ความทรงจำในผืนทราย(My Last Memory)
บทสวดแห่งความตายนำวิญญาณของฟาโรห์หนุ่มให้คืนชีพ
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
ทว่า แผ่นดินที่เขายืนอยู่หลังจากมีชีวิตอีกครั้ง กลับไม่ใช่อาณาจักรของตน
หากเป็นห้องพักของนักศึกษาสาวคนหนึ่ง
ความอลเวง วุ่นวายและภยันตราย
สร้างรักแท้ร้อยรัดมัดคุณหนูผู้เอาแต่ใจและฟาโรห์หนุ่มไว้ด้วยกัน
แต่เมื่อความทรงจำเริ่มเรียกหาบุรุษจากอดีตกาล
เธอจะทำเช่นไรเพื่อรักษาความรักนี้ไว้
ไม่ให้หายไปกับ....ผืนทราย
Tags: รัก,ฟาโรหื
ตอน: บทที่ 2 บทสวดแห่งความตาย
บทที่ 2
บทสวดแห่งความตาย
“ขอบใจมากนะคุณศักดิ์ที่อุตส่าห์มาส่ง”
แป้งหันไปพูดกับคนขับรถประจำบ้านก่อนจะก้าวลงจากรถ ชายวัยกลางคนยิ้มและก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่ครับคุณแป้ง”
“แต่นี่มันนอกเหนือหน้าที่ประจำของคุณศักดิ์นี่คะ” หญิงสาวยิ้มและปิดประตูรถ “ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าแป้งมาถึงเรียบร้อยแล้วและจะโทรหาท่านตอนค่ำ”
“ครับ” นายศักดิ์รับคำพร้อมกับนำรถออกไปจากลานจอดหน้าคอนโด แป้งหมุนตัวเดินไปหยุดยืนที่ประตูทางเข้าพลางสอดบัตรอิเล็กโทรนิคเข้าไปในช่องพร้อมกับกดรหัสผ่าน เสียงสัญญาณแหลมเล็กดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูกระจกทึบเลื่อนเปิดออกและปิดลงทันทีเมื่อหญิงสาวก้าวผ่านเข้าไป ยามรักษาความปลอดภัยรีบลุกขึ้นและยกมือแตะปลายหมวกเพื่อทำความเคารพ
“สวัสดีครับคุณปานตา” เขาเอ่ยทักชื่อจริงเธอด้วยท่าทางอ่อนน้อมพร้อมกับกุลีกุจอไปกดปุ่มลิฟท์ให้ แป้งยิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณ
“คราวนี้คุณปานตากลับเร็วกว่าทุกครั้งนะครับ” ยามผู้นั้นชวนคุยระหว่างรอลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนลงมา หญิงสาวพยักหน้า
“จะเปิดเรียนแล้วค่ะเลยรีบกลับมาเตรียมข้าวของ” เธอหันไปมองหน้ายามผู้นั้น “น้องบีเป็นยังไงบ้างคะลุงผัน”
“พรุ่งนี้ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ” นายผันยามรักษาความปลอดภัยตอบ “หมอบอกว่าเจ้าบีเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่เท่านั้น”
“โชคดีจังเลยนะคะ” แป้งยิ้มให้กับเขา “ตอนแรกแป้งกลัวว่าน้องบีจะเป็นไข้เลือดออกเสียอีก นึกเป็นห่วงแทบแย่”
“โชคดีที่คุณกรุณาเป็นธุระจัดการพาเจ้าบีไปส่งโรงพยาบาลต่างหากครับ” นายผันยกมือไหว้หญิงสาว “ขอบคุณคุณปานตาจริงๆ แล้วผมจะพยายามหาเงินมาใช้คืนให้นะครับ”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะลุงผัน” แป้งรีบโบกมือปฏิเสธ “แป้งถือว่านี่เป็นน้ำใจของคนที่ควรมีให้ต่อกันต่างหาก แล้วอีกอย่างบีเป็นเด็กขยันนิสัยดีด้วย” เธอนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของอีกฝ่าย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลุงเอาเงินที่คิดว่าจะใช้คืนแป้งไปซื้ออุปกรณ์การเรียนให้บี ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ให้แป้งอีกวิธีหนึ่งก็แล้วกัน”
“จะดีหรือครับ” นายผันย้อนถาม แป้งหันไปมองประตูลิฟท์ที่กำลังเปิดออกและก้าวเข้าไปด้านใน เธอหันมายิ้มให้กับยามรักษาความปลอดภัยผู้สูงวัย
“ดีที่สุดเลยค่ะ” เธอเลื่อนมือไปที่ปุ่มและกดหมายเลขชั้นสูงสุด “ตกลงตามนี้นะคะลุงผัน” เธอยิ้มอีกครั้งก่อนประตูจะเลื่อนปิดลง นายผันยกมือขึ้นป้ายน้ำตา
“ขอบคุณมากครับคุณปานตา”
*/*/*/*/*
ห้องชุดของปานตา เจนศัสตรา อยู่บนชั้นที่ยี่สิบอันเป็นชั้นสูงสุดของคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา มารดาของเธอยอมจ่ายเงินในราคามากกว่าเลขแปดหลักเพื่อซื้อมันและปรับปรุงทั้งชั้นให้ลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวได้อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่มีใครสามารถขึ้นมารบกวนได้โดยตกแต่งด้านหนึ่งให้เป็นห้องสมุดขนาดย่อมและจัดเรียงแบบจำลองของโบราณเอาไว้เพื่อประกอบการเรียนวิชาโบราณคดีที่เธอชอบ ส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นสวนขนาดเล็กสำหรับพักผ่อน ห้องนอนของเธอนั้นจัดแบ่งไว้อีกด้านอย่างเป็นสัดส่วน ส่วนห้องกลางที่เธอเอาไว้ใช้นั่งเล่นนั้นมีเก้าอี้ยาวบุผ้าหนานุ่มตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์ แป้งวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนโต๊ะและเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำออกมาดื่ม หลังจากนั้นจึงเดินไปนอนเหยียดขาบนเก้าอี้ยาวและมองภาพวาดสีฝุ่นรูปฟาโรห์ของอียิปต์กำลังบังคับรถเทียมม้าอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง เธอขมวดคิ้วและวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะรับแขกเมื่อนึกถึงของขวัญชิ้นล่าสุดที่มารดามอบให้ หญิงสาวเอื้อมมือไปลากกระเป๋าของเธอและจัดแจงเปิดออกดึงโถศิลาที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้อย่างแน่นหนาออกมาและแกะมันออกอย่างระมัดระวัง
“ยิ่งดูยิ่งเหมือนของจริง” แป้งพึมพำหลังจากนั่งพิจารณาดูอยู่ครู่ใหญ่ เธอลูบรอยขูดขีดที่ดูคล้ายจะทำลายลวดลายหรืออะไรบางอย่างบนตัวโถออก คิ้วสวยขมวดแทบจะเป็นปม
“หรือจะเป็นการลบชื่อเจ้าของโถเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้จักอย่างที่พวกอียิปต์โบราณชอบทำกัน” หญิงสาวลุกขึ้นและเดินไปหยิบแว่นขยายออกมาจากตู้ในห้องหนังสือและเริ่มส่องดู
“มีตัวหนังสืออยู่บนนี้จริงๆด้วย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่พยายามเพ่งสายตาและอ่าน “ค...คา” เธอนิ่วหน้า “เอหรือว่าเป็น คฮา...ว้าอ่านไม่ออกแฮะ” เธอบ่นออกมาด้วยความผิดหวังก่อนจะวางโถและแว่นขยายลงบนโต๊ะพลางเอนตัวพิงหมอนที่วางไว้ด้านหลัง
“เพิ่งเรียนได้แค่ปีเดียวเองจะอ่านออกได้ยังไงกันยายแป้งเอ๊ย” หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผม “จริงสิ ไว้ไปถามอาจารย์วิชัยดีกว่า” เธอเอื้อมมือไปหยิบโถหินสีขาวมาพลิกดูอีกครั้งและเตรียมจะหยิบกระดาษมาห่อ เสียงเพลงที่ดังจากโทรศัพท์มือถือทำให้แป้งต้องชะงัก เธอรีบเปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
“ปานตาค่ะ” เธอพูดและนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่โทรมาหา
“ไงยายปาน นี่ฉันเอง”
“แก้ว” แป้งอุทานเสียงดัง “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมไม่รีบโทรมารู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นห่วงพวกเธอแทบตาย”
“ขอโทษๆ” เสียงแก้วตอบกลับมา “ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลน่ะ นี่ยายมนก็อยู่ด้วยจะพูดกับเขาหน่อยไหม”
“อื้อ” หญิงสาวรับคำพลางปาดน้ำตา เสียงในโทรศัพท์เงียบไปชั่วครู่จากนั้นจึงมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทน
“ปาน”
“มน เป็นยังไงบ้าง” แป้งถามขึ้นทันที อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“พวกเราไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ที่อาการหนักน่ะมีแต่พวกนักศึกษาต่างชาติกับคนขับรถแล้วก็อาจารย์จากมหาวิทยาลัยอื่นเท่านั้น ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“พวกเธอปลอดภัยกันดีทุกคนใช่ไหม ยายเต้ล่ะเป็นไงบ้าง”
เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ
“เต้ถูกแยกไปรักษาอีกโรงพยาบาลน่ะ ตอนนี้ยายแก้วกำลังโทรคุยกันอยู่ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกปาน”
“จริงเหรอ ดีใจจัง” แป้งเช็ดน้ำตา “แล้วพวกเธอจะหายทันเปิดเรียนไหม”
“ทันแน่นอน” มนทิราตอบ “คุณแม่เรียกแล้วฉันต้องวางสายก่อนนะ แล้วเจอกันที่มหาวิทยาลัย”
“จ้ะ ฝากบอกแก้วกับเต้ด้วยนะว่าแล้วค่อยคุยกัน ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้พวกเธอดูด้วย”
“อื้อ บายจ้ะปาน”
“บาย”
เสียงสัญญาณอีกฝ่ายเงียบลง แป้งถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนของเธอทุกคนปลอดภัย หญิงสาวจึงลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องนอนพร้อมกับจัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกดปุ่มเลขหมายของมารดาและคุยกับท่านด้วยความรู้สึกสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม
*/*/*/*/*
วันแรกของการเปิดภาคเรียนเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเพราะบรรดานักศึกษาต่างพากันยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมตารางการศึกษาที่แน่นแทบจะทุกชั่วโมงจนเกือบไม่มีเวลาพัก อีกทั้งเหล่านักศึกษาปีสองอย่างแป้งต้องจัดการพิธีการต้อนรับน้องปีหนึ่งซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าทุกปีแต่ทุกคนก็เต็มปรี่ไปด้วยความกระตือรือล้นที่จะพบกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังเริ่มต้นขึ้น หลายคนเต็มไปด้วยคำถามในขณะที่บางคนพกพาแต่ความมั่นใจมาจนลืมนึกไปว่าคนอื่นก็มีความรู้ไม่ด้อยไปกว่าตนซึ่งน้องใหม่กลุ่มหลังนี่สร้างความปวดหัวให้กับแป้งมากที่สุด หลังจากให้คำแนะนำและจัดแบ่งน้องรหัสเป็นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงมีเวลาพัก เธอรีบไปทักทายแก้วกานดากับมนทิราทันที เพื่อนทั้งสองได้เล่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาอย่างละเอียดและบอกกับแป้งว่าเต้ยังไม่สามารถมาเรียนได้เนื่องจากกระดูกหัก ทั้งสามจึงนัดแนะกันว่าจะไปเยี่ยมเธอในวันหยุด
หลังจากเข้าเรียนวิชาภาคบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วแป้งจึงหอบกระเป๋าใบใหญ่ของเธอและเดินตรงไปยังห้องอาจารย์ประจำคณะ เธอหยุดยืนหน้าห้องที่มีป้ายชื่อ ศาสตราจารย์วิชัย ชำนาญบุราณชาญ และทำท่าลังเลใจชั่วครู่ก่อนตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามครั้ง
“เข้ามา”
เสียงทุ้มลึกของผู้ที่อยู่ด้านในดังออกมา แป้งกลืนน้ำลายลงคอก่อนผลักบานประตูให้เปิดออกและก้าวเข้าไปด้านใน ความเย็นของเครื่องปรับอากาศผนวกกับวัตถุโบราณมากมายหลายชิ้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วห้องตู้หนังสือที่สูงจนแทบจรดเพดานทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง กลิ่นหอมของเครื่องดินเผาอันเก่าแก่ที่ลอยอบอวลไปทั่วห้องยิ่งสร้างความเย็นให้เพิ่มขึ้นจนรู้สึกหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ แป้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆขณะกวาดสายตามองวัตถุโบราณทุกชิ้นด้วยความรู้สึกใฝ่รู้ในที่มาของพวกมัน
“มีธุระอะไรหรือ”
เสียงเดิมถามขึ้น แป้งหันหน้าไปยังบริเวณกลางห้องและยิ้มให้กับชายวัยกลางคนในเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นจากแผ่นดินเผาที่เขากำลังใช้แว่นขยายตรวจอยู่
“ขอโทษที่มารบกวนอาจารย์ค่ะ คือหนูชื่อปานตา เจนศัสตรา เป็นนักศึกษาปีสองสาขาวิชาโบราณคดี........”
“เรื่องนั้นฉันรู้” ศาสตราจารย์วิชัยขัดขึ้นมาก่อนจะลดสายตาลงไปให้ความสนใจกับแผ่นดินเผาที่อยู่ตรงหน้าต่อ “ถ้าไม่ใช่นักศึกษาโบราณคดีคงไม่เข้ามาหาฉันแน่” เขาหยิบพู่กันขนาดเล็กมาปัดฝุ่นผงบนวัตถุโบราณอย่างเบามือ แป้งมองการกระทำของผู้เป็นอาจารย์ด้วยสายตาชื่นชม
“มันสวยมาก” เสียงศาสตราจารย์พึมพำ “แปลกเหลือเกินที่หลุดรอดมือของพวกค้าของเก่ามาได้”
“อักษรลิ่มคูนิเอเฟอร์” แป้งเปรยขึ้นขณะพยายามชะเง้อมอง “มันหลุดมาที่เมืองไทยได้ยังไงกันคะอาจารย์”
ศาสตราจารย์วิชัยเงยหน้าขึ้นและมองแป้งอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนทึ่งมากกว่ารำคาญในครั้งแรก
“อาจารย์ได้มาจากเพื่อนที่ไปเที่ยวแถวๆอาหรับ” เขาวางแผ่นดินเผาลง “ไม่คิดว่านักศึกษาปีสองอย่างเธอจะรู้จักมันด้วย”
“หนูเคยอ่านเจอในหนังสือค่ะ” แป้งตอบ “และปีหนึ่งก็มีวิชาเกี่ยวกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำด้วยเลยจำได้”
“โบราณคดีไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำ หากแต่ต้องมีความช่างสังเกตและรู้จักจินตนาการ” ศาสตราจารย์โบราณคดีพูดเสียงดุ “ถ้าเป็นคนอื่นคงมองสิ่งนี้ว่าเป็นเพียงก้อนดินเก่าที่มีลายสวยๆเท่านั้น” เขาถอดแว่นออกมาเช็ด “ว่าแต่มีธุระอะไรกับฉันหรือ”
“คะ...ค่ะคือว่าหนูมีของบางอย่างที่เพิ่งได้มา” เธอจัดแจงเปิดกระเป๋าและดึงห่อกระดาษบรรจุโถศิลาออกมา “คุณแม่ของหนูได้มาจากอียิปต์ค่ะ”
“พวกนักท่องเที่ยวสินะ” ศาสตราจารย์วิชัยพูดอย่างไม่สนใจขณะแกะกระดาษและดึงโถหินสีขาวออกมา “ส่วนมากมักจะถูกพวกพ่อค้าพื้นเมืองหลอกให้ซื้อของปลอมแต่งให้ดูเก่าในราคาแพงๆ” เขามองโถหินอย่างไม่สนใจขณะใช้ปลายนิ้วไล่ไปบนลวดลายที่ปรากฏอยู่บนเนื้อศิลา คิ้วขมวดเข้าหากันและชะงักคำพูดที่จะกล่าวต่อจากนั้นจึงก้มหน้าลงไปมองด้วยสายตาพิจารณามากกว่าเดิม
“อลาบาสเตอร์ของแท้” ศาสตราจารย์วิชัยพึมพำและดึงแว่นขยายมาส่องลวดลายที่ปรากฏบนเนื้อหินอย่างละเอียด สีหน้าของเขาเริ่มบังเกิดความตื่นเต้นขึ้นทีละน้อย
“สีที่ใช้นี่เป็นสีจากธรรมชาติ” เขาพลิกโถอย่างระมัดระวังและเปิดฝาออก “ล้างข้างในเสียสะอาดเชียว โชคดีที่ไม่โดนสารเคมีในน้ำทำลายไปจนหมด เอ๊ะ....” เสียงอุทานออกมาไม่ดังนัก แป้งมองศาสตราจารย์วิชัยลากแว่นขยายกำลังสูงกว่าเดิมออกมาจากกล่องและส่องรายละเอียดบนโถอีกครั้ง
“มีการลบชื่อเจ้าของออกด้วย” เขาไล้ไปบนผิวศิลาสีขาวอย่างระมัดระวัง “คา.....” เสียงบ่นพึมพำด้วยความรู้สึกขัดใจก่อนจะเงยหน้าขึ้น “มันถูกลบไปอย่างสมบูรณ์ อาจารย์ไม่แน่ใจว่าเป็นคาเฟร หรือคาเมเรเนปติ ถ้าอยากจะรู้คงต้องใช้เครื่องมือและเวลาที่มากกว่านี้”
“ตกลงนี่เป็นโถคาโนปิคของแท้ใช่ไหมคะอาจารย์” แป้งถามด้วยความอยากรู้ ศาสตราจารย์วิชัยนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ตามความเห็นในตอนนี้อาจารย์คิดว่าใช่แต่ยังไม่กล้ายืนยันให้แน่ชัด อย่างที่บอกเราต้องใช้อุปกรณ์ที่ดีกว่านี้ในการตรวจสอบ”
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นหนูจะทิ้งโถนี่ไว้กับอาจารย์ก่อน...”
“ไม่ได้” ศาสตราจารย์วิชัยสั่นหน้า”จริงอยู่ถึงแม้ในห้องของฉันจะมีของโบราณมากมาย แต่ทุกชิ้นยังมีอายุและมูลค่าไม่มากมายอะไรนักอย่างเต็มที่ก็ราวห้าร้อยปีขึ้นไป แต่โถนี่ไม่ใช่” เขาหยุดและยกมือขึ้นกอดอกอย่างใช้ความคิด
“เอาเป็นว่าเธอเอาโถนี่กลับไปก่อนและถ้าอยากจะรู้จริงๆว่ามันเป็นของแท้หรือไม่ ค่อยทำหนังสือยื่นไปที่คณะขอเอกสารรับรองและเปิดห้องเก็บเป็นพิเศษจะได้แน่ใจว่าไม่มีใครกล้าลักลอบเข้ามาขโมยมันไป แต่ถ้าเธออยากจะค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเองก็เข้ามาหาตำราในห้องนี้ได้ทุกเวลา” ศาสตราจารย์วิชัยส่งโถคืนให้กับปานตา “เก็บให้ดีอย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาดไม่ว่าจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม โบราณคดีอาจจะมีคุณค่าสำหรับพวกเราแต่สำหรับบางคนมันคือของมีราคาที่น่าครอบครอง”
ปานตารับโถคาโนปิคคืนมาจากอาจารย์ของเธอและจัดแจงห่ออย่างระมัดระวัง เธอมองศาสตราจารย์วิชัยที่กำลังหยิบแผ่นดินเผาขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง
“อาจารย์คิดว่าโถนี่เป็นของฟาโรห์คาเฟรหรือเปล่าคะ”
“อย่างที่บอก ฉันไม่แน่ใจ” เขามองหญิงสาว “ต้องมีการตรวจสอบและพิสูจน์กันหลายขั้นตอนกว่าจะยืนยันว่ามันเป็นของจริงหรือไม่ และมาจากสมัยใด” สายตาเลื่อนกลับไปที่แผ่นอักษรดินเผาอีกครั้ง “เก็บรักษามันให้ดีแม้ว่าโถนี่จะเป็นเพียงของปลอมที่ทำเลียนแบบได้เหมือนจริงก็ตาม”
ศาสตราจารย์ผู้สูงวัยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นอีกเลย แป้งมองอาจารย์ของเธอที่กำลังเพ่งพิจารณาแผ่นดินเผาโบราณอย่างสนอกสนใจอยู่อีกครู่หนึ่งจึงกล่าวคำอำลาและเดินจากมา หญิงสาวกระชับกระเป๋าของตนเองแน่น คำเตือนของผู้เป็นอาจารย์ทำให้ความตั้งใจเดิมที่จะนำโถอียิปต์โบราณไปอวดเพื่อนแปรเปลี่ยนไป แป้งตัดสินใจโบกแท็กซี่เพื่อกลับไปยังที่พักของเธอ
*/*/*/*
ค่ำวันนั้นหลังจากที่โทรศัพท์คุยกับมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้วแป้งจึงนั่งพิจารณาโถศิลาสีขาวอีกครั้ง เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลังจากพยายามเดาชื่อที่ถูกลบออกไปอยู่พักใหญ่ หญิงสาววางโถลงบนโต๊ะตัวเล็กใกล้กับชั้นวางโทรทัศน์และหยิบรีโมตมาเปิดดูรายการต่างๆ แป้งเบ้หน้าด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อทุกช่องอุดมไปด้วยรายการเกมส์โชว์และข่าวนินทาดาราที่ผู้สื่อข่าวออกท่าทางพร้อมการรายงานอย่างเมามันจนเกินงาม
“มิน่าล่ะคนถึงหันไปติดเคเบิ้ลทีวีกันหมด” หญิงสาวบ่นพร้อมกับกดปุ่มไปดูสารคดีต่างประเทศของเคเบิ้ลทีวีชื่อดัง เธอยิ้มเมื่อพบว่ามันเป็นสารคดีเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ เสียงผู้บรรยายต่างประเทศบอกเล่าถึงหนังสือโบราณเล่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตายของชาวอียิปต์ แป้งวางรีโมตและหยิบผลไม้มาใส่ปากเคี้ยวขณะจ้องตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยความสนใจ เธอเลื่อนมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มและรีบวางลงเพื่อหยิบรีโมตมาเร่งเสียงเมื่อมีการบรรยายถึงข้อความของบทสวดที่ผู้บรรยายเรียกว่า คัมภีร์แห่งความตาย อารามรีบร้อนทำให้รีโมตหลุดจากมือและตกไปกระทบแก้วจนแตกกระจาย แป้งบ่นสองสามคำและนั่งลงเก็บเศษแก้วที่ตกอยู่บนพื้นโดยสายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ ความที่ไม่ระมัดระวังทำให้คมของแก้วบาดนิ้วของเธอจนเป็นแผลลึก เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาทันที แป้งร้องอุทานออกมาและรีบลุกขึ้นโดยไม่ลืมทิ้งเศษแก้วที่เก็บแล้วลงในถังขยะข้างตัว เธอหันไปคว้ากล่องกระดาษชำระและบีบแผลตนเองจนแน่นจากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเลือดของตัวเองหยดลงไปเปรอะเปื้อนทั่วทั้งบนโต๊ะวางของ บนโทรทัศน์
หรือแม้แต่กระทั่งโถคาโนปิคที่วางอยู่ในบริเวณนั้น
*/*/*/*/*
คุยกับผู้อ่าน
สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวสักเล็กน้อยก่อนนะคะ ชื่อมูนนี่ค่ะ นามปากกาว่า มุนีรัตน์ แต่ถ้าเป็นงานของสนพ.สถาพรจะใช้ชื่อว่าชฎาพรค่ะ เป็นคนที่คุยไม่เก่ง ดังนั้นขอฝากนิยายทุกเรื่องกับผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ
ตอบคำถามค่ะ
คุณ lookAme
ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ ^___^
บทสวดแห่งความตาย
“ขอบใจมากนะคุณศักดิ์ที่อุตส่าห์มาส่ง”
แป้งหันไปพูดกับคนขับรถประจำบ้านก่อนจะก้าวลงจากรถ ชายวัยกลางคนยิ้มและก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“มันเป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้วนี่ครับคุณแป้ง”
“แต่นี่มันนอกเหนือหน้าที่ประจำของคุณศักดิ์นี่คะ” หญิงสาวยิ้มและปิดประตูรถ “ฝากบอกคุณแม่ด้วยว่าแป้งมาถึงเรียบร้อยแล้วและจะโทรหาท่านตอนค่ำ”
“ครับ” นายศักดิ์รับคำพร้อมกับนำรถออกไปจากลานจอดหน้าคอนโด แป้งหมุนตัวเดินไปหยุดยืนที่ประตูทางเข้าพลางสอดบัตรอิเล็กโทรนิคเข้าไปในช่องพร้อมกับกดรหัสผ่าน เสียงสัญญาณแหลมเล็กดังขึ้นหนึ่งครั้ง ประตูกระจกทึบเลื่อนเปิดออกและปิดลงทันทีเมื่อหญิงสาวก้าวผ่านเข้าไป ยามรักษาความปลอดภัยรีบลุกขึ้นและยกมือแตะปลายหมวกเพื่อทำความเคารพ
“สวัสดีครับคุณปานตา” เขาเอ่ยทักชื่อจริงเธอด้วยท่าทางอ่อนน้อมพร้อมกับกุลีกุจอไปกดปุ่มลิฟท์ให้ แป้งยิ้มพลางกล่าวคำขอบคุณ
“คราวนี้คุณปานตากลับเร็วกว่าทุกครั้งนะครับ” ยามผู้นั้นชวนคุยระหว่างรอลิฟท์ที่กำลังเคลื่อนลงมา หญิงสาวพยักหน้า
“จะเปิดเรียนแล้วค่ะเลยรีบกลับมาเตรียมข้าวของ” เธอหันไปมองหน้ายามผู้นั้น “น้องบีเป็นยังไงบ้างคะลุงผัน”
“พรุ่งนี้ก็จะออกจากโรงพยาบาลแล้วครับ” นายผันยามรักษาความปลอดภัยตอบ “หมอบอกว่าเจ้าบีเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่เท่านั้น”
“โชคดีจังเลยนะคะ” แป้งยิ้มให้กับเขา “ตอนแรกแป้งกลัวว่าน้องบีจะเป็นไข้เลือดออกเสียอีก นึกเป็นห่วงแทบแย่”
“โชคดีที่คุณกรุณาเป็นธุระจัดการพาเจ้าบีไปส่งโรงพยาบาลต่างหากครับ” นายผันยกมือไหว้หญิงสาว “ขอบคุณคุณปานตาจริงๆ แล้วผมจะพยายามหาเงินมาใช้คืนให้นะครับ”
“ไม่ต้องก็ได้ค่ะลุงผัน” แป้งรีบโบกมือปฏิเสธ “แป้งถือว่านี่เป็นน้ำใจของคนที่ควรมีให้ต่อกันต่างหาก แล้วอีกอย่างบีเป็นเด็กขยันนิสัยดีด้วย” เธอนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้าหนักใจของอีกฝ่าย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ลุงเอาเงินที่คิดว่าจะใช้คืนแป้งไปซื้ออุปกรณ์การเรียนให้บี ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ให้แป้งอีกวิธีหนึ่งก็แล้วกัน”
“จะดีหรือครับ” นายผันย้อนถาม แป้งหันไปมองประตูลิฟท์ที่กำลังเปิดออกและก้าวเข้าไปด้านใน เธอหันมายิ้มให้กับยามรักษาความปลอดภัยผู้สูงวัย
“ดีที่สุดเลยค่ะ” เธอเลื่อนมือไปที่ปุ่มและกดหมายเลขชั้นสูงสุด “ตกลงตามนี้นะคะลุงผัน” เธอยิ้มอีกครั้งก่อนประตูจะเลื่อนปิดลง นายผันยกมือขึ้นป้ายน้ำตา
“ขอบคุณมากครับคุณปานตา”
*/*/*/*/*
ห้องชุดของปานตา เจนศัสตรา อยู่บนชั้นที่ยี่สิบอันเป็นชั้นสูงสุดของคอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา มารดาของเธอยอมจ่ายเงินในราคามากกว่าเลขแปดหลักเพื่อซื้อมันและปรับปรุงทั้งชั้นให้ลูกสาวสุดที่รักเพียงคนเดียวได้อยู่อย่างสุขสบายโดยไม่มีใครสามารถขึ้นมารบกวนได้โดยตกแต่งด้านหนึ่งให้เป็นห้องสมุดขนาดย่อมและจัดเรียงแบบจำลองของโบราณเอาไว้เพื่อประกอบการเรียนวิชาโบราณคดีที่เธอชอบ ส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงให้เป็นสวนขนาดเล็กสำหรับพักผ่อน ห้องนอนของเธอนั้นจัดแบ่งไว้อีกด้านอย่างเป็นสัดส่วน ส่วนห้องกลางที่เธอเอาไว้ใช้นั่งเล่นนั้นมีเก้าอี้ยาวบุผ้าหนานุ่มตั้งอยู่หน้าโทรทัศน์ แป้งวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนโต๊ะและเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบขวดน้ำออกมาดื่ม หลังจากนั้นจึงเดินไปนอนเหยียดขาบนเก้าอี้ยาวและมองภาพวาดสีฝุ่นรูปฟาโรห์ของอียิปต์กำลังบังคับรถเทียมม้าอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง เธอขมวดคิ้วและวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะรับแขกเมื่อนึกถึงของขวัญชิ้นล่าสุดที่มารดามอบให้ หญิงสาวเอื้อมมือไปลากกระเป๋าของเธอและจัดแจงเปิดออกดึงโถศิลาที่ห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ไว้อย่างแน่นหนาออกมาและแกะมันออกอย่างระมัดระวัง
“ยิ่งดูยิ่งเหมือนของจริง” แป้งพึมพำหลังจากนั่งพิจารณาดูอยู่ครู่ใหญ่ เธอลูบรอยขูดขีดที่ดูคล้ายจะทำลายลวดลายหรืออะไรบางอย่างบนตัวโถออก คิ้วสวยขมวดแทบจะเป็นปม
“หรือจะเป็นการลบชื่อเจ้าของโถเพื่อไม่ให้คนอื่นรู้จักอย่างที่พวกอียิปต์โบราณชอบทำกัน” หญิงสาวลุกขึ้นและเดินไปหยิบแว่นขยายออกมาจากตู้ในห้องหนังสือและเริ่มส่องดู
“มีตัวหนังสืออยู่บนนี้จริงๆด้วย” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะที่พยายามเพ่งสายตาและอ่าน “ค...คา” เธอนิ่วหน้า “เอหรือว่าเป็น คฮา...ว้าอ่านไม่ออกแฮะ” เธอบ่นออกมาด้วยความผิดหวังก่อนจะวางโถและแว่นขยายลงบนโต๊ะพลางเอนตัวพิงหมอนที่วางไว้ด้านหลัง
“เพิ่งเรียนได้แค่ปีเดียวเองจะอ่านออกได้ยังไงกันยายแป้งเอ๊ย” หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผม “จริงสิ ไว้ไปถามอาจารย์วิชัยดีกว่า” เธอเอื้อมมือไปหยิบโถหินสีขาวมาพลิกดูอีกครั้งและเตรียมจะหยิบกระดาษมาห่อ เสียงเพลงที่ดังจากโทรศัพท์มือถือทำให้แป้งต้องชะงัก เธอรีบเปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ
“ปานตาค่ะ” เธอพูดและนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินเสียงของผู้ที่โทรมาหา
“ไงยายปาน นี่ฉันเอง”
“แก้ว” แป้งอุทานเสียงดัง “เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ทำไมไม่รีบโทรมารู้หรือเปล่าว่าฉันเป็นห่วงพวกเธอแทบตาย”
“ขอโทษๆ” เสียงแก้วตอบกลับมา “ฉันเพิ่งออกจากโรงพยาบาลน่ะ นี่ยายมนก็อยู่ด้วยจะพูดกับเขาหน่อยไหม”
“อื้อ” หญิงสาวรับคำพลางปาดน้ำตา เสียงในโทรศัพท์เงียบไปชั่วครู่จากนั้นจึงมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นมาแทน
“ปาน”
“มน เป็นยังไงบ้าง” แป้งถามขึ้นทันที อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนตอบ
“พวกเราไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เจ็บเล็กน้อยเท่านั้น ที่อาการหนักน่ะมีแต่พวกนักศึกษาต่างชาติกับคนขับรถแล้วก็อาจารย์จากมหาวิทยาลัยอื่นเท่านั้น ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“พวกเธอปลอดภัยกันดีทุกคนใช่ไหม ยายเต้ล่ะเป็นไงบ้าง”
เสียงปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะตอบ
“เต้ถูกแยกไปรักษาอีกโรงพยาบาลน่ะ ตอนนี้ยายแก้วกำลังโทรคุยกันอยู่ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกปาน”
“จริงเหรอ ดีใจจัง” แป้งเช็ดน้ำตา “แล้วพวกเธอจะหายทันเปิดเรียนไหม”
“ทันแน่นอน” มนทิราตอบ “คุณแม่เรียกแล้วฉันต้องวางสายก่อนนะ แล้วเจอกันที่มหาวิทยาลัย”
“จ้ะ ฝากบอกแก้วกับเต้ด้วยนะว่าแล้วค่อยคุยกัน ฉันมีอะไรบางอย่างจะให้พวกเธอดูด้วย”
“อื้อ บายจ้ะปาน”
“บาย”
เสียงสัญญาณอีกฝ่ายเงียบลง แป้งถอนหายใจด้วยความรู้สึกโล่งอกเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนของเธอทุกคนปลอดภัย หญิงสาวจึงลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องนอนพร้อมกับจัดแจงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับกดปุ่มเลขหมายของมารดาและคุยกับท่านด้วยความรู้สึกสบายใจมากขึ้นกว่าเดิม
*/*/*/*/*
วันแรกของการเปิดภาคเรียนเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายเพราะบรรดานักศึกษาต่างพากันยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมตารางการศึกษาที่แน่นแทบจะทุกชั่วโมงจนเกือบไม่มีเวลาพัก อีกทั้งเหล่านักศึกษาปีสองอย่างแป้งต้องจัดการพิธีการต้อนรับน้องปีหนึ่งซึ่งแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าทุกปีแต่ทุกคนก็เต็มปรี่ไปด้วยความกระตือรือล้นที่จะพบกับสิ่งใหม่ๆที่กำลังเริ่มต้นขึ้น หลายคนเต็มไปด้วยคำถามในขณะที่บางคนพกพาแต่ความมั่นใจมาจนลืมนึกไปว่าคนอื่นก็มีความรู้ไม่ด้อยไปกว่าตนซึ่งน้องใหม่กลุ่มหลังนี่สร้างความปวดหัวให้กับแป้งมากที่สุด หลังจากให้คำแนะนำและจัดแบ่งน้องรหัสเป็นที่เรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงมีเวลาพัก เธอรีบไปทักทายแก้วกานดากับมนทิราทันที เพื่อนทั้งสองได้เล่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาอย่างละเอียดและบอกกับแป้งว่าเต้ยังไม่สามารถมาเรียนได้เนื่องจากกระดูกหัก ทั้งสามจึงนัดแนะกันว่าจะไปเยี่ยมเธอในวันหยุด
หลังจากเข้าเรียนวิชาภาคบ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้วแป้งจึงหอบกระเป๋าใบใหญ่ของเธอและเดินตรงไปยังห้องอาจารย์ประจำคณะ เธอหยุดยืนหน้าห้องที่มีป้ายชื่อ ศาสตราจารย์วิชัย ชำนาญบุราณชาญ และทำท่าลังเลใจชั่วครู่ก่อนตัดสินใจยกมือขึ้นเคาะประตูสองสามครั้ง
“เข้ามา”
เสียงทุ้มลึกของผู้ที่อยู่ด้านในดังออกมา แป้งกลืนน้ำลายลงคอก่อนผลักบานประตูให้เปิดออกและก้าวเข้าไปด้านใน ความเย็นของเครื่องปรับอากาศผนวกกับวัตถุโบราณมากมายหลายชิ้นที่ตั้งเรียงรายอยู่ทั่วห้องตู้หนังสือที่สูงจนแทบจรดเพดานทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองกำลังหลุดเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง กลิ่นหอมของเครื่องดินเผาอันเก่าแก่ที่ลอยอบอวลไปทั่วห้องยิ่งสร้างความเย็นให้เพิ่มขึ้นจนรู้สึกหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ แป้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆขณะกวาดสายตามองวัตถุโบราณทุกชิ้นด้วยความรู้สึกใฝ่รู้ในที่มาของพวกมัน
“มีธุระอะไรหรือ”
เสียงเดิมถามขึ้น แป้งหันหน้าไปยังบริเวณกลางห้องและยิ้มให้กับชายวัยกลางคนในเครื่องแต่งกายที่เรียบร้อยซึ่งกำลังเงยหน้าขึ้นจากแผ่นดินเผาที่เขากำลังใช้แว่นขยายตรวจอยู่
“ขอโทษที่มารบกวนอาจารย์ค่ะ คือหนูชื่อปานตา เจนศัสตรา เป็นนักศึกษาปีสองสาขาวิชาโบราณคดี........”
“เรื่องนั้นฉันรู้” ศาสตราจารย์วิชัยขัดขึ้นมาก่อนจะลดสายตาลงไปให้ความสนใจกับแผ่นดินเผาที่อยู่ตรงหน้าต่อ “ถ้าไม่ใช่นักศึกษาโบราณคดีคงไม่เข้ามาหาฉันแน่” เขาหยิบพู่กันขนาดเล็กมาปัดฝุ่นผงบนวัตถุโบราณอย่างเบามือ แป้งมองการกระทำของผู้เป็นอาจารย์ด้วยสายตาชื่นชม
“มันสวยมาก” เสียงศาสตราจารย์พึมพำ “แปลกเหลือเกินที่หลุดรอดมือของพวกค้าของเก่ามาได้”
“อักษรลิ่มคูนิเอเฟอร์” แป้งเปรยขึ้นขณะพยายามชะเง้อมอง “มันหลุดมาที่เมืองไทยได้ยังไงกันคะอาจารย์”
ศาสตราจารย์วิชัยเงยหน้าขึ้นและมองแป้งอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาเต็มไปด้วยความแปลกใจระคนทึ่งมากกว่ารำคาญในครั้งแรก
“อาจารย์ได้มาจากเพื่อนที่ไปเที่ยวแถวๆอาหรับ” เขาวางแผ่นดินเผาลง “ไม่คิดว่านักศึกษาปีสองอย่างเธอจะรู้จักมันด้วย”
“หนูเคยอ่านเจอในหนังสือค่ะ” แป้งตอบ “และปีหนึ่งก็มีวิชาเกี่ยวกับอารยธรรมลุ่มแม่น้ำด้วยเลยจำได้”
“โบราณคดีไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำ หากแต่ต้องมีความช่างสังเกตและรู้จักจินตนาการ” ศาสตราจารย์โบราณคดีพูดเสียงดุ “ถ้าเป็นคนอื่นคงมองสิ่งนี้ว่าเป็นเพียงก้อนดินเก่าที่มีลายสวยๆเท่านั้น” เขาถอดแว่นออกมาเช็ด “ว่าแต่มีธุระอะไรกับฉันหรือ”
“คะ...ค่ะคือว่าหนูมีของบางอย่างที่เพิ่งได้มา” เธอจัดแจงเปิดกระเป๋าและดึงห่อกระดาษบรรจุโถศิลาออกมา “คุณแม่ของหนูได้มาจากอียิปต์ค่ะ”
“พวกนักท่องเที่ยวสินะ” ศาสตราจารย์วิชัยพูดอย่างไม่สนใจขณะแกะกระดาษและดึงโถหินสีขาวออกมา “ส่วนมากมักจะถูกพวกพ่อค้าพื้นเมืองหลอกให้ซื้อของปลอมแต่งให้ดูเก่าในราคาแพงๆ” เขามองโถหินอย่างไม่สนใจขณะใช้ปลายนิ้วไล่ไปบนลวดลายที่ปรากฏอยู่บนเนื้อศิลา คิ้วขมวดเข้าหากันและชะงักคำพูดที่จะกล่าวต่อจากนั้นจึงก้มหน้าลงไปมองด้วยสายตาพิจารณามากกว่าเดิม
“อลาบาสเตอร์ของแท้” ศาสตราจารย์วิชัยพึมพำและดึงแว่นขยายมาส่องลวดลายที่ปรากฏบนเนื้อหินอย่างละเอียด สีหน้าของเขาเริ่มบังเกิดความตื่นเต้นขึ้นทีละน้อย
“สีที่ใช้นี่เป็นสีจากธรรมชาติ” เขาพลิกโถอย่างระมัดระวังและเปิดฝาออก “ล้างข้างในเสียสะอาดเชียว โชคดีที่ไม่โดนสารเคมีในน้ำทำลายไปจนหมด เอ๊ะ....” เสียงอุทานออกมาไม่ดังนัก แป้งมองศาสตราจารย์วิชัยลากแว่นขยายกำลังสูงกว่าเดิมออกมาจากกล่องและส่องรายละเอียดบนโถอีกครั้ง
“มีการลบชื่อเจ้าของออกด้วย” เขาไล้ไปบนผิวศิลาสีขาวอย่างระมัดระวัง “คา.....” เสียงบ่นพึมพำด้วยความรู้สึกขัดใจก่อนจะเงยหน้าขึ้น “มันถูกลบไปอย่างสมบูรณ์ อาจารย์ไม่แน่ใจว่าเป็นคาเฟร หรือคาเมเรเนปติ ถ้าอยากจะรู้คงต้องใช้เครื่องมือและเวลาที่มากกว่านี้”
“ตกลงนี่เป็นโถคาโนปิคของแท้ใช่ไหมคะอาจารย์” แป้งถามด้วยความอยากรู้ ศาสตราจารย์วิชัยนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ตามความเห็นในตอนนี้อาจารย์คิดว่าใช่แต่ยังไม่กล้ายืนยันให้แน่ชัด อย่างที่บอกเราต้องใช้อุปกรณ์ที่ดีกว่านี้ในการตรวจสอบ”
“เอ่อ...ถ้าอย่างนั้นหนูจะทิ้งโถนี่ไว้กับอาจารย์ก่อน...”
“ไม่ได้” ศาสตราจารย์วิชัยสั่นหน้า”จริงอยู่ถึงแม้ในห้องของฉันจะมีของโบราณมากมาย แต่ทุกชิ้นยังมีอายุและมูลค่าไม่มากมายอะไรนักอย่างเต็มที่ก็ราวห้าร้อยปีขึ้นไป แต่โถนี่ไม่ใช่” เขาหยุดและยกมือขึ้นกอดอกอย่างใช้ความคิด
“เอาเป็นว่าเธอเอาโถนี่กลับไปก่อนและถ้าอยากจะรู้จริงๆว่ามันเป็นของแท้หรือไม่ ค่อยทำหนังสือยื่นไปที่คณะขอเอกสารรับรองและเปิดห้องเก็บเป็นพิเศษจะได้แน่ใจว่าไม่มีใครกล้าลักลอบเข้ามาขโมยมันไป แต่ถ้าเธออยากจะค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเองก็เข้ามาหาตำราในห้องนี้ได้ทุกเวลา” ศาสตราจารย์วิชัยส่งโถคืนให้กับปานตา “เก็บให้ดีอย่าให้ใครเห็นเป็นอันขาดไม่ว่าจะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม โบราณคดีอาจจะมีคุณค่าสำหรับพวกเราแต่สำหรับบางคนมันคือของมีราคาที่น่าครอบครอง”
ปานตารับโถคาโนปิคคืนมาจากอาจารย์ของเธอและจัดแจงห่ออย่างระมัดระวัง เธอมองศาสตราจารย์วิชัยที่กำลังหยิบแผ่นดินเผาขึ้นมาพิจารณาดูอีกครั้ง
“อาจารย์คิดว่าโถนี่เป็นของฟาโรห์คาเฟรหรือเปล่าคะ”
“อย่างที่บอก ฉันไม่แน่ใจ” เขามองหญิงสาว “ต้องมีการตรวจสอบและพิสูจน์กันหลายขั้นตอนกว่าจะยืนยันว่ามันเป็นของจริงหรือไม่ และมาจากสมัยใด” สายตาเลื่อนกลับไปที่แผ่นอักษรดินเผาอีกครั้ง “เก็บรักษามันให้ดีแม้ว่าโถนี่จะเป็นเพียงของปลอมที่ทำเลียนแบบได้เหมือนจริงก็ตาม”
ศาสตราจารย์ผู้สูงวัยไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้นอีกเลย แป้งมองอาจารย์ของเธอที่กำลังเพ่งพิจารณาแผ่นดินเผาโบราณอย่างสนอกสนใจอยู่อีกครู่หนึ่งจึงกล่าวคำอำลาและเดินจากมา หญิงสาวกระชับกระเป๋าของตนเองแน่น คำเตือนของผู้เป็นอาจารย์ทำให้ความตั้งใจเดิมที่จะนำโถอียิปต์โบราณไปอวดเพื่อนแปรเปลี่ยนไป แป้งตัดสินใจโบกแท็กซี่เพื่อกลับไปยังที่พักของเธอ
*/*/*/*
ค่ำวันนั้นหลังจากที่โทรศัพท์คุยกับมารดาเสร็จเรียบร้อยแล้วแป้งจึงนั่งพิจารณาโถศิลาสีขาวอีกครั้ง เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลังจากพยายามเดาชื่อที่ถูกลบออกไปอยู่พักใหญ่ หญิงสาววางโถลงบนโต๊ะตัวเล็กใกล้กับชั้นวางโทรทัศน์และหยิบรีโมตมาเปิดดูรายการต่างๆ แป้งเบ้หน้าด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายเมื่อทุกช่องอุดมไปด้วยรายการเกมส์โชว์และข่าวนินทาดาราที่ผู้สื่อข่าวออกท่าทางพร้อมการรายงานอย่างเมามันจนเกินงาม
“มิน่าล่ะคนถึงหันไปติดเคเบิ้ลทีวีกันหมด” หญิงสาวบ่นพร้อมกับกดปุ่มไปดูสารคดีต่างประเทศของเคเบิ้ลทีวีชื่อดัง เธอยิ้มเมื่อพบว่ามันเป็นสารคดีเกี่ยวกับอารยธรรมโบราณ เสียงผู้บรรยายต่างประเทศบอกเล่าถึงหนังสือโบราณเล่มหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับโลกหลังความตายของชาวอียิปต์ แป้งวางรีโมตและหยิบผลไม้มาใส่ปากเคี้ยวขณะจ้องตัวอักษรที่ปรากฏบนหน้าจอด้วยความสนใจ เธอเลื่อนมือไปหยิบแก้วน้ำมาดื่มและรีบวางลงเพื่อหยิบรีโมตมาเร่งเสียงเมื่อมีการบรรยายถึงข้อความของบทสวดที่ผู้บรรยายเรียกว่า คัมภีร์แห่งความตาย อารามรีบร้อนทำให้รีโมตหลุดจากมือและตกไปกระทบแก้วจนแตกกระจาย แป้งบ่นสองสามคำและนั่งลงเก็บเศษแก้วที่ตกอยู่บนพื้นโดยสายตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ ความที่ไม่ระมัดระวังทำให้คมของแก้วบาดนิ้วของเธอจนเป็นแผลลึก เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาทันที แป้งร้องอุทานออกมาและรีบลุกขึ้นโดยไม่ลืมทิ้งเศษแก้วที่เก็บแล้วลงในถังขยะข้างตัว เธอหันไปคว้ากล่องกระดาษชำระและบีบแผลตนเองจนแน่นจากนั้นจึงรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ทันได้สังเกตว่าเลือดของตัวเองหยดลงไปเปรอะเปื้อนทั่วทั้งบนโต๊ะวางของ บนโทรทัศน์
หรือแม้แต่กระทั่งโถคาโนปิคที่วางอยู่ในบริเวณนั้น
*/*/*/*/*
คุยกับผู้อ่าน
สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวสักเล็กน้อยก่อนนะคะ ชื่อมูนนี่ค่ะ นามปากกาว่า มุนีรัตน์ แต่ถ้าเป็นงานของสนพ.สถาพรจะใช้ชื่อว่าชฎาพรค่ะ เป็นคนที่คุยไม่เก่ง ดังนั้นขอฝากนิยายทุกเรื่องกับผู้อ่านทุกท่านด้วยนะคะ
ตอบคำถามค่ะ
คุณ lookAme
ขอบคุณที่กรุณาติดตามค่ะ ^___^
![](/images/icons/guest.jpg)
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 ก.ย. 2555, 10:10:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 ก.ย. 2555, 10:10:24 น.
จำนวนการเข้าชม : 1330
<< บทที่ 1 โถศิลาอลาบาสเตอร์ | บทที่ 3 คาเฟร >> |
![](/images/icons/guest.jpg)
pulala 8 ก.ย. 2555, 11:23:54 น.
ตามมากรี๊ดคาเฟร
ตามมากรี๊ดคาเฟร
![](/images/icons/414.jpg)
![](/images/icons/414.jpg)
หนอนฮับ 8 ก.ย. 2555, 19:34:08 น.
กรี๊ดดดดด...ตามไปอ่านในเด็กดี มีแต่เรื่องน่อ่านทั้งนั้นเลยคะ ชอบๆ ส่
งกำลังใจให้นะคะ
กรี๊ดดดดด...ตามไปอ่านในเด็กดี มีแต่เรื่องน่อ่านทั้งนั้นเลยคะ ชอบๆ ส่
งกำลังใจให้นะคะ
![](/images/emo/biggrin.gif)