวก็เห็นห้องขนาดใหญ่ด้านข้าง มันเป็นห้องที่เต็มไปด้วยชุดมากมาย
หลากหลายสีสัน ถ้าเธอมองไม่ผิดมันคงเป็นชุดแต่งงานแน่ๆ
เพราะดูจากตัวหุ่นที่ยืนกันเป็นคู่ๆ ทว่าตัวชุดที่มีความหลากหลาย
มิใช่แค่ชุดเจ้าสาวสีขาวหรือสีอ่อนหวานอย่างที่เธอเคยเห็น
หากในห้องนั้นกลับเต็มไปด้วยชุดเจ้าสาวละลานตา ลวดลายแปลกตา
อย่างที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แทบไม่อยากเชื่อว่าในโลกนี้
จะมีใครกล้าสวมใส่ชุดเจ้าสาวเหล่านี้กัน หรือว่าจะมี…
ปองขวัญลูบไล้ตัวชุดด้วยความรู้สึกทึ่ง ทั้งเนื้อผ้าและรูปแบบล้วนแปลกตาและน่าสัมผัส
มันทั้งนิ่มและบางชุดก็ดูพริ้วจนเธออดที่จะอยากลองใส่ไม่ได้ โดยเฉพาะชุดที่ตัวหุ่นใส่อยู่
แม้ลวดลายและสีสันแปลกตาเกินกว่าจะใช้ในงานวิวาห์
แต่ถ้าหากได้ใส่มันสักครั้ง เธอคงจะไม่มีวันลืมแน่นอน
เพราะมันทั้งสวยทั้งแปลก ไม่เหมือนใคร อยากรู้จริงๆว่าทั้งหมดนี้
เพื่อนเธอเป็นคนทำหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
เธอคงมองเพื่อนรักคนนี้ผิดไปตั้งแต่ต้นเป็นแน่…
“ชอบเหรอปอง”ปองขวัญสะดุ้งโหยงเมื่อยู่ดีๆเพื่อนของเธอเดินเข้ามาหา
ที่เธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อนพร้อมกับพยักหน้า
“งั้นฉันจะเก็บชุดนี้เอาไว้ให้แกก็แล้วกันนะ”คราวนี้คนฟังยิ้มกว้างเต็มดวงหน้า
ก่อนจะย่นหัวคิ้วแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยๆ
“ฉันกลัวชุดจะเป็นหมันน่ะสิ เพราะว่าฉันยังไม่คิดจะแต่งงาน
และก็ยังหาเจ้าบ่าวไม่ได้ซะด้วย”สิิ้นรักยิ้มร่่า
“ไม่เป็นไร ที่นี่มีบริการให้เช่าเจ้าบ่าวฟรี ไม่เสียตังค์ แกสนใจมั้ยล่ะ”ปองขวัญย่นจมูกใส่
“ไม่ต้องมาอำกันเลยนะแก เลิกเล่นบ้าๆได้แล้ว”
“ฉันไม่ได้อำ ฉันพูดจริงๆ อย่างน้อยฉันก็รู้ล่ะน่าว่าเจ้าบ่าวแกน่ะเป็นใคร”
คราวนี้คนฟังเบิกตาโต ก่อนจะลอยหน้าลอยตาแล้วพูดว่า
“ใครล่ะยะ! อย่าบอกนะว่าเป็นคนเดียวกับที่แกส่งไปเจอฉันที่แหลมสมิหลา”
สิ้นรักหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“แล้วแกชอบรึเปล่าล่ะ”
“ไม่เลย ผู้ชายตระกูลนั้นหาดีไม่ได้หรอก ไม่อยากยุ่ง”
“หมายความว่าไง นี่แกไม่ได้รู้จักแค่พี่ลมหรอกเหรอ”ปองขวัญแค่นยิ้มแล้วพูดว่า
“ไหนๆแกก็กลับมาแล้ว แกก็ลองเปิดอ่านข่าวหน้าสังคมดูบ้างสิ
แล้วแกก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร”ปองขวัญยักไหล่
“ข่่าวที่พี่สาวแกเขียนขึ้นมาน่ะเหรอ”ปองขวัญหันมามองเพื่อนรักตาเป็นมัน
“ใช่ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง พี่ตามเขาเขียนในสิ่งที่เขารู้เขาเห็น”
“ฉันก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ทวดเขารู้และก็เห็นจะเป็นความจริง”สิ้นรักแค่นยิ้ม
เพราะแม้กายจะห่างกันไกลแค่ไหน แต่เธอก็ยังติดตามข่าวคราวของคนที่
เธอรักและหวังดีอยู่ทุกคน จนวันนี้เธอต้องกลับมา เพื่ออะไรบางอย่าง
ใช่ เพื่ออะไรที่ใจเธอสั่งมา…ส่วนคำว่าทวดที่เธอใช้เรียกแทนพี่สาวของเพื่อน
เพราะตามตะวัน เจ้าของบริษัทสิ่งพิมพ์ชื่อดังที่ก้าวขึ้นมา
ทำหน้าที่แทนบิดาของปองขวัญเพื่อนของเธอ เป็นทวดรหัสของเธอนั่นเอง
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เสียอารมณ์!”ปองขวัญกระแทกน้ำเสียงตรงท้ายประโยค
ด้วยสีหน้าไม่พอใจสุดขีด สิิ้นรักเลยได้แต่ส่ายหน้า
เพราะแน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ไม่อย่างนั้นไอ้ปองเพื่อนรักคงไม่แสดงออกถึงขนาดนี้
“ว่าแต่แกเถอะ หายไปไหนมา”ปองขวัญเดินออกมาจากห้องนั้น
พร้อมกับถามเพื่อนในสิ่งที่ข้องใจมาตลอด ตาก็มองตามฝาผนังห้อง
ที่มีรูปถ่่ายต่างๆที่อยู่ในโปสการ์ดที่เพื่อนส่งมาให้เธอไปด้วย
สิ้นรักเดินมานั่งลงตรงโซฟาตัวเดิม พร้อมกับอธิบายแล้วมองเพืื่อนรัก
ที่ตอนนี้กำลังจ้องมองภาพบนฝาผนังนั่นอยู่
“เอาหัวใจไปเข้าอู่มาน่ะ”ปองขวัญกระตุกยิ้ม พร้อมกับหัวเราะหึๆในลำคอ
ก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนรักที่นั่งส่งยิ้มมาให้
“หัวใจแกมันมีอะไรต้องซ่อมนักหนาเหรอไอ้สิ้น”สิ้นรักยิ้มขัน
“ก็เยอะพอควร เห็นช่างผู้ชำนาญการบอกว่าควรจะเข้าอู่สักทีดีกว่าปล่อย
เอาไว้อย่่างนั้น เดี๋ยวมันจะพังเอาอ่ะ”
“ช่างที่แกว่า พ่อบันแกงั้นสิ”ปองขวัญเดินมานั่งลงตรงข้ามกับเพื่อน
สิ้นรักพยักหน้าพร้อมกับเลิกคิ้วนิดนึง
“ว่าแต่มันต้องใช้เวลาซ่อมเป็นสิบๆปีเลยเรอะ”คนเป็นเพื่อนถามเสียงสูง
คราวนี้สิ้นรักหัวเราะออกมาอย่่างไม่เกรงใจกับหน้าตากวนๆของเพื่อน
ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ปองขวัญคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ทีมดลูกยังต้องเข้าอู่อยู่ไฟเลยแก”คนพูดหัวเราะร่า
“เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย”
“ไม่เกี่ยวหรอก แค่พูดให้แกขำเล่นๆ”
“แต่ฉันขำไม่ออก บอกมาซะดีๆ ว่าแกไปทำอะไรมาตั้งสิบปี”ปองขวัญคาดคั้น
“ก็อย่างที่บอกน่ะแหล่ะ ว่าฉันไปเข้าอู่มา เพราะว่าเครื่องมันหลวม ไฟไม่แน่น
แฟริ่งก็ดังที่บังโคลนทั้งหน้าทั้งหลัง ขันน็อตก็ไม่ดีขึ้น
สตาร์ทก็ติดยากไม่เหมือนแต่ก่อน อาการเริ่มเฉื่อย พอปรึกษาศูนย์
ศูนย์ก็แนะนำให้ยกเครื่องเปลี่ยนตัวถังใหม่ ก็เลยต้องถ่อไปไกลถึงญี่ปุ่นน่ะแก”
พูดเสร็จสิ้นรักก็ยิ้มขัน ไม่ได้จริงจังอะไร หวังเพียงแค่
คลายความกังวลของเพื่อนตรงหน้าที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับคนปวดอึ
“แล้วที่ไทยไม่มีศูนย์ซ่อมแล้วรึไงยะ”คนฟังเริ่มหมั่นไส้
“คงมีมั้ง แต่พอดีว่าผู้ชำนาญการเขาอยากให้ลองไปที่โน่นดู
กลัวว่าถ้าไม่เข้าอู่แล้วอาจจะเผลอปล่อยควันดำเป็นมลพิษให้พวกแกสูดดมน่ะสิ
ไปไกลๆน่ะดีแล้ว แกจะได้ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางมลพิษไง
อีกอย่างที่โน่นเขาก็มีวิธีลดควันดำด้วย รถที่หมดสภาพเขาก็เอาไปเข้าป่าช้ารถ
หรือไม่ก็โละขายชิ้นส่วนและเศษเหล็ก เอาไปทำคันใหม่ก็มี”
“ตกลงไอ้หัวใจแกเนี่ยอาการมันหนักขนาดต้องโละทิ้งเลยเรอะ”
คนฟังประชดใส่ แต่สิ้นรักยังคงอมยิ้มแก้มปริแถมยังยักไหล่อีกนี่
“ของที่มันใช้มานานๆ อย่างสมบุกสมบัน มันก็ต้องมีวันหมดสภาพกันบ้างสิแก
แต่พอดีหัวใจไม่ใช่รถ ฉันก็เลยกู้สภาพกลับมาได้บ้าง แม้จะไม่เหมือนเดิม
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ซ่อมเลยนะเออ”
“แล้วซ่อมเสร็จรึยัง”สิ้นรักลอยหน้าลอยตาตอบกลับไปว่า
“ยัง เพราะลืมชิ้นส่วนบางอย่างเอาไว้ที่นี่ ก็เลยต้องกลับมาเอา”
ปองขวัญย่นจูมกใส่คนเป็นเพื่อน ที่ตอนแรกคิดว่าจะเปลี่ยนไป
ที่ไหนได้...ยังเพี้ยนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน นี่คงคิดจะตบตาด้วยการ
ใช้บุคลิกภายนอกบดบังความเอ๋อและเพี้ยนของตัวเองล่ะสิ…
“หวังว่าคงไม่ใช่ที่ขันน็อตหรอกนะ”สิิ้นรักส่ายหน้า
“ถ้าเป็นที่ขันน็อตที่โน่นก็พอมีอยู่หรอก เผอิญว่าฉันลืมตัวถังเอาไว้น่ะสิ
กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ช่างมาบอกว่ามันไม่มีตอนจะซ่อมให้”
ปองขวัญหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ทำไมช่างที่โน่นเขาถึงต้องใช้เวลาในการเปิดดูตัวถังรถนานเป็นสิบปีเลยล่ะ”
“ก็เพราะว่า…ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยน่ะสิ”สิ้นรักร้องออกมาเป็นเพลง
พลอยทำให้คนฟังหัวเราะร่าอย่างสนุก
“แล้วแกขับมันไปถึงโน่นได้ยังไงวะไอ้สิ้น”
“ใครว่าฉันขับมันไปล่ะ ฉันลากมันไปต่างหาก ทั้งลากทั้งฉุดทั้งดึง
ดีที่มีคุณลุงคุณป้าช่วยอีกแรง ไม่งั้นคงไปไม่รอดจอดสนิทแน่แกเอ้ย”
ปองขวัญส่ายหน้าให้กับสีหน้าท่าทางตลกๆของคนเล่า
“แต่ไอ้ตอนที่จะซ่อมเนี่ยสิ ดันไม่มีตัวถัง เศร้าเลยแก”
“แล้วทำไมไม่หาตัวถังใหม่ซะเลยล่ะ เห็นบอกจะยกตัวถังใหม่ไม่ใช่เรอะ”
“ก็ถ้ามันสามารถแทนกันหรือพอจะยัดใส่เข้าไปได้บ้างก็คงดีน่ะสิ”
“แล้วแกลืมตัวถังเอาไว้ที่ไหนล่ะ”
“คิดว่าคงจะแถวๆนี้แหล่ะ ฉันมันปลาทอง ขี้ลืมเป็นประจำ
แต่รู้สึกเหมือนตัวเครื่องกำลังร้องรับว่่าตัวถังคงอยู่ไม่ไกล”
คนพูดหัวเราะแหะๆ เพราะไอ้ตัวถังที่ว่านั้นอยู่ที่ใด เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
รู้แค่ว่ามันถูกขโมยไปก่อนที่เธอจะเดินทางไปซ่อมที่ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
เล่นยกตัวถังไปทั้งชุดอย่างนี้ แล้วจะให้เธอยู่เฉยไม่เสาะแสวงหา
เจ้าขโมยปากแข็งที่เอามันไปได้ยังไงไหว…
“ไอ้เรารึอุตส่าห์พ่นสีกันสนิมตัวเครื่องซะอย่างดี แต่ดันขับไม่ได้ ไม่น่าเลยแก”
หน้าตาแหยๆของเพื่อนที่ดูจะค้านกับบุคลิกภายนอกที่มันดูตลกใช่หยอกเหมือนกัน
“น่า เดี๋ยวฉันจะลองตามหาดูว่าใครมันมาขโมยตัวถังแกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
ถ้าเจอแล้วจะลองเค้นและง้างปากให้ยอมรับออกมาก็แล้วกัน”
ปองขวัญนั่งหัวเราะจนท้องแข็ง เธอว่่าเพื่อนของเธอยังไม่ได้เปลี่ยนไป
อย่างที่คิดเท่่าไหร่เลย โดยเฉพาะความรู้สึกสนิทใจมันยังมีอยู่เหมือนเดิม
แปลก…ทั้งที่จากกันสิบกว่าปี ไม่มีโอกาสแม้จะได้พูดคุยกัน แต่พอได้พบ
ได้พูดคุยกันอีกครั้ง กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอายหรือความไม่สนิทใจใดๆ
แม้แต่ตัวเพื่อนของเธอเองก็ยังคุยกับเธอได้เหมือนเดิมอย่างแต่ก่อน
“ว่าแต่ฉันยังสงสัยไม่หายว่าทำไม่แกถึงไปโผล่หัวที่เกาะญี่ปุ่นแทนที่จะเป็น
แถวๆเนเธอร์แลนด์ รึว่าแกลอยน้ำจากทวีปยุโรปกลับมาเอเชียฮ่ะไอ้สิ้น”
สิ้นรักกระตุกยิ้ม ยักไหล่แล้วอธิบายว่าพร้อมกับยกข้อมือขึ้นชี้ไปยัง
สร้อยข้อมือที่ห้อยอยู่ ปองขวัญขมวดคิ้วมุ่น
“ตอนแรกพ่อบันให้ฉันไปเจอกับลุงที่เนเธอร์แลนด์ เพราะลุงติดงานที่โน่น
แล้วฉันเองก็จะได้เที่ยวผ่อนคลายก่อนจะกลับไปญี่ปุ่น ซึ่งนั่นคือเป้าหมายที่แท้จริง
และสิ่งนี้ทำให้ฉันรอดมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาว่ากันว่า
ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี โชคดีที่ฉันดันลืมมันเอาไว้
ในเสื้อคลุมตัวนอกระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง เพราะก่อนหน้านั้นทางด่าน
เขาให้ฉันถอดเครื่องประดับเพื่อตรวจก่อนขึ้นเครื่อง ฉันกลัวมันจะหาย
เลยยัดใส่ลงไปในตัวเสื้อคลุม แต่ด้วยความรีบผสมกับความเฟอะฟะ
ซึ่งแกก็รู้ดีว่่าฉันมักจะขี้ลืมเวลาตื่นเต้นกับสิ่งใด ฉันก็เลยลืมเสื้อคลุม
เอาไว้ที่เก้าอี้ตรงที่นั่งรอ มารู้ตัวอีกทีก็ขึ้นไปนั่งบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว
ฉันก็เลยขอเขากลับไปเอาของ เขาก็บอกว่าไม่ได้ เครื่องใกล้จะขึ้นแล้ว
นาทีนั้นฉันก็ไม่คิดอะไรหรอก ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีมันไปด้วย
ฉันก็เลยวิ่งหนีลงจากเครื่อง แล้วกลับมาที่ห้องนั่งรอ ดีที่เสื้อคลุมยังอยู่
แต่พอหันกลับไป เครื่องบินก็ลอยลำอยู่บนอากาศไปซะแล้ว
ตอนนั้นฉันไม่อายหรอกแก ของๆใคร ใครก็หวงแกว่ามั้ย”สิิ้นรักอธิบาย
เสียยืดยาว จนคนฟังนั่งหัวเราะหึๆในลำคอ
“นิสัยหวงของขึ้นสมองของแกนี่ก็มีประโยชน์กับเขาเหมือนกัน
ดีนะที่แกไม่ได้ขึ้นไปอยู่ในเครื่องบินลำนั้น พระเจ้าคุ้มครองจริงๆเลยแก”
ปองขวัญกอดเพื่อนเอาไว้อีกครั้งด้วยความดีใจ ใช่ เธอดีใจ
ที่เพื่อนรอดตายมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก่อนจะผละออกมา
แล้วจับสร้อยข้อมือไข่มุกปลาดาวนั่นด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ใครเป็นคนให้แกมาเหรอไอ้สิ้น”สิ้นรักยิ้มฝืดก่อนจะส่่ายหน้าเบาๆ
“ฉันรู้ว่าแกรู้ แกไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะต้องรู้ให้ได้
ว่าใครให้แกมา เพราะแกเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้มันมาแล้ว”
สิ้นรักยังคงแค่นยิ้มต่อไป
“แล้วทำไมแกไม่บอกว่าแกจะไปญี่ปุ่น แกหลอกพวกฉันว่่าแกจะไปเรียน
ที่เนเธอร์แลนด์ทำไมไอ้สิ้น”คราวนี้คนฟังกลับกลืนน้ำลายเฮือกๆ
มองเพื่อนด้วยแววตาเว้าวอน
“คือ เอ่อ…ฉันแค่…แค่ไม่อยากให้แกกังวล”
“ไม่ใช่ว่าแกคิดจะปิดบัง เพื่อไม่ให้พวกฉันรู้หรือติดต่อแกได้หรอกเหรอไอ้สิ้น”
ปองขวัญคาดคั้นแววตาน้อยใจ
“จริงอย่างที่แกว่่าแหล่ะ ตอนนั้นฉันไม่อยากพบไม่อยากเจอใคร
เพราะความอ่อนแอในหัวใจ ไม่อยากให้แกรับรู้ ไม่อยากให้แกเป็นกังวล
โดยเฉพาะพี่ลม ฉันยิ่งไม่อยากบอก เพราะพี่ลมเขาจะพลอยไม่สบายใจไปด้วย
เดี๋ยวจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แกก็เหมือนกัน
ฉันจึงคิดว่าการจากไปมันน่าจะเป็นทางออกที่ดี แล้วกะไว้ว่า
ถ้าทำใจกับเรื่องพวกนั้นได้เมื่อไหร่แล้วฉันจะเป็นฝ่่ายติดต่อแกกลับไปเอง”
ปองขวัญลอบถอนใจ
“แต่พอมาเจอเหตุการณ์เรื่องเครื่องบินลำนั้นตก พ่อบันก็เลยให้มันเลยตามเลยไป
สู้ให้พวกแกคิดว่าฉันตายไปแล้วดีกว่า แกเองจะได้ไม่ต้องมาห่วงว่าฉันจะเป็นยังไง
อยู่ยังไง แล้วจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย
เพราะฉันรู้ดีว่าอาชีพหมอที่แกใฝ่ฝันมันต้องใช้เวลาและความพยายามแค่ไหน
ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงทั้งแกและพี่ลม
กว่าแกจะเรียนจบก็ใช้เวลาเกือบสิบปีไม่ใช่เหรอปอง
ถ้าแกมัวมานั่งห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องฉัน แกจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร
พี่ลมก็เช่นกัน วันนี้ฉันถึงยิ้มได้ที่เห็นความฝันของแกและของพี่ลมเป็นจริง
ฉันจึงตั้งใจจะกลับมายินดี และพร้อมจะกลับมาอยู่ข้างๆแก
ช่วยแกอย่างที่แกเคยช่วยฉัน เราจะไม่ทิ้งกันไปไหนอีก”สิ้นรักจับมือเพื่อน
ราวกับเป็นสัญญา
“ฉันไม่เคยทิ้งแกเลยปอง แกอาจจะไม่เห็นฉัน แต่ฉันเห็นแกตลอด”
“ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่่านมา แกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“ทุกที่ที่ฉันอยากไป ฉันก็ได้ไป ทุกอย่างที่ฉันอยากเรียนฉันก็ได้เรียน
ฉันมีโลกเป็นโรงเรียน ลุงดิดไม่เคยจับฉันขังกรง แต่กลับปล่อยให้ฉัน
ได้โบยบินอย่างอิสระ อิ่สระที่ฉันเคยต้องการมาตลอด แต่ตอนนี้ฉันเริ่มอิ่ม
กับมันแล้วล่ะแก ฉันอยากมีรังมีที่พักสักที เหนื่อยน่ะ”ปองขวัญพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วแกมีแฟนรึยัง”สิิ้นรักเงียบ
“รึว่ามีจนนับไม่ถ้วน”คนถามเริ่มหยอก เพราะรู้ว่าเพื่อนของตัวเอง
ไม่เคยขาดแฟนได้ หัวใจไม่เคยว่างมาตลอด เลิกคนโน้นก็หันมาควงคนนี้
จนเธอเองก็นับไม่ถูกแล้วเหมือนกัน ว่าเพื่อนของเธอมีแฟนมาแล้วกี่คน
ยิ่งห่างหายไปเป็นสิบปีแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องคิด แต่ผิดคาด เมื่อเห็นคนตรงหน้า
ส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มบาง
“เป็นไปได้ยังไง ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่ต้องมาอำกันเลยนะยะหล่อน
หนุ่มญี่ปุ่นหล่อๆออกเยอะ แกชอบขาวๆอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
สิ้นรักยิ้มขันพร้อมอธิบายว่่า
“เมื่อก่อนอาจใช่ แต่หลังจากที่เอาหัวใจไปเข้าอู่มา ฉันก็ไม่อยากมีอีกเลย
เบื่อมั้ง อยู่ๆก็รู้สึกว่ามันไร้สาระ เอาหัวใจไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์
ไม่อยากมีแฟนให้เปลืองตัวและหัวใจ อยากจะเก็บสิ่งดีๆเอาไว้ให้สามี
ในอนาคตมากกว่าว่ะแก”ปองขวัญเบิกตาโพลง เลิกคิ้วสูง
ด้วยความแปลกใจ โอ้…นี่ไอ้สิ้นคิดได้อย่่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
“จริงๆนะ ฉันอยากให้เขาภูมิใจว่าฉันรักษาสิ่งนี้เอาไว้เพื่อเขาอย่างดี
ใครที่ฉันคิดว่าไม่ใช่ฉันก็ไม่อยากเสียเวลาคบ แม้จะเหงาๆในตอนแรก
แต่พอนานๆไปมันก็เริ่มชิน แล้วฉันก็หันมาใช้ชีวิตสนุกสนานกับคุณลุงคุณป้า
คุณตาคุณยาย หันมาศึกษาโลกมากกว่าจะจมปลัก
อยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆไปวันๆ แล้วมันก็ทำให้ฉันเห็นและสัมผัสกับ
อะไรหลายๆอย่่างที่ฉันไม่เคยพบไม่เคยสัมผัส ไม่เชื่อแกก็ดูภาพ
ยอดภูเขาไฟฟูจินั่นสิ”พูดพลางชี้ไปยังภาพบนฝาผนังห้อง
“แกคงจำได้ เพราะฉันเคยส่งมาอวดแก ตอนนั้นฉันสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุด
และสวยที่สุดในญี่ปุ่นได้สำเร็จ ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ไม่เคยลืม
เพราะก่อนหน้านั้น ฉันรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า ไม่มีความภูมิใจอะไรในตัวเองเลย
เหมือนกับอยู่ไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิต จนลุงดิดให้ฉัน
รับหน้าที่พาลูกทัวร์ไปปีนยอดเขานั่นดู ตอนแรกฉันก็ปฏิเสธเพราะไม่มี
กะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แต่ลุงกับป้าก็คะยั้นคะยอ
จนฉันต้องยอมในที่สุด และที่นั่นทำให้ฉันได้รู้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง
ทำให้ฉันค้นพบเป้าหมายในชีวิต ค้นพบความภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นมา
รู้สึกถึงคุณค่าในตัว แล้วฉันก็สามารถทำได้ ฉันสามรถพิชิตเป้าหมายได้
แต่แกเชื่อไหมว่าลูกทัวร์ของฉันแต่ละคนนี่อายุปาเข้าไปห้าสิบหกสิบเห็นจะได้
ทั้งคุณลุงคุณป้าคุณตาคุณยาย ทุกคนต่างไม่ย่อท้อ
เหนื่อยเราก็นั่งพักให้พอหายเหนื่อยแล้วปีนต่อ กรุ๊ปของฉันช้ากว่าใคร
แต่สุดท้ายเราก็สามารถทำมันจนสำเร็จ ฉันสามารถพาลูกทัวร์ขึ้นไป
ถึงจุดสุดยอดของเขาลูกนั้นได้ แต่รอยยิ้มแห่งความภูมิใจนั่นมีได้ไม่นานนัก
เพราะว่ามันยังไม่จบ เราทุกคนต้องลงจากเขาลูกนั้น ขึ้นกับลงมันก็เหนื่อยเท่ากัน
แต่ที่ยากคือขาลงเพราะเรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้า ไม่มากเท่่าขาขึ้น
อีกทั้งยังร้อนระอุเพราะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
แกคงรู้ว่่าภูเขาไฟฟูจิไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ที่นั่นมีครบทุกฤดู
ทั้งฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน มันไม่ง่่ายเลยล่ะแก
แต่ฉันและลูกทีมก็สามารถปีนขึ้นและลงมาได้อย่่างปลอดภัยกันทุกคน”
สิ้นรักนั่งเล่าเรื่องราวความหลังไปพลางก็มองภาพยอดภูเขาไฟนั่นไปพลาง
ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ
ปองขวัญยิ้มกว้างกับสีหน้าและแววตานั่นของเพื่อน
“เหนือสิ่งอื่นใดที่ฉันได้รับจากเขาลูกนั้นก็คืิอ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การ
ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แต่เป็นการลงมายังจุดต่ำสุดได้อย่างสง่างามมากกว่า
เพราะบางคนขึ้นไปได้อย่างสง่า แต่กลับคลานลงมาอย่างอนาถก็มี
ไม่มีใครจะอยู่บนยอดเขานั้นได้ตลอดหรอก วันนึงเขาก็ต้องลงมา
ยังจุดเดิมที่เคยอยู่ แต่สิ่งที่ได้รับมามีมากกว่าการอยู่เฉยๆ
โดยไม่เคยคิดจะปีนป่ายก็เท่านั้นเอง”ปองขวัญกระชับมือเพื่อนไว้แน่น
อย่างนี้สินะที่ทำให้สิ้นรักคนเดิมยังไม่ไปไหน ยังมีหัวใจที่กล้าแกร่งเสมอ
หากความคิดเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เพื่อนเธอเปลี่ยนแนวคิด เลยทำให้ชีวิตเปลี่ยนตาม…
“ฉันภูมิใจในตัวแกเสมอแหล่ะไอ้สิ้น ไม่ว่าแกจะยืนอยู่ตรงจุดไหน
เพราะยังไงๆแกก็ยังเป็นเพื่อนฉันเสมอ”สิ้นรักยิ้มกว้างก่อนจะแตะเบาๆ
ลงบนมือของเพื่อนที่กุมมือเธออยู่
“ขอบใจนะที่แกยังไม่ลืมฉัน”
“ฉันจะลืมเพื่อนที่เคยกินนอนมาด้วยกันได้ยังไง แกน่ะเป็นมากกว่าเพื่อนซะอีก
ขนาดพี่ตามกับพี่ปุ๊ยังไม่เคยนอนร่วมห้องกับฉันเหมือนแกเลย
กว่าจะได้นอนกอดพี่ตามสักทีก็ยากแสนยาก
แต่กับแกน่ะฉันนอนกอดมาตั้งแต่เด็ก แฝดอย่างพี่ปุ๊ยังชิดซ้ายเลยนะขอบอก”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะร่าด้วยความยินดี
ใช่ ความสุขกำลังจะมาเยือน…
สิ้นรักพาเพื่อนเดินสำรวจบริเวณรอบๆร้าน ที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อม
ขนาดไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป
“ว่าแต่แกยังหาคนที่ใช่ไม่เจออีกเหรอไอ้สิ้น”
“โอ้ย จะรีบไปไหนล่ะ ฉันยังมีเวลาอีกเยอะ สี่สิบปีก็ยังไม่สาย”
ปองขวัญหัวเราะกับคำตอบนั้น
“นี่แกคิดจะแต่งตอนสี่สิบเหรอ ใครเขาจะเอาแก”
“ทำไมยะ สี่สิบแล้วมีอะไร”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่่า แต่งไปห้าปี ประจำเดือนหมด
อู่ก็ปิดทำการ งานไม่เดิน อารมณ์ไม่มี สามีแกจะทนได้เหรอ”
สิิ้นรักหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินอย่่างนั้น
“นี่แกกำลังจะบอกฉันว่า เซกส์ปิดรับสมัครตอนสี่สิบเหรอ
ไม่มั้ง ก็ฉันเห็นคนสี่สิบเขาก็แต่งกันออกเยอะ”สิ้นรักค้านหัวทิ่มดิน
“ใช่ เวลาของร่างกายมันไม่เท่ากับหัวใจหรอกแก ผู้หญิงอย่างเราๆ
ก็มีเวลาปิดอู่เหมือนกัน จะปิดซ่อมบำรุงหรือปิดทำการก็แล้วแต่
แต่ถ้าไม่เคยใช้งานก็อาจจะไม่ต้องซ่อม แต่เรื่องอารมณ์นี่สิ
แกก็รู้ว่าพอหมดประจำเดือนทุกอย่างก็หมดกัน
เรื่องบนเตียงก็ไม่ต้องพูดถึง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เราต้องยอมรับ
เพราะพอมันจากไปสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความจู้จี้จุกจิก ขี้บ่น อันโน้นไม่ดี
อันนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิดได้ทั้งวันอย่างหาสาเหตุไม่เจอ
เพราะร่างกายอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน โรคต่างๆก็พยายามหาลู่ทาง
ที่จะเข้าแทรกแซงทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ
แกคิดว่าจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมรับตรงนี้ได้ บางคนอาจจะต้องกลับมาอยู่
บนคานทองเพราะวัยทองนี่แหล่ะ”ปองขวัญอธิบายตามหลักการ
หากอีกคนกลับคิดอีกทางว่่า
“แต่ถ้าหากรักกัน ฉันเชื่อว่่าเขาพร้อมที่จะเข้าใจ เรื่องชีวิตคู่มันไม่ได้มีแค่
เรื่องบนเตียงอย่างเดียวหรอกปอง แต่มันยังมีเรื่องความรักความผูกพัน
ความเข้าใจ จากที่เคยเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมากมาย
แต่วันนึงเมื่อแก่ตัวลงสิ่งนั้นก็ต้องจากไป กลายเป็นคนที่ไม่รู้อะไร
หลังจากที่เคยมีความรู้ ลืมทุกอย่่างที่เคยรู้ มีสภาพไม่ต่างจากเด็ก
ที่ด้อยทั้งกำลังวังชาและปัญญา แต่ถ้าหากเรายอมรับความเปลี่ยนแปลง
และพร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง ชีวิตคู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
นอกเสียจากว่าเขาจะไม่รักไม่สนใจเราอีกแล้วต่างหาก เพราะบางที
ความรักมันก็มีวันหมดอายุเหมือนกัน”ปองขวัญกระตุกคิ้วมุ่น
กับสิ่งที่เพื่อนเธอพูด ไอ้สิ้นคนเดิมที่เหมือนไม่เคยมีอะไรในหัว
หายไปไหนหนอ…สิ้นรักเห็นแววตาและสีหน้าของเพื่อนก็เริ่มเข้าใจ
“ฉันมีบางอย่างที่แกไม่รู้หรอกปอง ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เลือกทำงานตรงนี้
แล้วการที่ฉันได้ใช้ชีวิตกับลุงๆป้าๆ คุณตาคุณยายที่โน่น พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่
เพื่อช่วยบริษัททัวร์ของคุณลุงคุณป้า ได้ทำงานไปด้วยได้เที่ยวไปด้วย สนุกสุดๆเลยล่ะแก
ไม่มีที่เรียนเป็นหลักเป็นแหล่งหรอก อยากเรียนอยากรู้อะไรก็ไปสมัครเรียนเอาเป็นคอร์สไป
บ้างก็เรียนเป็นเดือน บ้างก็เรียนเป็นปี มีแต่ใบประกาศเป็นสิบๆใบ
แต่ไม่มีใบปริญญาสักใบเดียว”สิ้นรักอธิบายเพื่อนรักด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะชี้ชวนให้นั่งลงตรงม้านั่งในสวนหย่อม แล้วเริ่มเล่าต่อ
“แต่สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ฉันเข้าใจว่าบางทีชีวิตมันก็แปลกๆ
มีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเสมอ คนสูงอายุที่ญี่ปุ่นเขาจะท่องเที่ยว
หลังจากที่ตรากตรำทำงานหามรุ่งหามค่ำจนบางครั้งก็ลืมให้ความสุขกับครอบครัว
แต่ที่ฉันยอมรับก็คือผู้หญิงที่นั่นเขาอดทนจริงๆ
สามีกลับบ้านดึก เมียรออยู่ที่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก
แต่กลับมาขอหย่ากันเอาตอนอายุห้าสิบ แกว่าไม่แปลกเหรอ ฉันเคยคิดว่า
เขาจะหย่าไปทำไมตอนห้าสิบ ในเมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายขอหย่า
ทั้งๆที่ตนเองคงไม่คิดจะหาสามีใหม่แน่ๆ เพราะด้วยวัยและอารมณ์
อย่างที่แกบอกมาว่ามันหมดแล้ว แต่มันก็มีเหตุผล
เพราะว่าเขาต้องทนมาตลอดน่ะสิ รักไม่รักไม่รู้
หากรู้สึกว่าต้องทนกับอะไรสักอย่าง ฉันว่่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
เขาถึงมาหย่่าเอาตอนที่สามีเกษียณแล้วแต่ก็มีหลายคู่ที่ยังคง
ประคับประคองช่วยกันครองรักแล้วพากันเที่ยวไปในโลกกว้าง
หลังจากที่ช่วยกันเก็บหอมรอมริบในช่วงหนุ่มสาว ยามที่กำลังวังชายังดีอยู่
แต่ถ้ามองอีกมุม เขาทนเพื่ออนาคต แต่ถ้าเกิดเขามาตายไปซะก่อนที่จะแก่
แกว่าความสุขที่เขาหมายปองมันจะมีโอกาสเกิดขึ้นมั้ย นั่นแหล่ะคือปัญหา
โลกแตก”สิ้นรักอธิบายเสร็จก็ยิ้มกว้าง เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ
เธอเข้าใจว่าหลายๆคนเองก็กลัวการมีครอบครัว กลัวความไม่แน่นอน
แต่ความไม่แน่นอนมันเป็นธรรมดาของโลกกลมๆที่หมุนอยู่
เราไม่รู้หรอกว่ามันจะหมุนพาเราไปทางไหน
ถ้าเรากลัวเสียแล้ว เราก็จะไม่กล้าที่จะเสี่ยง บางทีมันก็ต้องเสี่ยง
กับความไม่แน่นอนของโลกดูสักตั้ง
“ฉันรู้ว่าแกกำลังกลัวกับอะไรบางอย่าง แต่ถ้าแกไม่ลองกล้า
แกก็จะไม่รู้หรอกว่า ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง ไม่มีใครเขาตายเพราะความรักหรอกปอง
มีแต่คนเขาพร้อมจะยินดีกับมันมากกว่า
ความเจ็บปวดไม่ได้น่ากลัวอย่่างที่คิด แกอย่าปิดหัวใจเพราะความกลัวเลย”
ปองขวัญหันมามองเพื่อนที่ตอนนี้จับมือเธอเอาไว้มั่น
สิ้นรักเองรู้ดีว่าเพื่อนคิดยังไง เพราะเธอไม่เคยจากไปไหนเลยจริงๆ
ยังนั่งมองชีวิตของเพื่อนมาตลอดด้วยซ้ำยามมีเวลา
“แกไม่เข้าใจฉันหรอกไอ้สิิ้น ที่ฉันไม่อยากมีใคร
เพราะว่่าฉันไม่ปรารถนาจะมี และไม่คิดจะแต่งงานด้วย
จะอยู่เป็นโสดเกาะคานไปจนวันตายมันนี่แหล่ะ”ปองขวัญพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่น
สิ้นรักพยักหน้าเข้าใจ สงสัยเธอคงต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว
แต่ก่อนอื่น เธอต้องหาต้นตอของสาเหตุให้เจอเสียก่อน
“งานเข้าแล้วสิเรา”อยู่ๆสิ้นรักก็เปรยออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ปองขวัญหันมายิ้มเพราะเข้าใจความนัย
ปัจจุบัน
สิ้นรักนั่งจัดดอกไม้อยู่ตรงเก้าอี้ตัวโปรด
ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับกำลังรวบรวมสมาธิให้เป็นหนึ่งเดียว
เพราะนี่ยังเช้าอยู่มาก ลูกค้าเลยยังไม่เข้าร้าน
เธอจึงมีเวลานั่งจัดดอกไม่เพื่อทำสมาธิ
แต่ทุกอย่างเป็นอันต้องพังลงเมื่ออยู่ๆก็ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น
หญิงสาวหันไปทางหน้าร้าน ก่อนจะตกใจ ยืนนิ่ง
มองหน้าแขกที่มาเยือนด้วยแววตาตระหนก ใจสั่น เต้นไม่เป็นจังหวะ
ราวกับมีกลองนับหมื่นกำลังรัวอยู่ในหัวอก
แล้วทุกอย่างก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วยสายตาคมคู่นั้นของเขาที่จ้องมองมาไม่วางตา
เขาที่กำลังย่างเข้ามาหาเธอทีละนิดๆราวกับภาพฝัน
แต่มันไม่ใช่ความฝัน เมื่ออยู่ดีๆคนตรงหน้าก็คว้าเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
ในอ้อมอกกว้างใหญ่นั้นนิ่งนาน ซบหน้าลงตรงผมของเธอ
ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของเขาและของตัวเองที่สอดประสานไปด้วยกัน
ไม่มีคำพูดใดๆเลยนอกจากเสียงหัวใจและลมหายใจที่รวยรินเป่ารดตรงต้นคอของเธอเท่านั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เธอตกอยู่ในอ้อมกอดนั่น
เธอก็ได้ยินเสียงห้าวลึกทว่านุ่มนวลอ่อนโยนนักในความรู้สึกว่า
“ขอบใจที่กลับมา”
////////////////////////
อ้อมกอดของใครกันหนอ...อิอิ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่าน ทุกไลค์ทุกกำลังใจที่มีให้โยมานะคะ....
หวังว่าเรื่องนี้จะสร้างความสนุกให้กับนักอ่านไม่มากก็น้อยนะคะ...
เรื่องนี้...เป็นภาคที่ 3 ค่ะ...(ภาคจบ)ค่ะ
ภาคแรก...คือเรื่อง..."รังรัก"
ภาคท่ี่ 2...คือเรื่อง..."หัวใจไร้ที่อยู่"
และ
ภาคที่ 3...คือเรื่อง..."คานน้อย คอยรัก"
บทสรุปของทุกตัวละครที่ผ่านมาค่ะ....
อย่าลืมอ่านยกนำก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ...เพราะโยโพสต์ไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ
ยกที่1
ประกาศด่วน!
รับสมัครสมาชิกชมรม “คานน้อยคอยรัก”
คติประจำชมรม
(อ่านแล้วใช้วิจารณญาณเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการสมัคร)
ในลักษณ์นั้นว่าประหลาด…………….คนบนคานนั้นว่าน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า…………...เป็นเชื้อชาตินักรักผู้หาญกล้า
เหตุไฉนย่อท้อรอรา…………………..เหตุไฉนย่อท้อรอเวลา
ฤาจะกล้าแต่เพียงวาที…………………ฤาไม่กล้าบอกรักใครสักที
เห็นแก้วแวววับที่ดับจิต…………………เห็นคานแก้วแวววับสดับจิต
ใยไม่คิดอาจเอื้อมให้ถึงที่……………...ใยไม่คิดปีนไปให้ถึงที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี……………อย่ามัวรอจงขึ้นมาเร็วรี่
อันมณีฤาจะโลดไปถึงมือ………………บนคานนี้มีรักให้ฝึกปรือ
อันของสูงแม้ปองต้องจิต………………..คานเราสูงไม่เป็นรองของใครอื่น
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้ฤา………………..อย่าได้ขืนลงไปให้เสียชื่อ
มิใช่ของตลาดที่อาจซื้อ………………….มิใช่ทองตามตลาดที่อาจซื้อ
ฤาแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม……………..เพราะเราถือความพอใจจึงลงไป
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง……………ไม่คิดสอยมัวคอยให้คานทับ
คงชวดดวงบุปผาชาติสะอาดหอม………..รอให้ดับคาคานหรืออย่างไร
ดูแต่ภุมรินเที่ยวบินตอม…………………..ฤาต้องคอยรักแท้จนแก่ใช่ไหม
จึงได้ออมอบกลิ่นสุมาลี…………………..เกาะคานน้อยคอยรักต่อไป
…………………..........จนกว่าจะเจอคนที่ใช่…ใช่ไหมคาน………………
(อ้างอิงกลอนจากบทละครเรื่องท้าวแสนปม)
รับ10รับ
1.รับปรึกษาปัญหาหัวใจ
2.รับปรึกษาปัญหาเฉพาะหน้า
3.รับบริจาคหัวใจที่ไม่มีใครต้องการ
4.รับฝากของเก่ารุ่นลายคราม
5.รับซ่อมอะไหล่และชิ้นส่วนหัวใจที่แหลกสลายและขึ้นสนิม
6.รับเหมาก่อสร้างคานทุกชนิดที่คุณคิดว่าใช่
7.รับจำนอง จำนำอายุเท่าที่อายุคุณจะมี
8.รับแจ้งเหตุแฟนหายพร้อมยื่นใบสมัครในทันที
9.รับทุบ รื้อถอนและประสานรอยร้าวบนคานเมื่อสมาชิกต้องการ
10.รับประกันความสนุก
หลักในการทำกิจกรรมร่วมกัน
เราจะทำงานกันเป็นทีมฟุตบอล คือแบ่งออกเป็น3ศูนย์
1.สมาชิกเพศชาย เป็น ศูนย์หน้าพร้อมยิงประตูและทำคะแนนสะสมแต้ม
2.สมาชิกเพศหญิง เป็น ศูนย์กลาง เลี้ยงลูกให้ศูนย์หน้า
3.สมาชิกเพศที่สาม เป็น ศูนย์หลัง คอยเฝ้าระวังประตู เมื่อศูนย์กลางทำงานบกพร่อง
คณะกรรมการคาน
1.กรรมการประจำศูนย์หน้า เต็มกมล นรัณยา
2.กรรมการประจำศูนย์กลาง ช่อลิลลี่ ปราบธรณี
3.กรรมการประจำศูนย์หลัง ริชาร์ด (ริรี) ช่อบุญมี
คุณสมบัติของผู้สมัคร
1.โสดสมัครเล่น
2.โสดมืออาชีพ
3.โสดไม่อยาก ไม่ยอมและไม่ขอเปลี่ยนแปลง
4.เลขสามกำลังจะมาเยือนหรือมีเป็นเพื่อนเดินนำหน้ามาหลายปีแล้ว
5.ชอบทานผลไม้ห้าชนิดเป็นชีวิตจิตใจ
6.กลัวความรักมากกว่่าความเหงา
7.กลัวความเจ็บปวดและความผิดหวังมากกว่าความรัก
8.กลัวการมีครอบครัว
9.คู่รักคือทางผ่าน งานคือคู่ชีวิต
10.อยากมีลูก แต่ไม่อยากมีสามีและหรือภรรยา
11.มีคนที่ชอบแต่ยังไม่เจอคนที่ใช่
12.มีคนที่เข้าตาแต่หาคนที่เข้าใจไม่มี
13.กำลังเก็บใจเพื่อรอใครสักคนที่เป็นทุกอย่่าง ใครสักคนที่รักจริง
14.ต้องการใครสักคนมาเป็นคู่ใจมากกว่าคู่กาย
15.เฝ้าคอยใครสักคนที่จะเข้ามาปลอบโยน รักษาหัวใจ ดูแลและห่วงใยกัน
พร้อมที่พักพิงอิงใจในยามที่โดดเดี่ยวเดียวดายให้หายเหนื่อย
16.อยู่ๆก็รู้สึกหนาวอย่่างหาสาเหตุไม่ได้
17.รักอิสระ ไม่ชอบพันธะผูกพัน
18.เดินคนเดียว นั่งร้านเดิมๆประจำ
19.รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ไม่มีเสน่ห์
20.หัวใจเจ้าชู้เพราะไม่รู้จักรัก
หรือเป็นเพราะอกหักถึงไม่กล้าปักใจรักใครจริงจัง
ใบสมัคร
กรอกใบสมัครตามความรู้สึก
1.นามแฝง……………………………..
2.ต้องการประจำยังศูนย์ใด (หน้า กลาง หลัง)………………..
3.จำนวนอายุที่ต้องการจำนองและจำนำ………………………….
4.เลขที่คุณชอบที่สุด……………………….
5.มีสัตว์เลี้ยงกี่ชนิดและกี่ตัว……………………..
6.เหลือฟันแท้อีกกี่ซี่…………………
7.มีฟันคุดกี่ซี่……………………
8.งานอดิเรกยามว่่าง…………………………..
9.กรอกตัวเลขข้างหน้าตามคุณสมบัติของผู้สมัคร
ที่คิดว่าตรงกับคุณสมบัติของคุณตามที่กล่าวไว้ (มากกว่าหนึ่งข้อได้ค่ะ)
…………………………………………………………………
10.จะรับอะไรเป็นพิเศษจากรับ10รับของทางเรา
…………………………………………………………………
11.เหตุผลที่เลือกสมัครกับทางชมรมคานน้อยคอยรัก
………………………………………………………………….
………………………………………………………………….
………………………………………………………………….
………………………………………………………………….
ควบคุมประสานงานโดย
…………………………
เลอเลิศ เลอเลื่องตระกูล
(รองประธานชมรม)
อนุมัติโดย
……………………
สิิ้นรัก ลือสื่อสกุล
(ประธานชมรมและศิราณี)
ส่งใบสมัครได้ที่ ชมรมคานน้อยคอยรัก ณ ร้านสุดทางรัก
ซอยxxxxx ถนนxxxx
โทร: 080xxxxxxxx
e-mail:xxxxxxxxx
หลังจากที่ยืนอ่านใบปลิวมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย ทำให้หัวใจของคนอ่าน
ไหววูบอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ทั้งรู้สึกดีใจ ตกใจและความรู้สึกอีกมากมาย
ที่ประเดประดังกันเข้ามาในยามนี้
รังสิมันต์ระบายยิ้มเต็มดวงหน้าด้วยความรู้สึกเป็นสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุดท้ายเขาก็ได้รู้แล้วว่าเธออยู่ที่ไหนหลังจากพยายามออกตามหามาร่วมเดือน
ทว่าวันนี้ ใบปลิวที่เขาได้รับจากเด็กขายพวงมาลัย
กลายเป็นความบังเอิญที่จะทำให้เขาได้เจอกับเธอ
นานเหลือเกินที่เขาและเธอไม่ได้พบเจอกันอีกเลย
อยากรู้เหลือเกินว่่าวันเวลาจะทำให้เธอเปลี่ยนแปลงไปสักแค่ไหน
แล้วหัวใจของเธอจะยังเหมือนเดิมหรือเปล่า การรอคอยใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
เขากำลังจะได้เจอกับเธออีกครั้ง เขาบอกตัวเองเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าจะยังไง
ครั้งนี้เขาจะทำให้เธอมีความสุข ยิ้มได้ และจะไม่ทำให้เธอร้องไห้อีก…
1เดือนก่อนหน้านี้
“ไอ้สิ้น! แกจริงๆด้วย แกยังไม่ตาย”ปองขวัญเปิดประตูร้านเข้ามาหาเพื่อน
สิ้นรักหันไปมองยังประตูทางเข้าเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าร้าน
ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นเพื่อนรักที่ห่างหายกันไปนานร่วมสิบปีวิ่งเข้ามากอด
เธอพร้อมกับคำถามมากมาย ก่อนจะชวนเพื่อนรักนั่งลงตรงโซฟา
ที่มีไว้สำหรับลูกค้าและแขก
“เดี๋ยวฉันจะไปหาน้ำมาให้นะ แกจะดื่มอะไรดีล่ะ”สิ้นรักเริ่มถามเพื่อน
เมื่อเห็นเม็ดเหงื่อเล็กๆซึมจากใบหน้าหวานใสของคนตรงหน้า
“ขอน้ำเปล่าแล้วกัน พอดีฉันรีบมา”ปองขวัญอธิบายด้วยน้ำเสียงหอบนิดๆ
“งั้นแกนั่งรอหรือจะเดินชมร้านของฉันไปพลางๆก็แล้วกันนะ เดี๋ยวฉันมา”
พูดเสร็จสิ้นรักก็เดินไปยังด้านหลังของร้าน ทิ้งให้ปองขวัญนั่งมองแผ่นหลัง
ของเพื่อนพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ เพื่อนของเธอก็ยัง
ตัวเล็กเหมือนเดิม แต่ที่ดูจะเปลี่ยนไปคงจะเป็นหน้าตาและบุคลิก
เพราะเท่าที่เธอสังเกต เพื่อนของเธอดูมีสง่า ท่วงท่าในการเดินก็ดูดี
น่ามองกว่าแต่ก่อนเยอะมาก เพราะเมื่อก่อนยัยเพื่อนคนนี้ดูเฟอะฟะ ซุ่มซ่ามเป็นที่หนึ่ง
ดูเอ๋อๆอีกต่างหาก หากตอนนี้เปลี่ยนไป และเป็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเสียด้วย
ชักอยากจะรู้แล้วสิ ว่าอะไรที่ทำให้เพื่อนของเธอเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้กัน
หญิงสาวยิ้มปรายพร้อมกับมองไปรอบๆห้องที่มีขนาดกว้างขวาง
การตกแต่งดูเป็นธรรมชาติ สบายใจ มองแล้วสบายตา ไม่ว่าจะเป็นผนังห้อง
เพดานห้องก็ถูกตกแต่งได้ราวกับอยู่ท่่ามกลางสวนป่า ดูนิ่งและสงบ
ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย จนเธอต้องลุกขึ้นสำรวจร้านของเพื่อน
ที่ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่ามันคือร้านอะไร หากพอเดินมาหยุดยืนตรง
หน้ากระจกบานใหญ่ที่วางเรียงกันหลายบาน ทำให้สามารถเห็นตัวเองได้ในทุกมุม
หญิงสาวก็เห็นห้องขนาดใหญ่ด้านข้าง มันเป็นห้องที่เต็มไปด้วยชุดมากมาย
หลากหลายสีสัน ถ้าเธอมองไม่ผิดมันคงเป็นชุดแต่งงานแน่ๆ
เพราะดูจากตัวหุ่นที่ยืนกันเป็นคู่ๆ ทว่าตัวชุดที่มีความหลากหลาย
มิใช่แค่ชุดเจ้าสาวสีขาวหรือสีอ่อนหวานอย่างที่เธอเคยเห็น
หากในห้องนั้นกลับเต็มไปด้วยชุดเจ้าสาวละลานตา ลวดลายแปลกตา
อย่างที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน แทบไม่อยากเชื่อว่าในโลกนี้
จะมีใครกล้าสวมใส่ชุดเจ้าสาวเหล่านี้กัน หรือว่าจะมี…
ปองขวัญลูบไล้ตัวชุดด้วยความรู้สึกทึ่ง ทั้งเนื้อผ้าและรูปแบบล้วนแปลกตาและน่าสัมผัส
มันทั้งนิ่มและบางชุดก็ดูพริ้วจนเธออดที่จะอยากลองใส่ไม่ได้ โดยเฉพาะชุดที่ตัวหุ่นใส่อยู่
แม้ลวดลายและสีสันแปลกตาเกินกว่าจะใช้ในงานวิวาห์
แต่ถ้าหากได้ใส่มันสักครั้ง เธอคงจะไม่มีวันลืมแน่นอน
เพราะมันทั้งสวยทั้งแปลก ไม่เหมือนใคร อยากรู้จริงๆว่าทั้งหมดนี้
เพื่อนเธอเป็นคนทำหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น
เธอคงมองเพื่อนรักคนนี้ผิดไปตั้งแต่ต้นเป็นแน่…
“ชอบเหรอปอง”ปองขวัญสะดุ้งโหยงเมื่อยู่ดีๆเพื่อนของเธอเดินเข้ามาหา
ที่เธอแทบจะไม่ได้ยินเสียงเลยด้วยซ้ำ ก่อนจะหันมายิ้มให้เพื่อนพร้อมกับพยักหน้า
“งั้นฉันจะเก็บชุดนี้เอาไว้ให้แกก็แล้วกันนะ”คราวนี้คนฟังยิ้มกว้างเต็มดวงหน้า
ก่อนจะย่นหัวคิ้วแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มแหยๆ
“ฉันกลัวชุดจะเป็นหมันน่ะสิ เพราะว่าฉันยังไม่คิดจะแต่งงาน
และก็ยังหาเจ้าบ่าวไม่ได้ซะด้วย”สิิ้นรักยิ้มร่่า
“ไม่เป็นไร ที่นี่มีบริการให้เช่าเจ้าบ่าวฟรี ไม่เสียตังค์ แกสนใจมั้ยล่ะ”ปองขวัญย่นจมูกใส่
“ไม่ต้องมาอำกันเลยนะแก เลิกเล่นบ้าๆได้แล้ว”
“ฉันไม่ได้อำ ฉันพูดจริงๆ อย่างน้อยฉันก็รู้ล่ะน่าว่าเจ้าบ่าวแกน่ะเป็นใคร”
คราวนี้คนฟังเบิกตาโต ก่อนจะลอยหน้าลอยตาแล้วพูดว่า
“ใครล่ะยะ! อย่าบอกนะว่าเป็นคนเดียวกับที่แกส่งไปเจอฉันที่แหลมสมิหลา”
สิ้นรักหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“แล้วแกชอบรึเปล่าล่ะ”
“ไม่เลย ผู้ชายตระกูลนั้นหาดีไม่ได้หรอก ไม่อยากยุ่ง”
“หมายความว่าไง นี่แกไม่ได้รู้จักแค่พี่ลมหรอกเหรอ”ปองขวัญแค่นยิ้มแล้วพูดว่า
“ไหนๆแกก็กลับมาแล้ว แกก็ลองเปิดอ่านข่าวหน้าสังคมดูบ้างสิ
แล้วแกก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร”ปองขวัญยักไหล่
“ข่่าวที่พี่สาวแกเขียนขึ้นมาน่ะเหรอ”ปองขวัญหันมามองเพื่อนรักตาเป็นมัน
“ใช่ แต่มันก็เป็นเรื่องจริง พี่ตามเขาเขียนในสิ่งที่เขารู้เขาเห็น”
“ฉันก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ทวดเขารู้และก็เห็นจะเป็นความจริง”สิ้นรักแค่นยิ้ม
เพราะแม้กายจะห่างกันไกลแค่ไหน แต่เธอก็ยังติดตามข่าวคราวของคนที่
เธอรักและหวังดีอยู่ทุกคน จนวันนี้เธอต้องกลับมา เพื่ออะไรบางอย่าง
ใช่ เพื่ออะไรที่ใจเธอสั่งมา…ส่วนคำว่าทวดที่เธอใช้เรียกแทนพี่สาวของเพื่อน
เพราะตามตะวัน เจ้าของบริษัทสิ่งพิมพ์ชื่อดังที่ก้าวขึ้นมา
ทำหน้าที่แทนบิดาของปองขวัญเพื่อนของเธอ เป็นทวดรหัสของเธอนั่นเอง
“ช่างเถอะ ฉันไม่อยากพูดเรื่องนี้แล้ว เสียอารมณ์!”ปองขวัญกระแทกน้ำเสียงตรงท้ายประโยค
ด้วยสีหน้าไม่พอใจสุดขีด สิิ้นรักเลยได้แต่ส่ายหน้า
เพราะแน่ใจว่าเรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ ไม่อย่างนั้นไอ้ปองเพื่อนรักคงไม่แสดงออกถึงขนาดนี้
“ว่าแต่แกเถอะ หายไปไหนมา”ปองขวัญเดินออกมาจากห้องนั้น
พร้อมกับถามเพื่อนในสิ่งที่ข้องใจมาตลอด ตาก็มองตามฝาผนังห้อง
ที่มีรูปถ่่ายต่างๆที่อยู่ในโปสการ์ดที่เพื่อนส่งมาให้เธอไปด้วย
สิ้นรักเดินมานั่งลงตรงโซฟาตัวเดิม พร้อมกับอธิบายแล้วมองเพืื่อนรัก
ที่ตอนนี้กำลังจ้องมองภาพบนฝาผนังนั่นอยู่
“เอาหัวใจไปเข้าอู่มาน่ะ”ปองขวัญกระตุกยิ้ม พร้อมกับหัวเราะหึๆในลำคอ
ก่อนจะหันมามองหน้าเพื่อนรักที่นั่งส่งยิ้มมาให้
“หัวใจแกมันมีอะไรต้องซ่อมนักหนาเหรอไอ้สิ้น”สิ้นรักยิ้มขัน
“ก็เยอะพอควร เห็นช่างผู้ชำนาญการบอกว่าควรจะเข้าอู่สักทีดีกว่าปล่อย
เอาไว้อย่่างนั้น เดี๋ยวมันจะพังเอาอ่ะ”
“ช่างที่แกว่า พ่อบันแกงั้นสิ”ปองขวัญเดินมานั่งลงตรงข้ามกับเพื่อน
สิ้นรักพยักหน้าพร้อมกับเลิกคิ้วนิดนึง
“ว่าแต่มันต้องใช้เวลาซ่อมเป็นสิบๆปีเลยเรอะ”คนเป็นเพื่อนถามเสียงสูง
คราวนี้สิ้นรักหัวเราะออกมาอย่่างไม่เกรงใจกับหน้าตากวนๆของเพื่อน
ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ปองขวัญคนนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
“ทีมดลูกยังต้องเข้าอู่อยู่ไฟเลยแก”คนพูดหัวเราะร่า
“เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย”
“ไม่เกี่ยวหรอก แค่พูดให้แกขำเล่นๆ”
“แต่ฉันขำไม่ออก บอกมาซะดีๆ ว่าแกไปทำอะไรมาตั้งสิบปี”ปองขวัญคาดคั้น
“ก็อย่างที่บอกน่ะแหล่ะ ว่าฉันไปเข้าอู่มา เพราะว่าเครื่องมันหลวม ไฟไม่แน่น
แฟริ่งก็ดังที่บังโคลนทั้งหน้าทั้งหลัง ขันน็อตก็ไม่ดีขึ้น
สตาร์ทก็ติดยากไม่เหมือนแต่ก่อน อาการเริ่มเฉื่อย พอปรึกษาศูนย์
ศูนย์ก็แนะนำให้ยกเครื่องเปลี่ยนตัวถังใหม่ ก็เลยต้องถ่อไปไกลถึงญี่ปุ่นน่ะแก”
พูดเสร็จสิ้นรักก็ยิ้มขัน ไม่ได้จริงจังอะไร หวังเพียงแค่
คลายความกังวลของเพื่อนตรงหน้าที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดราวกับคนปวดอึ
“แล้วที่ไทยไม่มีศูนย์ซ่อมแล้วรึไงยะ”คนฟังเริ่มหมั่นไส้
“คงมีมั้ง แต่พอดีว่าผู้ชำนาญการเขาอยากให้ลองไปที่โน่นดู
กลัวว่าถ้าไม่เข้าอู่แล้วอาจจะเผลอปล่อยควันดำเป็นมลพิษให้พวกแกสูดดมน่ะสิ
ไปไกลๆน่ะดีแล้ว แกจะได้ไม่ต้องอยู่ท่ามกลางมลพิษไง
อีกอย่างที่โน่นเขาก็มีวิธีลดควันดำด้วย รถที่หมดสภาพเขาก็เอาไปเข้าป่าช้ารถ
หรือไม่ก็โละขายชิ้นส่วนและเศษเหล็ก เอาไปทำคันใหม่ก็มี”
“ตกลงไอ้หัวใจแกเนี่ยอาการมันหนักขนาดต้องโละทิ้งเลยเรอะ”
คนฟังประชดใส่ แต่สิ้นรักยังคงอมยิ้มแก้มปริแถมยังยักไหล่อีกนี่
“ของที่มันใช้มานานๆ อย่างสมบุกสมบัน มันก็ต้องมีวันหมดสภาพกันบ้างสิแก
แต่พอดีหัวใจไม่ใช่รถ ฉันก็เลยกู้สภาพกลับมาได้บ้าง แม้จะไม่เหมือนเดิม
แต่ก็ยังดีกว่าไม่ซ่อมเลยนะเออ”
“แล้วซ่อมเสร็จรึยัง”สิ้นรักลอยหน้าลอยตาตอบกลับไปว่า
“ยัง เพราะลืมชิ้นส่วนบางอย่างเอาไว้ที่นี่ ก็เลยต้องกลับมาเอา”
ปองขวัญย่นจูมกใส่คนเป็นเพื่อน ที่ตอนแรกคิดว่าจะเปลี่ยนไป
ที่ไหนได้...ยังเพี้ยนเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน นี่คงคิดจะตบตาด้วยการ
ใช้บุคลิกภายนอกบดบังความเอ๋อและเพี้ยนของตัวเองล่ะสิ…
“หวังว่าคงไม่ใช่ที่ขันน็อตหรอกนะ”สิิ้นรักส่ายหน้า
“ถ้าเป็นที่ขันน็อตที่โน่นก็พอมีอยู่หรอก เผอิญว่าฉันลืมตัวถังเอาไว้น่ะสิ
กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ช่างมาบอกว่ามันไม่มีตอนจะซ่อมให้”
ปองขวัญหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“ทำไมช่างที่โน่นเขาถึงต้องใช้เวลาในการเปิดดูตัวถังรถนานเป็นสิบปีเลยล่ะ”
“ก็เพราะว่า…ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลยน่ะสิ”สิ้นรักร้องออกมาเป็นเพลง
พลอยทำให้คนฟังหัวเราะร่าอย่างสนุก
“แล้วแกขับมันไปถึงโน่นได้ยังไงวะไอ้สิ้น”
“ใครว่าฉันขับมันไปล่ะ ฉันลากมันไปต่างหาก ทั้งลากทั้งฉุดทั้งดึง
ดีที่มีคุณลุงคุณป้าช่วยอีกแรง ไม่งั้นคงไปไม่รอดจอดสนิทแน่แกเอ้ย”
ปองขวัญส่ายหน้าให้กับสีหน้าท่าทางตลกๆของคนเล่า
“แต่ไอ้ตอนที่จะซ่อมเนี่ยสิ ดันไม่มีตัวถัง เศร้าเลยแก”
“แล้วทำไมไม่หาตัวถังใหม่ซะเลยล่ะ เห็นบอกจะยกตัวถังใหม่ไม่ใช่เรอะ”
“ก็ถ้ามันสามารถแทนกันหรือพอจะยัดใส่เข้าไปได้บ้างก็คงดีน่ะสิ”
“แล้วแกลืมตัวถังเอาไว้ที่ไหนล่ะ”
“คิดว่าคงจะแถวๆนี้แหล่ะ ฉันมันปลาทอง ขี้ลืมเป็นประจำ
แต่รู้สึกเหมือนตัวเครื่องกำลังร้องรับว่่าตัวถังคงอยู่ไม่ไกล”
คนพูดหัวเราะแหะๆ เพราะไอ้ตัวถังที่ว่านั้นอยู่ที่ใด เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
รู้แค่ว่ามันถูกขโมยไปก่อนที่เธอจะเดินทางไปซ่อมที่ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ
เล่นยกตัวถังไปทั้งชุดอย่างนี้ แล้วจะให้เธอยู่เฉยไม่เสาะแสวงหา
เจ้าขโมยปากแข็งที่เอามันไปได้ยังไงไหว…
“ไอ้เรารึอุตส่าห์พ่นสีกันสนิมตัวเครื่องซะอย่างดี แต่ดันขับไม่ได้ ไม่น่าเลยแก”
หน้าตาแหยๆของเพื่อนที่ดูจะค้านกับบุคลิกภายนอกที่มันดูตลกใช่หยอกเหมือนกัน
“น่า เดี๋ยวฉันจะลองตามหาดูว่าใครมันมาขโมยตัวถังแกไปโดยไม่บอกไม่กล่าว
ถ้าเจอแล้วจะลองเค้นและง้างปากให้ยอมรับออกมาก็แล้วกัน”
ปองขวัญนั่งหัวเราะจนท้องแข็ง เธอว่่าเพื่อนของเธอยังไม่ได้เปลี่ยนไป
อย่างที่คิดเท่่าไหร่เลย โดยเฉพาะความรู้สึกสนิทใจมันยังมีอยู่เหมือนเดิม
แปลก…ทั้งที่จากกันสิบกว่าปี ไม่มีโอกาสแม้จะได้พูดคุยกัน แต่พอได้พบ
ได้พูดคุยกันอีกครั้ง กลับไม่รู้สึกถึงความเขินอายหรือความไม่สนิทใจใดๆ
แม้แต่ตัวเพื่อนของเธอเองก็ยังคุยกับเธอได้เหมือนเดิมอย่างแต่ก่อน
“ว่าแต่ฉันยังสงสัยไม่หายว่าทำไม่แกถึงไปโผล่หัวที่เกาะญี่ปุ่นแทนที่จะเป็น
แถวๆเนเธอร์แลนด์ รึว่าแกลอยน้ำจากทวีปยุโรปกลับมาเอเชียฮ่ะไอ้สิ้น”
สิ้นรักกระตุกยิ้ม ยักไหล่แล้วอธิบายว่าพร้อมกับยกข้อมือขึ้นชี้ไปยัง
สร้อยข้อมือที่ห้อยอยู่ ปองขวัญขมวดคิ้วมุ่น
“ตอนแรกพ่อบันให้ฉันไปเจอกับลุงที่เนเธอร์แลนด์ เพราะลุงติดงานที่โน่น
แล้วฉันเองก็จะได้เที่ยวผ่อนคลายก่อนจะกลับไปญี่ปุ่น ซึ่งนั่นคือเป้าหมายที่แท้จริง
และสิ่งนี้ทำให้ฉันรอดมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาว่ากันว่า
ไข่มุกเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี โชคดีที่ฉันดันลืมมันเอาไว้
ในเสื้อคลุมตัวนอกระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง เพราะก่อนหน้านั้นทางด่าน
เขาให้ฉันถอดเครื่องประดับเพื่อตรวจก่อนขึ้นเครื่อง ฉันกลัวมันจะหาย
เลยยัดใส่ลงไปในตัวเสื้อคลุม แต่ด้วยความรีบผสมกับความเฟอะฟะ
ซึ่งแกก็รู้ดีว่่าฉันมักจะขี้ลืมเวลาตื่นเต้นกับสิ่งใด ฉันก็เลยลืมเสื้อคลุม
เอาไว้ที่เก้าอี้ตรงที่นั่งรอ มารู้ตัวอีกทีก็ขึ้นไปนั่งบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว
ฉันก็เลยขอเขากลับไปเอาของ เขาก็บอกว่าไม่ได้ เครื่องใกล้จะขึ้นแล้ว
นาทีนั้นฉันก็ไม่คิดอะไรหรอก ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีมันไปด้วย
ฉันก็เลยวิ่งหนีลงจากเครื่อง แล้วกลับมาที่ห้องนั่งรอ ดีที่เสื้อคลุมยังอยู่
แต่พอหันกลับไป เครื่องบินก็ลอยลำอยู่บนอากาศไปซะแล้ว
ตอนนั้นฉันไม่อายหรอกแก ของๆใคร ใครก็หวงแกว่ามั้ย”สิิ้นรักอธิบาย
เสียยืดยาว จนคนฟังนั่งหัวเราะหึๆในลำคอ
“นิสัยหวงของขึ้นสมองของแกนี่ก็มีประโยชน์กับเขาเหมือนกัน
ดีนะที่แกไม่ได้ขึ้นไปอยู่ในเครื่องบินลำนั้น พระเจ้าคุ้มครองจริงๆเลยแก”
ปองขวัญกอดเพื่อนเอาไว้อีกครั้งด้วยความดีใจ ใช่ เธอดีใจ
ที่เพื่อนรอดตายมาได้จากเหตุการณ์ครั้งนั้น ก่อนจะผละออกมา
แล้วจับสร้อยข้อมือไข่มุกปลาดาวนั่นด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้
“ใครเป็นคนให้แกมาเหรอไอ้สิ้น”สิ้นรักยิ้มฝืดก่อนจะส่่ายหน้าเบาๆ
“ฉันรู้ว่าแกรู้ แกไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่ฉันจะต้องรู้ให้ได้
ว่าใครให้แกมา เพราะแกเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้มันมาแล้ว”
สิ้นรักยังคงแค่นยิ้มต่อไป
“แล้วทำไมแกไม่บอกว่าแกจะไปญี่ปุ่น แกหลอกพวกฉันว่่าแกจะไปเรียน
ที่เนเธอร์แลนด์ทำไมไอ้สิ้น”คราวนี้คนฟังกลับกลืนน้ำลายเฮือกๆ
มองเพื่อนด้วยแววตาเว้าวอน
“คือ เอ่อ…ฉันแค่…แค่ไม่อยากให้แกกังวล”
“ไม่ใช่ว่าแกคิดจะปิดบัง เพื่อไม่ให้พวกฉันรู้หรือติดต่อแกได้หรอกเหรอไอ้สิ้น”
ปองขวัญคาดคั้นแววตาน้อยใจ
“จริงอย่างที่แกว่่าแหล่ะ ตอนนั้นฉันไม่อยากพบไม่อยากเจอใคร
เพราะความอ่อนแอในหัวใจ ไม่อยากให้แกรับรู้ ไม่อยากให้แกเป็นกังวล
โดยเฉพาะพี่ลม ฉันยิ่งไม่อยากบอก เพราะพี่ลมเขาจะพลอยไม่สบายใจไปด้วย
เดี๋ยวจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แกก็เหมือนกัน
ฉันจึงคิดว่าการจากไปมันน่าจะเป็นทางออกที่ดี แล้วกะไว้ว่า
ถ้าทำใจกับเรื่องพวกนั้นได้เมื่อไหร่แล้วฉันจะเป็นฝ่่ายติดต่อแกกลับไปเอง”
ปองขวัญลอบถอนใจ
“แต่พอมาเจอเหตุการณ์เรื่องเครื่องบินลำนั้นตก พ่อบันก็เลยให้มันเลยตามเลยไป
สู้ให้พวกแกคิดว่าฉันตายไปแล้วดีกว่า แกเองจะได้ไม่ต้องมาห่วงว่าฉันจะเป็นยังไง
อยู่ยังไง แล้วจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย
เพราะฉันรู้ดีว่าอาชีพหมอที่แกใฝ่ฝันมันต้องใช้เวลาและความพยายามแค่ไหน
ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงทั้งแกและพี่ลม
กว่าแกจะเรียนจบก็ใช้เวลาเกือบสิบปีไม่ใช่เหรอปอง
ถ้าแกมัวมานั่งห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องฉัน แกจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างไร
พี่ลมก็เช่นกัน วันนี้ฉันถึงยิ้มได้ที่เห็นความฝันของแกและของพี่ลมเป็นจริง
ฉันจึงตั้งใจจะกลับมายินดี และพร้อมจะกลับมาอยู่ข้างๆแก
ช่วยแกอย่างที่แกเคยช่วยฉัน เราจะไม่ทิ้งกันไปไหนอีก”สิ้นรักจับมือเพื่อน
ราวกับเป็นสัญญา
“ฉันไม่เคยทิ้งแกเลยปอง แกอาจจะไม่เห็นฉัน แต่ฉันเห็นแกตลอด”
“ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่่านมา แกไปทำอะไรอยู่ที่ไหน”
“ทุกที่ที่ฉันอยากไป ฉันก็ได้ไป ทุกอย่างที่ฉันอยากเรียนฉันก็ได้เรียน
ฉันมีโลกเป็นโรงเรียน ลุงดิดไม่เคยจับฉันขังกรง แต่กลับปล่อยให้ฉัน
ได้โบยบินอย่างอิสระ อิ่สระที่ฉันเคยต้องการมาตลอด แต่ตอนนี้ฉันเริ่มอิ่ม
กับมันแล้วล่ะแก ฉันอยากมีรังมีที่พักสักที เหนื่อยน่ะ”ปองขวัญพยักหน้าเข้าใจ
“แล้วแกมีแฟนรึยัง”สิิ้นรักเงียบ
“รึว่ามีจนนับไม่ถ้วน”คนถามเริ่มหยอก เพราะรู้ว่าเพื่อนของตัวเอง
ไม่เคยขาดแฟนได้ หัวใจไม่เคยว่างมาตลอด เลิกคนโน้นก็หันมาควงคนนี้
จนเธอเองก็นับไม่ถูกแล้วเหมือนกัน ว่าเพื่อนของเธอมีแฟนมาแล้วกี่คน
ยิ่งห่างหายไปเป็นสิบปีแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องคิด แต่ผิดคาด เมื่อเห็นคนตรงหน้า
ส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มบาง
“เป็นไปได้ยังไง ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่ต้องมาอำกันเลยนะยะหล่อน
หนุ่มญี่ปุ่นหล่อๆออกเยอะ แกชอบขาวๆอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ”
สิ้นรักยิ้มขันพร้อมอธิบายว่่า
“เมื่อก่อนอาจใช่ แต่หลังจากที่เอาหัวใจไปเข้าอู่มา ฉันก็ไม่อยากมีอีกเลย
เบื่อมั้ง อยู่ๆก็รู้สึกว่ามันไร้สาระ เอาหัวใจไปเสี่ยงโดยเปล่าประโยชน์
ไม่อยากมีแฟนให้เปลืองตัวและหัวใจ อยากจะเก็บสิ่งดีๆเอาไว้ให้สามี
ในอนาคตมากกว่าว่ะแก”ปองขวัญเบิกตาโพลง เลิกคิ้วสูง
ด้วยความแปลกใจ โอ้…นี่ไอ้สิ้นคิดได้อย่่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…
“จริงๆนะ ฉันอยากให้เขาภูมิใจว่าฉันรักษาสิ่งนี้เอาไว้เพื่อเขาอย่างดี
ใครที่ฉันคิดว่าไม่ใช่ฉันก็ไม่อยากเสียเวลาคบ แม้จะเหงาๆในตอนแรก
แต่พอนานๆไปมันก็เริ่มชิน แล้วฉันก็หันมาใช้ชีวิตสนุกสนานกับคุณลุงคุณป้า
คุณตาคุณยาย หันมาศึกษาโลกมากกว่าจะจมปลัก
อยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆไปวันๆ แล้วมันก็ทำให้ฉันเห็นและสัมผัสกับ
อะไรหลายๆอย่่างที่ฉันไม่เคยพบไม่เคยสัมผัส ไม่เชื่อแกก็ดูภาพ
ยอดภูเขาไฟฟูจินั่นสิ”พูดพลางชี้ไปยังภาพบนฝาผนังห้อง
“แกคงจำได้ เพราะฉันเคยส่งมาอวดแก ตอนนั้นฉันสามารถพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุด
และสวยที่สุดในญี่ปุ่นได้สำเร็จ ฉันจำความรู้สึกนั้นได้ไม่เคยลืม
เพราะก่อนหน้านั้น ฉันรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่า ไม่มีความภูมิใจอะไรในตัวเองเลย
เหมือนกับอยู่ไปวันๆ ไม่มีเป้าหมายใดๆในชีวิต จนลุงดิดให้ฉัน
รับหน้าที่พาลูกทัวร์ไปปีนยอดเขานั่นดู ตอนแรกฉันก็ปฏิเสธเพราะไม่มี
กะจิตกะใจจะทำอะไรทั้งนั้น แต่ลุงกับป้าก็คะยั้นคะยอ
จนฉันต้องยอมในที่สุด และที่นั่นทำให้ฉันได้รู้ถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง
ทำให้ฉันค้นพบเป้าหมายในชีวิต ค้นพบความภาคภูมิใจในตัวเองขึ้นมา
รู้สึกถึงคุณค่าในตัว แล้วฉันก็สามารถทำได้ ฉันสามรถพิชิตเป้าหมายได้
แต่แกเชื่อไหมว่าลูกทัวร์ของฉันแต่ละคนนี่อายุปาเข้าไปห้าสิบหกสิบเห็นจะได้
ทั้งคุณลุงคุณป้าคุณตาคุณยาย ทุกคนต่างไม่ย่อท้อ
เหนื่อยเราก็นั่งพักให้พอหายเหนื่อยแล้วปีนต่อ กรุ๊ปของฉันช้ากว่าใคร
แต่สุดท้ายเราก็สามารถทำมันจนสำเร็จ ฉันสามารถพาลูกทัวร์ขึ้นไป
ถึงจุดสุดยอดของเขาลูกนั้นได้ แต่รอยยิ้มแห่งความภูมิใจนั่นมีได้ไม่นานนัก
เพราะว่ามันยังไม่จบ เราทุกคนต้องลงจากเขาลูกนั้น ขึ้นกับลงมันก็เหนื่อยเท่ากัน
แต่ที่ยากคือขาลงเพราะเรี่ยวแรงเริ่มอ่อนล้า ไม่มากเท่่าขาขึ้น
อีกทั้งยังร้อนระอุเพราะอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์
แกคงรู้ว่่าภูเขาไฟฟูจิไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว ที่นั่นมีครบทุกฤดู
ทั้งฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน มันไม่ง่่ายเลยล่ะแก
แต่ฉันและลูกทีมก็สามารถปีนขึ้นและลงมาได้อย่่างปลอดภัยกันทุกคน”
สิ้นรักนั่งเล่าเรื่องราวความหลังไปพลางก็มองภาพยอดภูเขาไฟนั่นไปพลาง
ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ
ปองขวัญยิ้มกว้างกับสีหน้าและแววตานั่นของเพื่อน
“เหนือสิ่งอื่นใดที่ฉันได้รับจากเขาลูกนั้นก็คืิอ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การ
ขึ้นไปจนถึงจุดสูงสุด แต่เป็นการลงมายังจุดต่ำสุดได้อย่างสง่างามมากกว่า
เพราะบางคนขึ้นไปได้อย่างสง่า แต่กลับคลานลงมาอย่างอนาถก็มี
ไม่มีใครจะอยู่บนยอดเขานั้นได้ตลอดหรอก วันนึงเขาก็ต้องลงมา
ยังจุดเดิมที่เคยอยู่ แต่สิ่งที่ได้รับมามีมากกว่าการอยู่เฉยๆ
โดยไม่เคยคิดจะปีนป่ายก็เท่านั้นเอง”ปองขวัญกระชับมือเพื่อนไว้แน่น
อย่างนี้สินะที่ทำให้สิ้นรักคนเดิมยังไม่ไปไหน ยังมีหัวใจที่กล้าแกร่งเสมอ
หากความคิดเท่านั้นที่เปลี่ยนไป เพื่อนเธอเปลี่ยนแนวคิด เลยทำให้ชีวิตเปลี่ยนตาม…
“ฉันภูมิใจในตัวแกเสมอแหล่ะไอ้สิ้น ไม่ว่าแกจะยืนอยู่ตรงจุดไหน
เพราะยังไงๆแกก็ยังเป็นเพื่อนฉันเสมอ”สิ้นรักยิ้มกว้างก่อนจะแตะเบาๆ
ลงบนมือของเพื่อนที่กุมมือเธออยู่
“ขอบใจนะที่แกยังไม่ลืมฉัน”
“ฉันจะลืมเพื่อนที่เคยกินนอนมาด้วยกันได้ยังไง แกน่ะเป็นมากกว่าเพื่อนซะอีก
ขนาดพี่ตามกับพี่ปุ๊ยังไม่เคยนอนร่วมห้องกับฉันเหมือนแกเลย
กว่าจะได้นอนกอดพี่ตามสักทีก็ยากแสนยาก
แต่กับแกน่ะฉันนอนกอดมาตั้งแต่เด็ก แฝดอย่างพี่ปุ๊ยังชิดซ้ายเลยนะขอบอก”
แล้วทั้งสองก็หัวเราะร่าด้วยความยินดี
ใช่ ความสุขกำลังจะมาเยือน…
สิ้นรักพาเพื่อนเดินสำรวจบริเวณรอบๆร้าน ที่ถูกจัดเป็นสวนหย่อม
ขนาดไม่กว้างและไม่แคบจนเกินไป
“ว่าแต่แกยังหาคนที่ใช่ไม่เจออีกเหรอไอ้สิ้น”
“โอ้ย จะรีบไปไหนล่ะ ฉันยังมีเวลาอีกเยอะ สี่สิบปีก็ยังไม่สาย”
ปองขวัญหัวเราะกับคำตอบนั้น
“นี่แกคิดจะแต่งตอนสี่สิบเหรอ ใครเขาจะเอาแก”
“ทำไมยะ สี่สิบแล้วมีอะไร”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่่า แต่งไปห้าปี ประจำเดือนหมด
อู่ก็ปิดทำการ งานไม่เดิน อารมณ์ไม่มี สามีแกจะทนได้เหรอ”
สิิ้นรักหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินอย่่างนั้น
“นี่แกกำลังจะบอกฉันว่า เซกส์ปิดรับสมัครตอนสี่สิบเหรอ
ไม่มั้ง ก็ฉันเห็นคนสี่สิบเขาก็แต่งกันออกเยอะ”สิ้นรักค้านหัวทิ่มดิน
“ใช่ เวลาของร่างกายมันไม่เท่ากับหัวใจหรอกแก ผู้หญิงอย่างเราๆ
ก็มีเวลาปิดอู่เหมือนกัน จะปิดซ่อมบำรุงหรือปิดทำการก็แล้วแต่
แต่ถ้าไม่เคยใช้งานก็อาจจะไม่ต้องซ่อม แต่เรื่องอารมณ์นี่สิ
แกก็รู้ว่าพอหมดประจำเดือนทุกอย่างก็หมดกัน
เรื่องบนเตียงก็ไม่ต้องพูดถึง มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เราต้องยอมรับ
เพราะพอมันจากไปสิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือความจู้จี้จุกจิก ขี้บ่น อันโน้นไม่ดี
อันนี้ก็ไม่ได้ดั่งใจ หงุดหงิดได้ทั้งวันอย่างหาสาเหตุไม่เจอ
เพราะร่างกายอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยน โรคต่างๆก็พยายามหาลู่ทาง
ที่จะเข้าแทรกแซงทั้งโรคทางกายและโรคทางใจ
แกคิดว่าจะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมรับตรงนี้ได้ บางคนอาจจะต้องกลับมาอยู่
บนคานทองเพราะวัยทองนี่แหล่ะ”ปองขวัญอธิบายตามหลักการ
หากอีกคนกลับคิดอีกทางว่่า
“แต่ถ้าหากรักกัน ฉันเชื่อว่่าเขาพร้อมที่จะเข้าใจ เรื่องชีวิตคู่มันไม่ได้มีแค่
เรื่องบนเตียงอย่างเดียวหรอกปอง แต่มันยังมีเรื่องความรักความผูกพัน
ความเข้าใจ จากที่เคยเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมากมาย
แต่วันนึงเมื่อแก่ตัวลงสิ่งนั้นก็ต้องจากไป กลายเป็นคนที่ไม่รู้อะไร
หลังจากที่เคยมีความรู้ ลืมทุกอย่่างที่เคยรู้ มีสภาพไม่ต่างจากเด็ก
ที่ด้อยทั้งกำลังวังชาและปัญญา แต่ถ้าหากเรายอมรับความเปลี่ยนแปลง
และพร้อมจะเข้าใจในความแตกต่าง ชีวิตคู่ก็ไม่น่าจะมีปัญหา
นอกเสียจากว่าเขาจะไม่รักไม่สนใจเราอีกแล้วต่างหาก เพราะบางที
ความรักมันก็มีวันหมดอายุเหมือนกัน”ปองขวัญกระตุกคิ้วมุ่น
กับสิ่งที่เพื่อนเธอพูด ไอ้สิ้นคนเดิมที่เหมือนไม่เคยมีอะไรในหัว
หายไปไหนหนอ…สิ้นรักเห็นแววตาและสีหน้าของเพื่อนก็เริ่มเข้าใจ
“ฉันมีบางอย่างที่แกไม่รู้หรอกปอง ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เลือกทำงานตรงนี้
แล้วการที่ฉันได้ใช้ชีวิตกับลุงๆป้าๆ คุณตาคุณยายที่โน่น พาไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี่
เพื่อช่วยบริษัททัวร์ของคุณลุงคุณป้า ได้ทำงานไปด้วยได้เที่ยวไปด้วย สนุกสุดๆเลยล่ะแก
ไม่มีที่เรียนเป็นหลักเป็นแหล่งหรอก อยากเรียนอยากรู้อะไรก็ไปสมัครเรียนเอาเป็นคอร์สไป
บ้างก็เรียนเป็นเดือน บ้างก็เรียนเป็นปี มีแต่ใบประกาศเป็นสิบๆใบ
แต่ไม่มีใบปริญญาสักใบเดียว”สิ้นรักอธิบายเพื่อนรักด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะชี้ชวนให้นั่งลงตรงม้านั่งในสวนหย่อม แล้วเริ่มเล่าต่อ
“แต่สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ฉันเข้าใจว่าบางทีชีวิตมันก็แปลกๆ
มีอะไรที่เราคาดไม่ถึงเสมอ คนสูงอายุที่ญี่ปุ่นเขาจะท่องเที่ยว
หลังจากที่ตรากตรำทำงานหามรุ่งหามค่ำจนบางครั้งก็ลืมให้ความสุขกับครอบครัว
แต่ที่ฉันยอมรับก็คือผู้หญิงที่นั่นเขาอดทนจริงๆ
สามีกลับบ้านดึก เมียรออยู่ที่บ้าน ทำงานบ้าน เลี้ยงลูก
แต่กลับมาขอหย่ากันเอาตอนอายุห้าสิบ แกว่าไม่แปลกเหรอ ฉันเคยคิดว่า
เขาจะหย่าไปทำไมตอนห้าสิบ ในเมื่อผู้หญิงเป็นฝ่ายขอหย่า
ทั้งๆที่ตนเองคงไม่คิดจะหาสามีใหม่แน่ๆ เพราะด้วยวัยและอารมณ์
อย่างที่แกบอกมาว่ามันหมดแล้ว แต่มันก็มีเหตุผล
เพราะว่าเขาต้องทนมาตลอดน่ะสิ รักไม่รักไม่รู้
หากรู้สึกว่าต้องทนกับอะไรสักอย่าง ฉันว่่ามันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
เขาถึงมาหย่่าเอาตอนที่สามีเกษียณแล้วแต่ก็มีหลายคู่ที่ยังคง
ประคับประคองช่วยกันครองรักแล้วพากันเที่ยวไปในโลกกว้าง
หลังจากที่ช่วยกันเก็บหอมรอมริบในช่วงหนุ่มสาว ยามที่กำลังวังชายังดีอยู่
แต่ถ้ามองอีกมุม เขาทนเพื่ออนาคต แต่ถ้าเกิดเขามาตายไปซะก่อนที่จะแก่
แกว่าความสุขที่เขาหมายปองมันจะมีโอกาสเกิดขึ้นมั้ย นั่นแหล่ะคือปัญหา
โลกแตก”สิ้นรักอธิบายเสร็จก็ยิ้มกว้าง เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนจริงๆ
เธอเข้าใจว่าหลายๆคนเองก็กลัวการมีครอบครัว กลัวความไม่แน่นอน
แต่ความไม่แน่นอนมันเป็นธรรมดาของโลกกลมๆที่หมุนอยู่
เราไม่รู้หรอกว่ามันจะหมุนพาเราไปทางไหน
ถ้าเรากลัวเสียแล้ว เราก็จะไม่กล้าที่จะเสี่ยง บางทีมันก็ต้องเสี่ยง
กับความไม่แน่นอนของโลกดูสักตั้ง
“ฉันรู้ว่าแกกำลังกลัวกับอะไรบางอย่าง แต่ถ้าแกไม่ลองกล้า
แกก็จะไม่รู้หรอกว่า ผลลัพธ์มันจะเป็นยังไง ไม่มีใครเขาตายเพราะความรักหรอกปอง
มีแต่คนเขาพร้อมจะยินดีกับมันมากกว่า
ความเจ็บปวดไม่ได้น่ากลัวอย่่างที่คิด แกอย่าปิดหัวใจเพราะความกลัวเลย”
ปองขวัญหันมามองเพื่อนที่ตอนนี้จับมือเธอเอาไว้มั่น
สิ้นรักเองรู้ดีว่าเพื่อนคิดยังไง เพราะเธอไม่เคยจากไปไหนเลยจริงๆ
ยังนั่งมองชีวิตของเพื่อนมาตลอดด้วยซ้ำยามมีเวลา
“แกไม่เข้าใจฉันหรอกไอ้สิิ้น ที่ฉันไม่อยากมีใคร
เพราะว่่าฉันไม่ปรารถนาจะมี และไม่คิดจะแต่งงานด้วย
จะอยู่เป็นโสดเกาะคานไปจนวันตายมันนี่แหล่ะ”ปองขวัญพูดด้วยน้ำเสียงมาดมั่น
สิ้นรักพยักหน้าเข้าใจ สงสัยเธอคงต้องทำอะไรบางอย่างเสียแล้ว
แต่ก่อนอื่น เธอต้องหาต้นตอของสาเหตุให้เจอเสียก่อน
“งานเข้าแล้วสิเรา”อยู่ๆสิ้นรักก็เปรยออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ
ปองขวัญหันมายิ้มเพราะเข้าใจความนัย
ปัจจุบัน
สิ้นรักนั่งจัดดอกไม้อยู่ตรงเก้าอี้ตัวโปรด
ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับกำลังรวบรวมสมาธิให้เป็นหนึ่งเดียว
เพราะนี่ยังเช้าอยู่มาก ลูกค้าเลยยังไม่เข้าร้าน
เธอจึงมีเวลานั่งจัดดอกไม่เพื่อทำสมาธิ
แต่ทุกอย่างเป็นอันต้องพังลงเมื่ออยู่ๆก็ได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าร้านดังขึ้น
หญิงสาวหันไปทางหน้าร้าน ก่อนจะตกใจ ยืนนิ่ง
มองหน้าแขกที่มาเยือนด้วยแววตาตระหนก ใจสั่น เต้นไม่เป็นจังหวะ
ราวกับมีกลองนับหมื่นกำลังรัวอยู่ในหัวอก
แล้วทุกอย่างก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วยสายตาคมคู่นั้นของเขาที่จ้องมองมาไม่วางตา
เขาที่กำลังย่างเข้ามาหาเธอทีละนิดๆราวกับภาพฝัน
แต่มันไม่ใช่ความฝัน เมื่ออยู่ดีๆคนตรงหน้าก็คว้าเธอเข้าไปกอดเอาไว้แน่น
ในอ้อมอกกว้างใหญ่นั้นนิ่งนาน ซบหน้าลงตรงผมของเธอ
ทำให้เธอรับรู้ได้ถึงจังหวะการเต้นของหัวใจของเขาและของตัวเองที่สอดประสานไปด้วยกัน
ไม่มีคำพูดใดๆเลยนอกจากเสียงหัวใจและลมหายใจที่รวยรินเป่ารดตรงต้นคอของเธอเท่านั้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่เธอตกอยู่ในอ้อมกอดนั่น
เธอก็ได้ยินเสียงห้าวลึกทว่านุ่มนวลอ่อนโยนนักในความรู้สึกว่า
“ขอบใจที่กลับมา”
////////////////////////
อ้อมกอดของใครกันหนอ...อิอิ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ต.ค. 2555, 13:32:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ต.ค. 2555, 13:34:00 น.
จำนวนการเข้าชม : 3547
<< ยกนำ...ปริศนาปลาดาว | ยกที่ 56 ฝากความยินดี >> |

pookza 8 ต.ค. 2555, 14:31:10 น.
ล็อกอินเข้ามาไลค์กับเม้นท์โดยเฉพาะค่ะ ฝนตกรักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ล็อกอินเข้ามาไลค์กับเม้นท์โดยเฉพาะค่ะ ฝนตกรักษาสุขภาพด้วยนะคะ


mhengjhy 8 ต.ค. 2555, 15:21:32 น.
พี่รังแน่เลยยยยย
พี่รังแน่เลยยยยย


AprilSK 8 ต.ค. 2555, 16:10:29 น.
ด้วยความสงสัย ทำไมหมอรังถึงไม่คุยกับปองขวัญเรื่องสิ้นรักทั้งๆ ที่ทำงานที่เดียวกันล่ะคะ ไม่งั้นคงได้เจอตัวไปตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน
ด้วยความสงสัย ทำไมหมอรังถึงไม่คุยกับปองขวัญเรื่องสิ้นรักทั้งๆ ที่ทำงานที่เดียวกันล่ะคะ ไม่งั้นคงได้เจอตัวไปตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อน

ปิศาจสัญจร 8 ต.ค. 2555, 16:30:55 น.
อ่านแล้วคิดมากเลย
เกิดก่อนแฟนตั้ง7ปี พอเราอายุ40กว่าหยั่งว่า
ไม่อยากคิดเลย ปัญหาโลกแตก บรื๋ยยย
อ่านแล้วคิดมากเลย
เกิดก่อนแฟนตั้ง7ปี พอเราอายุ40กว่าหยั่งว่า
ไม่อยากคิดเลย ปัญหาโลกแตก บรื๋ยยย

คนเหงา 8 ต.ค. 2555, 17:25:30 น.
ลงรอบนี้ เอาให้จบ นะค่ะ รออยู่
ลงรอบนี้ เอาให้จบ นะค่ะ รออยู่

goldensun 8 ต.ค. 2555, 17:58:56 น.
อยู่ๆ ปองก็โกรธลม แล้วที่ทำงานกับหมอรังนี่ ยังสนิทหรือห่างๆ กันไปคะ เพราะตามเรื่องสิ้น ได้โปสการ์ดจากสิ้น แต่ไม่เคยบอกหมอรังเลย เจอตัวแล้วก็เงียบ ปล่อยให้หมอรังหาเจอจากใบปลิวซะงั้น
แล้วหมอรังเห็นสิ้นก่อนที่ปองจะสรุปเรื่องสิ้นได้ หรือหลังกัน
อยู่ๆ ปองก็โกรธลม แล้วที่ทำงานกับหมอรังนี่ ยังสนิทหรือห่างๆ กันไปคะ เพราะตามเรื่องสิ้น ได้โปสการ์ดจากสิ้น แต่ไม่เคยบอกหมอรังเลย เจอตัวแล้วก็เงียบ ปล่อยให้หมอรังหาเจอจากใบปลิวซะงั้น
แล้วหมอรังเห็นสิ้นก่อนที่ปองจะสรุปเรื่องสิ้นได้ หรือหลังกัน

konhin 8 ต.ค. 2555, 19:39:22 น.
เอาให้จบนะคะ รออยู่ๆๆ
เอาให้จบนะคะ รออยู่ๆๆ

mallow 8 ต.ค. 2555, 19:59:21 น.
ขอโทษทีนะคะ หายจากการคอมเม้นต์ไปนาน ไม่ได้ไปไหนนะคะ แต่แค่ยังไม่ว่างเม้นท์หาค่ะ มาอัพคานน้อยต่อนะคะ อยากอ่านเรื่องราวของพี่เพลิงต่อเร็วๆค่ะ จำได้ว่าหยุดอัพไปตอนกำลังสนุกเลยค่ะ รออ่านอยู่ค่ะ เ็นกำลังใจให้นะคะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะช่วงนี้ฝนตกบ่อยค่ะ
ขอโทษทีนะคะ หายจากการคอมเม้นต์ไปนาน ไม่ได้ไปไหนนะคะ แต่แค่ยังไม่ว่างเม้นท์หาค่ะ มาอัพคานน้อยต่อนะคะ อยากอ่านเรื่องราวของพี่เพลิงต่อเร็วๆค่ะ จำได้ว่าหยุดอัพไปตอนกำลังสนุกเลยค่ะ รออ่านอยู่ค่ะ เ็นกำลังใจให้นะคะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะช่วงนี้ฝนตกบ่อยค่ะ



yoon 9 ต.ค. 2555, 21:19:32 น.
สุดยอดของการติดตามว่า นาโนไปไหน แล้วก็ทำให้ยิ้มได้ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
สุดยอดของการติดตามว่า นาโนไปไหน แล้วก็ทำให้ยิ้มได้ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ