ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 11 (ตอนจบ)

ค่ำคืนที่แสนยาวนานเหลือเกินในความคิดของนฤมลได้ผ่านพ้น ทั้งเธอและธนิตาย้ายจากหน้าห้องฉุกเฉินมาที่ห้องพิเศษด้วยความโล่งใจ ในที่สุดกรกฎก็ปลอดภัยถึงแม้ยังไม่ฟื้น แต่คงอีกไม่นานที่เขาจะลืมตา หญิงสาวนึกขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลายทั้งปวงที่ทำให้ชายหนุ่มรอดชีวิตมานอนนิ่งอยู่ในห้องพิเศษนี้ ลมหายใจที่สม่ำเสมอทำให้เธอเบาใจได้บ้างว่าอีกไม่นานแผลคงหาย ตามตัวของกรกฎมีรอยกระจกบาดอยู่หลายที่ กระดูกที่แขนข้างขวาหักถูกเข้าเฝือกสีขาวเพื่อดามไว้

ส่วนหัว... นฤมลเอื้อมมือไปแตะเบาๆ นึกสงสาร หัวของกรกฎแตกต้องเย็บหลายเข็ม หากเป็นเธอคงตื่นขึ้นมาร้องไห้เพราะกลัวเข็มแทนที่จะสลบอยู่แบบนี้ มือบางจับมือใหญ่มากุมไว้ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้ เธอลืมไปด้วยซ้ำว่ามีใครอีกคนอยู่ในห้องด้วย

“เอ่อ ทรายกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะ พรุ่งนี้มีเรียนนี่จ๊ะ” เอ่ยออกไปแต่ก็ไม่ได้สบตากับลูกศิษย์สาว นฤมลเลือกหันมองผนังและเพดานดีกว่าหันไปเจอสายตาแซวจากเด็กสาว “เดี๋ยวทางนี้พี่เฝ้าให้ก็ได้จ้ะ พรุ่งนี้พี่ลางาน”

พอออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย นฤมลมักแทนตัวเองว่าพี่กับลูกศิษย์คนนี้เสมอ เธอเคยให้เหตุผลว่ายังไม่อยากแก่ เรียกแต่อาจารย์ๆ จะดูแก่กว่าตัวจริงไปหน่อย

“ถ้างั้นทรายฝากพี่มลด้วยนะคะ ทรายโทรไปบอกทางบ้านแล้วมะรืนคิดว่าพ่อกับแม่น่าจะขึ้นมาดูพี่ซีค่ะ”

คนเป็นอาจารย์พยักหน้ารับ ส่งยิ้มให้ลูกศิษย์แถมด้วยคำเตือนสติให้ขับรถอย่างระมัดระวัง พอธนิตากลับไปแล้วเธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรบอกที่บ้านบ้างว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะตอนนี้ก็ดึกพอประมาณแต่ก็ยังไม่มีโทรศัพท์ตามจากที่บ้าน เธอคิดว่าตอนนี้พ่อกับแม่เธอคงเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาบ้างแล้ว

หญิงสาวเล่าเหตุการณ์ที่รับรู้มาจากลูกศิษย์ให้มารดาฟังด้วยน้ำเสียงสั่นเครือตลอดการเล่า น้ำตาที่เพิ่งเหือดแห้งไปคลอที่หน่วยตาอีกครั้ง ก่อนจะหยดลงมาเป็นสายเปื้อนใบหน้าเนียน คุณลำดวนเข้าใจลูกสาวเป็นอย่างดี พอจะรู้สึกได้บ้างว่าลูกสาวรู้สึกอย่างไรกับชายหนุ่ม ท่านจึงบอกให้เธออยู่เฝ้าอาการของชายหนุ่มไปก่อนพรุ่งนี้จะให้คุณสนองไปรับกลับบ้าน เพราะรถเธอจอดอยู่ที่มหาวิทยาลัย แม่ปลอบเธอเสมอเวลาเธอร้องไห้ ท่านมักมีมุมดีๆ ให้เธอได้คิดต่างออกมา มากกว่าที่จะจมอยู่กับความทุกข์ เธอรับฟังมารดาอย่างสงบหากยังหลงเหลือเสียงสะอื้นไว้อย่างห้ามไม่ได้ บอกลากันสองสามประโยคแล้วจึงวางสาย

“ฉันขอโทษ...” เสียงแผ่วเบาดังพร้อมกับเสียงสะอื้น นฤมลยกมือของอีกฝ่ายขึ้นมาแตะที่หน้าผากตัวเอง ราวกับสามารถสื่อสารผ่านคนหลับทางนี้ได้ “ฉันขอโทษ ขอโทษที่ปิดบังเรื่องสำคัญแบบนั้น คุณต้องตื่นขึ้นมาฟังฉันเล่านะ ฉันจะเล่าให้ฟังทุกอย่าง ขอโทษจริงๆ”


สองวันแล้ว... ร่างของกรกฎยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียงผู้ป่วย มีเพียงหน้าอกที่ยกขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นที่บอกได้ว่าเขามีชีวิต นฤมลมองใบหน้าที่ยังหลับแล้วถอนหายใจออกมา อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องเฝ้าเขาขนาดนี้ก็ได้ เพราะมีพยาบาลคอยดูแลให้อยู่แล้ว แต่หญิงสาวยังอยากเห็นเขาตื่นเป็นคนแรก จึงตัดสินใจลางานกับทางผู้ใหญ่อีกหนึ่งวัน ส่วนธนิตาเธอก็ไล่ให้เด็กสาวไปเรียน เพราะอย่างน้อยการเรียนย่อมสำคัญ และตอนนี้พี่ชายเธอก็ปลอดภัยดีแล้ว เด็กสาวจึงมีหน้าที่เพียงมานอนเป็นเพื่อนพี่ชายในตอนกลางคืนเท่านั้น

เช้านี้นฤมลพิมพ์งานก๊อกๆ แก๊กๆ ในเน็ตบุ๊คที่พกมาด้วย แล้วกดส่งเข้าอีเมลล์ของสาวิตรีตามคำขอ หลังจากนั้นเธอก็กลับมาว่างอีกครั้ง มือเล็กที่กุมมือใหญ่แน่นราวกับกลัวว่าเจ้าของมือจะหนีหายไปอีก หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น นฤมลกลับมายอมรับตัวเองอีกครั้งว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไรกับคนที่นอนอยู่ ความรู้สึกไม่อยากสูญเสียตั้งแต่รู้ข่าว พุ่งตรงมาที่ใจอย่างแรง รู้สึกได้ว่ามันมากกว่าเรื่องของปีเตอร์ที่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ อาจเป็นเพราะบทเรียนจากเรื่องปีเตอร์อีกเหมือนกันที่ทำให้เธอกลัวได้ขนาดนี้

น้ำตาเจ้ากรรมไหลลงมาอีกแล้ว... คนที่เคยเป็นคนใจแข็ง แต่พอมาเจอเรื่องความรักเข้าก็มักจะอ่อนแอเสมอ หญิงสาวปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้ม่านน้ำตามาบังใบหน้าเข้มที่ยังนอนหลับอยู่

เธออยากมองเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้

เปลือกตาที่หลับอยู่ขยับยุกยิก ดูเหมือนเปลือกตาเขาจะหนักกว่าที่คิด กรกฎขมวดคิ้วพยายามลืมตาตัวเองขึ้น แต่อาการปวดหัวที่จู่โจมทำให้เขาต้องหลับตาลงอีกครั้ง พอจะยกแขนขึ้นมาจับแผลแต่กลับมีอุปสรรคเป็นเฝือกอันเบ้อเริ่มขวางอยู่ พอจะยกอีกข้างเขากลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาทับไว้ คราวนี้ลืมตาไม่ได้ก็คงต้องลืมให้ได้ เพื่อมองวัตถุหนักที่ทับมือเขา

กรกฎพยายามอีกครั้ง เขาลืมตาขึ้นพรวดอดทนกับอาการปวดศีรษะอยู่พักหนึ่ง แล้วเหลือบมองทางด้านซ้ายมือของตัวเอง ร่างที่คุ้นอยู่ในใจเขานอนฟุบหลับอยู่ข้างเตียง...

ชายหนุ่มขยับยิ้มเอ็นดู เขาไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกอุ่นใจเหลือเกินที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นนฤมลเป็นคนแรก กรกฎนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่ทำให้เขาต้องมานอนอยู่ที่โรงพยาบาล หนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นหน้านวลแถมยังมีเรื่องค้างคาใจกันอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถข่มตาหลับสนิทได้สักคืน รอยน้ำตาของนฤมลยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดเขาตลอดเวลา ยิ่งเธอพูดว่าบอกไม่ได้ ความอยากรู้ก็ยิ่งมีมากขึ้น แต่อย่างไรก็ไม่เท่ากับความคิดถึงของเขาที่มีมากขึ้นเป็นทวีคูณทุกวินาที

ความคิดถึงนั้นเป็นตัวทำให้เขาตัดสินใจขับรถออกไปเจอหน้านฤมลอีกครั้ง ตั้งใจว่าคราวนี้ถ้าเธอยังไม่พูดอะไรเขาก็จะไม่เซ้าซี้อีกต่อไป ปล่อยให้มันเป็นเรื่องอดีต ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความรู้สึกของเธอ เขาไม่อยากทำให้เธอเสียใจอีก

แต่พอขับรถไปได้สักระยะหนึ่ง ความง่วงและอ่อนล้าเข้าครอบงำ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเท้าเหยียบคันเร่งขึ้นไปที่เท่าไหร่และข้างหน้ามีอะไรขวางอยู่ เขาหลับใน... ในจังหวะแยกไฟเขียวที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีแดง คันเร่งที่เพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ของคนขับที่สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีรถกระบะพุ่งออกมาจากแยกทางขวามือเขา รู้ตัวอีกทีคือมีเสียวัตถุกระทบกันอย่างแรง มันกระแทกทั้งตัวเขาและรถเขาพังไปทั้งแถบ กระจกหน้ารถแตกละเอียด หลังจากนั้นสติเขาก็ดับวูบไปทันที ไม่รู้สึกอะไรอีกเลย

กรกฎดึงมือตัวเองออกจากการกุมช้าๆ แต่คงแรงไปนิดคนที่กุมมือเขาอยู่เลยสะดุ้งสุดตัว หันมองคนที่เธอคิดว่ายังคงหลับอยู่ด้วยตามีความหวัง คนเพิ่งตื่นพูดออกมาฟังดูคล้ายเสียงละเมอ “คุณ”

“น้ำลายคุณจะหยดใส่มือผม ผมเลยดึงออกมาก่อน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างไม่ค่อยมีแรงนัก แต่ก็ทำให้คนฟังค้อนใส่วงเล็กๆ อย่างไม่ยอมรับแต่ก็ยกมือขาวขึ้นเช็ดริมฝีปาก

“บ้าน่า”

ท่าทางนั้นทำให้เขาหัวเราะออกมา แต่ก็ได้ไม่มาก ความเจ็บตรงช่วงท้องทำให้เขาต้องหยุดแล้วเปลี่ยนเป็นร้องซี๊ดอย่างเจ็บปวดแทน ทำเอาคนนอนน้ำลายหยดตกใจ เอื้อมมือเตรียมกดเรียกพยาบาล แต่มืออีกคนกลับรั้งไว้เสียก่อน

“ไม่ต้องหรอก ผมไม่เป็นอะไรมาก”

“แต่คุณ...”

“อยู่กันสองคนเถอะ อย่างเพิ่งเรียกพยาบาลเลย”

นฤมลน้ำตาคลอ เสียงทุ้มนั้นทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่เคยโกรธเธอเลย คงมีโมโหบ้างแต่ก็แค่วันแรกที่คุยกันไม่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้แววตากลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม เหมือนทุกๆ วันที่เขามองมา

“ฉันขอโทษ” เสียงที่เอ่ยออกมาพร้อมน้ำตานั้น ทำให้กรกฎต้องขยับลุกขึ้นนั่ง แม้ลำบากแต่ก็ทำให้เขาและเธอขยับเข้ามาใกล้กันอีกนิด “ฉันขอโทษที่ไม่บอกคุณตอนนั้น”

“ขยับเข้ามานี่สิหนูมล” คนขี้แยขยับเข้าไปนั่งตามคำเรียก ใกล้เสียจนเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบผมหญิงสาว “ร้องไห้ทำไม”

“ฉันเสียใจ ถ้าวันนั้นฉันไม่เป็นคนนิสัยแย่แบบนั้น ถ้าแค่ฉันบอกคุณไป คุณคงไม่ต้อง...”

“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ เรื่องอดีตก็ปล่อยให้เป็นอดีตไปเถอะ ตอนนี้ผมไม่อยากรู้อะไรแล้ว แค่รู้ว่าคุณรักผมก็พอแล้ว”

คนถูกล่วงรู้ความในใจยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกลับมาเป็นนฤมลคนเดิมที่กรกฎคุ้นเคย “เฮ้ย ใครบอกคุณ อย่ามามั่ว” เถียงแล้วก็นึกอยากกระโดดออกไปนั่งอยู่ห่างๆ แต่กลับต้องนึกเจ็บใจที่คิดช้ากว่าคนป่วยไปเสี้ยววินาที มือข้างที่ไม่เจ็บของกรกฎวาดมารวบเธอไว้ ตอนนี้เธอเลยตกอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นอย่างช่วยไม่ได้ “คุณ ที่นี่มันโรงพยาบาล ปล่อย”

“โรงพยาบาลแล้วยังไง ในห้องนี้ก็มีแค่ผมกับหนูมล”

น้ำตาที่เคยไหลตอนนี้เหือดแห้งไปแล้วเหลือเพียงร่องรอยคราบน้ำตา มีรอยเรื่อเขินอายขึ้นมาแทนที่ ยิ่งพอเห็นสายตาที่ส่งมาความร้อนที่หน้าพุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ นฤมลทำได้เพียงเสก้มลงมองพื้น จนกรกฎต้องเชยคางเธอขึ้นมา

“อย่าร้องไห้อีกนะ” มือใหญ่เกลี่ยคราบน้ำตาออก เห็นตาใสที่มองเขาอยู่ทำให้อดใจไม่ไหว ชายหนุ่มก้มคงมอบจุมพิตให้ที่หน้าผาก ก่อนที่จะไล่ลงไปที่เปลือกตาสองข้าง จูบแผ่วเบานั้นทำให้หญิงสาวลับตาลงซึมซับความอบอุ่นที่คอยบอกเธอว่าเขาอยู่ตรงนี้ คอยปกป้องเธออย่างอุ่นใจ

ทุกอย่างในห้องเงียบงัน นฤมลรู้สึกเพียงลมหายใจที่อยู่ชิดใบหน้าเธอเพียงนิด ใจเต้นไม่เป็นระส่ำเมื่อรู้สึกลมหายใจของเขาเริ่มขยับเข้ามาใกล้เรื่อย จากที่เธอหลับตาอยู่แล้วพยายามหลับตาขึ้นไปอีก แถมกลั้นลมหายใจเข้าไปด้วย หลังจากนั้นความรู้สึกแผ่วเบาไล่เรื่อยลงมาที่แก้มก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากบางที่เม้มสนิท

รอยสัมผัสที่อ่อนโยนนั้นยิ่งทำให้เธอเตลิดไปไกล หญิงสาวไม่รับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากรสจูบที่เขามอบให้ นฤมลตกอยู่ในมนต์สะกดที่กรกฎสร้างขึ้น มือไม้อ่อนยวบไม่สามารถต้านทานแรงของอีกฝ่ายได้

เวลาผ่านไปเนิ่นนานในความรู้สึก กรกฎกลั้นใจผละตัวเองออกจากอีกฝ่ายก่อนที่เขาจะเผลอตัวไปมากกว่านี้ เขาถอนริมฝีปากออกพร้อมรอยยิ้มที่ส่งให้หญิงสาวในอ้อมกอด ตอนนี้นฤมลทำได้แต่ก้มหน้างุดไม่ยอมเงยหน้าขึ้น

“ปล่ะ ปล่อยฉันได้แล้วมั้งคะ” คนที่เคยห้าวอย่างสุดขีดกลายเป็นหญิงสาวผู้อ่อนหวานขึ้นมาทันใด เสียงที่พูดอุบอิบอยู่ในลำคอนั้นสร้างรอยยิ้มของเขาให้กว้างขึ้นไปอีก แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้าง แต่พอเห็นหญิงสาวนั่งเงียบสงบปากสงบคำแบบนี้กลับทำให้เขาชุ่มชื่นหัวใจ อาการบาดเจ็บต่างๆ หายเป็นปลิดทิ้ง

“ปล่อยยังไง ยังไม่หายชื่นใจเลย”

“มันน่าเกลียดค่ะ ที่นี่โรงพยาบาล แค่เมื่อกี้ถ้ามีใครมาเห็นเข้า...”

คนป่วยหัวเราะในลำคอ นึกเอ็นดูผู้หญิงในอ้อมกอดนี่ดูเป็นผู้หญิงรักนวลสงวนตัวเสียเหลือเกิน “โอเค ปล่อยก็ได้ แต่อย่าไปนั่งไกลนะ มันเหงา”

นฤมลมองค้อนคนขี้เหงาเสียวงใหญ่ ปากดีขนาดนี้เดี๋ยวคืนนี้ปล่อยให้นอนคนเดียวไปเลยท่าจะดี “คุณเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่าคะ ตื่นมายังไม่ได้ให้หมอเช็คเลย”

ความจริงเธอไม่ควรถามด้วยซ้ำ พอตื่นมาแล้วก็ทำอะไรๆ ได้ขนาดนั้น อาจจะหายวันพรุ่งนี้เลยก็ได้ พ่อยอดมนุษย์ “ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก เมื่อกี้หนูมลก็เห็น ว่าผมน่ะ...”

ท้ายเสียงกรกฎลากอย่างมีเล่ห์นัย พร้อมกับแววตาระยิบระยับมองเธออย่างล้อๆ นั้น ทำเอาหญิงสาวทำตัวไม่ถูกเลยต้องหาวิธีแก้เขิน โดยการใช้นิ้วบีบเข้าไปที่เอวหนาแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของชายหนุ่มเป็นการสั่งสอน ทำเอาคนโดนทำร้ายร้องไม่เป็นภาษา ความเจ็บที่ได้นั้นกระเทือนไปถึงแผลและรอยฟกช้ำที่อยู่ตามร่างกาย เล่นเอาคนทำร้ายตกใจไปด้วย

“เฮ้ย คุณ ฉันขอโทษ เจ็บมากไหมฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉะ ฉันว่าเรียกพยาบาลมาดูหน่อยดีกว่า”

“ไม่...” ไม่ทันแล้ว ก่อนที่ชายหนุ่มจะปฏิเสธทัน นิ้วของนฤมลก็จิ้มลงไปที่ปุ่มนั้นเสียแล้ว พอพยาบาลเข้ามาจึงต้องปล่อยให้ตัวเองให้รับชะตากรรมนั้นไป ทำได้เพียงส่งสายตาคาดโทษไปยังคนที่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ที่โซฟาใกล้ๆ เตียงผู้ป่วย


หมอออกไปพักใหญ่ แต่คนเฝ้าคนป่วยยังคงให้ความสนใจกับสิ่งที่อยู่ในเน็ตบุ๊คที่ตนเองเอามาด้วย ปล่อยให้คนป่วยนั่งกอดอกมองเธอหน้ามุ่ย ไม่พอใจอย่างที่สุด ที่อยู่ๆ นฤมลก็ดันกลับไปให้ความสนใจเจ้าคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องเล็กนั้นแทนที่จะเป็นตัวเขา และแทนที่หญิงสาวจะหันขึ้นมาสนใจความเงียบที่เกิดขึ้น เธอกลับยังคงใช้เม้าส์ไร้สายคลิกไปคลิกมาอยู่อย่างนั้น เลื่อนขึ้นเลื่อนลงอีกพักใหญ่ ถึงเงยหน้าขึ้นมองคนป่วนพร้อมส่งยิ้มหวาน

“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะคุณ”

“ในเน็ตบุ๊คมันมีอะไรน่าสนใจนักหนา คุณถึงตั้งใจดูขนาดนั้น”

คนจดจ่ออยู่กับเทคโนโลยีหัวเราะ หรี่ตามองคนที่ถามเสียงสะบัด “หึงหรือน้อยใจ หรืออะไรคะ”

หญิงสาวได้ยินเสียงฮึขึ้นจมูกเบาๆ จากคนบนเตียง ทำให้เธอยิ้มขำมากขึ้นไปอีก จนต้องลุกขึ้นเดินไปนั่งใกล้ๆ เตียง แล้วหันหน้าจอเล็กให้ดู

กรกฎขมวดคิ้ว เพ่งมองรูปที่ปรากฎอยู่บนจอเล็กที่หากเป็นทั่วไปเขาคงไม่สนใจ ผู้ชายที่ใส่ชุดนักศึกษาที่ยืนอยู่ในรูปนั้น มองอย่างไรเขาก็ไม่เคยรู้จัก ชายหนุ่มหันมองหน้าหญิงสาวที่นั่งส่งยิ้มอยู่ ลางสังหรณ์ที่มีอยู่เริ่มพุ่งพล่านในอก ชายหนุ่มหน้าตาลูกครึ่ง ดวงตาและปากที่ยิ้มอย่างจริงใจ เพิ่มเสน่ห์ด้วยลักยิ้ม ถ้ามองอย่างเป็นกลางถือว่าผู้ชายคนนี้ดูดีมากระดับนึงเลยทีเดียว หากยังไม่เท่านั้น มือใหญ่จิ้มลงไปที่ทัชแพดของเครื่อง เลื่อนรูปซ้ายขวาจนเห็นอีกคนที่เป็นองค์ประกอบของรูป

นฤมลยืนมองผู้ชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มเศร้า

“คนนี้หรือเปล่าที่ทำคุณร้องไห้วันนั้น” เสียงทุ้มถามขึ้นเบาๆ แต่กลับดังในความรู้สึกของนฤมลเหลือเกิน หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ขยับเก้าอี้เข้าใกล้เตียงผู้ป่วยอีกนิดซึ่งความจริงขยับไม่ได้แล้ว

“เค้าเป็นเพื่อนที่ฉันรักที่สุด และเป็นฉันเองที่ทำให้เขา... จากไป... อย่างไม่มีวันกลับ” เสียงท้ายประโยคแผ่วลงกลายเป็นเสียงเครือ นฤมลสูดหายใจเข้าอีกครั้ง ดูเหมือนสิ่งนี้จะเป็นเรื่องยากที่จะเล่าทุกอย่างให้คนตรงหน้าฟัง

มือใหญ่เอื้อมมาเช็ดน้ำตาให้คนขี้แยอีกครั้ง “ไม่เป็นไร ถ้าลำบากใจคุณไม่ต้องเล่าก็ได้”

นฤมลส่ายหน้าทั้งน้ำตา เธอไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องค้างคาระหว่างเขากับเธออีก “ให้ฉันเล่าเถอะ ฉันอยากให้คุณรู้และเข้าใจฉัน”

เรื่องทั้งหมดพรั่งพรูออกจากปากของนฤมล คราบน้ำตายังคงหลงเหลืออยู่บนใบหน้า แต่ทั้งคู่กลับไม่สนใจ กรกฎนั่งนิ่งฟังเรื่องราวและความรู้สึกที่เหลืออยู่ในส่วนลึกของหญิงสาว ถ้าหากผู้ชายที่เป็นเพื่อนรักของเธอยังอยู่ เขาแน่ใจว่าคงเป็นเรื่องยากกว่านี้ที่จะทำให้เธอรู้สึกแบบเดียวกับเขา ความรักของเธอที่มอบให้เพื่อนคนนั้น หญิงสาวไม่ต้องการอะไรตอบแทนด้วยซ้ำ แค่ได้อยู่ข้างๆ เธอก็พอใจ ความเสียใจต่างๆ ที่เธอเล่าออกมา ทำให้เขานึกสะท้อนใจไปด้วย ดูเธอจะผูกอดีตกับตัวเธอเองมากเกินไป

“หนูมล“ เสียงทุ้มเรียกนฤมลไว้ก่อนที่เหตุการณ์ทุกอย่างที่ยังคงอยู่ในความคิดจะย้อนกลับมาทำร้ายเธออีก กรกฎลูบผมหญิงสาวเบามือ ส่งยิ้มอ่อนโยนให้แล้วดึงสิ่งที่โชว์รูปของความทรงจำอยู่ให้ห่างจากตัวเธอ “อดีตมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้หนูมลต้องอยู่กับปัจจุบันนะ เชื่อผมสิถ้าเพื่อนหนูมลคนนี้ยังอยู่เค้าคงไม่มีความสุขที่เห็นหนูมลเป็นแบบนี้หรอก”

ไม่มีเสียงสะอื้นและน้ำตาอีกแล้ว นฤมลเงยหน้ามองคนปลอบเธออย่างอ่อนโยนด้วยแววตาเชื่อใจ อย่างที่กรกฎรู้สึกได้ “ให้ผมดูแลคุณนะ”

เพียงคำพูดเล็กน้อย กลับมีค่ามหาศาลสำหรับคนฟัง นฤมลรีบปาดน้ำตาที่กำลังจะหยดลงมาทิ้งไป แล้วโถมตัวเข้าไปกอดชายหนุ่มเบาๆ เกรงว่าหากแรงไปจะเป็นการกระทบกระเทือนแผลที่ยังไม่หาย

“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่เข้าใจฉัน ขอบคุณจริงๆ”

ความโรแมนติกที่ไม่คิดว่าจะหาได้ในโรงพยาบาล กรกฎใช้มือข้างที่ไม่เจ็บดันร่างของนฤมลที่ยังคงกอดเขาแน่นออกเล็กน้อย ถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีอยู่ออกทางสายตาเพื่อส่งผ่านไปยังนฤมลที่ยังคงมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่เล็กน้อย มือใหญ่ปัดผมที่ระปอยลงมาบดบังหน้านวลให้ไปข้างหลัง ตาหวานซึ้งที่หญิงสาวได้รับนั้นทำให้ใจของเธอเต้นไม่เป็นระส่ำอีกครั้ง จนเกรงว่าตนจะเป็นโรคหัวใจไปแล้วหรือไม่ ในเมื่อช่วงนี้หัวใจเธอขยันเต้นผิดจังหวะเหลือเกิน

“หนูมลยังไม่ได้บอกผมเลย ว่าตกลงรู้สึกยังไงกับผม” คนถูกถามเอาดื้อๆ ตั้งท่าจะผละออก หากแต่ทำไม่ได้เมื่อมือตัวเองถูกมือใหญ่มาคว้าไปกุมไว้แน่น “จะไปไหน หนูมล”

“เอ่อ... ฉะ ฉัน... หิวน้ำ ขอไปกินน้ำหน่อยนะ” ‘หนูมล’ เอ่ยน้ำเสียงออดอ้อนอย่างที่หาฟังได้ยาก ตาปรอยๆ นั้นดูน่าสงสาร แต่มีหรือกรกฎจะยอมปล่อยไปง่ายๆ ด้วยรู้ฤทธิ์คนอยู่ตรงหน้ามาบ้าง ดูได้จากตอนเจอกันใหม่ๆ ว่าแสบไม่มีใครเกิน เขายิ่งต้องรีบต้อนให้จนมุม เพื่อให้ได้คำที่เขาอยากได้ยิน

“ว่ายังไง รักผมหรือเปล่า”

คราวนี้ไม่มีแรงที่คอยดึงมือออกจากการเกาะกุม แต่นฤมลกลับยืนทื่อไปแล้วเรียบร้อย คำถามตรงๆ ที่ออกมาจากปากของกรกฎ ทำให้เธอหาลิ้นตัวเองไม่เจอไปเสียแล้ว หน้าที่ขาวอยู่เมื่อครู่กลับมีเลือดไหลขึ้นมารวมกับอีกครั้ง เป็นภาพที่ชายหนุ่มลงความเห็นได้ว่าน่ารักที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต นึกอยากก้มลงไปหอมแก้มแดงๆ นั่นสักทีให้แก้มที่แดงแล้วแดงเพิ่มขึ้นอีก

“ว้า นิ่งเลยทีนี้ สงสัยต้องหอมแก้มแก้คำสาป” คนตั้งตัวเป็นคนแก้คำสาปตั้งท่าก้มลงไปคิดว่าจะได้หอมแก้มนวลฟอดใหญ่ แต่กลับต้องผิดหวังเมื่อก้มลงไปเจอฝ่ามือนุ่มที่ยกขึ้นมากันไว้แทน

“อย่ามารุ่มร่ามนะคุณ เอาหน้าออกไปห่างๆ เลย”

คนทำตัวรุ่มร่ามได้แต่ทำหน้ามุ่ย ทั้งขัดใจความปากแข็งของหญิงสาวไหนจะมือไวที่รีบมากันเขาให้ถอยห่าง สายตาของกรกฎเริ่มเพ่งไปที่ริมฝีปากบางจุดเดียว หรือการจะเปิดปากคนปากแข็งอาจต้องใช้ปากเหมือนกันเป็นตัวเปิด

คิดได้ดังนั้นมือที่กุมอยู่แน่นก็ปล่อยออกแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นโอบเอวเล็กให้เข้ามาชิดเขาแทน ทำให้ระยะห่างใบหน้าทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น

“ว่ายังไงหนูมล จะตอบคำถามผมได้หรือยัง” น้ำเสียงแตกพร่าของกรกฎ ทำเอานฤมลรู้สึกหวิวในใจอย่างบอกไม่ถูก คนแขนดีสองข้างพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดแต่กลับแปลกใจตัวเองที่ไม่สามารถสู้แรงคนแขนเดียวได้ อาจเพราะใจของเธอที่ตอนนี้ไปอยู่กับเขาเสียแล้วก็ไม่รู้ ทำให้ร่างกายอ่อนปวกเปียกได้ขนาดนี้

“ฉะ ฉัน”

ความร้อนที่พุ่งสูงขึ้นตามลำดับ ยิ่งทำให้ริมฝีปากของหญิงสาวแห้งผากไปด้วย นฤมลแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เสือจำศีลอย่างกรกฎตบะแตกได้ง่ายๆ ภาพที่เห็นนั้นทำเอาชายหนุ่มแทบอดทนไม่ไหว จนต้องยื่นหน้าเข้าไปใกล้พยายามจะฉกวูบที่ริมฝีปากบาง หากแต่หญิงสาวก็เร็วไม่น้อยไปกว่ากัน รีบยกมือขึ้นมากันไว้แล้วโพล่งออกมาอย่างลืมตัว

“โอเคๆ ฉันรักคุณ ได้ยินไหม ฉันรักคุณ”

คนได้ยินอย่างนั้นชะงัก คลี่ยิ้มกว้างอย่างถูกใจจนความรู้สึกลามขึ้นไปที่ตา สื่อออกมาอย่างไม่ปิดบังว่าดีใจแค่ไหนกับคำพูดนั้น

“อะไรนะ ผมไม่ได้ยิน”

“อย่ามาขี้ตู่ ฉันรู้ว่าคุณได้ยิน”

“น่า ได้ยินแต่อยากได้ยินอีก ได้ไหมล่ะ นะๆ” เสียงออดอ้อนที่ส่งมานั้นทำเอานฤมลใจแข็งต้านไว้ไม่ไหว หญิงสาวก้มหน้างุดมองได้แต่มือของตัวเองทั้งที่ยังมีแขนแข็งแรงโอบไว้แน่น พูดเสียงอุบอิบ

“ฉันรักคุณ”

“อะไรนะ” คราวนี้ความอดกลั้นเริ่มลดลงไปพร้อมกับความเขินอาย นฤมลหันมองหน้าคนไม่รู้จักพอตาขวางแล้วยื่นหน้าไปไว้ใกล้ๆ หู ตะโกนเข้าไปในนั้นเสียงดัง

“ฉันรักคุณไง ฉันรักคุณ ได้ยินหรือยังหือ ให้แทรกเข้าไปในชั้นหูแล้วบอกไหมว่าฉันรักคุณ”

แต่แทนที่จะโกรธ กรกฎกลับระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นห้องผู้ป่วย มองหน้าคนบอกรักตาเชื่อมแถมเสียงที่เอ่ยออกไปก็หวานไม่แพ้กัน “ได้ยินแล้ว ผมก็รักคุณ”

ทั้งเสียงและสายตาที่พาให้เธอเคลิ้มได้อย่างไม่ยากนั้น ทำให้นฤมลราวกับตกอยู่ในมนต์สะกดเมื่อเผลอไปมองตาของชายหนุ่มเข้า ใบหน้าเข้มเลื่อนเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แล้วก็ต้องหยุดอยู่แค่นั้น เมื่อหญิงสาวกลั้นใจยกมือขึ้นมาปิดปากชายหนุ่มไว้

“หมดสิทธ์ค่ะ คุณใช้สิทธ์ไปแล้วก่อนหน้านี้ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้ห้ามทำตัวรุ่มร่ามกับฉันก่อนได้รับอนุญาต เข้าใจไหมคะ”

นฤมลหัวเราะคิก ไม่นำพากับเสียงโอดครวญที่ยังคงดังอ้อนเธออยู่ไม่ห่าง หญิงสาวส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนไปให้ราวกับต้องการจะปลอบใจ

“ขอบคุณนะคะที่รักฉัน”

“ผมก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน ที่ไม่ยอมเปิดใจให้ใครจนมาเจอผม” หญิงสาวมองค้อนคนหลงตัวเองอย่างฉุดไม่อยู่

“ความจริงคนดีกว่าคุณก็เยอะอยู่นะ เอ๊ะ หรือจะกลับไปดีน้า”

“อย่าแม้แต่จะคิด จริงๆ ผมขี้หึงมากนะจะบอกให้”

“โธ่เอ๊ย เรื่องนี้อย่าคิดว่าฉันจะแพ้คุณนะ แฟนเสน่ห์แรงขนาดนี้ฉันยิ่งหึงมากเป็นสามเท่าของปกติ”

เธอพูดกลั้วหัวเราะ เอนตัวเองให้ซบเข้ากับอกอุ่นของแฟนหนุ่มหมาดๆ หลับตาซึมซับความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเธอ ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่นานที่รู้จักกันแต่นฤมลก็รู้สึกผูกพันกับเขาคนนี้อย่างบอกไม่ถูก สิ่งที่กรกฎมีเติมเต็มความรู้สึกของเธอได้พอดี หลังจากนี้จะมีเพียงกรกฎและเธอเท่านั้น หญิงสาวจะไม่เอาคนที่หลงเหลือในความทรงจำมาเปรียบเทียบอีก

กรกฎรัดอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีกราวกับเตือนตัวเองว่าที่เป็นอยู่ไม่ได้ฝันไป พร้อมกับคนในอ้อมกอดที่กอดแขนแข็งแรงเขาไว้แน่น เรื่องจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำให้นฤมลนึกถึงคนที่ทำให้เธอมาเจอกับคนที่กำลังกอดเธออยู่

ขอบคุณมากนะพีทที่ทำให้ฉันเจอกับคนที่รักฉันจริงๆ ฉันรักแกเสมอนะ... เพื่อนรัก

================================================

จบแล้วนะคะ ต้องขอบคุณสำหรับการติดตาม ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าตัวเองฝีมืออยู่ขั้นไหน ยินดีรับฟังทุกความเห็นเลยนะคะ ใครว่าดีไม่ดียังไง บอกได้เลยค่ะ มิณทิมาจะได้เอาไปปรับปรุงเรื่องใหม่นะคะ ;)

สุดท้ายนี้ ใครมีอะไรฝากไว้ได้นะคะ เดี๋ยวมิณทิมาเสร็จภารกิจแล้วจะกลับมาตอบจ้า แฮ่ๆๆ



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2555, 22:01:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2555, 22:01:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1953





<< ตอนที่ 10   
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account