ความทรงจำในผืนทราย(My Last Memory)
บทสวดแห่งความตายนำวิญญาณของฟาโรห์หนุ่มให้คืนชีพ
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
Tags: รัก,ฟาโรหื
ตอน: บทที่ 1 โถศิลาอลาบาสเตอร์
ความทรงจำในผืนทราย
My Last Memory
.............................
บทที่ 1 โถศิลาอลาบาสเตอร์
เสียงเพลงอันไพเราะซึ่งขับขานโดยนกกระจิบตัวน้อยดังอยู่บนต้นไม้นอกหน้าต่างห้องของคฤหาสถ์อันใหญ่โตแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพมหานคร เสียงไอของผู้ที่อยู่ภายในห้องทำให้พวกมันต้องหยุดและเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะเริ่มส่งเสียงร้องต่อ เสียงจามติดต่อกันถึงสามครั้งทำให้เจ้านกน้อยชะงักและกระพือปีกบินหนีไปด้วยความตกใจ หน้าต่างกระจกถูกเลื่อนออกพร้อมใบหน้างามหมดจดของหญิงสาวคนหนึ่งชะโงกออกมา เธอทำหน้าผิดหวังน้อยๆก่อนจะบ่นพึมพำ
“อดฟังเสียงนกเลย เจ้าหวัดบ้า”
เธอหมุนตัวและเดินตรงไปยังห้องน้ำ หลังจากล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้วจึงก้าวออกจากห้องลงไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านล่าง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของผู้ที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองสิ่งของที่วางเกลื่อนทำให้อารมณ์ของหญิงสาวขุ่นขึ้นเล็กน้อย เธอเดินเลี่ยงไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มหนาและคว้ารีโมตโทรทัศน์มากดเพื่อดูรายการโปรด สตรีวัยกลางคนที่กำลังดึงห่อกระดาษออกจากกล่องเงยหน้าขึ้นและเอ่ยทัก
“อ้าวแป้ง หายดีแล้วหรือลูกถึงได้ออกมานั่งเล่นน่ะ”
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณแม่” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าแป้งตอบพร้อมกับไอ “หนูแค่เจ็บคอนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เธอรีบอธิบายเมื่อเห็นสายตาดุของผู้เป็นมารดา อีกฝ่ายลุกขึ้นและเดินมาแตะหน้าผากของแป้งอย่างแผ่วเบา
“ถึงไม่มีไข้หนูก็ยังไปเรียนไม่ได้” แม่ของหญิงสาวพูดเสียงดุ “แม่สั่งให้สมรทำข้าวต้มกุ้งไว้ จะไปทานที่โต๊ะหรือยกมาที่นี่ดีจ๊ะ”
“เดี๋ยวหนูไปทานเองดีกว่าค่ะ” แป้งตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยกิริยาประจบ “ขอดูทีวีก่อนนะคะคุณแม่”
“ตามใจหนูก็แล้วกัน” แม่ของเธอขยี้ผมบุตรสาวเบาๆก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่จอโทรทัศน์ “ดูเกมส์โชว์พวกนี้มากๆระวังสมองจะฝ่อนะลูก”
แป้งหัวเราะกับคำพูดหยอกเย้าแกมประชดของผู้เป็นมารดาซึ่งกำลังเดินกลับไปรื้อข้าวของออกมาจากกล่องกระดาษที่วางระเกะระกะเต็มห้องรับแขกอีกครั้ง เธอถอนหายใจเมื่อเห็นคนรับใช้ดึงแจกันดินเผาที่ดูเก่าอันหนึ่งออกมา แม้จะมองในระยะห่างแต่หญิงสาวก็รู้ว่าแจกันลวดลายอิยิปต์ที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงของทำเลียนแบบขึ้นซึ่งมารดาของเธอคงซื้อมาเพราะเห็นว่าน่าสนใจเท่านั้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญแต่คุณนายวิไลลักษณ์ เจนศัสตราก็จัดเป็นผู้มีสายตาคมในเรื่องศิลปโบราณคนหนึ่ง เช่นเดียวกันกับบิดาของเธอ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แป้งเลือกเข้ามหาวิทยาลัยโบราณคดีแทนที่จะเป็นสถานศึกษามีชื่อในระดับแนวหน้าอย่างเช่นลูกคนมีเงินคนอื่นกระทำกัน หญิงสาวนั่งฟังคุณแม่ของเธอสาธยายถึงของที่ระลึกซึ่งได้มาจากการท่องเที่ยวกับเหล่าบรรดาคนรับใช้อย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่งจึงละสายตากลับมาที่จอโทรทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อรายการเกมส์โชว์ถูกคั่นด้วยข่าวด่วนพร้อมภาพผู้ประกาศหญิงที่กำลังรายงานข่าวด้วยสีหน้าแฝงแววตระหนกเล็กน้อย
“ข่าวด่วน! รถทัศนาจรจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเวียงกุมกามได้ประสบอุบัติเหตุเกิดพลิกคว่ำ เป็นผลให้มีนักศึกษาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งนักศึกษาไทยและจากต่างประเทศซึ่งเดินทางมาร่วมโครงการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านโบราณคดีที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดขึ้น....”
มือที่ถือรีโมตสั่นระริก หน้าของแป้งซีดขาวจนคุณนายวิไลลักษณ์ต้องเดินมาดู เธอกดปุ่มปิดโทรทัศน์ทันทีและหันไปมองบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“แป้ง”
“รถคันนั้น” หญิงสาวพูดเสียงสั่น “เป็นคันที่หนูต้องไปด้วย”
แม่ของเธอนั่งลงข้างๆและเลื่อนมือไปดึงแป้งมากอดไว้พร้อมกับลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา
“โชคดีที่หนูป่วยและยอมยกเลิกที่จะไปกับพวกเขา” คุณนายวิไลลักษณ์ถอนหายใจออกมาอย่างนึกโล่งอกแต่ผู้เป็นลูกกลับสั่นหน้า
“แต่รถคันนั้นมีเพื่อนหนูตั้งหลายคน” เธอผละออกจากอ้อมแขนของมารดา “ทั้งแก้ว ทั้งมนทั้งเต้......” น้ำเสียงเจือสะอื้นจนแม่ของเธอต้องบีบไหล่เบาๆ
“หนูพูดเหมือนกำลังโทษตัวเองว่าผิดที่ไม่ได้ไป” คุณนายวิไลลักษณ์ลูบเรือนผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน “อย่าคิดมากเลยแป้ง เดี๋ยวแม่จะให้เด็กโทรไปถามตามโรงพยาบาลว่าเพื่อนของหนูเป็นยังไงกันบ้าง ตอนนี้ขึ้นไปนอนพักที่ห้องก่อนดีกว่านะลูก”
แป้งมองหน้ามารดาและพยักหน้าอย่างแช่มช้าก่อนจะลุกขึ้นและกลับไปนอนบนห้องโดยมีคุณนายวิไลลักษณ์ยืนมองอยู่ที่เชิงบันไดด้วยความเป็นห่วง เธอหันไปสั่งเด็กรับใช้คนหนึ่งทันทีที่บานประตูห้องของลูกสาวปิดลง
“โทรติดต่อทุกโรงพยาบาลที่รับคนเจ็บจากรถนักศึกษาคว่ำ เอ้านี่ชื่อเพื่อนของยายแป้ง ถามหาให้เจอแล้วถามว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง เร็ว!”
คนรับใช้ทั้งชายหญิงต่างละมือจากงานที่ตนเองทำอยู่และรีบปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว คุณนายวิไลลักษณ์นั่งมองพวกเขาอย่างกระวนกระวายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงถามเสียงดัง
“ว่าไง”
“มีโรงพยาบาลสองแห่งที่รับเพื่อนคุณแป้งไปรักษาค่ะ” เด็กรับใช้คนหนึ่งรีบรายงาน “คุณแก้วกับคุณมนปลอดภัยดีแต่คุณเต้อาการสาหัสตอนนี้กำลังถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพ”
คุณนายของบ้านเจนศัสตราพยักหน้าและโบกมือให้บรรดาคนรับใช้ไปทำงานตามปรกติ หลังจากนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอจึงลุกขึ้นและเดินไปหาบุตรสาวบนห้องเพื่อบอกข่าวที่แป้งต้องการจะรู้โดยปกปิดเรื่องของเต้เอาไว้เพียงคนเดียว
*/*/*/*/*
รายงานข่าวอุบัติเหตุรถนักศึกษาคว่ำถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องอีกสองสามวันก่อนจะซาไปเพราะมีข่าวที่ร้อนกว่าเข้ามาแทนที่ แม้จะรู้สึกโล่งใจที่ได้รู้จากมารดาว่าเพื่อนๆของเธอปลอดภัยแต่ในใจของแป้งกลับยังคงมีความรู้สึกกังวล หญิงสาวจัดแจงลากกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กออกมาและจัดเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้รวมถึงตำราเรียนอีกหลายเล่มลงไป ด้วยความที่เธอมักจะเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับที่พักบ่อยครั้งทำให้แป้งจัดกระเป๋าเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอจึงลุกขึ้นและเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง คุณนายวิไลลักษณ์เงยหน้าขึ้นจากอัลบั้มรูปที่กำลังดูอยู่และยิ้ม
“วันนี้ตื่นแต่เช้าจริงนะคะลูก”
“ค่ะ คือวันนี้หนูอยากจะกลับไปนอนที่คอนโดเพราะใกล้เปิดเรียนแล้ว ต้องไปเตรียมอะไรอีกหลายอย่างด้วยค่ะคุณแม่”
“กว่าจะเปิดเรียนก็อีกตั้งสามวันไม่ใช่หรือลูก” ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวและถอนหายใจ “แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วเหงาก็ตามใจหนูเถิดค่ะ”
“หนูไม่ได้เหงานะคะคุณแม่ เพียงแต่....” แป้งระบายลมหายใจ “ต้องไปเตรียมหนังสือที่จะใช้เรียนต่างหาก”
“จ้ะ จ้ะ ตามใจหนูก็แล้วกัน” คุณนายวิไลลักษณ์พูดพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่ตนทั้งรักทั้งห่วง “จริงสิแม่มีของจะอวดหนูด้วยนะ”
แป้งทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นมารดาของเธอเลื่อนหีบไม้ขนาดย่อมออกมา เธอมองลวดลายจำหลักและรูปแกะสลักสีทองของเทวีองค์หนึ่งซึ่งกำลังกางปีกของนางคร่อมฝาหีบเอาไว้ราวกำลังปกป้องพร้อมกับเปรยเสียงไม่ดังนัก
“นี่มัน....”
“หีบใส่โถคาโนปิคไงจ๊ะ” คุณนายวิไลลักษณ์พูดพลางเปิดฝาหีบออกมาวางไว้ด้านข้าง แป้งชะโงกหน้ามองโถศิลาสีขาวที่มีฝาปิดแกะสลักลวดลายสีแบบอียิปต์โบราณพลางขมวดคิ้ว
“นี่ไม่ใช่ของเก่านี่คะคุณแม่”
“แม่รู้จ้ะ แต่เห็นว่างานมันละเอียดดีเลยซื้อมา ตั้งใจว่าจะเอามาแจกคนที่รู้จักกันหรือใส่พวกผงสมุนไพรตั้งไว้ในห้องน้ำ”
“แหม เอาโถคาโนปิคไปใส่สมุนไพรนี่นะคะ แค่คิดก็สยองแล้วหนูไม่เอาด้วยหรอกค่ะคุณแม่” แป้งพูดล้อพร้อมกับทำท่าขนลุกประกอบ แม่ของเธอหัวเราะ
“ดีจริงที่เห็นหนูหัวเราะได้แบบนี้ เอ้า! แม่ให้สิทธิพิเศษเลือกก่อนคนอื่น หนูชอบอันไหนก็หยิบไปเลยห้ามปฏิเสธเพราะถึงแม้จะเป็นของปลอมแต่มันก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน”
คำพูดเชิงบังคับของมารดาทำให้แป้งจำใจต้องเลือกโถศิลาสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า เธอเลื่อนมือไปแตะฝาที่แกะลวดลายทีละอันพร้อมกับพยายามทบทวนความรู้ด้านโบราณคดีที่เพิ่งได้เรียนมา
“โถหัวมนุษย์ อิมเซ็ตติ ใส่ตับ ไม่เอาดีกว่า” นิ้วไล่ไปอีกโถขณะที่สมองคิดไปเรื่อยๆ “อันนี้เป็นโถรูปหมาไน ดูอามูเทฟ จำได้ว่าใส่กระเพาะ บรื๋ยแค่คิดก็สยองแล้ว”
นิ้วมือเลื่อนไปแตะอีกโถ คราวนี้แป้งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามันเย็นกว่าทุกอันที่ผ่านมา หญิงสาวเผลอตัวดึงมันออกจากหีบและจ้องด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ฮาปี บุตรแห่งโฮรัส ผู้รักษาลมหายใจแห่งฟาโรห์” แป้งพึมพำในขณะที่คุณนาย
วิไลลักษณ์ยิ้ม
“นึกแล้วว่าหนูต้องเลือกโถนี้” เธอเคาะหีบไม้เบาๆ “โถใส่ปอดดูน่ากลัวน้อยที่สุดใช่ไหมลูก”
“คะ...ค่ะ” แป้งตอบด้วยท่าทางคล้ายคนสะดุ้งจากภวังค์ มือที่กำลังไล่สำรวจรอบโถสะดุดเข้ากับรอยสลักอะไรบางอย่าง หญิงสาวรีบยกมันขึ้นมาดู
“เหมือนเคยมีรอยสลักอะไรอยู่ตรงนี้ แถมโถนี่ดูเหมือนทำมาจากหินที่แกะมาทั้งก้อนมากกว่าเศษหินอัด” เธอพูดกับมารดาและพึมพำ “หรือมันเป็นหินอลาบาสเตอร์จริงๆ”
คุณนายวิไลลักษณ์เลิกคิ้วและตอบ
“คงเป็นเทคนิคการทำของให้ดูเก่าของพวกพ่อค้าชาวอียิปต์น่ะลูก อย่าไปสนใจนักเลย” ภริยาเจ้าบ้านเจนศัสตราพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจก่อนจะยกฝาหีบขึ้นมาปิด “ตกลงหนูเลือกโถใส่ปอดใช่ไหมคะ”
“แหม อย่าเน้นบ่อยนักสิคะคุณแม่ ฟังแล้วน่ากลัวออก”
“เป็นนักศึกษาโบราณคดีจะมามัวกลัวเรื่องผีทำไมกัน” มารดาของเธอหันไปทางเด็กรับใช้ที่ยืนใกล้ตัว
“หากระดาษมาห่อโถนี่ให้คุณแป้ง” สั่งเสร็จคุณนายวิไลลักษณ์จึงหันมาหาบุตรสาวอีกครั้ง “หนูจะกลับไปคอนโดวันไหน”
“วันนี้ค่ะ” แป้งตอบพร้อมกับกอดแม่ของเธอ “แล้วหนูจะกลับมาทุกวันหยุดนะคะ”
“จ้ะลูก” ผู้เป็นมารดาลูบผมลูกสาว “ถ้าถึงที่พักแล้วอย่าลืมโทรหาแม่ก็แล้วกัน”
“ค่ะ” แป้งรับคำก่อนจะหันไปรับห่อกระดาษบรรจุโถศิลาขาวและเดินกลับขึ้นไปในห้อง หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายและก้าวลงมาจากชั้นบน เธอเดินตรงไปหอมแก้มมารดาและยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“หนูไปนะคะคุณแม่”
“ดูแลตัวเองให้ดีๆนะลูก” คุณนายวิไลลักษณ์พูดขณะเดินออกมาส่งลูกสาวที่รถและโบกมือให้ “อย่าลืมโทรกลับมาหาแม่นะ”
คุณแม่ของแป้งร้องกำชับขณะที่มองรถยนต์ที่ลูกสาวตนเองนั่งวิ่งออกจากบ้านไปจนลับสายตา
*/*/*/*/*
My Last Memory
.............................
บทที่ 1 โถศิลาอลาบาสเตอร์
เสียงเพลงอันไพเราะซึ่งขับขานโดยนกกระจิบตัวน้อยดังอยู่บนต้นไม้นอกหน้าต่างห้องของคฤหาสถ์อันใหญ่โตแห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพมหานคร เสียงไอของผู้ที่อยู่ภายในห้องทำให้พวกมันต้องหยุดและเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะเริ่มส่งเสียงร้องต่อ เสียงจามติดต่อกันถึงสามครั้งทำให้เจ้านกน้อยชะงักและกระพือปีกบินหนีไปด้วยความตกใจ หน้าต่างกระจกถูกเลื่อนออกพร้อมใบหน้างามหมดจดของหญิงสาวคนหนึ่งชะโงกออกมา เธอทำหน้าผิดหวังน้อยๆก่อนจะบ่นพึมพำ
“อดฟังเสียงนกเลย เจ้าหวัดบ้า”
เธอหมุนตัวและเดินตรงไปยังห้องน้ำ หลังจากล้างหน้าล้างตาจนรู้สึกสดชื่นขึ้นแล้วจึงก้าวออกจากห้องลงไปยังห้องรับแขกที่อยู่ด้านล่าง เสียงพูดคุยสลับกับเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของผู้ที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองสิ่งของที่วางเกลื่อนทำให้อารมณ์ของหญิงสาวขุ่นขึ้นเล็กน้อย เธอเดินเลี่ยงไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มหนาและคว้ารีโมตโทรทัศน์มากดเพื่อดูรายการโปรด สตรีวัยกลางคนที่กำลังดึงห่อกระดาษออกจากกล่องเงยหน้าขึ้นและเอ่ยทัก
“อ้าวแป้ง หายดีแล้วหรือลูกถึงได้ออกมานั่งเล่นน่ะ”
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะคุณแม่” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าแป้งตอบพร้อมกับไอ “หนูแค่เจ็บคอนิดหน่อยเท่านั้นเอง” เธอรีบอธิบายเมื่อเห็นสายตาดุของผู้เป็นมารดา อีกฝ่ายลุกขึ้นและเดินมาแตะหน้าผากของแป้งอย่างแผ่วเบา
“ถึงไม่มีไข้หนูก็ยังไปเรียนไม่ได้” แม่ของหญิงสาวพูดเสียงดุ “แม่สั่งให้สมรทำข้าวต้มกุ้งไว้ จะไปทานที่โต๊ะหรือยกมาที่นี่ดีจ๊ะ”
“เดี๋ยวหนูไปทานเองดีกว่าค่ะ” แป้งตอบพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองมารดาด้วยกิริยาประจบ “ขอดูทีวีก่อนนะคะคุณแม่”
“ตามใจหนูก็แล้วกัน” แม่ของเธอขยี้ผมบุตรสาวเบาๆก่อนจะเลื่อนสายตาไปที่จอโทรทัศน์ “ดูเกมส์โชว์พวกนี้มากๆระวังสมองจะฝ่อนะลูก”
แป้งหัวเราะกับคำพูดหยอกเย้าแกมประชดของผู้เป็นมารดาซึ่งกำลังเดินกลับไปรื้อข้าวของออกมาจากกล่องกระดาษที่วางระเกะระกะเต็มห้องรับแขกอีกครั้ง เธอถอนหายใจเมื่อเห็นคนรับใช้ดึงแจกันดินเผาที่ดูเก่าอันหนึ่งออกมา แม้จะมองในระยะห่างแต่หญิงสาวก็รู้ว่าแจกันลวดลายอิยิปต์ที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงของทำเลียนแบบขึ้นซึ่งมารดาของเธอคงซื้อมาเพราะเห็นว่าน่าสนใจเท่านั้น แม้จะไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญแต่คุณนายวิไลลักษณ์ เจนศัสตราก็จัดเป็นผู้มีสายตาคมในเรื่องศิลปโบราณคนหนึ่ง เช่นเดียวกันกับบิดาของเธอ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่แป้งเลือกเข้ามหาวิทยาลัยโบราณคดีแทนที่จะเป็นสถานศึกษามีชื่อในระดับแนวหน้าอย่างเช่นลูกคนมีเงินคนอื่นกระทำกัน หญิงสาวนั่งฟังคุณแม่ของเธอสาธยายถึงของที่ระลึกซึ่งได้มาจากการท่องเที่ยวกับเหล่าบรรดาคนรับใช้อย่างสนุกสนานอยู่ครู่หนึ่งจึงละสายตากลับมาที่จอโทรทัศน์ตรงหน้าอีกครั้ง คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อรายการเกมส์โชว์ถูกคั่นด้วยข่าวด่วนพร้อมภาพผู้ประกาศหญิงที่กำลังรายงานข่าวด้วยสีหน้าแฝงแววตระหนกเล็กน้อย
“ข่าวด่วน! รถทัศนาจรจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้าไปยังเวียงกุมกามได้ประสบอุบัติเหตุเกิดพลิกคว่ำ เป็นผลให้มีนักศึกษาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยมีทั้งนักศึกษาไทยและจากต่างประเทศซึ่งเดินทางมาร่วมโครงการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านโบราณคดีที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดขึ้น....”
มือที่ถือรีโมตสั่นระริก หน้าของแป้งซีดขาวจนคุณนายวิไลลักษณ์ต้องเดินมาดู เธอกดปุ่มปิดโทรทัศน์ทันทีและหันไปมองบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง
“แป้ง”
“รถคันนั้น” หญิงสาวพูดเสียงสั่น “เป็นคันที่หนูต้องไปด้วย”
แม่ของเธอนั่งลงข้างๆและเลื่อนมือไปดึงแป้งมากอดไว้พร้อมกับลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา
“โชคดีที่หนูป่วยและยอมยกเลิกที่จะไปกับพวกเขา” คุณนายวิไลลักษณ์ถอนหายใจออกมาอย่างนึกโล่งอกแต่ผู้เป็นลูกกลับสั่นหน้า
“แต่รถคันนั้นมีเพื่อนหนูตั้งหลายคน” เธอผละออกจากอ้อมแขนของมารดา “ทั้งแก้ว ทั้งมนทั้งเต้......” น้ำเสียงเจือสะอื้นจนแม่ของเธอต้องบีบไหล่เบาๆ
“หนูพูดเหมือนกำลังโทษตัวเองว่าผิดที่ไม่ได้ไป” คุณนายวิไลลักษณ์ลูบเรือนผมของลูกสาวอย่างอ่อนโยน “อย่าคิดมากเลยแป้ง เดี๋ยวแม่จะให้เด็กโทรไปถามตามโรงพยาบาลว่าเพื่อนของหนูเป็นยังไงกันบ้าง ตอนนี้ขึ้นไปนอนพักที่ห้องก่อนดีกว่านะลูก”
แป้งมองหน้ามารดาและพยักหน้าอย่างแช่มช้าก่อนจะลุกขึ้นและกลับไปนอนบนห้องโดยมีคุณนายวิไลลักษณ์ยืนมองอยู่ที่เชิงบันไดด้วยความเป็นห่วง เธอหันไปสั่งเด็กรับใช้คนหนึ่งทันทีที่บานประตูห้องของลูกสาวปิดลง
“โทรติดต่อทุกโรงพยาบาลที่รับคนเจ็บจากรถนักศึกษาคว่ำ เอ้านี่ชื่อเพื่อนของยายแป้ง ถามหาให้เจอแล้วถามว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง เร็ว!”
คนรับใช้ทั้งชายหญิงต่างละมือจากงานที่ตนเองทำอยู่และรีบปฏิบัติตามคำสั่งของผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว คุณนายวิไลลักษณ์นั่งมองพวกเขาอย่างกระวนกระวายใจอยู่ครู่หนึ่งจึงถามเสียงดัง
“ว่าไง”
“มีโรงพยาบาลสองแห่งที่รับเพื่อนคุณแป้งไปรักษาค่ะ” เด็กรับใช้คนหนึ่งรีบรายงาน “คุณแก้วกับคุณมนปลอดภัยดีแต่คุณเต้อาการสาหัสตอนนี้กำลังถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพ”
คุณนายของบ้านเจนศัสตราพยักหน้าและโบกมือให้บรรดาคนรับใช้ไปทำงานตามปรกติ หลังจากนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอจึงลุกขึ้นและเดินไปหาบุตรสาวบนห้องเพื่อบอกข่าวที่แป้งต้องการจะรู้โดยปกปิดเรื่องของเต้เอาไว้เพียงคนเดียว
*/*/*/*/*
รายงานข่าวอุบัติเหตุรถนักศึกษาคว่ำถูกนำเสนออย่างต่อเนื่องอีกสองสามวันก่อนจะซาไปเพราะมีข่าวที่ร้อนกว่าเข้ามาแทนที่ แม้จะรู้สึกโล่งใจที่ได้รู้จากมารดาว่าเพื่อนๆของเธอปลอดภัยแต่ในใจของแป้งกลับยังคงมีความรู้สึกกังวล หญิงสาวจัดแจงลากกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กออกมาและจัดเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้รวมถึงตำราเรียนอีกหลายเล่มลงไป ด้วยความที่เธอมักจะเดินทางไปกลับระหว่างบ้านกับที่พักบ่อยครั้งทำให้แป้งจัดกระเป๋าเสร็จในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากนั้นเธอจึงลุกขึ้นและเดินออกจากห้องตรงไปยังห้องรับแขกที่อยู่ชั้นล่าง คุณนายวิไลลักษณ์เงยหน้าขึ้นจากอัลบั้มรูปที่กำลังดูอยู่และยิ้ม
“วันนี้ตื่นแต่เช้าจริงนะคะลูก”
“ค่ะ คือวันนี้หนูอยากจะกลับไปนอนที่คอนโดเพราะใกล้เปิดเรียนแล้ว ต้องไปเตรียมอะไรอีกหลายอย่างด้วยค่ะคุณแม่”
“กว่าจะเปิดเรียนก็อีกตั้งสามวันไม่ใช่หรือลูก” ผู้เป็นมารดามองหน้าบุตรสาวและถอนหายใจ “แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วเหงาก็ตามใจหนูเถิดค่ะ”
“หนูไม่ได้เหงานะคะคุณแม่ เพียงแต่....” แป้งระบายลมหายใจ “ต้องไปเตรียมหนังสือที่จะใช้เรียนต่างหาก”
“จ้ะ จ้ะ ตามใจหนูก็แล้วกัน” คุณนายวิไลลักษณ์พูดพลางเอนตัวพิงพนักเก้าอี้และมองลูกสาวเพียงคนเดียวที่ตนทั้งรักทั้งห่วง “จริงสิแม่มีของจะอวดหนูด้วยนะ”
แป้งทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นมารดาของเธอเลื่อนหีบไม้ขนาดย่อมออกมา เธอมองลวดลายจำหลักและรูปแกะสลักสีทองของเทวีองค์หนึ่งซึ่งกำลังกางปีกของนางคร่อมฝาหีบเอาไว้ราวกำลังปกป้องพร้อมกับเปรยเสียงไม่ดังนัก
“นี่มัน....”
“หีบใส่โถคาโนปิคไงจ๊ะ” คุณนายวิไลลักษณ์พูดพลางเปิดฝาหีบออกมาวางไว้ด้านข้าง แป้งชะโงกหน้ามองโถศิลาสีขาวที่มีฝาปิดแกะสลักลวดลายสีแบบอียิปต์โบราณพลางขมวดคิ้ว
“นี่ไม่ใช่ของเก่านี่คะคุณแม่”
“แม่รู้จ้ะ แต่เห็นว่างานมันละเอียดดีเลยซื้อมา ตั้งใจว่าจะเอามาแจกคนที่รู้จักกันหรือใส่พวกผงสมุนไพรตั้งไว้ในห้องน้ำ”
“แหม เอาโถคาโนปิคไปใส่สมุนไพรนี่นะคะ แค่คิดก็สยองแล้วหนูไม่เอาด้วยหรอกค่ะคุณแม่” แป้งพูดล้อพร้อมกับทำท่าขนลุกประกอบ แม่ของเธอหัวเราะ
“ดีจริงที่เห็นหนูหัวเราะได้แบบนี้ เอ้า! แม่ให้สิทธิพิเศษเลือกก่อนคนอื่น หนูชอบอันไหนก็หยิบไปเลยห้ามปฏิเสธเพราะถึงแม้จะเป็นของปลอมแต่มันก็แพงเอาเรื่องเหมือนกัน”
คำพูดเชิงบังคับของมารดาทำให้แป้งจำใจต้องเลือกโถศิลาสีขาวที่วางอยู่ตรงหน้า เธอเลื่อนมือไปแตะฝาที่แกะลวดลายทีละอันพร้อมกับพยายามทบทวนความรู้ด้านโบราณคดีที่เพิ่งได้เรียนมา
“โถหัวมนุษย์ อิมเซ็ตติ ใส่ตับ ไม่เอาดีกว่า” นิ้วไล่ไปอีกโถขณะที่สมองคิดไปเรื่อยๆ “อันนี้เป็นโถรูปหมาไน ดูอามูเทฟ จำได้ว่าใส่กระเพาะ บรื๋ยแค่คิดก็สยองแล้ว”
นิ้วมือเลื่อนไปแตะอีกโถ คราวนี้แป้งสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่ามันเย็นกว่าทุกอันที่ผ่านมา หญิงสาวเผลอตัวดึงมันออกจากหีบและจ้องด้วยความรู้สึกประหลาดใจ
“ฮาปี บุตรแห่งโฮรัส ผู้รักษาลมหายใจแห่งฟาโรห์” แป้งพึมพำในขณะที่คุณนาย
วิไลลักษณ์ยิ้ม
“นึกแล้วว่าหนูต้องเลือกโถนี้” เธอเคาะหีบไม้เบาๆ “โถใส่ปอดดูน่ากลัวน้อยที่สุดใช่ไหมลูก”
“คะ...ค่ะ” แป้งตอบด้วยท่าทางคล้ายคนสะดุ้งจากภวังค์ มือที่กำลังไล่สำรวจรอบโถสะดุดเข้ากับรอยสลักอะไรบางอย่าง หญิงสาวรีบยกมันขึ้นมาดู
“เหมือนเคยมีรอยสลักอะไรอยู่ตรงนี้ แถมโถนี่ดูเหมือนทำมาจากหินที่แกะมาทั้งก้อนมากกว่าเศษหินอัด” เธอพูดกับมารดาและพึมพำ “หรือมันเป็นหินอลาบาสเตอร์จริงๆ”
คุณนายวิไลลักษณ์เลิกคิ้วและตอบ
“คงเป็นเทคนิคการทำของให้ดูเก่าของพวกพ่อค้าชาวอียิปต์น่ะลูก อย่าไปสนใจนักเลย” ภริยาเจ้าบ้านเจนศัสตราพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจก่อนจะยกฝาหีบขึ้นมาปิด “ตกลงหนูเลือกโถใส่ปอดใช่ไหมคะ”
“แหม อย่าเน้นบ่อยนักสิคะคุณแม่ ฟังแล้วน่ากลัวออก”
“เป็นนักศึกษาโบราณคดีจะมามัวกลัวเรื่องผีทำไมกัน” มารดาของเธอหันไปทางเด็กรับใช้ที่ยืนใกล้ตัว
“หากระดาษมาห่อโถนี่ให้คุณแป้ง” สั่งเสร็จคุณนายวิไลลักษณ์จึงหันมาหาบุตรสาวอีกครั้ง “หนูจะกลับไปคอนโดวันไหน”
“วันนี้ค่ะ” แป้งตอบพร้อมกับกอดแม่ของเธอ “แล้วหนูจะกลับมาทุกวันหยุดนะคะ”
“จ้ะลูก” ผู้เป็นมารดาลูบผมลูกสาว “ถ้าถึงที่พักแล้วอย่าลืมโทรหาแม่ก็แล้วกัน”
“ค่ะ” แป้งรับคำก่อนจะหันไปรับห่อกระดาษบรรจุโถศิลาขาวและเดินกลับขึ้นไปในห้อง หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายและก้าวลงมาจากชั้นบน เธอเดินตรงไปหอมแก้มมารดาและยกมือไหว้อย่างอ่อนน้อม
“หนูไปนะคะคุณแม่”
“ดูแลตัวเองให้ดีๆนะลูก” คุณนายวิไลลักษณ์พูดขณะเดินออกมาส่งลูกสาวที่รถและโบกมือให้ “อย่าลืมโทรกลับมาหาแม่นะ”
คุณแม่ของแป้งร้องกำชับขณะที่มองรถยนต์ที่ลูกสาวตนเองนั่งวิ่งออกจากบ้านไปจนลับสายตา
*/*/*/*/*
มุนีรัตน์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ก.ย. 2555, 15:44:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ก.ย. 2555, 15:44:46 น.
จำนวนการเข้าชม : 1287
บทที่ 2 บทสวดแห่งความตาย >> |