หัวใจไร้ที่อยู่ (Homeless Heart)...จบแล้วค่ะ
หัวใจเจ้าชู้…เพราะไม่รู้จักรัก
หรือเป็นเพราะอกหัก…ถึงไม่กล้าปักใจรักใครจริงจัง…


"สิ้นรัก" แค่ชื่อ ก็ทำให้คนได้ยินถึงกับยิ้มขันได้แล้ว...
ในโลกนี้คงมีแค่เธอที่ชื่อนี้คนเดียว...
และคงเป็นปริศนาที่ว่าทำไมเธอถึงมีชื่อเช่นนี้

"เป็ดวานาโน" ฉายาที่หลายคนบอกว่าน่ารักน่าเรียก
พี่รหัสสุดหล่อของเธอเป็นคนตั้งให้เองแหล่ะ
พี่รหัสแสนดีอย่างพี่ลมที่ร่างสูงใหญ่ไซส์ XL
ส่วนเธอแต่ไซส์ XS ลองนึกภาพเวลาที่เราสองคนเดินด้วยกันสิคะ
ว่ามันจะออกมาในสภาพไหน...
แต่ใครเล่าจะรู้ปริศนาที่มาของฉายาดังกล่าว

เรื่องราวของสิ้นรักหรือเป็ดวานาโนเริ่มขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ในภาคใต้ของประเทศไทย...
เป็นเรื่องราวที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่อมาว่า...เธอได้หายไปไหน...
ทำไมไม่มีเธอในเรื่อง "รังรัก"...

เรื่องนี้จึงเป็นภาคต่อของเรื่อง"รังรัก" ที่เล่าเท้าความย้อนไปในอดีต
ของหมอรังกับวายุ โดยมีสิ้นรักที่กำลังเดินทางตามหา
ที่อยู่ของหัวใจ...ใครจะเป็นที่อยู่ของหัวใจให้กับสาวร่างเล็กคนนี้หนอ...

และเธอจะทำอย่างไรกับหัวใจที่ยังไร้ที่อยู่...

คนที่ไร้บ้าน ก็ว่าน่าสงสารแล้ว
แล้วคนที่หัวใจไร้ที่อยู่เล่า...จะเป็นเช่นไร...





Tags: เบาสมอง ดราม่า สิ้นรัก เป็ดวานาโน รังสิมันต์ หมอรัง วายุ ปองขวัญ

ตอน: บทที่ 29 ศรีตรังลาต้น (ตอนจบ)

ตอนท้ายเรื่อง..อย่าลืมล็อกอินเข้ามาโหวตความเห็นให้เต่าโยนิดนึงนะคะ...


บทที่29 ศรีตรังลาต้น

“ระหว่างเส้นขอบฟ้าที่แบ่งผืนดินกับผืนฟ้า กับเส้นขอบฟ้าที่แบ่งผืนน้ำกับผืนฟ้า
พ่ีลมชอบอะไรมากกว่ากันคะ”

วายุมองเสี้ยวหน้าของน้องรหัสที่นั่งชันเข่ามองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า
แล้วยิ้มบางกับคำถามเหมือนเด็กๆนั่น

“ไม่รู้สิ แล้วเราล่ะ”คำตอบสั้นๆแล้วถามกลับนั้น
ทำให้สิ้นรักหันมามองพี่รหัสที่นั่งขัดสมาธิเอามือทั้งสองยันไปข้างหลังอยู่ข้างๆเธอ
ก่อนจะสูดลมหายใจแล้วพูดว่า

“สิ้นชอบเส้นขอบฟ้าที่อยู่ตรงหน้านั้นน่ะค่ะ”
ว่าพลางชี้ไปยังเส้นบางๆที่แบ่งผืนน้ำกับผืนฟ้าตรงหน้า วายุยิ้มบางก่อนจะกระตุกคิ้วนิดนึง

“เพราะมันต่างสะท้อนซึ่งกันและกัน ถ้าไม่มีเส้นบางๆนั่น
สิ้นคงคิดว่ามันเป็นผืนเดียวกันไปแล้วล่ะค่ะ”เสียงใสไร้แววตาเศร้าหมอง
หากมีแต่ความเพ้อฝันบางอย่างในนั้น ฉุดให้คนฟังหันมานั่งฟังอย่างจริงจัง
พร้อมกับชันเข่ามองไปยังเส้นบางๆที่น้องรหัสของเขาพูดถึง

“ไม่รู้จะเพ้อเจ้อไปมั้ยนะคะ ถ้าสิ้นจะบอกพี่ลมว่า สิ้นอยากบินไปยังตรงเส้นบางๆนั่น
อยากไปหามัน ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่มีจริง แต่สิ้นก็อยากไปที่นั่น
เพราะว่ามันจะทำให้การเดินทางของสิ้นไม่มีวันสิ้นสุด
เพราะไม่ว่าสิ้นจะหาเท่าไหร่ ก็คงไม่เจออยู่ดี เพราะมันไม่เคยมีจริง มันแค่ภาพลวงตา
ที่ทำให้เราแยกออกว่าอะไรคือแผ่นน้ำอะไรคือแผ่นฟ้า
และอะไรเป็นอะไร ตอนนี้สิ้นเข้าใจแล้วค่ะ และสิ้นก็ตั้งใจว่าจะไปหามัน
หามันจนกว่าจะหมดแรงบิน”วายุกระตุกยิ้ม แม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่คนข้างๆพูดนัก
แต่เขากลับรู้สึกว่าคนพูดดูเหมือนจะมีความฝันบางอย่างที่ซ่อนอยู่

“มีสิ ทำไมจะไม่มี”สิ้นรักหันมามองหน้าพี่รหัสทันทีก่อนจะเลิกคิ้วถาม

“ถึงความจริงมันจะไม่มี แต่เราก็สามารถขีดมันขึ้นมาได้นี่ แล้วแต่ใจเราจะขีด”
คราวนี้สิ้นรักยิ้มร่าออกมาทันที

“แล้วพี่ลมขีดมันไว้ตรงไหนล่ะคะ”สิ้นรักเอียงคอถามด้วยรอยยิ้ม
วายุชี้ไปยังเส้นบางๆตรงขอบฟ้านั่นพร้อมกับลากนิ้วชี้เป็นเส้นตรงแนวนอนในอากาศ
แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแฝงแววขี้เล่นว่า

“ตรงนั้นน่ะ”สิ้นรักหน้างอ

“ตรงนั้นน่ะตรงไหนคะ เอาพิกัดมาเลย”คนฟังหัวเราะหึๆในลำคอ
พร้อมกับยักไหล่แล้วเลิกคิ้วตอบว่า

“ความลับ ไม่บอก”

“ว้า แล้วสิ้นจะรู้มั้ยเนี่ย”หญิงสาวแสร้งหน้างอ สุ้มเสียงหยอกเอิน

“แล้วเราล่ะ จะขีดมันไว้ที่ตรงไหน”ถึงทีคนตัวเล็กตอบบ้าง สิ้นรักเม้มปากจนเห็นลักยิ้ม
กลอกตาไปมาราวกับกำลังคิดหนัก ก่อนจะพับขาเอามือกอดอก หันมายิ้มแหยๆแล้วตอบออกไปว่า

“ไม่รู้ค่ะ สิ้นยังไม่รู้ว่าจะขีดไว้ตรงไหนดี
เอาเป็นว่า สิ้นจะตามหาเส้นที่พี่ลมขีดเอาไว้ให้เจอก่อนแล้วกัน
หลังจากนั้นสิ้นก็จะค่อยๆขีดมันเอาไว้ใกล้ๆพี่ลมดีมั้ยคะ”พูดเสร็จก็เอียงคอหัวเราะแหะๆ
ทำให้วายุพลอยขำไปด้วยกับคำพูดและท่าทางน่ารักๆของคนตรงหน้า

“แล้วพี่จะคอยดูว่าเราจะบินไปถึงรึเปล่า”

“ถ้ามีสายลมคอยบอก สิ้นคงไม่หลงทางหรอก”สิ้นรักแย้งหน้ารื่น

“กลัวจะหมดแรงซะก่อนล่ะสิไม่ว่า”

“อย่ามาดูถูกเป็ดวานาโนตัวนี้นะพี่ลม ถึงเป็ดจะบินไม่เก่งเท่านก
แต่มันก็ว่ายน้ำได้นะ ไม่จมน้ำด้วย”วายุระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
ที่ได้ยินคำพูดและหน้าตาท่าทางน่าหยิกน่าหยอกของคนตรงหน้า

“สงสัยคงต้องยอมแพ้เป็ดซะแล้วเรา ว่าแต่หาให้เจอก็แล้วกัน พี่จะคอย
อยากรู้เหมือนกันว่าเป็ดวานาโนจะเก่งอย่างที่พูดไว้สักแค่ไหน”

“อยู่แล้ว มีพี่รหัสเก่งๆอย่างนี้ เชื้อมันจะไปไหนเสีย”สิ้นรักหัวเราะร่า

เพราะว่าจากนี้ไปเธอจะพยายามมีความสุขกับเวลาที่เหลือที่ได้อยู่ด้วยกัน
อยากใช้วันเวลาเหล่านี้ให้คุ้ม ก่อนจะโบยบินไปยังเส้นขอบฟ้านั่น

วายุเองก็ดีใจที่เห็นน้องรหัสของเขาไม่เอาแต่เศร้าซึม เพราะตั้งแต่งานเลี้ยงเมื่อคืนจบลง
น้องรหัสของเขาก็ดูจะยิ้มมากขึ้น แต่ไอ้เพื่อนรักของเขานี่สิ มันดูซึมๆไปยังไงก็ไม่รู้

วันนี้สวนกันตอนเช้าที่หน้าโรงอาหารก็เห็นหน้าตาไม่ดี ราวกับคนไม่ได้นอนมายังไงยังงั้น…

“ว่าแต่ เราแน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจะเล่าให้พี่ฟัง”วายุหยั่งเชิง
สิ้นรักหันมายิ้มแล้วพูดว่า

“ขอเรื่องนี้เรื่องเดียวนะคะ ส่วนเรื่องอื่นส้ินจะบอก อยู่ที่พี่ลมจะเข้าใจสิ้นรึเปล่าก็เท่านั้น”

วายุแอบลอบถอนใจ แต่ก็เข้าใจว่าน้องรหัสของเขาคงไม่อยากเล่า เขาก็ไม่อยากเซ้าซี้
เพราะบางทีมันอาจจะเป็นการดีหากเขาไม่รู้ซะบ้าง…

“ไอ้สิ้น แอบมาจู๋จี๋กับพี่ลมก็ไม่บอก ปล่อยให้ฉันวิ่งหาแกซะทั่วหอ
นี่ถ้าไม่เจอไอ้นิล ฉันคงไม่รู้ว่่าแกอยู่ที่แหลม”ปองขวัญหน้างอ หอบถี่เพราะวิ่งหาเพื่อน
นึกว่าเพื่อนจะคิดสั้น ก็เห็นเมื่อคืนมันเอาแต่นอนร้องไห้ทั้งคืน ตื่นเช้าขึ้นมาเธอก็ต้องรีบไปเรียน
กลับมาอีกทีก็ไม่เห็นหัว ก็เลยกลัวว่ามันจะคิดบ้าๆขึ้นมา…

สิ้นรักหันมายิ้มให้เพื่อนที่ดูจะเหงื่อโทรมไปทั้งหน้า ก่อนจะยื่นฝ้าเช็ดหน้าไปให้

“ขอบใจย่ะ”ปองขวัญนั่งลงใกล้ๆเพื่อน เหลือบตามองอีกคนที่นั่งเงียบเชียว
ไม่มีทักทายกันบ้างเลย…

“ฉันชวนพี่ลมออกมาเดินเล่นน่ะ อยากแวะมาถ่ายรูปกับนางเงือกหน่อย
เดี๋ยวนางเงือกจะน้อยใจเอา”สิ้นรักอธิบายเสียงร่า ปองขวัญพยักหน้า
ก่อนจะฉวยโอกาสแหย่อีกคนที่ยังนั่งเฉย

“นี่ถ้าแกไม่บอก ฉันคงคิดว่าแกน่ังคุยอยู่กับรูปปั้นนายเงือกไปแล้วนะเนี่ย”

วายุกระตุกยิ้มที่มุมปากเมื่อได้ยินคำทักทายที่ดูจะทันสมัยของน้องรหัสเพื่อนรัก

“เปล่าหรอก พอดีพี่นึกว่าที่เห็นเมื่อกี้เป็นแมวที่ออกมาวิ่งเล่นแถวนี้
เห็นหน้ามอมๆก็เลยไม่กล้าทัก กลัวจะเป็นแมวจรจัด เดี๋ยวจะกัดพี่เอาน่ะ”

ปองขวัญเม้มปากแน่นกับวาจาเผ็ดร้อนนั่น ก่อนจะอ้าปากเตรียมจะเอาคืน
แต่กลับถูกตัดหน้าไปซะก่อน

“แต่พอดีได้ยินว่าพูดได้ เลยรู้ว่าไม่ใช่แมว แต่เป็นปองขวัญ ดาวคณะแพทย์นี่เอง
สงสัยพ่ีคงตาลาย มองดาวมหา’ลัยกลายเป็นแมวจรจัดไปได้ไงก็ไม่รู้”

สิ้นรักหัวเราะดังออกมาทันทีที่ได้ยินพี่รหัสล้อเพื่อนเธอ
แต่พอหันไปเจอตาเขียวๆเรืองแสงวับๆนั่นเข้าก็ต้องหุบยิ้มลงทันที กลั้นหัวเราะจนท้องแข็ง

ส่วนวายุก็นั่งอมยิ้ม มีความสุขที่ได้เห็นหน้างอๆ จมูกเชิดๆนั่น
โดยเฉพาะเวลาโกรธ แก้มเหมือนลูกชมพู๋แต่พอมองดีๆก็คล้ายๆก้นลิงเหมือนกัน…
เลยอดแหย่ไม่ได้…

“แล้วแกตามหาฉันมีอะไรเหรอปอง”สิ้นรักขัดทัพที่กำลังจะเทียบท่าหน้าป้อม
เลยหันมาถามเพื่อนที่นั่งกัดฟันกรอดๆมองพี่รหัสของเธอตาเป็นมัน
ไม่ใช่เพราะพิศวาสแต่อย่างใด แต่คงอยากจะงาบคอพี่ลมเข้าถ้ำเป็นแน่…
เพราะไอ้แมวจรจัดที่ว่ากำลังจะกลายร่างเป็นเสือดาว…

“เอ่อ…พอดีพี่มณีเขามารอรับแกอยู่ที่หน้าหอ ฉันก็เลยอาสามาตามให้”

สิ้นรักพยักหน้า เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เธอจะเดินเตร็ดเตร่ที่นี่
หลังจากที่วันนี้ทั้งวันเดินไปกอดอำลาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่รู้จักกัน
แล้วก็จบลงด้วยการชวนพี่รหัสที่สนิทที่สุดมาเดินเล่นที่แหลมสมิหลา
เพื่อเก็บภาพเอาไว้ดูตอนที่ต้องไปอยู่ที่โน่น

“อื้ม ฉันก็ตั้งท่าว่าจะกลับแล้วล่ะ เพราะต้องรีบไปจัดการสัมภาระ
และกระเป๋าเดินทางอีก ดีที่พ่อบันจัดการเรื่องทุกอย่างให้หมดแล้ว”

“ฉันว่าพ่อบันของแกคงคิดไว้นานแล้วล่ะ ไม่งั้นคงไม่จัดการเรื่องวีซ่า
เรื่องหนังสือเดินทางให้แกก่อนหน้านี้หรอก”สิ้นรักลอบถอนใจ
เพราะที่เพื่อนพูดมามันคือเรื่องจริง พอบันของเธอจัดการเรื่องนี้ไว้เรียบร้อยหมดแล้ว
แล้วให้เวลาเธอตัดสินใจและอำลาชีวิตที่นี่แค่สองสัปดาห์ ซึ่งเธอคิดว่าพอเหมาะพอเจาะ
เพราะจะได้ไม่ต้องเศร้านาน

ยิ่งลากันนานๆก็ยิ่งไม่อยากไป ในเมื่อตัดสินใจจะไปแล้ว ก็คงต้องเดินหน้าต่อ

“เนเธอร์แลนด์คงสวยเนอะ ฉันยังอยากไปเลย เอาไว้มีเวลาฉันจะไปเยี่ยมแกนะไอ้สิ้น”
ปองขวัญตบบ่าเพื่อนรักพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่แน่ฉันอาจจะไปหาแกทุกปีหรือทุกเทอมก็ได้”สิ้นรักยิ้มก่อนจะกอดคอเพื่อนเอาไว้

“ขอบใจนะปอง ขอบใจแกจริงๆ แกเป็นเพื่อนที่ฉันรักมากที่สุดเลยรู้มั้ย”

“ฉันรู้หรอกน่า ไม่ต้องพูดมาก เดี๋ยวน้ำตาไหล”แล้วทั้งสองก็หัวเราะพร้อมกัน
ชวนให้ชายหนุ่มนั่งมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มบาง

“ไปถ่ายรูปกับนางเงือกด้วยกันดีกว่า”สิ้นรักพูดกับเพื่อนก่อนจะหันมายิ้มตาหยีให้พี่รหัส
พร้อมกับจับมือของพี่รหัสและของเพื่อนเอาไว้แล้วลุกขึ้น

แต่อยู่ๆก็เหมือนมีกระแสวูบวาบบางอย่างพุ่งเข้าสู่อกด้านซ้าย
ทำให้รู้สึกชาตั้งแต่ฝ่ามือ แขน ไปถึงหัวใจ หายใจติดขัดไปชั่วขณะ

สิ้นรักปล่อยมือของทั้งสองราวกับเป็นของร้อน ปองขวัญตกใจ
กับใบหน้าแดงก่ำของเพื่อน วายุก็เช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้นนาโน เป็นอะไรรึเปล่า”วายุจับบ่าน้องรหัสส่วนปองขวัญ
เอามือแตะหน้าผาก ก่อนจะขมวดคิ้ว

“ก็ปกติดีนี่ ไอ้สิ้น”ปองขวัญเขย่าเพื่อนที่ดูจะยืนนิ่งไม่ไหวติง

“เอ่อ…เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก แค่รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต
สงสัยจะนั่งนานไปหน่อย เหน็บเลยกิน”

สิ้นรักตัดบทก่อนจะก้มมองแหวนไพลินสีน้ำเงินที่ตรงนิ้วนางข้างขวาของเธอแล้วขมวดคิ้วมุ่น
หรือจะเป็นเพราะแหวนนี่…ไม่จริงหรอก…

วายุกับปองขวัญหันมาจ้องหน้ากันก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปม
แล้วคลายลงเมื่อคนพูดเดินไปที่รูปปั้นนางเงือก

ทั้งสองเลยเดินตามไป ก่อนจะผลัดกันถ่ายรูปคู่กับรูปป้ันนางเงือก สัญลักษณ์ของจังหวัดนี้
ที่งามเด่นเป็นสง่า ใครมาก็ต่างขอถ่ายรูปด้วย ราวกับเป็นดาราฮอลลีวูดก็ไม่ปาน…

“ฉันอยากได้รูปเราสามคนถ่ายด้วยกันจังเลย”สิ้นรักบ่นพึมพำ
พร้อมกับสอดส่ายสายตาจิกหาตากล้องจำเป็น แต่เวลานี้ไม่ค่อยมีคนมากนัก
ก่อนจะเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านมา

“โน่นไง”

“ไอ้บ้า นี่แกจะให้คุณยายช่วยถ่ายให้เหรอ”ปองขวัญโวย
เมื่อเห็นคนที่เพื่อนชี้เป็นหญิงชราที่เดินขายของหาบเร่อยู่ไม่ไกลออกไป

“ยายจ๋า ไอ้นี่นี่ยายขายยังไงจ๊ะ”สิ้นรักวิ่งไปหายายก่อนจะชี้ไปยังไข่นกที่อยู่ในถุงเล็กๆหลายถุง
ในตะกร้าหาบเร่ด้วยรอยยิ้มกว้าง

“ถุงละสิบบาทจ๊ะนังหนู”

“งั้นหนูเอาหมดทั้งสองตะกร้าเลยนะคะ”หญิงชรายิ้มกว้างก่อนจะถามว่า

“เอ็งจะเอาไปไหนตั้งมากมาย แค่สามคนจะกินไหวเหรอ”
สิ้นรักยิ้มกว้าง ส่ายหน้าแล้วตอบว่า

“เปล่าหรอกจ้า หนูจะเอาไปแจกเพื่อนท่ีหอต่างหากจ๊ะ หนูกำลังจะไปเรียนต่อที่เมืองนอก
คงไม่ได้มาอุดหนุนไข่นกของยายอีกนานเลยล่ะจ๊ะ”

“เอ็งจะไปแล้วเหรอ ยายขอให้เอ็งโชคดี เดินทางปลอดภัยนะ
กลับมาแล้วก็อย่าลืมแวะมาอุดหนุนยายอีกล่ะ ยายคงไม่ไปไหนแล้วล่ะ รักที่นี่น่ะ”

สิ้นรักแค่นยิ้ม เธอเองก็รักที่นี่เหมือนกัน ทั้งรักทั้งผูกพัน

แล้วเธอก็ช่วยคุณยายใส่ถุงไข่นกลงในถุงพลาสติกหูหิ้ว
โดยมีปองขวัญและวายุเข้ามาช่วยด้วยอีกแรง ก่อนจะยิ้มให้กับความน่ารักของสองสาว
และความใจดีของคุณยายที่ลดให้ แม้น้องรหัสของเขาเต็มใจให้เต็มราคา
แต่คุณยายกลับตอบด้วยน้ำเสียงเอื้อเอ็นดูว่าลดให้เป็นสินน้ำใจ

“ขอบคุณจ๊ะยาย กลับบ้านดีๆนะจ๊ะ”สิ้นรัก ปองขวัญและวายุยกมือไหว้
หญิงชรายิ้มใจดี ยิ้มที่ไม่มีฟันแต่กลับทำให้รู้สึกอบอุ่นได้…

“ว่าแต่จะให้ยายช่วยถ่ายรูปให้มั้ยล่ะ”วายุและปองขวัญตาโต
กับคำพูดของคุณยายวัยหกสิบที่ขันอาสาถ่ายรูปให้ ทว่าสิ้นรักกลับยิ้มร่า

“เอ่อ…ไม่เป็นไรจ๊ะ พวกหนูเกรงใจ”ปองขวัญยิ้มแหย

“ยายถ่ายได้นะ เคยถ่ายให้นักท่องเที่ยวฝรั่งบ่อยออก”

คราวนี้ปองขวัญถึงกับออกอาการทึ่งก่อนจะอมยิ้ม ส่วนสิ้นรักรู้ดี
เพราะเคยเห็นคุณยายถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวที่นี่บ่อยๆ
เวลาที่เธอมานั่งปลดปล่อยอารมณ์ที่แหลมแห่งนี้

วายุจึงยื่นกล้องถ่ายรูปให้คุณยาย แล้วทั้งสามก็ไปยืนโพสท่่าถ่ายรูปกับรูปปั้นนางเงือก
โดยมีคุณยายคอยกดชัตเตอร์ให้ จบลงด้วยการขอถ่ายรูปกับคุณยายด้วย
สิ้นรักฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุข สุขใจอย่างบอกไม่ถูก…

“ยายขอให้เอ็งโชคดีนะนังหนู รู้มั้ยว่าเอ็งน่ะยิ้มสวย”สิิ้นรักมองมือเหี่ยวย่น
ทว่าทำให้รู้สึกอุ่นซ่านไปทั่วทั้งหัวใจ พลอยให้คิดไปถึงตาแผน ยายสาย
และยายเรียมที่บ้านทะเลน้อยที่เธอรักและชอบแวะไปนั่งคุยด้วยเสมอ
เพราะไม่มีปู่ย่าตายายเป็นของตัวเอง มีเพียงบิดาเท่านั้นที่อยู่ข้างกาย
ก่อนจะยิ้มกว้างกับคำพูดนั้น

“หนูก็ชอบยิ้มของยายเหมือนกันจ๊ะ แล้วหนูจะยิ้มทุกวันเลยนะจ๊ะ”

“บุญรักษา ยายไปล่ะ”แล้วคุณยายที่สิ้นรักเคยอุดหนุนไข่นกบ่อยๆ
เวลามานั่งเล่นที่นี่ก็เดินจากไป

“แล้วหนูจะแวะมาอุดหนุนยายอีกนะจ๊ะ”สิ้นรักตะโกนไล่หลังหญิงชราไป
แล้วก็ได้เห็นรอยยิ้มจริงใจของคุณยายที่หันกลับมาก่อนจะพยักหน้าไหวๆ

“งั้นเดี๋ยวฉันกลับไปกับแกด้วย”
“จะบ้าเหรอ พรุ่งนี้วันศุกร์ แกมีเรียนไม่ใช่เหรอ”

“หยุดสักวันจะเป็นไรไป อยากไปนอนเป็นเพื่อนแกน่ะ”สิ้นรักยิ้ม
พร้อมกับย่นจมูก

“ใกล้สอบแล้วไม่ใช่เหรอ”สิ้นรักถามเเพื่อนด้วยสีหน้ากังวล

“เดี๋ยวฉันเอาหนังสือไปอ่านที่บ้านแกก็ได้”

“หึ คงจะได้อ่านหรอก”เออเนอะ…สงสัยจะไม่ได้อ่านแน่เลย…

“ถึงไม่ได้อ่าน ฉันก็สอบผ่านอยู่แล้ว แกก็รู้ว่าฉันน่ะเก่ง
สั่งสมบุญเก่าเอาไว้เยอะ”สิ้นรักย่นจมูกใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้

“ย่ะ แม่คนเรียนเก่ง”วายุส่ายหน้าให้กับบทสนทนาของสองสาว
แล้วอดที่จะแหย่คนเก่งด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ว่า

“ระวังบุญที่ว่าจะหล่นทับเอานะครับ”ปองขวัญไม่สน เชิดใส่คนตัวโตที่ปากชอบหาเรื่องเธอตลอด…

ไม่รู้ว่าเคยไปทำอะไรให้ ถึงได้หาเรื่องกัดเธอได้ไม่เบื่อ
เรื่องหลอกผีวันนั้นเธอยังจำไม่ลืมและยังไม่ได้เอาคืนด้วย

…ไอ้ครั้นจะให้ผ่านๆไปก็คงไม่ใช่ปองขวัญแล้ว…




ที่สนามบิน

“โชคดีนะไอ้สิ้น ไปถึงที่นั่นแล้วอย่าลืมถ่ายรูปทุ่งทิวลิปกับกังหันลมส่งมาให้ฉันดูบ้างนะแก”

ปองขวัญกอดเพื่อนรักเอาไว้แน่น

“ที่นี่ก็มีกังหันลมให้แกดูอยู่ทุกวันแล้วนี่”ปองขวัญผละจากอ้อมกอด
มองเพื่อนด้วยความไม่เข้าใจ

ส้ินรักจึงโบ้ยหน้าไปทางพี่รหัสที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันก่อนจะยิ้มกว้างออกมา
ปองขวัญยักไหล่พร้อมกับย่นจมูก วายุกระตุกยิ้มก่อนจะหันไปพูดกับน้องรหัสที่วันนี้ดูดี
แต่งตัวน่ารัก สวมหมวกเก๋ๆ แล้วรอยยิ้มร่าเริงสดใสนั่น
ทำให้เขารู้สึกโล่งใจ หายห่วง

“พี่คิดว่าจะได้ยินเราเป่าปีให้ฟังแล้วซะอีก เห็นยิ้มได้อย่างนี้ ค่อยหายห่วงหน่อย”
สิ้นรักหันไปยิ้มให้พี่รหัสพร้อมกับกางแขนออก

“ขอกอดพี่ลมหน่อยได้มั้ยคะ อยากให้สาวๆที่นี่เขาอิจฉาเล่น”
วายุหัวเราะในลำคอก่อนจะคว้าคนตัวเล็กมากอดเอาไว้แน่น แล้วพูดเบาๆข้างๆหูว่า

“ดูแลตัวเองดีๆนะนาโน เรายังมีกันและกันเสมอ
แล้วเจอกันที่เส้นขอบฟ้านะครับน้องสาวของพี่”สิ้นรักยกมือป้ายน้ำตาป้อยๆ
ที่กำลังไหลออกมา ว่าจะไม่ร้องแล้วนะเนี่ย
ก่อนจะตอบเสียงอู้อี้ ทว่าหนักแน่นว่า

“ค่ะพี่ชาย”วายุจับบ่าคนตัวเล็กแล้วจ้องหน้าพร้อมกับแหย่เธอว่า

“พูดไม่ทันขาดคำ เป่าปี่ให้พี่ฟังซะแล้ว”สิ้นรักมองรอยยิ้มจากใบหน้าหล่อเหลาของพี่รหัส
ก็ยิ้มทั้งน้ำตา วายุหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนสีฟ้าขึ้นมาแล้วเช็ดน้ำตาให้คนตัวเล็ก
ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนปนหยอกเอินว่่า

“จำได้มั้ยว่าเนี่ยมันผืนที่เท่าไหร่แล้วที่เราจ๊ิกของพี่ไป”สิ้นรักหัวเราะแหะๆ
ทั้งที่ใบหน้ามียังมีคราบน้ำตา ทุกคนที่มาส่งต่างส่ายหน้าหัวเราะให้กับท่าทางนั้น

“งั้นผืนนี้สิ้นขอนะคะ”

“พี่ก็คงต้องยกให้อีกตามเคย”วายุยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งไปให้คนตัวเล็ก
ไม่เคยเสียดายผ้าเช็ดหน้าเหล่านี้เลย หากมันจะช่วยซับน้ำตาให้เธอได้
กี่ร้อยผืนเขาก็ยินดีจะหยิบยื่นให้

“แต่พี่จะดีใจกว่านี้นะ ถ้าเราไม่ต้องใช้มันอีก”

“ใครว่าสิ้นจะใช้มันอีกล่ะคะ สิ้นจะเก็บเอาไว้ต่างหาก”สิ้นรักแย้งพร้อมกับลอยหน้าลอยตา ยิ้มร่า
วายุจึงจับมือขวาของน้องรหัสขึ้นมา
ก่อนจะลูบตรงแหวนวงที่เขาสวมให้เธอแล้วพูดว่า

“พี่เชื่อว่าไพลินวงนี้จะนำทางนาโนของพี่ไปพบกับรักแท้ในสักวัน”

“แต่วันนี้ทำไมหมองจังก็ไม่รู้นะคะ ส่งสัยจะอยู่ไกลรักแท้อย่างที่พี่ลมว่ามั้งคะ”

สิ้นรักยิ้มล้อ แม้จะไม่เชื่อนัก แต่อย่างน้อยมีมันไว้ ก็อุ่นใจดี

“โชคดีนะครับ”

“ขอบคุณมากนะคะพี่ลม สำหรับทุกๆเรื่อง”

พูดพลางก็โอบกอดพี่รหัสเอาไว้อีกครั้งด้วยความอาลัย
มองหน้าเพื่อนรักที่ยืนอยู่ข้างหลังพี่รหัส
ก่อนจะผละจากอ้อมกอดนั้นแล้วเดินไปกอดบิดา
อ้อมกอดที่คอยปกป้องดูแลเธอมาตั้งแต่เด็ก

“รักษาเนื้อรักษาตัวนะหนุ่ย ที่พ่อส่งหนุ่ยไปไม่ใช่ว่าพ่อไม่รักไม่ห่วง
แต่พ่ออยากให้ลูกสาวของพ่อเข้มแข็ง สามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยขาของตัวเอง
วันใดที่ไม่มีพ่อ หนุ่ยจะได้ไม่เคว้งคว้าง

พ่อเชื่อว่าที่นั่นจะทำให้ลูกสาวคนนี้ของพ่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
เข้มแข็งเมื่อไหร่แล้วค่อยกลับมานะหนุ่ย”

สิ้นรักกระชับอ้อมกอดบิดาไว้แน่น เธอเข้าใจและก็เต็มใจที่จะไป
ไม่ใช่เพราะบิดาบังคับ แต่เพราะเธอเองก็อยากออกไปเผชิญโลก
ที่กว้างใหญ่ใบนี้ด้วยสองขาของตัวเองเช่นกัน

“หนุ่ยทราบค่ะว่าพ่อบันรักและก็หวังดีกับหนุ่ยแค่ไหน หนุ่ยจะไม่ทำให้พ่อบันผิดหวัง หนุ่ยจะสู้ค่ะ”

บันลือลูบหัวลูกสาวที่เขาทั้งรักทั้งหวง แต่เพราะไม่อยากให้ลูกต้องอยู่ที่นี่ในสภาพที่อ่อนแอ
ไม่อยากให้ลูกต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดกับภาพของคนในอดีตที่คอยตอกย้ำ
เขาจึงต้องผลักลูกออกไปให้ไกลๆ เพื่ออนาคต

หวังว่าทางที่เขาเลือกจะทำให้ลูกสาวของเขาเข้มแข็งได้ในสักวัน
แล้ววันนั้นเขาจะได้หมดห่วง

เพราะที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความเจ็บปวดสำหรับลูกสาวคนเดียวของเขา
นี่เป็นเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น

และพี่ชายของเขาคงจะทำหน้าที่นี้ได้ดีแน่นอน เขาเชื่ออย่างนั้น…

“แล้วพ่อจะแวะไปหา”ทั้งสองกอดอำลาเป็นครั้งสุดท้าย สิ้นรักเก็บน้ำตาเอาไว้

วันนี้เธอจะต้องยิ้มให้ได้ ยิ้มให้บิดารู้ว่าลูกสาวคนนี้จะสู้ จะไม่ร้องไห้อีกแล้ว
แม้น้ำตาจะล้นใจแต่เธอจะยิ้มออกมาให้ได้
ยิ้มที่คุณยายบอกว่าสวย เธอจะยิ้มให้ทุกคนที่เธอรัก เขาจะได้ไม่ห่วง
ไม่เป็นกังวลกับผู้หญิงอ่อนแอคนนี้อีกแล้ว…

สิ้นรักก้มมองสร้อยข้อมือไข่มุกกับปลาดาวที่เธอนำมาใส่เป็นครั้งแรก
พร้อมกับนึกถึงคนให้และคำพูดหนึ่งที่ดังก้องอยู่ในโสตประสาท

…อย่าไปไหนเลยนะ…

…มีปลาดาวตัวนึงที่พี่เคยปล่อยให้มันแห้งเหี่ยวตาย
และพี่อยากเก็บเอาไว้ เพราะมันมีค่าควรแก่การระลึกถึง
แม้มันจะแห้งเหี่ยวตายแต่มันก็ไม่เคยตายไปจากความทรงจำของพี่
พี่ฝากดูแลมันแทนพี่ด้วยนะยัยตัวเล็ก…


สิ้นรักจับปลาดาวตัวน้อยที่แห้งตายซึ่งห้อยอยู่ตรงสร้อยข้อมือที่เขาให้เธอมา

...ใช่…จากนี้ไปเธอต้องดูแลตัวเอง จะไม่มีใครที่จะคอยปกป้องดูแลเธออีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่รัง หรือแม้แต่พี่ลม

ต่อไปจะมีแค่เธอ แค่สองขาที่จะต้องก้าวไปข้างหน้ากับหัวใจดวงนี้เท่านั้น

ไม่มีไอ้ปอง ไม่มีไอ้ปุ๊และเพื่อนๆคอยให้กำลังใจ คอยซับน้ำตาให้อีกแล้ว

เธอจะร้องไห้ให้น้อยลง จะยิ้มให้มากขึ้น จะพึ่งพาคนอื่นให้น้อยลง
จะไม่ทำตัวให้เป็นภาระใครอีกต่อไปแล้ว…

แม้วันนี้จะไม่มีเขามาส่ง แต่เธอก็รู้ว่าเขาจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง
และคงส่งใจมาให้เธอเช่นกัน

อ้อมกอดวันนั้น รอยจูบที่ประทับลงบนหน้าผาก แววตาคู่นั้น มันยังให้ความรู้สึกอบอุ่น
ทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้รังเกียจเธอ

แต่เพราะความจริงถึงทำให้เราไม่สามารถเดินร่วมทาง
เคียงข้างไปด้วยกันอย่างที่หวังได้ ทุกอย่างจึงเป็นเพียงแค่ฝัน

และหากเรื่องจริงมันจะทำให้เราห่างกัน เธอก็จะขอเก็บภาพเหล่านั้น
เก็บบทเพลง เก็บเรื่องราวความรัก ความผูกพันเอาไว้ในความฝันตลอดไป…

“เก็บปี่เอาไว้เป่าบนเครื่องนะไอ้สิ้น เผื่อคนนั่งข้างแกเขาจะไม่เคยได้ยินเสียงปี่ของเป็ดวา
แม้จะไม่ใช่พระอภัย แต่ผีเสื้อสมุทรอย่างแกก็ทำได้ เป่าให้ลั่นเครื่องไปเลยแก”

คนที่น้ำตาปริ่มๆอย่างสิ้นรักหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินคำพูดของเพื่อนรักอย่างเต็มกมล
ที่ยังหาเรื่องมาล้อเธอได้จนวินาทีสุดท้ายที่ต้องจากกัน…

“เห็นหน้าแกแล้วเป่าไม่ออกเลยว่ะปุ๊ แกทำฉันหมดอารมณ์ซึ้งเลย”
ทุกคนต่างหัวเราะให้กับหน้ามุ่ยของสิ้นรัก

“ดูแลไอ้ปองดีๆนะแก อย่่าแย่งน้องกินนักล่ะ ไอ้ปองยิ่งผอมๆอยู่
เห็นไอ้ปองบอกว่าแกแย่งอาหารมันมาตั้งแต่อยู่ในท้องแล้วนี่”

“เออ…แกก็กินให้มันเยอะๆหน่อย ไม่โตสักทีนี่ หรือเลี้ยงพยาธิไว้ในท้อง
ไม่แน่ว่าขนมปังทางโน้นอาจจะทำให้แกสูงขึ้นมาได้อีกสักห้าหกเซ็น
จะได้ไม่ต้องง้อรองเท้าส้นสูงอีก”สิ้นรักก้มมองรองเท้าสิ้นสูงที่คนล้อซื้อมาฝาก
ไม่รู้ว่าให้ด้วยใจจริงหรือว่าแอบแขวะนัยๆกันแน่

“แล้วฉันจะซื้อมาฝากแกสักคู่นะปุ๊”เสียงฮาดังลั่นออกมาเมื่อเห็นหน้าแหยๆของเต็มกมล

สิ้นรักฉีกยิ้มที่คิดว่าบานและสวยที่สุดในชีวิตออกไปให้ทุกคนที่มาส่ง
พร้อมกับเดินเข้าไปข้างในห้องผู้โดยสารขาออก
มองใบหน้าสุดท้ายของทุกคนด้วยหัวใจหดหู่ ความเหงาเข้าจู่โจม ใจหายอย่างบอกไม่ถูก
มองคนอื่นๆที่จะร่วมโดยสารไปพร้อมกับเธอในเที่ยวนี้พร้อมกับสำนึกที่ย้ำเตือนว่า

คนอื่นเขาทำได้ เธอก็ต้องทำได้

แม้จะเป็นครั้งแรกกับการเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ไม่รู้ว่าอะไรจะรออยู่ข้างหน้าบ้างนั้น
มันจะชวนให้วูบไหวและเคว้างคว้างเพียงใดก็ตาม แต่เธอจะต้องทำให้ได้

ใช่ เธอต้องทำให้ได้

สิ้นรักกำมือแน่น พร้อมกับกู่ก้องในใจว่า…สิ้นรัก…สู้ๆ…

ก่อนจะโบกมือลาทุกคนด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
กำปั้นน้อยชูขึ้นราวกับเป็นสัญญาณว่าสู้…ทำให้ทุกคนที่มาส่งยกชูมาให้ด้วยรอยยิ้มเฉกเดียวกัน…

แค่นี้ก็ทำหัวใจน้อยๆเริ่มมีพลัง พร้อมที่จะก้าวเดินไปข้างหน้า
และเมื่อหันหลังให้แล้ว เธอจะไม่หันกลับเด็ดขาด เพราะตอนนี้น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว
เธอยังไม่เข้มแข็งพอหรอก…ยัง…

แต่เธอจะไม่ให้ใครได้เห็นมัน เห็นความอ่อนแอนี้เป็นอันขาด…

ร่างบางหายลับเข้าไปในห้องนั้น ทิ้งแววตาหลายๆคู่มองตามด้วยความรู้สึกหดหู่…

หวังว่าการจากลาในครั้งนี้ จะนำมาซึ่งการพบเจอ…เจอกันอีกครั้ง…





รังสิมันต์นั่งมองเกลียวคลื่น หลังจากที่มองดูเครื่องบินลำแล้วลำเล่า
ผ่านไปด้วยความรู้สึกหดหู่ แต่อยู่ๆต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์
เมื่อได้ยินฝีเท้าหยุดอยู่ตรงเบื้องหลัง ก่อนจะหมุนตัวแล้วก็ต้องแปลกใจ
เมื่อเห็นมารดายืนนิ่งมองมาที่เขาด้วยแววตาบางอย่างที่สุดจะคาดเดา
แววตาคู่นั้นมันเหมือนกำลังจะบอกอะไรเขาสักอย่าง

“คุณหญิงนั่งเรือมาถึงที่นี่มีอะไรเหรอครับ”ที่นี่ที่เขาหมายถึง คือบ้านบนเกาะ
และชายหาดที่ครั้งหนึ่งเขาและเธอเคยวิ่งเล่นด้วยกัน

“….”เงียบ ไม่มีเสียงตอบ รังสิมันต์จึงหันมาจ้องตาของมารดานิ่ง
แววตาหมองๆคู่นั้นมันทำให้เขาฉุดคิดอะไรขึ้นมาบางอย่าง

“เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”

“แม่เพิ่งได้ดูข่่าวมา ในข่าวบอกว่าเครื่องบินที่…เอ่อ…สิ้นรักนั่งไป...ดิ่งลงมหาสมุทร”
รังสิมันต์สะอึก ลมหายใจสะดุด จ้องตามารดานิ่งงัน

คนพูดกลืนน้ำลายลงคอดังเฮือกก่อนจะพูดประโยคถัดมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ที่พยายามควบคุมอย่างสุดฤทธิ์ว่า

“แล้วก็เอ่อ…ตอนนี้ทีมสำรวจเขาแจ้งมาว่ามีคนรอดหนึ่งคน…”

“ใครครับคุณหญิง…ยัยตัวเล็กใช่มั้ยครับ ใช่มั้ยครับคุณหญิง”

“……”เงียบ ชายหนุ่มจึงคว้าแขนมารดาพร้อมกับถามย้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรน

“ใช่มั้ยครับ”

“ไม่ใช่รัง ไม่ใช่”คนพูดเอามือปิดปาก ส่ายหน้าไหวๆ น้ำตาปริ่ม

ชายหนุ่มแหงนหน้าพร้อมกับกัดปาก กำหมัดแน่น ไม่พูดอะไรออกมา
ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า

“คุณหญิงกำลังจะบอกผมว่า เธอตายไปแล้ว อย่างที่ครั้งนึง
คุณหญิงเคยบอกเด็กชายคนนึงที่ตรงนี้ บอกว่าเธอตายไปแล้วอย่างนั้นเหรอครับ

คุณหญิงจะให้ผมเชื่อคุณหญิงเหมือนตอนนั้นน่ะเหรอครับ
ผมไม่ใช่เด็กอมมือที่คุณหญิงจะหลอกได้อย่างตอนนั้นอีกแล้วนะครับ”

รังสิมันต์กระชากเสียงกับมารดาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
คนเป็นแม่น้ำตาอาบแก้มก่อนจะจับบ่าของลูกชายแล้วพูดเสียงสั่นเครื่อว่า

“แม่ก็อยากจะโกหกแก แต่ข่าวเขาว่าอย่างนั้น”

รังสิมันต์ทรุดเข่าลงตรงผืนทราย ก้มหน้านิ่ง น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

“ผมไม่เชื่อ คุณหญิงโกหก”

เสียงดังแผ่วเบาทว่าหนักแน่นของลูกชาย ทำให้หัวอกคนเป็นแม่ปวดร้าว

ใช่…เธอเองก็เจ็บและก็เสียใจไม่แพ้กัน…

ก่อนจะทรุดเข่าลงโอบบ่าลูกชายเอาไว้หลวมๆพร้อมกับพูดว่า

“แม่เสียใจ แม่เสียใจรัง”

ร่างใหญ่สั่นเทาแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่มารดาพูด

...ไม่จริง…ยัยตัวเล็กยังไม่ตาย…มันเป็นแค่ความฝัน
ใช่…เป็นแค่ความฝัน ที่พอตื่นมาทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม






ปองขวัญวางมือลงบนตำราแผ่วเบา น้ำตาคลอเบ้า
ค่อยๆหยิบตำราของเพื่อนขึ้นมากอดเอาไว้แนบอก น้ำตาที่ปริ่มค่อยๆไหลลงมาเป็นสาย

“ฝากแกเอาหนังสือพวกนี้ให้น้องๆด้วยนะปอง เพราะฉันคงไม่ได้ใช้แล้วล่ะ”

เสียงนั่นแว่วเข้ามาในหู

...ใช่…มันเป็นเสียงของไอ้สิ้น...

หญิงสาวทรุดกายลงบนเตียง มองรอบๆห้องที่เธอกับเพื่อนเคยทำกิจกรรมหลายๆอย่างด้วยกัน
โต๊ะที่มันเคยนั่งทำการบ้าน ขอบหน้าต่างที่มันเคยนั่งทำหน้าเพ้อฝัน

ก่อนจะหยิบกรอบรูปถ่ายที่เป็นรูปที่เธอกับเพืื่อนถ่ายคู่กัน
ลูบมันด้วยความรักและคิดถึงคนในรูปสุดหัวใจ

ก่อนจะค่อยๆหยิบของต่างๆของเพื่อนลงกล่อง เพราะเธอไม่อาจทนอยู่ในห้องนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
สามวันแล้วที่เธอต้องนอนคิดถึงเพื่อนทุกคืน
เธอคงจะไม่ร้องไห้หากว่าเพื่อนไปดีมีอนาคต

แต่นี่…เพื่อนเธอหายไป...หายไปอย่างไม่มีวันกลับ…


ปองขวัญเดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดที่รูปปั้นนางเงือก สายตาเหม่อลอย
ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกลแสนไกลก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อมีมือของใครคนหนึ่งวางลงบนบ่า
หญิงสาวหันไปก็เห็นพี่รหัสของเพื่อนนั่งอยู่ข้างๆ

“มันไม่ใช่ความจริงใช่มั้ยคะพี่ลม ไอ้สิ้นยังไม่ตายใช่มั้ยคะ
บางทีมันอาจจะว่ายน้ำไปยังเกาะใดเกาะนึงแถวๆนั้นก็ได้”

ปองขวัญเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา แม้จะรู้แก่ใจดีว่ามันเป็นไปไม่ได้…
เพราะเพื่อนของเธอว่ายน้ำไม่เป็น…

“หรือไม่ก็…อาจจะไม่ได้ขึ้นไปบนเครื่องนั้นก็ได้”
หญิงสาวพยายามปลอบใจตัวเองทั้งๆที่มีรายชื่อของเพื่อนอยู่ในเครื่องบินลำนั้นด้วย
เหลือแค่ศพ แค่ศพเท่านั้นที่ยังหาไม่เจอ…เธอยังมีหวังใช่มั้ย…

“ไอ้สิ้นมันหัวแข็งจะตาย รอดตายจากงูมาก็หลายที ปองไม่เชื่อหรอก
ว่ามันจะตายง่ายๆอย่างนี้”ปองขวัญสะอื้นฮัก วายุเห็นแล้วสงสาร
ก่อนจะค่อยๆโอบบ่าคนที่ร้องไห้ไม่หยุดหวังปลอบใจทั้งเธอและตัวเขาเอง
เขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน…

“ปองจะคอยมัน คอยวันที่มันกลับมา มันต้องกลับมา มันสัญญากับปองไว้แล้ว
มันเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ”

“พี่ก็เชื่อว่านาโนต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง”

“ที่ไหนล่ะคะ…ใต้ผืนน้ำ ใต้ผืนฟ้าหรือว่าใต้แผ่นดินล่ะคะ
มันอยู่ที่ไหนล่ะคะพี่ลม พี่ลมบอกปองสิ ปองจะได้ไปหามัน”

ปองขวัญร้องไห้กอดคนที่โอบบ่่าเอาไว้แน่นราวกับหาที่ยึดเหนี่ยว
วายุจึงชี้ไปข้างหน้าแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“ตรงนั้นน่ะ”ปองขวัญมองตามทิศทางที่คนที่กอดเธอไว้ชี้ให้ดู

“ตรงนั้นน่ะตรงไหนคะ”

“ตรงเส้นขอบฟ้านั่นไง”ปองขวัญหันมามองคนพูดที่มีแววตาวูบไหวระริก

“นาโนบอกว่าเขาจะไปหาพี่ที่นั่น ตรงเส้นที่พี่ขีดไว้ เขาสัญญาว่าเขาจะหาเส้นนั้นให้เจอ
พี่เชื่อว่าเขาจะเจอมัน เราจะเจอกันในสักวัน”

น้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงบนหลังมือของปองขวัญ หญิงสาวแหงนหน้ามองหน้าคม
ก็เห็นแววตาแฝงความเจ็บปวดของเขา เขาคงรักเพื่อนของเธอมาก…

“พี่ลมเชื่ออย่างนั้นเหรอคะ”

ปองขวัญผละออกจากอ้อมแขนนั่น วายุพยักหน้าเบาๆด้วยแววตาเชื่อมั่น

…หัวใจเขาสั่งมาว่าให้เชื่อ…

เขาเชื่อว่านาโนของเขาต้องบินไปถึงเส้นที่เขาขีดไว้…
แล้วเขากับเธอจะได้เจอกัน…แววตามาดมั่นของเธอตอนนั้นบอกเขาว่า เธอทำได้

…มันคือคำสัญญาระหว่างเขากับเธอ…






“ฝากบทเพลงไว้แทนใจ เมื่อใดเธอเหงาจงฟัง
เป็นบทเพลงสุดท้ายไว้แทนกาย ยามห่างไกล

ฝากไปยังฟ้าแดนไกล ส่งใจไปถึงคนหนึ่ง
คนที่เคยมีรักไว้ไม่ลืม...ยังจดจำ...

มันจะเป็นบทเพลงขับขาน แม้นานไม่มีวันเงียบหาย
ยังคงมีดวงใจเอาไว้ให้เธอ...


วันใดเธอได้ฟังเพลงนี้ ฉันมีความจริงใจข้างในบอกไป
ยังคงมีดวงใจเอาไว้…ให้เธอ...

มันจะเป็นบทเพลงขับขาน แม้นานไม่มีวันเงียบหาย
ยังคงมีดวงใจเอาไว้…ให้เธอ

วันใดเธอได้ฟังเพลงนี้ ฉันมีความจริงใจข้างในบอกไป…
ยังคงมีดวงใจเอาไว้…ให้เธอ…

จากวันเดือนนับเป็นปี หากบทเพลงนี้ยังอยู่
เธอก็คงจะรู้…ฉันยังคอย…เธอ…ตลอด…มา…”

(เพลงแทนกาย ของบี)



เสียงกีตาร์จบลงพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มนุ่มของชายหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิ
กอดกีตาร์ตัวโปรดอยู่บนผืนทรายขาวละเอียด

แววตาหม่นเศร้าเมื่อนึกถึงเรื่องราวของเธอ

...สิ้นรัก ได้สิ้นใจไปแล้วจริงๆหรือ…

เขาไม่เข้าใจโชคชะตาเลยจริงๆ ว่าทำไมถึงส่งเธอมา แล้วก็มาพรากเธอไป
ตอนนั้นเขาพอจะทำใจได้แล้ว แต่ก็เหมือนโชคชะตาเล่นตลก
กลับส่งเธอมาพบกับเขาอีกครั้ง แล้วทำไมวันนี้โชคชะตาถึงมาเอาตัวเธอไปอีก
ส่งเธอกลับมาเพื่ออะไรกัน…


ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินถือกีตาร์ไปตามหาดทราย สถานที่ที่ครั้งหนึ่ง
เคยมีความทรงจำมากมาย ก่อนจะเหลียวหลังเหมือนกับแว่วได้ยินเสียง

“พี่รัง รอรักด้วย”ชายหนุ่มหันกลับไปยังด้านหลัง เห็นเพียงรอยเท้าของตัวเองบนผืนทรายที่เดินมา

...ใช่…เขาจำเสียงนั้นได้…ยัยตัวเล็กเคยเรียกเขาให้หันไปมอง
แต่วันนี้มันเหลือแค่รอยเท้าของเขาเท่่านั้น

“ทำไมพี่รังชอบเดินหน้า”

ใช่…เขาเดินนำเธอตลอด แต่วันนี้ไม่ใช่…

“แล้วทำไมเราไม่จูงมือกันล่ะคะ”

…ใช่…ทำไมเราถึงไม่จูงมือกัน…

เพราะถ้าเขาจูงมือเธอ วันนี้คงมีเธอเดินอยู่เคียงข้าง

ไม่มีใครหล่นหาย ไม่มีคนที่ถูกหลงลืม ไม่มีคนที่ถูกทิ้งให้เดินคนเดียว

แค่เขาจะหยุดและเหลียวหลังหันกลับไปมองสักนิด แค่นั้น…




///////////////////////////////////////////



1ปีผ่านไป

วายุก้มมองโปสการ์ดในมือด้วยสีหน้าแปลกใจ ไม่มีจ่าหน้าถึงชื่อผู้ส่ง
ไม่มีรายละเอียดใดๆ มีแค่เพียงเส้นหยิกหยักตรงขอบกระดาษ
กับรอยแหว่งตรงมุมขวาด้านล่างคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว

ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นว่าใครเป็นคนส่งมันมา เพราะเขาได้โปสการ์ด
ที่ไม่มีระบุชื่อผู้ส่งมาแล้วถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน

ครั้งแรกคิดว่าโดนเพื่อนอำเลยไม่ได้ใส่ใจ
แต่พอมองภาพสถานที่ในโปสการ์ดใบล่าสุดทำให้ชายหนุ่มต้องหยิบโปสการ์ดใบแรกขึ้นมาดู
รูปดอกซากุระสีชมพูบานสะพรั่งเต็มต้น เป็นทิวสวย
ส่วนใบล่าสุดเป็นรูปดอกศรีตรังสีม่วงเต็มต้นเป็นทิวสวยคล้ายๆกับใบแรก ต่างกันแค่สถานที่
สถานที่ที่อยู่กันคนละทวีปด้วยซ้ำ

ก่อนจะพึมพำราวกับนึกได้ว่า

“แจ็กคารันดาซิตี้ (Jacaranda City)”

ใช่ เขาเคยไปที่นั่นกับบิดา พี่ชายและพี่สาวเพื่อไปดูโรงงานผลิตเครื่องเพชรที่ใหญ่ที่สุดของอัฟริกาใต้

นั่นเป็นแค่ฉายาที่คนเรียกขาน เพราะเมืองที่เขาไปเมื่อตอนปีหนึ่ง
เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยดอกศรีตรังนับพันต้นที่ผลิดอกสีม่วงบานสะพรั่งตามท้องถนนสายต่างๆ

มันคือ....โจฮันเนสเบิร์ก..........



................จบ...................




จบแล้วค่ะสำหรับเรื่อง "หัวใจไร้ที่อยู่"....

มาติดตามภาคต่อของเรื่องนี้ได้ในเรื่อง

"คานน้อย คอยรัก" นะคะ...


ขอบคุณทุกไลค์ ทุกกำลังใจ และทุกๆคนที่เข้ามาอ่านมาติดตามกันนะคะ...


ขอความเห็นนิดนึงจะได้มั้ยคะ คืออยากให้นักอ่านโหวตให้หน่อย
ว่า...โยควรจะหยุดอัพเรื่อง "คานน้อย คอยรัก" เพื่อเว้นว่างให้นักอ่าน
ได้อ่านเรื่องนี้อีกสักพักก่อนเพราะอาจมีหลายๆคนที่ยังตามอ่านไม่ทัน
หรือว่า ให้นำเรื่องคานน้อยมาลงต่อเลยทันที...

เพราะเกรงอยู่เหมือนกันว่านักอ่านอาจจะอ่านและติดตามไม่ทัน...
คือ...อยากให้พักหายใจ โดยการทิ้งช่วงโพสต์นิยายเรื่องคานน้อยฯ ไปอีกสักนิด

หรือ จะให้โพสต์ต่อเลยทันที...แบบนันสต๊อบ...

เพราะเรื่องหน้า...ยาวมากกกกกกกกค่ะ...และก็ดราม่าด้วย...
แต่ในดราม่าก็มีมุกฮาๆอยู่ไม่น้อยนะคะ...เพราะว่าเป็นการรวบยอด
มีหลายรสชาติปะปนกันไปค่ะ...

เต่าโยจะทำตามเสียงโหวตข้างมากค่ะ...

ช่วยเข้ามาโหวตให้กันนิดนึงนะจ๊ะ...


...ขอบคุณค่ะสำหรับทุกเสียง...

แล้วเจอกันในเรื่องคานน้อย คอยรัก นะคะ...







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ต.ค. 2555, 19:41:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2563, 01:07:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 3554





<< บทนำ    
AprilSK 6 ต.ค. 2555, 20:16:47 น.
แว้บเข้ามาบอกว่าอยากอ่านต่อเลยค่ะ


ตามหาฝัน 6 ต.ค. 2555, 21:17:39 น.
โพสต์ต่อแบบนันสต๊อปเลยค่ะ เพราะรอคานมาตั้งแต่คราวโน้นแล้วหล่ะค่ะ อยากอ่านต่อมากๆ

ลป. รู้่ทั้งรู้ว่านู๋สิ้นขึ้นไปรอบนคาน แต่น้ำตาก้อไหลเป็นทาง สะเทือนใจสุดๆ อิอิ


บัวขาว 6 ต.ค. 2555, 22:36:17 น.
ขอต่อแบบ non stop เลยนะ .. นะ ... นะ ...

=^_^=


sai 7 ต.ค. 2555, 00:59:56 น.
ลงต่อเลยคร้าาาา รอไม่ไหวแล้วววว

ปล.น้ำตาไหลพรากๆเลยอ่ะฮือออ


goldensun 7 ต.ค. 2555, 01:08:12 น.
ต่อเลยค่ะ ไม่อยากค้างคา นะคะ อารมณ์กำลังต่อเนื่อง เพราะเป็ดวา ฮาก็ได้ เศร้าก็สุดๆ อยากรู้ว่ารอดได้ยังไง
นิดนึงตรงที่ข่าวเครื่องตกไม่พูดถึงพ่อบันเลย
ปูเสื่อรอคานน้อยค่ะ


konhin 7 ต.ค. 2555, 01:40:05 น.
ลงเลยค่ะ รอคานน้อยอยู่ เมื่อไหร่เป็ดวาจะกลับมา


หมีสีชมพู 7 ต.ค. 2555, 03:47:25 น.
ลงเลยค่ะ อยากอ่านต่อแล้ว ไม่ทันที่ลงครั้งก่อนน่ะค่ะ


FonFonnie 7 ต.ค. 2555, 08:09:01 น.
งงเล็กน้อย อันนี้คือจบภาคหนึ่งใช่ไหมคะ? โหวตให้ลงต่อเลยค่ะ ถ้าทิ้งช่วงไปนานๆ กลัวลืมค่ะ ;-)


Pat 7 ต.ค. 2555, 11:06:11 น.
ไหนๆก็ไหนๆแล้วต่อไปเลยค่า เพราะจะได้ต่อเนื่อง แล้วคานน้อยฯก็เป็นอะไรที่ยาวมากกกกกกกกกกกกก


pookza 7 ต.ค. 2555, 16:24:10 น.
มารอๆ คานน้อยคอยรัก


mhengjhy 8 ต.ค. 2555, 09:40:35 น.
อ่ะ แต่อยากอ่านภาคต่อแล้วค่าาา


sunflower 8 ต.ค. 2555, 12:25:57 น.
แว็บมารอ คานน้อยคอยรัก


รินชา 8 ต.ค. 2555, 21:48:13 น.


Prae 8 ต.ค. 2555, 23:07:37 น.
ต่อเลยค่ะ คิดถึงเป็ดวานาโนมากกกกกกกกกก
เพิ่งจะได้เข้ามาอ่านอีกครั้ง คุณโยหายไปนานมาก
ภารกิจเสร็จเรียบร้อย คืนสู่รังแล้วใช่มั้ยคะ
^__^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account