ทะเลหวาน
หนึ่งคน... อยู่ในความทรงจำ ที่ฝังลึกอยู่ข้างในใจไม่ห่างหาย
หากอีกหนึ่งคน... มีตัวตน คอยเตือนเธอให้ลืมคนในอดีตอยู่เสมอ

การตัดสินใจอาจไม่ยากเย็น หากหัวใจเธอไม่ถูกปิดไปพร้อมกับอดีตที่ยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน
Tags: เรื่องยาว ทะเล

ตอน: ตอนที่ 10

กรกฎยืนพิงรถตัวเองอยู่ที่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแล้วทำให้รู้ว่าเขามาก่อนเวลาเล็กน้อย ชายหนุ่มขยับยิ้มทำให้ใบหน้าที่เคยขรึมอยู่บ้างดูกระจ่างขึ้น ทำเอาเด็กนักศึกษาสาวที่เดินผ่านไปผ่านมาส่งยิ้มให้ไม่หยุด แถมบางคนยังชม้ายชายตาให้อีกด้วย กระโปรงสั้นๆ โชว์ขาสวยนั้นก็เรียกสายตาเขาได้ไม่เบาเลยทีเดียว พอเห็นแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกเปรียบเทียบกับผู้หญิงอีกคนที่เขากำลังคอยอยู่

ผู้หญิงอะไรขาอย่างกับเสาสะพาน!

“เอ่อ... ขอโทษค่ะ คือว่า เอ่อ...”

“ครับ?”

“พี่ชื่ออะไรคะ” เด็กนักศึกษาหญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาถามกรกฎด้วยแววตาไม่แน่ใจ แต่ถึงจะดูกล้าๆ กลัวๆ ยังไง เขาก็พอเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น

ใบหน้าขาว จิ้มลิ้มน่ารัก ใส่ชุดนักศึกษาพอดีตัว ไม่รัดจนเกินไปเข้ากับกระโปรงพลีทที่ยาวเหนือเขามาเล็กน้อย ยิ่งเห็นรอยยิ้มใสนั่น ยิ่งทำให้ใบหน้าที่น่ารักอยู่แล้วสว่างมากขึ้นไปอีก เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเด็กคนนี้น่ารักถูกใจเขามากจริงๆ

“ชื่อซีครับ น้องมีอะไรกับพี่หรือเปล่า”

ที่ถาม ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไร พอเหลือบไปเห็นเด็กนักศึกษาอีกสี่ห้าคนรวมกลุ่มกันอยู่ข้างหลัง ถึงร้องอ๋อ คงพยายามน่าดู เพื่อนถึงยืนลุ้นกันขนาดนั้น ความคิดนี้ทำให้กรกฎยิ่งยิ้มละมุนขึ้นไปอีก นึกเอ็นดูเด็กหญิงตรงหน้า ยิ่งเขามีน้องสาวอยู่แล้วอายุไล่เลี่ยกัน ทำให้นึกเอ็นดูยิ่งขึ้น

“คะ คือหนูชื่อพิมค่ะ หนะ หนู เอ่อ”

“ชอบพี่”

“ค่ะ เอ้ย!” กรกฎหัวเราะกับท่าลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย ที่ถึงแม้จะดูเกินๆ ไปบ้างแต่ก็ยังพอดูน่ารัก หากแต่ยืนยิ้มได้อีกไม่นานรอยยิ้มนั้นก็จำเป็นจะต้องหุบลง เมื่อชายหนุ่มเห็นร่างที่คุ้นเคยเดินเข้ามา รองเท้าส้นสูงที่นฤมลสวมใส่ถึงแม้จะดูขัดตาไปบ้างแต่ก็ยังพอดูเข้ากันได้กับชุดที่เธอใส่วันนี้ จากขัดตามันเลยกลายเป็นเหลือแค่ดูแปลกตาเท่านั้น

ชายหนุ่มยิ้มรับคนที่เพิ่งเดินเข้ามาอย่างสดใส ทำเอาพิมลดาที่ยืนดูอยู่ถึงกับพูดไม่ออก “เพิ่งเลิกเหรอ”

“เปล่า ยังไม่เลิก นี่โดดงานออกมา” เสียงตอบเอื่อยๆ แต่แฝงความกวนไว้เต็มขั้น แถมพอหันมองอีกทาง นฤมลขมวดคิ้วทันควัน... นี่มันเด็กคณะเธอนี่นา

“พิม มีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” น้ำเสียงที่ถามออกไปดูไม่มีอะไร แต่กลับทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้งเบาๆ ก้มหน้าซ่อนแววหมอง “รู้จักกันเหรอคุณ”

“ก็... อืมรู้จัก” ชายหนุ่มละคำว่า ‘เมื่อกี้’ ไว้ในใจ ไม่อยากให้เด็กสาวเสียหน้า จากที่ดูเขาก็แอบเห็นหน้าเธอหมองลงไปเล็กน้อยแล้ว “ว่าแต่คุณรู้จักน้องพิมด้วยเหรอ”

“พิมเป็นลูกศิษย์ฉัน” คำบอกเล่าที่ดูไม่ตรงกับคำถามสักเท่าไหร่นั่น ก็พอทำให้เขารู้ว่าทั้งคู่เกี่ยวข้องกันอย่างไร “แล้วตกลงนี่มีอะไรกัน คุณทำอะไรลูกศิษย์ฉันหรือเปล่า นายบ้ากามนี่ทำอะไรเธอ พิมบอกอาจารย์มาได้เลย อาจารย์จะจัดการให้”

“เฮ้ยเปล่า ผมจะไปทำอะไรน้องเค้า น้องพิมแค่เข้ามาทักผมเฉยๆ”

คำว่าเข้ามาทักทำเอาเธอเลิกคิ้ว สะดุดใจอย่างจริงจัง เหลือบมองลูกศิษย์สาว ก่อนจะเหลือบมองคนเสน่ห์แรงที่ยืนยิ้มอยู่ เท่านี้ก็พอปะติดปะต่อเรื่องได้โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก... หาเรื่องให้ลูกศิษย์เธอใจแตกอีกแล้วล่ะสิ

“อาจารย์ขอตัวก่อนนะจ๊ะพิม ไว้เจอกันในคลาสพรุ่งนี้นะ” ว่าแล้วรับไหว้ลูกศิษย์แล้วรีบสะกิดตัวต้นเหตุให้รีบขึ้นรถก่อนที่เรื่องจะมีอะไรมากกว่านี้

“แม้แต่ลูกศิษย์ฉัน คุณก็ไม่เว้น” คนขี้โวยวายอยู่เป็นทุนเดิม เปิดปากต่อว่าคนหักอกลูกศิษย์เธอแบบอ้อมๆ ทันที ไม่สังเกตเลยว่าคนโดนโวยวายไม่มีท่าทีรู้สึกผิดสักนิด อีกทั้งยังยิ้มรับหน้าชื่น

“หึงล่ะสิ”

คำถามสั้นๆ นั้นทำเอาคนโวยวายชะงักไป “ปละ เปล่า ใครหึง ฉันจะหึงคุณทำไมไม่ทราบ”

กรกฎไม่ได้ตอบ ทำเพียงหัวเราะในลำคอเบาๆ อย่างมีความสุข ก่อนจะหักพวงมาลัยเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งที่ไม่ใช่จุดหมายเดิมอย่างเช่นทุกวัน

“เฮ้ คุณนี่มันไม่ใช่ทางกลับบ้าน คุณจะพาฉันไปไหน”

“พาไปที่ที่มีแต่เราสองคนไงจ๊ะ” คนกำหนดเส้นทางหันมายักคิ้วให้อย่างเป็นต่อ น้ำเสียงที่เขาพูดไม่ได้ทำให้นฤมลเคลิ้มหรือคล้อยตามไปได้เลยสักนิด นี่ถ้าไม่ได้อยู่ในรถอย่างนี้ เธอคงวิ่งหนีเขาไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปแล้ว แต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้ นอกจากกระเถิบให้ติดประตูฝั่งเธอให้มากที่สุด เผื่อฉุกเฉินเธอจะได้สามารถกระโดดลงได้เลยอย่างฉับไว

คิดไปถึงนู่นแล้ว... นฤมลคิดนั่นคิดนี่สะระตะ พอรู้สึกตัวอีกทีรถของกรกฎก็มาจอดยังหน้าสวนสาธารณะนอกเมือง หญิงสาวเดินลงรถอย่างไม่มีคำพูดใดๆ นอกจากมองหน้าคนพามาแล้วยิ้มให้เป็นรางวัลหนึ่งทีกับความน่ารักที่พาเธอมาที่นี่

สวนสาธารณะที่ไม่มีโอกาสได้มาสักทีตั้งแต่กลับมาทำงานที่บ้าน แม้มีเวลาว่างอยู่บ้างแต่เธอกลับเลือกที่จะขับรถกลับบ้าน รีบกลับไปทานข้าวที่บ้าน มากกว่าจะขับรถออกมาไกลนอกเมืองเพื่อดูต้นไม้ หรือคนที่นั่งเป็นคู่... พรอดรักกัน

เห็นทีไรนึกอยากจับแยกเสียทุกคู่ไป

พอได้รับรอยยิ้มนั้น กรกฎก็รีบเดินเข้าไปคว้าเอามือขาวไว้ ไม่มีการสื่อสารใดๆ ระหว่างคนสองคน มีแต่ความเงียบและสัมผัสของมือเท่านั้นที่คอยสื่อถึงความรู้สึกของกันและกัน นฤมลปล่อยให้ชายหนุ่มเป็นผู้นำ ปล่อยให้เขาพาเธอไป ซึ่งเธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะพาไปไหน ก่อนที่ชายหนุ่มจะผ่อนฝีเท้าลงกลายเป็นมาเดินอยู่ข้างๆ เธอแทน หญิงสาวเหลือบลงมองมือที่ประสานกันอยู่ แต่ไม่ได้พูดอะไรราวกับยอมรับในสิ่งที่ชายหนุ่มกำลังแสดงออก

“ตกลงเมื่อกี้ลูกศิษย์ฉันพูดอะไรกับคุณ”

น้ำเสียงคาดคั้นอย่างไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปนั้น ทำให้กรกฎหัวเราะเสียงดัง พอรู้มาบ้างว่าเธอดื้อแค่ไหน แต่ที่ไม่รู้คือเธอไม่ยอมให้อะไรที่ยังค้างคาใจเธอมารบกวนชีวิตปกติของเธอ

“น้องเขาเดินเข้ามาถามชื่อผม แล้วก็แนะนำตัว”

“แค่นั้น?” ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบ กระชับมือหญิงสาวแน่นขึ้น

“คิดว่าแค่ไหน” คนถูกถามไม่ตอบ หญิงสาวเบือนหน้าหนี ซ่อนสายตาของเธอให้พ้นจากสายตาคมคู่นั้น ลูกศิษย์เธอคงถูกใจคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอตอนี้เลยกะจะเข้ามาสานสัมพันธ์ แต่คงเป็นเพราะว่าเธอปรากฎตัวเร็วไปหน่อยทั้งคู่เลยยังไม่ได้คุยอะไรกัน

“นี่ ที่เงียบๆ นี่คิดไปถึงไหนแล้ว”

คนชอบคิดมากยังคงเงียบ จนทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่สะพานพาดข้ามบึงอันหนึ่ง กอบัวที่ผุดขึ้นอยู่กลางน้ำดึงสายตาของนฤมลได้เป็นอย่างดี ไม่ให้หันไปมองคนข้างๆ ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบเกือบห้านาที เป็นห้านาทีที่มีเพียงเสียงรอบกายเท่านั้น เมื่อนฤมลไม่เอ่ยอะไรออกมา กรกฎก็ทำได้เพียงเงียบ... รอฟัง

“เมื่อคืน...” เสียงแผ่วที่ดังขึ้นข้างๆ เรียกความสนใจจากชายหนุ่มได้ไม่ยาก กรกฎหันมองหน้าคนที่เพิ่งหาปากตัวเองเจอ นึกอยากแซวอยู่เหมือนกัน แต่คงต้องเก็บไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะเสียเรื่องเอาง่ายๆ “เมื่อคืนฉันเจอเมมโมรี่การ์ดในกล้องของฉัน”

เขาเลิกคิ้ว แค่เมมโมรี่การ์ดที่บันทึกรูปที่เธอถ่ายเอาไว้มันก็ไม่น่ามีอะไร กรกฎเงียบเป็นผู้ฟังที่ดี ปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูด “พอเปิดดูถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ของฉัน”

นฤมลเงยหน้าขึ้นมองราวกับจะสื่อว่าเจ้าของสิ่งนั้นเป็นใคร กรกฎใจหายวาบ นึกไปถึงเมมโมรี่การ์ดของตัวเองที่ลืมสำรวจดูก่อนเอาให้เธอไปยืมใช้ “ผู้หญิงคนนั้นน่ารักดีนะคุณ ดูสดใส ขาวๆ ตัวเล็กๆ น่าทะนุถนอม”

น้ำเสียงที่หญิงสาวใช้ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มพอรู้ตัวอยู่บ้างว่าเธอกำลังคิดอะไร แต่หากยอมฟังไปเรื่อยๆ ให้เธอพูดจนจบแล้วค่อยอธิบายทีเดียวคงดีกว่า “ดูเป็นคนที่ผู้ชายทั้งโลกอยากปกป้องดูแล เหมือนพิมลูกศิษย์ฉันคนเมื่อกี้เลย”

กรกฎนิ่งไปชักเริ่มทนไม่ไหวกับความคิดไปไกลของคนข้างกาย รูปที่อยู่ในเมมโมรี่การ์ดนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานมากแล้วจนเขาลืมความรู้สึกพวกนั้นไปจนหมดสิ้น แต่เธอดันเอาตัวเองเข้าไปยึดติดกับสิ่งที่เขาละทิ้งไปแล้ว ยัยอาจารย์บ๊องเอ๊ย!

“หนูมล ฟังนะ” ชายหนุ่มปล่อยมือที่จับไว้แน่น เปลี่ยนเป็นดันไหล่ของเธอให้หันหน้ามามองเขาแทน แล้วล็อคไว้ไม่ให้หันหนีไปไหน “ผู้หญิงในรูปคือแฟนเก่าผมตั้งแต่ก่อนเรียนจบ ตอนนี้เธอคนนั้นไม่มีผลอะไรกับผมเลยสักนิด ผมเคยเก็บความทรงจำของเธอไว้ก็จริง แต่ไม่ใช่ตลอดเวลา เรื่องรูปพวกนั้น ผมก็ลืมไปแล้วจนคุณพูดถึงมันขึ้นมา”

เขาพูดอย่างไม่หยุดหายใจ สายตาแน่วแน่ตั้งใจอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจอย่างชัดเจน ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างว่าผู้หญิงคนนั้นคงไม่มีอิทธิพลเหนือเขาจริงๆ แต่แทนที่เธอจะส่งยิ้มให้เขาใจชื้นสักนิด กลับทำเพียงแค่มองเข้าไปในตาของชายหนุ่ม

สายตาประสานกันอยู่ครู่ใหญ่ จนกรกฎตัดสินใจเลื่อนหน้าเข้าใกล้อีกฝ่ายอย่างช้าๆ มือที่เคยจับไหล่ไว้แน่นเลื่อนขึ้นมาจับใบหน้าเนียนไว้แทน ส่วนอีกข้างหนึ่งตกลงไปรัดเอวหญิงสาวไว้ราวกับกลัวว่าเธอจะหนีหายไป

นฤมลใจเต้นดังรัวเป็นกลองเพล นึกใจสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อนึกได้ว่าเหตุการณ์ต่อไปที่กำลังจะเกิดขึ้นคงหนีไม่พ้นแบบละครที่เธอเคยดู เวลาพระเอกกับนางเอกมองตากัน หญิงสาวหลับตาปี๋ รอคอยสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ พอรู้สึกถึงลมหายใจของชายหนุ่มที่เริ่มขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ใจที่เต้นแรงอยู่แล้วคราวนี้แรงขึ้นอีกราวกับกำลังจะหลุดออกมานอกอก ใบหน้าขาวร้อนไปหมดจนเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะแดดหรือเพราะคนที่กำลังเป็นตัวการทำให้เธอใจสั่นกันแน่

ก่อนที่หน้าของกรกฎจะขยับเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ มือของนฤมลที่เคยแนบอยู่ข้างลำตัวกลับยกขึ้นมาดันใบหน้าที่กำลังขยับนั้นไว้ แม้ยังไม่หลุดไปจากอ้อมกอดนั้น แต่เธอก็กล้าพอที่จะลืมตาขึ้นดูผลงานตัวเอง ภาพที่ใบหน้ากรกฎค้างอยู่กลางอากาศโดยมีมือเธออยู่บนนั้น ออกแรงดันไม่ให้เขาเข้ามาใกล้ได้อีก ทำเอาหญิงสาวหัวเราะเสียงดัง พอปล่อยมือที่ดันออก ทำให้เห็นชายหนุ่มมองเธออย่างขัดใจ

“นี่มันที่สาธารณะ คุณลืมไปแล้วหรือไง”

คนถูกขัดใจนึกได้ มองไปรอบๆ ยังคงเห็นผู้คนเดินไปเดินมา แม้ไม่ได้สนใจพวกเขาสองคน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรทำให้เธอเสียหายเรื่องแบบนี้ “ผมขอโทษ ลืมตัวไปหน่อย”

หืมมมมมม เป็นคำสารภาพที่ฟังดูหื่นกามที่สุดเท่าที่เธอเคยได้ยินมา นฤมลจ้องหน้าคนขอโทษตาโต ตกลงนี่ถ้าเธอไม่ห้ามไว้เขาคงทำไปแล้วใช่ไหม... เขาจะทำจริงๆ ใช่ไหม

“อย่ามองงั้นสิ เพราะคุณนั่นแหละจ้องหน้าผมก่อน”

อ้าว ตกลงนี่เธอผิดใช่ไหม ที่ดันทะลึ่งไปจ้องหน้าเขา ทำให้เขาเกิดลืมตัวขึ้นมา “คุณจะมาโทษฉันได้ยังไง ลืมตัวไม่ลืมตัวมันอยู่ที่จิตใต้สำนึกของคุณต่างหาก อย่ามาโทษกันแบบนี้นะ”

เสียงเขียวที่บ่งบอกถึงอารมณ์คนพูด ทำเอาคนผิดต้องรีบยอมรับก่อน ไม่งั้นเรื่องคงยาวอีกโข “โอเคๆ ผมผิดเองที่ดันลืมคิดว่าที่นี่เป็นสวนสาธารณะ ก็คุณเองเล่นมองผมน่ารักขนาดนั้น ผมก็ลืมตัวน่ะสิ”

คราวนี้คนเตรียมตัวจะออกงิ้ว ปากที่อ้าเตรียมเถียงคืนต้องหุบลงฉับ กลายเป็นยืนบิดมือไปมาแทนกับคำพูดตรงๆ ของชายหนุ่ม อีตาบ้านี่ต้องสมองกลับไปแล้วแน่นอน ถึงได้มองเธอน่ารักแบบนั้น

“ทะลึ่งละ ไปดีกว่า” หญิงสาวยู่หน้า อย่างที่คนมองนึกอยากบีบแก้มยุ้ยๆ นั้น แต่ก็ไม่ทัน เมื่อเธอหาทางเลี่ยงเดินทำเขาไปก่อน แต่ชายหนุ่มก็เดินตามทันในระยะที่สาวเท้าไม่กี่ก้าว มือใหญ่เอื้อมมือไปคว้าเอามือขาวมาไว้ในอุ้งมือเหมือนก่อนหน้านี้ คอยซึมซับบรรยากาศรอบกายเอาไว้ เพราะถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่เขาได้แสดงออกชัดเจนขนาดนี้ ถ้าไม่นับคำพูดที่เคยพูด เคยบอกให้เธอฟัง การพบกัน คุยกันทุกวันถือเป็นเรื่องปกติของทั้งเขาและเธอไปเสียแล้ว ดูเหมือนวันไหนไม่เจอกันคงเป็นเรื่องที่แปลกมากกว่า


รถที่คุ้นตาคุณสนองและคุณลำดวนในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจอดเงียบๆ อยู่ที่ประตูหน้าบ้าน แต่หากยังไม่มีการเคลื่อนไหวภายในรถ นฤมลปลดเข็มขัดนิรภัยที่เดี๋ยวเริ่มคาดจนติดเป็นนิสัย ตั้งแต่โดนเจ้าของรถช่วยคาดให้คราวก่อน หอบทุกอย่างไว้ในมือเตรียมลงจากรถ แต่หากก็ทำไม่ได้เมื่อมีมือใหญ่ดึงเธอไว้ หญิงสาวมองมือนั้น ก่อนจะเงยขึ้นมองเจ้าของมือ กรกฎดูเหมือนมีอะไรในใจอยากจะถามเธอ สภาพอ้ำๆ อึ้งๆ นั้น ทำเอาเธอต้องขยับยิ้มผ่อนคลายให้

“มีอะไรหรือเปล่าคุณ”

“ผม... ถามคุณได้ไหม” น้ำเสียงไม่แน่ใจที่เอ่ยออกมานั้น ทำเอานฤมลไม่มั่นใจตามไปด้วย นึกสังหรณ์ใจแปลกๆ กับท่าทีของชายหนุ่ม

“ว่ามาสิ มีอะไร”

“ตอนที่คุณร้องไห้ที่เกาะ” เพียงแค่เกริ่น นฤมลก็สามารถเดาได้ทันทีว่ากรกฎต้องการอะไร ความจริงไม่ต้องรอให้เขาพูดประโยคต่อมาด้วยซ้ำ “ใครกันแน่ที่ทำให้คุณร้องไห้”

เท่านั้นแหละคนถูกถามก็กลายเป็นกบฎ พยายามสลัดแขนตัวเองออกจากมือใหญ่ แต่แรงเธอหรือจะสู้แรงคนตัวใหญ่กว่าได้ เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้แล้ว คนเห็นทางแพ้รำไรเลยจำเป็นต้องหยุดดิ้นและนั่งนิ่งๆ ทุกอย่างภายในรถเงียบสนิท มีเพียงเสียงการทำงานเครื่องปรับอากาศในรถเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่ารถคันนี้ติดเครื่องอยู่

“ฉัน... ฉันขอโทษ แต่ฉันยังไม่พร้อมบอกคุณจริงๆ”

มือที่จับแขนเล็กอยู่หลุดออกทันควัน อันที่จริงชายหนุ่มเตรียมใจมาแล้วด้วยซ้ำว่าเขาคงจะได้รับคำตอบเดิม เป็นความผิดของเขาเอง ที่มัวแต่หลอกตัวเองว่าหญิงสาวรู้สึกดีกับเขาและพร้อมจะเปิดใจทุกอย่าง ซึ่งความจริงแล้วเขาอาจไม่สำคัญขนาดนั้น

ขนาดที่เธอยอมบอกยอมเล่าทุกเรื่อง

“ผมก็ต้องขอโทษด้วย ที่ถามคุณทั้งๆ ที่เราก็ไม่ได้เป็นอะไรกัน” นฤมลใจหายเมื่อได้ยินประโยคที่กรกฎกัดฟันพูด แววตาตัดพ้อที่ส่งมายังเธอนั้น มั่นใจได้เลยว่าถึงแม้จะมืดแค่ไหนเธอก็มองเห็น “การที่ผมเข้าข้างตัวเองจนเกินไป ยอมเปิดใจทุกอย่างให้คุณได้รู้ไว้ อาจเป็นการรบกวนคุณ”

“คุ...”

“เชิญ รถจอดหน้าบ้านคุณนานแล้ว ถ้าคุณยังไม่ลงไป บางทีพ่อกับแม่คุณอาจกำลังเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้น”

คำแย้งที่กำลังจะออกจากปากพร้อมกับคำอธิบาย ถูกตัดบทไปเสียก่อน ด้วยน้ำเสียงตัดพ้อและเหนื่อยอ่อนเต็มกำลัง หากมองในแง่ร้ายคงถือเป็นคำไล่กลายๆ ได้ นฤมลมองหน้าคนไล่เธอลงรถอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร เธอไม่พร้อมที่จะพูดเรื่องปีเตอร์นั่นคือเรื่องจริง แต่ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึกอะไรกับคนตรงหน้า

“อย่า... ให้ผมต้องทำร้ายคุณเลย ลงไปเถอะ ผมขอร้อง”

แม้จะมีคำว่าขอร้องอยู่ท้ายประโยค แต่นฤมลก็รู้สึกได้ถึงเสียงที่แข็งขึ้น จึงตัดสินใจล่าถอยออกมาก่อนที่ความอดทนของชายหนุ่มจะขาดผึง อย่างน้อยเธอก็ยังรักชีวิตตัวเองอยู่มาก

“ขับรถกลับดีๆ นะคะ”

เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้ยินที่เธอบอกหรือเปล่า เห็นมือที่โบกลาเขาไหม เพราะเมื่อเธอปิดประตูเสร็จ รถของกรกฎก็กระชากออกไปจากตรงนั้นทันที หญิงสาวคิดว่าระดับการกระชากคงมาจากระดับอารมณ์ที่ไม่คงที่ของคนขับ ใจนึงก็นึกเป็นห่วงเขาอยู่ไม่น้อย ถนนหนทางถึงแม้ว่าเขาจะขับเส้นนี้มาเกือบเดือนแต่ก็ใช่ว่าจะคุ้นเคยมาก มือขาวหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าตัวเองออกมา มองหน้าจอนิ่ง ไม่ยอมเดินเข้าบ้าน หรือแม้แต่ขยับจากตรงนั้น

ชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะจรดนิ้วลงบนแป้นเล็กของโทรศัพท์ตัวเอง ที่หมายของข้อความมีอยู่เบอร์เดียวเท่านั้น...


กรกฎถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้จะขับมาถึงคอนโดที่ซื้อไว้ให้น้องสาวแล้ว แต่ตัวเขาเองยังคงนั่งอยู่ในรถ ชายหนุ่มแทบหมดแรงเมื่อนึกไปถึงคำตอบที่ได้จากนฤมล แม้มันจะเหมือนคราวที่แล้วที่เธอเคยให้เขา แต่เขาเองก็ให้ความคาดหวังไว้ว่ามันจะไม่เหมือนคราวก่อน ราวกับความใกล้ชิดและความดีที่เขาทำให้เธอแม้มันออกจากใจเขา แต่มันกลับไม่ซึมเข้าไปในหัวใจเธอได้เลยสักนิด ชายหนุ่มทุบพวงมาลัยแรงๆ สองสามทีอย่างหาที่ระบาย เมื่อครู่เขาพยายามอดกลั้นอย่างมากที่ไม่อาละวาดให้หญิงสาวกลัว มือที่กำแน่นยังคงมีรอยแดงอยู่จางๆ

ความโกรธที่ไม่ยอมลดลงไป ทำให้เขาต้องรีบหาน้ำเย็นมาดับมัน คนกำลังโมโหรีบเดินขึ้นไปบนห้องของน้องสาวที่มีการแยกอย่างเป็นสัดส่วน การมีสองห้องนอนและสองห้องน้ำ ในวันที่น้องสาวเขาเลือก กรกฎยังท้วงอยู่เล็กน้อยถึงประโยชน์การใช้สอยที่เขาไม่เห็นประโยชน์ที่ห้องนอนสองห้องจะมีห้องน้ำอยู่ในห้องโดยที่ไม่ต้องใช่ร่วมกัน แต่ก็นั่นแหละ... เขาเพิ่งเห็นประโยชน์มันวันนี้นี่เอง

ร่างสูงของกรกฎถอดเสื้อออกอย่างรวดเร็ว ปามั่วไปที่ใดที่หนึ่งบนพื้นแล้วไม่หันกลับไปสนใจอีก เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำไปโดยที่กางเกงยังคงติดตัวอยู่ น้ำจากฝักบัวที่ไหลแรงค่อยๆ ทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มเย็นลงทีละน้อย แต่ความกรุ่นยังคงไม่จางหาย นฤมลทำร้ายจิตใจเขามากเกินไป มากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับมันได้

การที่นฤมลเสียน้ำตาให้กับเรื่องบางเรื่อง ถ้าเธอบอกเขาตรงๆ เขาคงยังพอรับได้ว่าเรื่องเล่านั้นมันผ่านไปแล้ว แต่นี่หญิงสาวกลับทำให้เขาเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่สามารถทำให้เธอไว้ใจเขาได้เลย เห็นได้ชัดว่าคนที่ทำให้เธอร้องไห้นั้นมีความสำคัญกว่าเขามากเพียงใด

เอาเถอะ... เขากับเธออาจต้องใช้เวลาคิดสักพัก ใช้เวลากับตัวเองคงได้คำตอบอะไรมากกว่าที่จะไปคาดคั้นเอากับคนปากแข็ง ชายหนุ่มเสยผมที่เปียกลู่น้ำขึ้น น้ำทำให้เขาเย็นลงก็จริงแต่หากความหนักใจที่แบกอยู่ยังคงไม่จางหาย... แม้สักนิด


นฤมลกัดขนมปังปิ้งทาแยมที่แม่ทำให้ไว้ในจานคำใหญ่ ตาก็คอยเหล่หาร่างสูงที่คุ้นเคยจากประตูหน้าบ้าน เช้านี้ไม่มีเสียงหัวเราะที่นั่งรอเธออยู่อย่างเช่นทุกวัน ไม่มีรอยยิ้มที่คอยส่งให้ต้อนรับเช้าวันใหม่หลังเธอแต่งตัวเสร็จ ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมราวกับกรกฎไม่เคยมีตัวตน จะมีก็แต่คุณลำดวนที่เปรยขึ้นมาทีหนึ่ง แต่พอเห็นเธอนิ่งไปแม่ก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกับพ่อเสีย

หญิงสาวขับรถมายังมหาวิทยาลัยด้วยตัวเองในรอบหนึ่งเดือน แม้จะรู้สึกแปลกไปบ้างแต่เธอก็ทำความคุ้นเคยได้ไว เพราะก่อนหน้านี้ไม่ว่าวันไหนเธอก็ต้องขับมาเองเป็นปกติ

เธอยิ้มทักทายคนรู้จักที่เดินผ่านตลอดทาง เหมือนไม่มีเรื่องทุกข์ ถ้าเป็นเรื่องเก็บความรู้สึกล่ะก็ขอให้บอก... อย่างน้อยเธอก็รู้ตัวเองดีว่าเธอไม่เคยแพ้ใคร!

“วันนี้ราชรถไม่มาส่งหรือยะ” นฤมลเลิกคิ้วให้เพื่อนเล็กน้อย สาวิตรีถามราวกับตาเห็นว่าเธอขับรถมาเอง ทั้งๆ ที่พอเธอมาถึงเพื่อนเธอก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่แล้วความสงสัยก็ถูกไขให้กระจ่างโดยที่เธอไม่ต้องถาม “แกถือกุญแจรถแกอยู่ เผื่อจะลืม”

“แหม แสนรู้จริงๆ เพื่อนฉัน”

“นี่ น้อยๆ หน่อยค่ะ อาจารย์มล ดิฉันไม่ใช่สุนัขนะคะ เพราะถ้าใช่อาจารย์ก็คงด้วยเพราะคุยกันรู้เรื่องอยู่สองคน”

คนถูกเหมาว่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันหัวเราะในความรู้ทันของเพื่อน ทักทายกันอีกสองสามคำ สองอาจารย์สาวก็ได้เวลาแยกย้ายกันไปสอน เรื่องทั้งหมดถูกปัดทิ้งออกจากหัว เมื่อนฤมลเดินก้าวเข้าห้องเรียนเพื่อสอนนักศึกษา

เธอตั้งใจทำหน้าที่ของเธออย่างดีที่สุด พอเห็นเด็กที่เรียนฟังเธอบ้างไม่ฟังบ้าง กดโทรศัพท์มือถือเล่นบ้าง คุยกับเพื่อนข้างๆ บ้าง ความอดทนที่มีน้อยอยู่แล้วจึงไม่เหลือ หญิงสาวใช้หนังสือที่นำมาด้วยตีโต๊ะเสียงดังเรียกความสนใจจากเด็ก ที่นั่งอยู่ทั้งหมดหน้าเหวอมองอาจารย์คนสวยของตัวเองออกงิ้วอย่างไม่เคยเจอ

“ถ้าไม่อยากเรียนกัน อาจารย์จะไม่สอนต่อนะคะ มีอะไรสงสัยไว้เจอกันตอนสอบทีเดียวเลยดีไหม”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ นักศึกษากว่าสี่สิบชีวิตพร้อมใจกันกลั้นหายใจโดยมิได้นัดหมาย แม้แต่ธนิตาที่ถือว่าสนิทกับอาจารย์สาวมากที่สุดยังไม่แม้แต่จะกล้ายกมือขึ้นห้ามคนโมโหที่กำลังเก็บข้าวของตัวเองใส่กระเป๋าเตรียมพร้อมเดินออกจากห้อง ก่อนเดินออกไปนฤมลมองไปยังกลุ่มนักศึกษาอีกหน เธอได้สบตาเข้ากับธนิตาอย่างไม่ตั้งใจ แววตาของลูกศิษย์สาวมีแววงุนงงเล็กน้อย จนเธอรู้สึกผิดในหัวใจ

โกรธคนพี่แท้ๆ แต่น้องกับนักศึกษาอีกหลายชีวิตดันต้องมารับแรงอารมณ์ที่ไม่คงที่ของเธอแทน

คราวนี้ถึงคิดได้เธอก็ไม่สามารถเดินกลับไปสอนนักศึกษาต่อได้แล้ว ด้วยความที่กลัวเสียฟอร์ม จึงต้องบังคับเท้าของตัวเองให้เดินออกจากห้องสอนไปยังโต๊ะของตัวเองเพื่อสงบสติอารมณ์

มือขาวจับปากกาเคาะโต๊ะไปเรื่อยๆ หากใจกลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย พอเหลือบไปเห็นสร้อยข้อมือที่มักใส่ไว้ติดตัวจนกลายเป็นความเคยชินแทนนาฬิกาข้อมือเรือนโปรด ก็พลันนึกไปถึงเจ้าของของมัน คนที่เคยใส่ให้เธอกับมือ คนที่เคยทำให้เธอหวั่นไหว ใจเต้นไม่เป็นระส่ำ และยังเป็นคนเดียวกับที่เธอคิดว่าคงกำลังโกรธเธออยู่ที่ไหนสักแห่งเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถามเมื่อคืนแต่เธอไม่ยอมตอบใดๆ ออกไป


นฤมลเดินเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อน ทั้งที่ทั้งวันที่ผ่านมาเธอไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากนั่งส่งยิ้มให้ดอกเตอร์สมศักดิ์และอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่เดินเข้ามาทัก ก่อนจะรีบขอตัวกลับก่อนเวลาสองชั่วโมง อ้างว่าไม่สบาย ปวดหัวขอตัวกลับบ้านมานอนพัก หากความจริงแล้ว ไม่มีอาการใดๆ เลยนอกจากปวดที่ใจ

กระเป๋าที่ถืออยู่ถูกวางลงบนโต๊ะในห้องนั่งเล่นไม่เบานัก ก่อนเจ้าของจะเดินเขาไปกอดเอวคนเป็นแม่ที่นั่งอยู่บนโซฟาแน่นอย่างขอกำลังใจ พอคนเป็นแม่เห็นอย่างนั้นก็พอจะเดาออกได้ทันทีว่าลูกคงมีเรื่องหนักใจ พลันนึกถึงอาการของลูกสาวเมื่อเช้าตอนเธอพูดถึงกรกฎ คุณลำดวนโอบลูกสาวตอบ

เลี้ยงมากับมือ ทำไมจะไม่รู้ว่าลูกกำลังมีปัญหา

“มีอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมวันนี้กลับเร็ว ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนี่นา”

“แม่เคยรักใครมากๆ นอกจากพ่อไหมจ๊ะ” คนมีปัญหาเอ่ยถามแม่ได้อย่างสนิทใจ เพราะเลี้ยงมากับมือ เพราะดูแลลูกมาตลอด ความสนิทสนมภายในครอบครัวจึงทำให้ระหว่างบุพการีกับคนเป็นลูกไม่มีช่องว่างระหว่างกัน

คุณลำดวนก้มหน้ามองลูกสาวที่เงยหน้าถึงถามเธอตาแป๋ว

“เคยสิลูก” คำตอบนั้นทำให้นฤมลตาโต มองแม่อย่างนึกเหลือเชื่อ “ก่อนที่แม่จะเจอพ่อ คนจีบแม่เยอะแยะ เห็นแม่แบบนี้สมัยสาวๆ แม่สวยนะจะบอกให้”

เห็นแม่พูดแล้วยืดตัวด้วยความภูมิใจเล็กน้อย ทำให้คนเป็นลูกสาวอดหัวเราะออกมาไม่ได้

แม่ของเธอน่ารักแบบนี้เสมอ “คนหล่อๆ ก็มีนะ หล่อกว่าพ่อ รวยกว่าพ่อด้วย”

คุณลำดวนพูดไปหัวเราะไป เสียงเอิ๊กอ๊ากของแม่ทำให้คุณสนองโผล่หน้าเข้ามาจากประตูหลังบ้านขมวดคิ้ว สงสัยว่าภรรยาตลกอะไรนักหนา แต่พอเห็นลูกสาวก็ส่งยิ้มให้ ก่อนจะเดินกลับไปวางอุปกรณ์ดูแลกล้วยไม้ในมือ เพื่อเข้ามานั่งคุยกับลูกและภรรยา

“แล้วแม่ทำไมถึงเลือกพ่อล่ะจ๊ะ”

“พ่อเราน่ะเป็นคนปากเสีย ปากไม่ดี พูดไม่ค่อยคิดหรอก”

“อ้าวแม่” คนโดนนินทาเดินเข้ามาทันได้ยินประโยคที่ภรรยาพูดพอดี ส่งเสียงท้วงขุ่น แต่ก็กลับยิ้มออกในประโยคถัดมา

“แต่พ่อเค้าเป็นคนดี ขยันทำงาน แม่ขออะไรไป ถึงก่อนทำจะบ่นแต่สุดท้ายพ่อลูกก็ทำให้อยู่ดี”

คุณสนองที่ตอนแรกกำลังจะงอน หันกลับมามองภรรยาด้วยความรัก นึกย้อมไปถึงอดีตที่ไม่ผิดจากคำที่คุณลำดวนพูดเลยสักนิด คนเป็นลูกที่นั่งมองพ่อกับแม่อยู่แอบอมยิ้มเมื่อเห็นพ่อกับแม่ส่งตาหวานให้กัน

คนเป็นพ่อ ขยับตัวเขามานั่งที่โซฟาอีกตัวใกล้ๆ เอื้อมมือมาจับมือภรรยาแล้วพูด “ก่อนพ่อจีบแม่ แม่แอบรักหนุ่มข้างบ้านอยู่คนนึง ไอ้หมอนั่นมันน่าตาดี” ถึงประโยคนี้คุณสนองพบว่าตัวเองยังคงกัดฟันพูดราวกับว่าเรื่องมันเพิ่งผ่านมาสองสามวันและคนที่ท่านจับมือยังคงชอบผู้ชายคนนั้น “บ้านมันก็รวย หลังใหญ่ แม่เราเห็นก็เคลิ้ม”

ไม่รู้นฤมลคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘ฮึ’ ออกจากลำคอของพ่อ ทำเอาเธอต้องแอบยิ้มกับแม่อย่างอดใจไม่ไหว น้อยครั้งนักที่เธอจะเห็นพ่อในมุมนี้

“แล้วพ่อทำยังไงจ๊ะ”

“พ่อไม่กลัวมันหรอก” คราวนี้คุณสนองเปลี่ยนเป็นเสียงขึ้นจมูกบ้าง

“แม่น่ะแอบรักพี่เขาตั้งแต่ประถมเลยล่ะมั้ง ชอบไปขอให้ช่วยสอนการบ้านบ่อยๆ พี่เขาเรียนเก่ง ไหนจะเป็นนักกีฬาโรงเรียน เด็กผู้หญิงที่โรงเรียนชอบพี่เขากันทั้งนั้น”

นฤมลขมวดคิ้ว เธอชักผูกเรื่องราวเข้าหากันไม่ถูก “ถ้าดีขนาดนั้นทำไมไม่เลือกเขาล่ะจ๊ะ”

ฟังคำถามลูกสาวแล้ว คนเป็นแม่ก็ส่งยิ้มอ่อนโยนให้ ลูบผมลูกเบาๆ “คนเรานะมล บางทีก็ไม่สามารถเป็นได้หลายตำแหน่ง ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นพี่ชายที่ดี ดีมากเลยล่ะ แต่ก็ไม่ใช่คนรักที่ดีเสมอไปนะลูก ทุกคนต่างมีข้อเสีย พอแม่โตขึ้นความคิดที่มีมากขึ้นตามประสบการณ์สอนให้แม่รู้ว่าใครเหมาะกับแม่มากที่สุด”

ยิ้มหวานที่ส่งให้กันและกันของพ่อกับแม่ ทำให้เธอต้องรีบถอยฉากออกมา ก่อนจะถูกมดรุมกัด เธอเห็นความรักยังคงเวียนอยู่ในสายตาของคนทั้งคู่ แววตาของพ่อและแม่ทำให้เธอนึกอิจฉาว่าจะมีสักกี่คู่บนโลกใบนี้ที่สามารถรักกันยาวนานได้ขนาดนี้

อันที่จริงแล้วคำตอบของแม่ก็ทำให้เธอฉุกคิดได้เล็กน้อยแต่หากยังไม่ทั้งหมด หลักความจริงต่างๆ เกี่ยวกับคนที่ยังอยู่และคนที่จากไปมันมีอยู่ในหัวเธอ และวนอยู่เกือบตลอดเวลา แต่ถ้าเธอไม่ใช่คนชอบหลอกตัวเองแบบนี้คงดี...

ความกลัวผิดหวังเป็นสิ่งที่ติดตัวเธอมาตั้งแต่เด็กๆ ความผิดหวังทำให้ทั้งเศร้าและเจ็บปวด จนเธอไม่อยากเดินเข้าไปหามัน ดังนั้นเธอจึงอยากรักษาระยะห่างเช่นนี้ไว้... ระยะห่างที่คอยจะร่นเข้าอยู่ตลอดเวลาเมื่อเธอเผลอ


ตลอดระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้เห็นหน้า ทำให้นฤมลชักหวั่นใจ แม้แต่เบอร์โทรศัพท์ของเขาที่เธอบันทึกไว้ก็ยังไม่มีโชว์ขึ้นมาว่ามีสายโทรเข้า หรือข้อความสักหนึ่งข้อความ เมื่อไม่มีรอยยิ้มของคนที่รอคอย เธอคงหลอกตัวเองไม่ได้อีกว่าไม่รู้สึกเหงาใดๆ ในใจเธอตอนนี้รู้สึกโหวงๆ อย่างบอกไม่ถูก จากที่ไม่เคยสนใจใครแต่ตอนนี้กลับรู้สึกเป็นห่วงคนที่ไม่ได้เจอหน้ามาเป็นอาทิตย์ว่าจะเกิดอุบัติเหตุอะไรหรือเปล่า

การสอนของเธอยังคงเป็นไปตามปกติ แต่หากนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถดึงเธอออกจากเรื่องที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิด แม้จะแบ่งสมาธิได้ในระดับหนึ่ง แต่พอว่างเมื่อไหร่... เธอก็คิดถึงเขาอยู่ดี

หญิงสาวเก็บรวบรวมหนังสือที่วางกองอยู่บนโต๊ะให้มันวางตั้งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะหันไปเก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าสะพายไหล่ใบเล็กเตรียมพร้อมกลับบ้าน หากแต่ไม่ทันระวังสร้อยข้อมือเส้นโปรดดันไปเกี่ยวเข้ากับตะปูที่ยื่นออกมาจากกรอบประตูจนมันขาดตกลงบนพื้น อุบัติเหตุนี้ทำให้เธออารมณ์เสียอย่างที่สุด เพราะนี่เป็นของชิ้นแรกและเธอไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นชิ้นเดียวที่ได้จากกรกฎหรือเปล่า

หญิงสาวก้มลงเก็บสร้อยข้อมือมาสำรวจรอยขาดเล็กน้อยก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าไว้เพื่อหาโอกาสเอาไปซ่อมภายหลัง แต่หากยังเดินไม่ถึงรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน หญิงสาวมองชื่อที่โชว์นั้นด้วยใจเต้นแรงก่อนจะปรามให้มันสงบลงพร้อมรับสาย

เสียงที่ส่งผ่านโทรศัพท์มาจากคนอีกฝั่งสายยิ่งทำให้เธอใจเต้นแรงมากขึ้น มันไม่ได้มาจากความตื่นเต้น แต่กลับมาจากความตื่นตะหนก ปลายสายที่พูดไม่ใช่เจ้าของโทรศัพท์อย่างกรกฎ แต่กลับเป็นธนิตาน้องสาวของเขา ลูกศิษย์เธอแจ้งข่าวด้วยเสียงสั่นเครือทำเอาความตกใจของเธอเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

“อาจารย์คะ ระ รถพี่ซีชนกับรถกับรถกระบะค่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู...”

หลังจากนั้นเธอไม่สามารถรับรู้ได้อีกว่าธนิตาพูดอะไรต่อ ขาที่ใช้ยืนอยู่ไร้เรี่ยวแรงแทบทรุดลงไปกองอยู่ตรงนั้นหากไม่ได้รถที่จอดอยู่ใกล้ๆ คนรับรู้ข่าวร้ายพยายามหาหลักยึดให้กับตัวเองเพื่อให้ตัวเองยังคงยืนได้โดยไม่ล้มลงไปกับพื้นเสียก่อน น้ำตาที่เหือดแห้งไปนานไหลลงมาอีกครั้ง นฤมลจับโทรศัพท์ตัวเองแน่น พยายามไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงน้ำตาและเสียงสะอื้นของเธอ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถามถึงโรงพยาบาลที่กรกฎอยู่ ชื่อโรงพยาบาลก้องอยู่ในหูแต่หากตอนนี้สติเธอไม่พร้อมที่จะขับรถ


ดอกเตอร์สมศักดิ์มองร่างของหญิงสาวที่ตนเองพึงใจวิ่งไปตามทางที่ไปห้องฉุกเฉิน เธอไม่หันมองเขาสักนิด มีเพียงแค่คำขอบคุณที่เขาเป็นคนขับรถพาเธอมายังโรงพยาบาลแห่งนี้

ตลอดทางนฤมลไม่พูดกับเขาสักคำ นั่งนิ่งมองไปข้างหน้า เพียงหยดน้ำตาเท่านั้นที่แสดงถึงอาการทั้งหมดของเธอ เสียงสะอึกสะอื้นที่ได้ยิน เขาอยากรู้เหลือเกินว่าอะไรหรือใครทำให้เธอร้องไห้หนักได้ขนาดนี้ เขาหวังอยู่ลึกๆ ว่าคงไม่ใช่คนในครอบครัวของเธอ

หญิงสาวเดินแกมวิ่งไปทางห้องฉุกเฉินอย่างไม่คิดจะหันมองหรือสนใจใคร สิ่งที่เธอสนใจมากที่สุดคือคนที่ตอนนี้นอนนิ่งอยู่ในนั้น เธอเห็นธนิตาเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง ความร้อนใจที่มียิ่งร้อนขึ้นมาอีก นึกไปถึงเรื่องในอดีตที่คล้ายกันนี้ เธอหวัง... หวังว่าเรื่องคงไม่จบแบบเดิม กรกฎต้องลืมตาตื่นมาฟังเธอพูดทุกอย่างที่อยู่ในหัวใจ!


สองชีวิตที่นั่งอยู่ภายในรถไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงความเงียบงันกระจายตัวอยู่ภายในรถและเสียงฝนทีตกกระทบกระจกอยู่ภายนอกเท่านั้น นฤมลหันมองวิวภายนอกตัวรถทั้งที่ไม่เห็นอะไร ส่วนอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับเธอไม่รู้ ไม่เห็น ไม่อยากสนใจ!

ห้านาทีก่อนปีเตอร์ไปรับเธอมาจากหอพัก บังคับเธอจนเธอต้องแต่งตัวออกมากับเขาทั้งที่เวลาในตอนนั้นก็ปาเข้าไปเกือบล่วงเข้าวันใหม่ แม้การกระทำจะน่าโมโหอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่เคยโมโหมันได้จริงๆ จังๆ สักที เป็นเพราะความใจอ่อนที่มีให้ปีเตอร์มาตลอด จนเธอไม่รู้ว่าเพราะเป็นแบบนี้หรือเปล่า เป็นเพราะเธอยอมทำตามคำขอร้องของเขาไม่เคยขัดแย้ง ทำให้ปีเตอร์มักรบเร้าเธอเสมอ เหตุการณ์นี้ก็เช่นกัน

‘แกมีเรื่องอะไรก็พูดมาสิ นั่งเงียบอยู่ได้’ จนแล้วจนรอดก็ต้องเป็นเธอที่เป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน เพราะถึงแม้ปีเตอร์จะเป็นคนอยากพูดกับเธอ แต่พอนั่งรออยู่สักหนึ่งแล้วไม่พูดอะไรเธอจึงต้องเป็นฝ่ายพูดเอง

‘แกชอบฉันเหรอวะ’ คำถามสั้นๆ แต่มันก็พอที่จะทำให้เธอชะงักค้างเบิกตาโต

‘ใครบอกแก’

‘ฉันรู้แล้วกันน่า’

‘ฉันถามว่าใครบอกแก ไม่ได้ถามว่าแกรู้หรือไม่รู้ ตอบมา’

‘ฉัน... เคยได้ยินแกพูดกับไอ้เม’

‘นี่แกแอบฟังเหรอ!’ น้ำเสียงที่เคยพยายามจะกดให้ใจเย็น หากแต่คราวนี้เธอกลับระเบิดออกมาสุดเสียง เธอไม่ได้คุยกับเมทินีเพียงนานๆ ครั้ง แต่เธอคุยกันเป็นประจำ นั่นพอจับสาเหตุได้ว่าทำไมจู่ๆ คนที่ถามเธอถึงรู้เองได้โดยที่ไม่มีใครบอก

‘แกรู้มานานเท่าไหร่แล้ว’

‘ก็ นานแล้ว’ เขาอ้อมแอ้มตอบ หันมองสายฝนภายด้านนอกที่ยังคงตกหนักอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด พยายามหลบสายตาน่ากลัวของเพื่อน ซึ่งเรื่องนี้เขาก็ผิดอยู่ส่วนหนึ่งที่ไม่ยอมแสดงท่าทีออกห่างอย่างชัดเจนเพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน

‘แต่แกก็ไม่ยอมบอกฉัน แกรู้แต่แกก็ยังทำตัวเหมือนเดิม’ เธอพูดยิ้มเยาะตัวเองในความมืด ‘อ้อ ความจริงฉันคงผิดเอง ผิดที่ชอบแก ผิดที่ไม่ยอมตัดใจจากแกไม่ว่าแกจะมีใครสักกี่คน ฉันก็ยังเป็นคนโง่ที่อยู่ข้างแก ฉันผิดเองที่คิดเข้าข้างตัวเองมาตลอด คิดว่าคงมีสักวันที่แกจะหันมามองฉัน ฉันผิดเองพีท ฉันผิดเอง’

‘มล...’ ตอนนี้ปีเตอร์ช็อคไปแล้ว เขาหันมองหน้าคนที่พูดไม่หยุดตาไม่กระพริบ นฤมลร้องไห้ เขากำลังทำให้เพื่อนเขาร้องไห้ นฤมลเป็น ‘เพื่อน’ ที่เขารักมากที่สุดคนหนึ่ง เพื่อนที่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้ แต่เขาคงคิดไปเองว่าเพื่อนสนิทเขาคนนี้ไม่มีทางหวั่นไหวกับเขาแน่นอน

และเห็นได้ชัดว่าเขาคิดผิด

‘ฉันขอโทษ ฉัน...’

‘ช่างมันเถอะ’ นฤมลเอ่ยปัดเสียงเครือ พยายามจะปลดล็อคที่ประตูเพื่อเดินลงไป จากตรงนี้ที่ปีเตอร์ขับมาจอดไม่ห่างจากหอเธอเท่าไหร่ แค่ตากฝนแค่นี้เธอคงไม่ตายง่ายๆ หรอก

‘แกจะไปไหน’

‘มันเรื่องของฉัน แกจะไปที่ไหนก็ไป’

ใครจะรู้ว่านั่นคือประโยคสุดท้ายที่เธอได้พูดกับปีเตอร์ พอเธอปิดประตูรถแล้วหันหลังเดินกลับไปทางทิศทางของหอพักเธอ รถของปีเตอร์ก็กระชากออกไปอย่างเร็วจนเธอตกใจ แต่หากความโกรธมีมากกว่า เธอจึงไม่อยากสนใจอะไรมากนัก เพราะปีเตอร์ก็ไม่เคยขับรถช้าอยู่แล้ว

เดินมาตามทางแต่ยังไม่ทันถึงหอพัก โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังเรียกความสนใจ หญิงสาวหวังอยู่ลึกๆ ว่าอาจเป็นปีเตอร์ที่โทรหาถามว่าเธอถึงหอพักหรือยัง แต่ชื่อที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอไม่ใช่เขา... กลายเป็ศตวรรษที่โทรมา

ข่าวร้ายที่ได้รับจากทางโทรศัพท์พร้อมกับฝนที่ยังตกอย่างต่อเนื่อง ทำเอานฤมลเข่าทรุดอยู่ตรงนั้น โทรศัพท์มือถือที่ตอนแรกถืออยู่ดีๆ กลับร่วงลงไปในแอ่งน้ำอย่างที่ไม่ได้รับความสนใจ ตอนนี้หญิงสาวรู้สึกเหมือนใจจะขาด ทั้งที่เมื่อครู่ยังคุยกันอยู่ ยังทะเลาะกันอยู่ แต่ตอนนี้ศตวรรษกลับโทรมาบอกว่า ปีเตอร์รถชนกับรถสิบล้อที่ฝ่าไฟแดงออกมา ด้วยความที่ชายหนุ่มขับเร็วอยู่แล้ว และรถที่ฝ่าไฟแดงคงไม่มีคันไหนสามารถชะลอให้จอดได้ เธอไม่อยากนึกภาพที่จะตามมาหลังจากนั้น

ร่างที่เปียกปอนไปด้วยฝนวาดแขนกอดตัวเอง ตอนนี้ไม่รู้ว่าบนหน้าของเธอเป็นน้ำตาหรือสายฝนกันแน่ ทั้งสองอย่างกำลังปนเปกันอยู่บนนั้น แต่เธอไม่มีแก่ใจจะลูบหน้าหรือปาดมันทิ้งไปจากหน้าตัวเอง

สิ่งที่แย่กว่านั้นคือเมื่อเธอไปถึงที่โรงพยาบาลหลังจากศวตวรรษมารับเธอตรงที่เธอนั่งร้องไห้อยู่ แพทย์ที่เป็นคนรับเคสและดูแลร่างบอบช้ำของปีเตอร์เดินออกมาด้วยหน้าตาที่ไม่สู้ดีนัก คำที่หมอคนนั้นพูดออกมาก้องอยู่ในหูเธอไม่รู้นานเท่าไหร่

‘เสียใจด้วยครับ คนไข้บอบช้ำและเสียเลือดมากเกินไป เขาเสียชีวิตแล้วครับ’

เธอไม่รู้เลยว่าเสียงที่แผดออกมาลั่นโรงพยาบาลดังมากแค่ไหน รู้แต่ว่าสิ่งนี้อาจสามารถบรรเทาความทุกข์ความเสียใจลงได้บ้าง เธอไม่รับรู้ด้วยซ้ำว่าใครเข้ามากอดเธอไว้บ้าง ทุกคนรู้ว่าเธอเสียใจมากแค่ไหน และเธอก็รู้ว่าทุกคนเสียใจไม่แพ้กัน ข่าวการสูญเสียนั้นทำให้เธอตัดสินใจได้ แทนที่จะเตร็ดเตร่หางานหลังจากเรียนจบมาพักใหญ่ เธอกลับหนีไปเรียนต่อต่างประเทศ หนีความจริงที่เคยเกิดขึ้น หนีความรู้สึกตัวเอง หนีทุกๆ อย่างที่คุ้นเคย เผื่อสักวัน... สักวันที่เธอจะลืมปีเตอร์ออกจากหัวใจ


เหตุการณ์มันคล้ายกันเกินไป นฤมลคิดด้วยใจสั่นรัว ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเธอสั่นน้อยๆ ด้วยเช่นกัน หญิงสาวกลัวเหลือเกิน กลัวไม่มีโอกาสเห็นรอยยิ้มอบอุ่นนั้นอีก เสียงหัวเราะทุ้มต่ำที่ชอบพูดให้เธอหัวเราะตามไปด้วย และที่สำคัญจะไม่มีน้ำเสียงอ่อนหวานที่คอยเรียก ‘หนูมล’ จากเขาอีกแล้ว

ไม่สิ! เขาต้องปลอดภัย กรกฎต้องปลอดภัย ปลอดภัยมาฟังเธอเล่าทุกอย่างที่เขาอยากรู้ เธอสัญญาไม่ว่าเขาอยากรู้อะไร เธอจะบอกเขาทุกอย่าง จะไม่มีเรื่องปิดบังระหว่างเขาและเธออีกแล้ว ด้วยเกียรติทั้งหมดที่มีของผู้หญิงอย่างเธอ!

หญิงสาวเดินสวดมนต์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ความคิดในสมองตีกันยุ่ง เธอไม่ยอมนั่งลงที่เก้าอี้ แม้ว่าธนิตาจะขอร้องมากแค่ไหน หากเธอไม่สนใจ ลืมไปด้วยซ้ำว่าคนที่มาส่งเธอเธอมาหายไปนานเท่าไหร่แล้ว

ดอกเตอร์สมศักดิ์ยืนมองนฤมลอยู่ไกลๆ เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าราวกับวิ่งมาไกลแสนไกล คำตอบทั้งหมดอยู่ในคืนนี้ ความหวังที่เคยคิดว่ามีอยู่บ้างแม้น้อยนิด แต่ตอนนี้กลับปลิวหายไปหมดแล้ว สิ่งที่ดึงความสนใจของนฤมลได้อย่างเดียวตอนนี้คือคนที่อยู่หลังบานประตูสีขาวที่ปิดสนิทนั้น ร่างท้วมเดินหันหลังจากไปอย่างเงียบๆ ไม่มีแม้แต่คำลา คงอีกพักใหญ่กว่านฤมลจะรู้ตัวว่าเขาหายไป เวลานี้ขอเขากลับไปทำใจเงียบๆ คนเดียวซักพัก พอเจอหน้าหญิงสาวอีกทีเขาคิดว่าเขาคงสามารถยิ้มให้กับเธอได้อย่างมิตรที่หวังดี

================================================



มิณทิมา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2555, 21:30:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2555, 21:30:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1342





<< ตอนที่ 9   ตอนที่ 11 (ตอนจบ) >>
มิณทิมา 27 ก.ย. 2555, 21:35:07 น.
ตอบเม้นท์จ้า :)

คุณ mhengjhy - เป็นแม่ยกนายกรกฎเต็มที่เลยนะคะเนี่ย ฮาาาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account