พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว # จุฬามณี (ลิขสิทธิ์ สนพ.มายดรีม)
เรื่องย่อ พระอาทิตย์ขึ้นในคืนหนาว

เป็นเรื่องราว ของ มาลี สาวน้อยวัย 20 ปี ลูกกำพร้าพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็ง มาลี กับแม่และน้องชาย มารุต อาศัอยู่กับญาติห่าง ๆ ข้างพ่อ ซึ่งทำรีสอร์ตและการท่องเที่ยงท้องถิ่นอยู่ที่อุ้มผาง..

วันหนึ่ง กลยุทธและคณะไปเที่ยวล่องแก่งน้ำตกทีลอซู แล้ว เขาชอบมาลีจึงสานความสัมพันธ์ ส่วนมาลีนั้น เจอลูกทัวร์จีบจนชาชิน แต่กลยุทธก็ทำให้มาลีหวั่นใจอยู่ไม่น้อย..

หลังจากคณะของกลยุทธกลับไป..ทางป้า ก็บีบบังคับให้มาลีไปเรียนต่อกรุงเทพฯ พักอยู่กับนันทาลูกสาว เพราะว่าต้องการให้อนันต์ลูกชายของตัวเองแต่งงานกับคนที่รวยกว่า..

มาลีมาอยู่กรุงเทพฯ โดยที่ชัชชัย เพื่อนของนันทา ซึ่งเคยไปหาข้อมูลเขียนหนังสือมารับที่แม่สอด(ชัชชัยอ้างว่ามาธุระแถวนั้นพอดี)..มาลีกับชัชชัยนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมา เพราะตอนที่ชัชชัยมาอยู่อุ้มผางเพื่อหาข้อมูลเขียนสารคดี ตามคำแนะนำของ นันทา (ชัชชัยเป็นเพื่อนกับนันทา) มาลีแกล้งชัชชัยเพราะว่าไม่ชอบผู้ชายไว้ผมยาวกับปากไม่ค่อยดี..

ที่บ้านทาวเฮ้าส์ของนันทานั้นอยู่หมู่บ้านเดียวกับกลยุทธที่มีน้องสาวชื่อกุลกัญญา และช่วงที่ยังไม่ได้เข้าเรียน ต่อที่รามคำแหงมาลีก็ได้คำแนะนำจากศรีวรรณเพื่อนข้างบ้านของนันทาให้ให้ไปทำงานฆ่าเวลาเป็นแม่บ้านบนตึกสูงกลางเมือง มาลีที่อยู่กับนันทาแบบคนใช้ (นันทากดไว้เพราะมาลีมาด้วยทุนของแม่) ที่คิดเบื่อบ้านจึงไปทำงานตามคำแนะนำของศรีวรรณ

และบนตึกสูงนั้น มาลีก็ได้รู้ว่าเธอทำงานในตำแหน่งแม่บ้านซึ่งมีกลยุทธทำงานที่นั่นด้วย และมาลีก็ได้รู้จักสังคมรอบ ๆ ตัวของกลยุทธมากขึ้น มาลีรู้ว่ากลยุทธเป็นที่หมายปรองของรมมณีย์ลูกสาวของเจ้าของประธาน
บริษัทฯ

กลยุทธนั้นอึดอัดกับความรักที่รมณีย์มีให้ เพราะเขาทนกับปากของเพื่อนร่วมงานไม่ได้ เขาสานความสัมพันธ์กับมาลีมากขึ้น จนกระทั่งรมณีย์ที่เป็นเพื่อนกับชัชชัย ต้องดึงชัชชัยมาช่วยทำให้มาลีกับกลยุทธเข้าใจผิดกัน...

ชัชชัยนั้นชอบมาลีเป็นอย่างมาก เขาพยายามเอาอกเอาใจมาลีสารพัด แต่มาลีคิดว่า ชัชชัยนั้นเป็นคู่รักของนันทา ทำให้มาลีไม่เปิดใจให้ชัยชัย..

และมาลีจะเลือกใครระหว่างกลยุทธกับชัชชัย..

Tags: รักสามเส้า เราสามคน

ตอน: 25.

25.



เมื่อออกจากร้านอาหารญี่ปุ่น มาลีก็ถอนหายใจก่อนเรอตามมา

“เป็นอะไร” ชัชชัยที่เดินอยู่ข้างกันอดสงสัยไม่ได้

“แล้วจะบอก เอาเป็นว่า คุณทำอย่างไรก็ได้ ที่ทำให้เราไม่ต้องไปร้านเวียดนาม
หรือออกไปจากห้างนี้ได้เลยยิ่งดี”

“มีอะไร”

“จะบอกที่บ้าน”

เมื่อส่งเรื่องให้ชัชชัยไปแล้ว ความปรารถนาจึงบรรลุไปอย่างไม่ยากเย็น
แต่ในโรงภาพยนตร์ มาลีก็แทบจะกลายเป็นคู่รักของชัชชัยไปจริงๆ เพราะว่ารมณีย์นั่งติดกับกลยุทธถัดมาเป็นกุลกัญญาและเธอกับชัชชัยที่ยิ้มกริ่ม เมื่อหนังรักโรแมนติกที่พยายามให้คนดูนั้นติดอยู่ในบ่วงตัณหาราคะดำเนินเรื่องไป ชัชชัยก็ก้มหน้ามากระซิบว่า

“มีอะไรรึ”

เสียงผะแผ่วที่ริมกกหู ทำให้หัวใจของมาลีเต้นแรงจนยากควบคุม “เอาไว้คุยกันที่บ้าน” มาลีตอบกลับไป พร้อมกับมือที่พยายามผลักคนที่ฉวยโอกาสใช้บรรยากาศในโรงหนังเข้าช่วยบอกความในใจ

“อยากรู้ตอนนี้ บอกหน่อยนะ”

ชัชชัยยังคงอ้อน มาลีจึงหยิบป๊อปคอร์นจากมือกุลกัญญายัดใส่ปากเขา เพื่อยุติการสนทนา

เรื่องจุ๊กจิ๊กที่ด้านซ้ายมือระหว่างมาลีกับชัชชัย ทำให้กลยุทธถึงกับระบายลมหายใจที่เต็มไปด้วยความหึงหวงออกมา รมณีย์เองก็พยายามเอาอกเอาใจเขาชนิดที่ใครๆ เห็นก็จะต้องบอกว่าเป็นการกระทำที่คู่รักพึงปฏิบัติต่อกัน

กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจากตัวหญิงสาวทำให้เขาเริ่มรู้สึก ‘ระอุ’ เขาลอบระบายลมหายใจออกมาหลายๆ ครั้ง สับสนกับตนเองเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร? ผู้หญิงจากข้างซ้ายหรือขวา


เมื่อรถของชัชชัยจอดลงที่หน้าบ้าน รถของรมณีย์ก็วิ่งแซงออกสู่ถนนใหญ่ มาลีมองตามรถราคาแพงคันนั้นแล้วถอนหายใจออก ความดีความน่ารักรวมถึงความปรารถนาของรมณีย์ อาจทำให้เธอเดินถอยออกมาจากกลยุทธ

“กลับบ้านเลยใช่ไหม” มาลีหันมาถามคนขับที่ยังนั่งครุ่นคิด

“มีเรื่องอะไรกัน” ชัชชัยวกมาหาเรื่องที่ตนเองอยากรู้

“วันนี้คงเป็นอีกวันที่กุลมีความสุขที่สุด”

“เรื่องของกุลถือว่าดีแหละ แต่แก้ไขอีกนิดหน่อยก็สมบูรณ์ หลังจากนั้นจะให้คุณแม่ดูให้อีกที ถ้ามีแก้อีกครั้ง ก็คงได้ลงนิตยสารได้”

“กุลแอบมีแฟน” มาลีบอกเรื่องที่ตนรู้ให้ชัชชัยได้รับรู้ไว้ด้วย

“ฉันเป็นคนทำให้เขาได้พบกัน” มาลีเล่าแบบครุ่นคิดไปด้วย สายตาของหญิงสาวจับอยู่ที่ถนนเข้าหมู่บ้าน มาลีระบายลมหายใจออกมา สีหน้าครุ่นคิดหนักใจนั้นแสดงถึงความมีน้ำใจต่อใครสักคนนั้น ทำให้ชัชชัยละสายตาจากเสี้ยวรูปหน้านั้นไม่ได้ จังหวะนั้นมาลีหันมาสบตา

“มีอะไรที่ผมพอช่วยคุณได้ ผมยินดีช่วยขอให้คุณบอกผมเท่านั้น”
มาลีรีบเบนสายตาไปทางอื่น

“ขอบคุณนะคะ” มาลีเปิดประตูรถ

“ยังเล่าไม่จบเลย” เขาเอื้อมมือมาจับมือมาลีไว้

“เอาไว้เล่าวันหลังแล้วกัน ง่วงนอนแล้ว”

มาลีพูดจบเขาคลายอุ้งมือ มาลีเปิดประตูรั้ว ประตูบ้านปิดประตูแล้วเปิดไฟ ชัชชัยจึงได้เคลื่อนรถออก


เมื่อจัดการงานบ้านเสร็จเรียบร้อย มาลีอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอน เสียงโทรศัพท์ร้องเรียกจากกลยุทธก็ดังขึ้น

“มีอะไรหรือคะ” ความตื่นเต้นที่เคยมี มาลีรู้สึกได้ว่ามันจางลง

“มีอะไรคุยกันไหม”

“แล้วคุณยุทธมีอะไรอยากคุยไหม”

มาลีย้อนถามกลับไป ทำไมเธอจะต้องเอาลักษณะการถามย้อนกลับแบบนี้ของนายชัชชัยมาใช้ด้วยนะ

“กับคุณรมณีย์ผมยังรู้สึกกับเธอเหมือนเดิมนะ ผมให้เธอได้แค่เจ้านายในที่ทำงานเท่านั้น แต่สำหรับมาลีมันเป็นความรู้สึกพิเศษจริงๆ”

“ค่ะ”

“มาลีมีใจให้นายคนนั้นเหมือนกันใช่ไหม” เขาถามตามตรง

“ไม่ค่ะ คงเป็นความรู้สึกเดียวกับคุณ เอาอย่างนี้ดีกว่า คืนนี้เราอย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลย นอนเถอะค่ะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ฉันเองก็อยากพักผ่อนเหมือนกัน”

“มาลี” เขาเรียกชื่อเธออีกรอบ

“ผม เออ” เขาอ้ำอึ้ง

“มาลีเข้าใจค่ะ คุณเองนั่นแหละควรถามใจตัวเองให้ดี จำได้ไหม เราเคยคุยกันแบบเปิดอกมาแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย ให้เวลาตัวเองเถอะค่ะ แค่นี้นะคะ”

ว่าแล้วมาลีก็กดตัดสัญญาณโทรศัพท์

แล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังอีกรอบ มาลีพลิกดูกลายเป็นนิวัฒน์คนที่มาลีอยากคุยด้วยที่สุด

“แกคิดอย่างไรกับกุลแน่” มาลีรีบถามข้อข้องใจ

“เขาก็น่ารัก เอาอกเอาใจ มีเรื่องคุยได้ทั้งวัน” นิวัฒน์บอกตามตรง

“ถ้ามีคนอื่นแล้วก็ควรบอกเขา หรือจะให้ฉันบอก” มาลีรวบรัด

“เดี๋ยวข้าบอกเขาเองแหละ แต่อยากบอกแกให้รู้ไว้ว่าข้าไม่ได้คิดหลอกลวงกุลเขานะโว้ย ถามจริงๆ เถอะมาลี แกไม่รู้จักคำว่าคบเผื่อเลือกหรือไงวะ ทุกๆ คนมันก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น”

“เห็นแก่ตัว”

“เออ ยอมรับ ขอบใจนะที่ช่วยในวันนี้”

“เขากับหลินเพื่อนกันนะแก สับรางให้ถูกละกัน อย่าให้เพื่อนกับเพื่อนต้องเกลียดกันอีกล่ะ”

เมื่อวางสายจากนิวัฒน์แล้วมาลีครุ่นคิด ‘คบเผื่อเลือก’ หรือเธอเองก็เป็นอย่างนั้น ใครๆ ก็เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า กลยุทธ สมศักดิ์ แม้ว่าพูดเสมอว่ากำลังจีบวรรณา แต่เธอก็เห็นเขาพูดหยอกกับสาวๆ ในแผนกอื่น วรรณาเอง ได้ยินว่าชอบกลยุทธก็ยังมีแซวข้ามแผนกเช่นกัน

หัวใจจะหยุดที่ใครสักคนหนึ่ง มันจะมีเครื่องหมายอะไรบอกหรือ?


นานทีจะได้หยุดวันอาทิตย์แต่จะอยากตื่นสายๆ เอาใจ สุขภาพร่างกาย แต่ตรีทศก็ลุกขึ้นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมหุงหาข้าวปลาสำหรับมื้อเช้า วิจักษ์ลุกจากที่นอนในเวลาเกือบสองโมงเช้า เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เขาก็นุ่งกางเกงขาสั้นลายพรางและเสื้อกล้ามสีขาวที่ตรีทศเพิ่งซื้อให้ลงมาจากชั้นบน

เมื่อเห็นว่าตรีทศกำลังง่วนอยู่กับการเช็ดทำความสะอาดครัว เขาเองรู้สึกผิดขึ้นมาทันที ตรีทศเป็นคนสะอาดอย่างมาก บ้านช่องเขาจะถูโดยไม่ใช้ไม้ แต่จะนั่งถัดขยับใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดตามซอกตามมุม

เขาเองแม้ได้ช่วยแบ่งเบาในช่วงหลังกลับมาจากทำงาน แต่พี่ตรีทศก็ยังคงทำงานแบบเดิมๆ ของตน

“ตื่นแต่เช้าเลยนะครับ”

เขาร้องทักด้วยทีท่าประดักประเดิด ทุกๆ ครั้งที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาจะรู้สึกประหม่าแทบคิดคำพูดหรืออะไรไม่ออกเลย มันกังวล มันเกรงใจ มันกลัวว่าเขาจะคิดเป็นอื่น กลัวตอบสนองสิ่งที่อีกคนต้องการไม่ได้

“นานๆ ได้อยู่บ้านนานๆ ก็อยากทำให้มันเกลี้ยงเกลาสบายตา”

“ฝีมือผมทำไว้คงไม่เข้าที”

“ไม่หรอก มาตรฐานพี่สูงเกินไป ที่จักษ์ทำก็โอเคอยู่แล้ว เป็นผู้ชาย ปัดกวาดเช็ดถูบ้านนี่ได้ก็ดีแล้ว พี่อยู่กับพี่แดง แกก็ทำงานบ้านแบบลวกๆ ไม่ได้ประณีตเรียบร้อยแบบผู้หญิง จานชามก็คว่ำแบบขอไปที”

วิจักษ์ทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหารที่มีฝาชีครอบอาหารเช้าไว้ ตรีทศละมือจากผ้าขี้ริ้วผืนเล็ก แล้วล้างมือกับก๊อกน้ำ เปิดลิ้นชักใช้ผ้าขนหนูอีกผืนซับมือ แล้วเดินมานั่งเคียงกัน

“หิวข้าวแล้ว กินข้าวกัน”
วิจักษ์จัดแจงเปิดฝาชี เดินไปหยิบจานสองใบตักข้าวจากหม้อใส่จานของพี่ตรีทศเพียงทัพพีเดียว

“ผมว่าพี่ทานน้อยไปนะครับ น่าจะมื้อละสองทัพพี จะได้มีแรงทำงาน”

“กลัวอ้วน”

“ผมว่าพี่ผอมไปด้วยซ้ำ สองทัพพีนะครับ มีเนื้ออีกนิดจะทำให้ดูดีกว่านี้”

วิจักษ์ไม่ฟังคำทัดทาน เขาตักข้าวให้ตรีทศสองทัพพี แล้วตักให้ตนเองสี่ทัพพี
ข้าวพูนจานมีควันฉุยถูกยกมาวางตรงหน้าตรีทศ

“ถ้ากินไม่หมดจะถูกไม้เรียวนะ”

“หมดอยู่แล้วครับ ฝีมือพี่อร่อยทั้งนั้นเลย”

วิจักษ์ยิ้มแย้มมีความสุข ตรีทศได้เห็นพลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย

“เล่าเรื่องพี่แดงกับแฟนเขาให้ผมฟังบ้างซิครับ อยากรู้เหมือนกัน”

“จำเมื่อปี 49 ได้ไหม ที่พี่กับเพื่อนๆ ไปเที่ยวน้ำตกทีลอซูกัน”

“เดือนธันวาคม” วิจักษ์ทวนความจำ

“ทำไมจำเดือนได้”

“ก็ พี่คนพิเศษไง เลยไม่ลืม”

“พิเศษอย่างไร” ตรีทศย้อนถามพลางตักหมูทอดให้วิจักษ์หนึ่งชิ้น แล้วตักใส่จานตัวเอง

“ก็คนบ้านเดียวกันมาอยู่ กรุงเทพฯ จนได้ดิบได้ดี กลับไปมีนามบัตรให้ผม คงเป็นลิขิตมั้งครับ ผมเก็บนามบัตรพี่ไว้ แล้วก็นึกถึงอยู่เรื่อยๆ ผมไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้มาอาศัยใบบุญของพี่”

“อาศัยอะไร ช่วยๆ กัน พี่เองก็เคยมีคนช่วยแบบนี้ แต่พี่ไม่ได้เจียมตัวอย่างจักษ์หรอก”

“ฮะ”

“พี่แดง เป็นพี่ที่ทำงานใน catering service ตอนนั้นพี่อยู่ร้านอาหารเป็นเด็กเสิร์ฟ เรียนหนังสือไปด้วย พี่ชอบใครสักคนในกลุ่มนั้น” ตรีทศจงใจเปิดเผยเรื่องตัวเองให้วิจักษ์ได้รับรู้

“พอพวกเขามาที่ร้าน พี่ก็บริการสุดฤทธิ์ เดินป้วนเปี้ยนไปบริการบ่อยๆ จนสนิทกัน แล้วพอพี่เรียนจบ พี่แดงก็ฝากพี่ให้เข้าทำงานในบริษัทซับคอนแทค แล้วพี่แดงก็ชวนพี่ไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น ในฐานะน้องชาย แต่คนก็เม้าท์กันว่าเป็นคู่ขา ต่างคนต่างบริสุทธิ์ใจก็ไม่ได้มีอะไรกัน จนพี่ได้เป็นสจ๊วต สนามบินย้ายจากดอนเมือง พี่ก็เลยมาซื้อบ้านอยู่ที่นี่คนเดียว”

“แล้ว ใครคนนั้น” วิจักษ์ยังไม่วายสงสัย

“แต่งงานไปนานนมแล้ว แม้ไม่ได้ครอบครอง ขอให้ได้เห็นก็ยังดี ตอนนั้นพี่คิดอย่างนั้น แล้วพี่ก็มุมานะ ฝึกภาษาอังกฤษ จนสอบสจ๊วตติด ช่วงนั้นพี่แดงเขาก็วุ่นวายอยู่กับเรื่องเจ้าสาวเด็กกว่า 20 ปีที่พ่อแม่หาให้ ทริปนั้นเป็นทริปฮันนีมูนของเขาสองคน แต่พี่เป็นเจ้าถิ่นพี่ก็เลยไปด้วย จนได้พบจักษ์ ตอนนี้เมียแกท้องแล้วนะ แกก็เลิกหมดเลยเหล้าบุหรี่ เที่ยวเตร่ ชีวิตแกสมบูรณ์ขึ้น ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า จากสำมะเลเทเมา แค่ผู้หญิงคนเดียวทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนไปได้ ความรักทำให้ชีวิตคนเปลี่ยนไปได้”

วิจักษ์ตักคะน้าคืนให้ตรีทศบ้าง

“จักษ์เองเจอใครถูกใจบ้างหรือยัง” ตรีทศเปลี่ยนหัวข้อสนทนา วิจักษ์ไม่คิดว่าตรีทศจะถามด้วยคำถามนี้

“ผมถูกใจเค้าแต่เค้าไม่ถูกใจผม”

“ปัญหานี้มีแทบทุกคน เขาเรียกว่ารักเขาข้างเดียว แต่พี่บอกไว้ก่อนนะจักษ์ อย่าได้ไปทุกข์ร้อนมัน เรามุ่งมาหาตัวเราดีกว่า ทำตัวให้ดีๆ มีคุณค่า เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาหาเราเอง”

“ครับ”

“งานเป็นไงบ้างสบายใช่ไหม”

“เบื่อครับ สมองจะฝ่อเอา”

“ให้เอาชีทไปท่องด้วย ฉีกไปเลยวันละหน้า”

“ครับ ผมก็ทำอย่างนั้น”

“เรียนให้จบปริญญาตรีนะ หลังจากนั้นค่อยว่ากัน ไม่มีใครแก่เกินเรียน ไม่มีคำว่าช้าสำหรับการศึกษา พี่เองคงไม่มีใครหรอก อยู่กันไปอย่างนี้ อย่างพี่อย่างน้อง มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน”

“แต่ผมเกรงใจพี่”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เต็มใจ พี่มีความสุข พี่มีเพื่อน จักษ์ทำให้พี่ไม่เหงาจนเกินไป ทำให้จิตใจพี่ไม่หยาบจนไร้ความรู้สึกใดๆ อีก” น้ำเสียงตรีทศแฝงไว้ด้วยความเศร้า
วิจักษ์ค่อยๆ เคี้ยวข้าว พลางครุ่นคิด อยากปรึกษาเรื่องที่จะมีคนพาส่งเข้าประกวดนายแบบ แต่มาคิดดูแล้ว เขาก็กลัวพี่ตรีทศจะห้ามปราม แค่เรื่องของไอ้วัฒน์พี่ตรีทศยังบ่นยกใหญ่เลยว่า ฝันลมๆ แล้งๆ เขาเองก็อยากจะคิดอย่างนั้น แต่เมื่อคนร้อยคนที่เดินผ่านเขาแล้วมองหน้าหรือทักในทำนองที่ว่าหน้าตาดี ทำไมเขาจะอยากลองดูบ้างไม่ได้

“เงินพอใช้หรือเปล่า”

“พอครับ พอ ผมไม่ได้ใช้อะไร แล้วพี่ก็ซื้อเสื้อผ้ามาให้ผมเรื่อย ของใช้ส่วนตัวอีก ของกินในตู้เย็นอีก ผมเสียแค่ค่ารถกับค่าอาหารกลางวันเองครับ”

“ส่งเงินให้พ่อแม่ใช้บ้างนะจักษ์”

“ครับ”

“ให้มากให้น้อยก็ต้องให้ เพราะมันเป็นหน้าที่ของลูก ลูกชายเสียด้วย”

“ครับ”

“พี่ขี้บ่นไหม ไอ้วัฒน์มันเบื่อพี่จะตาย สมัยอยู่กับมัน พี่บ่นเช้าบ่นเย็น บ่นทุกครั้งที่
เจอหน้า ได้โทรหามันบ้างหรือเปล่า”

“ว่าจะโทรทีไรก็ลืมทุกที แต่ก็บอกมันไปว่า ถ้าได้เป็นนายแบบเมื่อไหร่อย่าลืมโทรบอก”

“แล้วมาลีล่ะ โทรหาบ้างไหม”

“ผมไม่กล้าโทร” น้ำเสียงนั้นดูจำนน

“ชอบเค้าซิ” ตรีทศจี้ใจดำ

“ครับ ชอบเค้า จึงตัดสินใจออกจากงานป่าไม้เพื่อตามเขามา”

“พี่เอาใจช่วยนะ แต่อย่างมาลี พี่ว่าเธอใจแข็ง ถ้าบอกว่าไม่ ก็น่าจะไม่ เพราะฉะนั้นจักษ์ตัดใจได้เลย”

“พยายามอยู่ครับ พยายามอยู่”

“มีใครมาจีบบ้างไหม” ตรีทศถามตรงๆ อีกแล้ว

“มีครับ เต็มไปหมด”

“เลือกหน่อยละกัน ระวังเอดส์ พกถุงบ้างก็ดีนะ ผู้หญิงสมัยนี้ก็ไวไฟใช่ย่อยเหมือนกัน ระวังจะถูกนับแต้มล่ะ”

“ฮะ นับแต้มคืออะไร” วิจักษ์งุนงงแล้วตรีทศก็ได้อธิบายให้หนุ่มหน้าซื่อจากบ้านป่าได้รับรู้



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ก.ย. 2555, 09:40:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ก.ย. 2555, 09:40:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1682





<< 24.“ไปไหนของเขานะ อยากแนะนำให้กุลรู้จักไว้”   26.1 “ผมเอาขนมมาให้ครับ” >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account