อะรูซะตี...เจ้าสาวของผม (จบแล้วค่ะ)
เป็นเรื่องราวของคนที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน
แล้วต้องมาแต่งงานกัน...

เมื่่อต้อง "แต่งก่อนจีบ"...มิใช่ "จีบก่อนแต่ง"
อย่างเรื่องก่อนๆที่โยเคยเขียนมา...


...ดานีส...นายแพทย์หนุ่มรูปงาม ลูกผสมหลายเชื้อชาติ
ผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ และความสามารถ

กับ

...นาดา...หรือน้ำค้าง...หญิงสาวที่แสนธรรมดา ผู้ที่ดานีสไม่เคยเห็นหน้า
แม้กระทั่งวันแต่งงาน เขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าเจ้าสาวตัวเอง...

จวบจนต้องพาเธอข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ดินแดนอาทิตย์อุทัย

ที่นั่น...ทำให้น้ำค้างแข็งในฤดูหนาวต้องละลายเมื่อเจอกับ
แสงแห่งรุ่งอรุณแรก...


...'อะรูซะดี'...หญิงสาวท่องจำประโยคภาษาอาหรับ
ที่เขียนอยู่บนกล่องของขวัญวันแต่งงานที่เจ้าบ่าวมอบให้กับเธอ
โดยไม่อาจรู้ความหมายของมันเลย...

...เขาแต่งงานกับเธอ เพียงเพราะแม่ของเธอขู่เขา...

...ส่วนเธอแต่งงานกับเขา เพียงเพราะ...แม่ขอร้อง....

...เธอคงเป็นได้เพียงแค่เจ้าสาวของเขา...เท่านั้นสินะ...
...เป็นได้แค่เจ้าสาว...


Tags: แนวแต่งก่อนจีบ ดานีส นาดา น้ำค้าง โสภณพสุธ

ตอน: บทนำ

…ไม่เคยเรียกร้อง แต่ว่าพร้อมที่จะให้…

ประโยคนี้ เป็นประโยคที่หญิงสาวบอกกับตัวเองเสมอมา
พร้อมทั้งปฏิบัติเช่นนั้นมาจนทุกวันนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง…

ดุจน้ำค้างเยือกเย็นฉ่ำ ที่แสนงดงาม
และนุ่มนวล อ่อนโยนในยามค่ำคืน
หากต้องละลายหายไปกับแสงรุ่งอรุณ…

ภาพความทรงจำเกี่ยวกับ
น้ำค้างแข็งในแดนไทยสู่แดนหิมะ
แห่งแดนอาทิตย์อุทัย
จึงงดงามมาจนทุกวันนี้มิรู้เลือน…




^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^^


“เอี๊ยดดดดด…โครม!!!”

มิต้องสงสัยถึงเสียงดังที่สายตาหลายคู่หันไปจับจ้อง โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่กำลังเกิดขึ้นกลางท้องถนนสายเอเชีย
ในเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของสยามประเทศ…พร้อมเสียงกรีดร้อง
กลิ่นคาวเลือด
และภาพบุรุษกับสตรีที่นอนจมกองเลือดพร้อมด้วยรถมอเตอร์ไซค์กลางเก่า
กลางใหม่ที่กระเด็นกระดอน
ไปกองอยู่ตรงเกาะกลางถนน

เจ้าของรถยนต์สีดำคันหรูเปิดประตู
ออกมาดูด้วยแววตาตกใจ
วูบเดียวแววตานั้นก็เปลี่ยนไป
ร่างของเขานั่งลงจับชีพจร
ของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย
ก่อนจะกดโทรศัพท์เรียกรถพยาบาล

ไม่นาน บุรุษและสตรีผู้เคราะห์ร้าย
ก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล
โดยที่เจ้าของรถคันหรูคู่กรณีนั่งไปด้วย…




“หมอคะ…พ่อกับแม่ของฉันเป็นไงบ้างคะหมอ…”

หญิงสาวที่แต่งกายคลุมศีรษะ
และคลุมผ้าปิดหน้ามิดชิด
เห็นเพียงลูกกะตาถามคุณหมอ
ที่มีหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูก
หลังจากห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก
ด้วยแววตาร้อนรนกระวนกระวาย

หมอเจ้าของไข้มองหญิงสาวตรงหน้านิ่งก่อนจะพูดออกไป
ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งนิดๆว่า…

“แม่ของคุณปลอดภัยพ้นขีดอันตรายแล้วครับ…”หญิงสาวยิ้ม
โดยที่คนเป็นหมอพอจะอ่านออกทางสายตาของเธอ

“แล้วพ่อของฉันล่ะคะ…”

หญิงสาวไม่ลืมที่จะถามถึงบิดา
แววตาที่จดจ้องเอาคำตอบนั้น
ทำให้คนตอบถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
ที่แสนฝืด

เขาพยายามสุดความสามารถที่เขามีแล้ว
แต่ไม่มีสิ่งใดหรือเครื่องมือชนิดใด
จะฉุดรั้งความตายได้

…มีอยู่สองโรคที่หมออย่างเขา
ไม่อาจหายามารักษาได้
นั่นคือ โรคชรา กับโรคตาย

สิ่งนี้คือ สัจธรรม

“พ่อของคุณ…ท่านเสียแล้วครับ…
ผม...ขอโทษ…”

คำขอโทษนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น…
และก็มิได้ทำให้ความผิดของคนที่ขับรถชนพ่อและแม่ของเธอพ้นผิดหรอก

หญิงสาวกัดฟัน กำหมัดแน่น
หากเธอไม่ดึงสติเอาไว้ ขาเธอคงล้มพับ
สติคงหลุดลอยไปพร้อมกับคำพูดเมื่อครู่แล้ว

“ฉันเชื่อว่าคุณหมอทำดีที่สุดแล้ว…
มันไม่ใช่ความผิดหมอ
แต่เป็นความผิดของเจ้าของรถหรูๆ
คันนั้น เขามีสิทธิ์อะไรมาพรากพ่อ
ไปจากฉัน…เขามันฆาตกร!”

คำพูดนั้นทำให้แววตาของหมอเจ้าของไข้ถึงกับวูบไหวชั่วขณะ

“ผมจะรับผิดชอบกับเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น…ผมสัญญา”

พูดจบร่างของหมอเจ้าของไข้ก็เดินเลี่ยงไป ทิ้งให้หญิงสาวยืนงง
และมองตามร่างนั้นด้วยความไม่เข้าใจ

…ทำไมคุณหมอเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังคนนั้นต้องรับผิดชอบด้วย…




ไม่นานหลังจากนั้น เธอจึงเข้าใจคำพูดของคุณหมอเจ้าของไข้ในวันนั้น…
เพราะเจ้าของรถคันหรูคันนั้นก็คือ หมอคนนั้นนั่นเอง!!!

ศพบิดาของเธอถูกนำกลับไปทำพิธีกรรมทางศาสนาและฝังยังสุสานเป็นที่เรียบร้อย
โดยที่คนทำผิดยังคงเดินไปไหนมาไหนได้สะดวก…

ถึงบิดาของเธอจะเป็นฝ่ายผิดที่ขับรถโดยไม่ระวังและไม่สวมหมวกกันน็อค
และรถก็ไม่ได้ทำประกัน…เพราะมัน
คือ รถเก่าๆใกล้เคียงกับเศษเหล็ก
ที่ประกันที่ไหนเขาจะกล้า
มารับประกันได้อีก

แต่สภาพตอนนั้น ต่อให้พ่อของเธอสวมหมวกกันน็อค
หรือรถทำประกันมาแล้วก็ตาม รถยนต์ที่ขับมาด้วยความเร็วสูงปะทะเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์
ยังไงๆรถเล็กก็มีแต่เสียเปรียบอยู่วันยันค่ำ…

และการที่เขาขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนดล่ะ ทำไมไม่มีใครพูดถึง…
มีแต่คนต่อว่าพ่อของเธอ

ใช่สิ…คนจนใครที่ไหนเขาอยากจะเข้าข้าง…

นั่นเป็นเพียงแค่ความคิดภายในจิตใจของหญิงสาวที่นั่งสงบนิ่งมองมารดาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น
หมอที่มารับหน้าที่ต่อจากหมอคนนั้นบอกเธอว่า มารดาของเธอน่าจะฟื้นภายในสองสามวันนี้

ถ้าแม่ฟื้นขึ้นมาแล้วรู้ว่าพ่อไม่อยู่แล้ว ไม่รู้แม่จะเสียใจแค่ไหน
แล้วใครจะเป็นคนบอกแม่ ถ้าไม่ใช่เธอ…

“แม่ฟื้นแล้วพี่ค้าง…”

เสียงน้องชายวัยสิบห้าเศษปลุกเธอจากความคิดกังวลในจิตใจ

…ใครจะรู้ว่าการที่พ่อเธอไม่อยู่แล้ว
ก็เท่ากับเสาหลักของบ้านพังลงตรงหน้า
มารดาเธอเป็นแม่บ้าน พ่อไม่เคยให้แม่ออกไปทำงานนอกบ้าน
ท่านบอกว่า งานนอกบ้านเป็นหน้าที่ของท่าน…ซึ่งเธอรักและเคารพท่านในเรื่องนี้ที่สุด
เพราะพ่อเป็นคนขยัน และแม่เองก็ทุ่มเททำงานบ้านและเลี้ยงลูกมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง…

ส่วนเธอมีความรู้แค่ม.สาม จบมาก็ทำงานรับจ้างซักรีดเสื้อผ้าให้กับร้านซักรีด
ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในครอบครัว…

อยากเรียนต่อมาตลอดและตั้งใจว่าจะเก็บเงินเอาไว้ส่งตัวเองเรียน
แต่ภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวไม่ค่อยดีนัก เงินเล็กๆน้อยๆที่ได้รับมาในแต่ละเดือนรวมกับของพ่อจึงหมดไปกับน้องชายและน้องสาวฝาแฝดตัวเล็ก
ที่เพิ่งจะหกขวบ
กำลังกินกำลังโต กำลังเรียนพอดี

เมื่อก่อนจากเราห้าคน ตอนนี้เหลือเราแค่สี่คนแม่ลูกแล้ว พี่สาวคนโตอย่างเธอ
คงมิอาจปฏิเสธหน้าที่ตรงหน้าต่อจากพ่อได้

…ความอดทนเท่านั้นที่จะทำให้เธอผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้…


“พ่อล่ะ…น้ำค้าง…”

คำถามแรกที่แม่ถามเธอ…ทำให้น้ำตาที่แห้งเหือดไปแล้วของเธอ
เริ่มไหลหลั่งออกมาอีกครั้ง…

“ว่าไงน้ำค้าง…พ่อล่ะ…พ่อเราอยู่ไหน…แล้วนี่มันวันที่เท่าไหร่แล้ว”

เมื่อไม่ได้คำตอบจากลูกสาว หญิงกลางวัยจึงหันไปทางลูกชาย
ทว่า ลูกชายของเธอกลับก้มหน้านิ่งซ่อนน้ำตาก่อนจะลุกแล้ววิ่งออกไปร้องไห้ด้านนอก…

หญิงสาวผู้เป็นลูกที่มีผ้าคลุมศีรษะและผ้าปิดหน้ามิดชิดค่อยๆกล่าวกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า

“พ่อกลับไปสู่ความเมตตาของอัลลอฮ์แล้วค่ะ…พ่อจะไม่เหนื่อยกับโลกนี้อีกต่อไปแล้ว
หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยกับการต่อสู้และอดทนต่อการทำดีมานาน…
น้ำค้างเชื่อว่าพ่อคงหลับสบายแล้วพบเจอแต่สิ่งสวยงาม…แม่อย่าเสียใจเลยนะคะ…
ไม่มีชีวิตใดจะหลุดพ้นจากการได้ลิ้มรสความตายและการพลัดพราก…
ต่อไปนี้น้ำค้างจะดูแลแม่ดูแลน้องๆแทนพ่อเอง…เราจะดูแลกันและกัน…”

หญิงสาวนัยน์ตาไหวระริกพูดปลอบใจมารดาไปด้วยปลอบใจตัวเองไปด้วย
ขณะมองมารดาที่กำลังนอนมองเพดานห้องนิ่ง ปราศจากน้ำตาและเสียงคร่ำครวญใดๆ…

ลักษณะท่าทางนั้นทำให้คนที่กำลังร้องไห้และปลอบท่านอยู่อย่างเธอถึงกับรีบปาดน้ำตา
เพราะรู้ดีว่าการร้องไห้คร่ำครวญเนื่องจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปนั้น
มิใช่สิ่งที่ควรกระทำเลย…

การตายคือกำหนดของพระเจ้า
เราต้องยอมรับและยอมจำนนด้วยหัวใจ
และด้วยศรัทธาว่าทุกชีวิตจะต้องกลับคืนไปสู่พระเจ้า…





“สรุปว่าเธอจะให้ฉันชดใช้ยังไง เธอถึงจะพอใจ…เพราะค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง
ลูกชายของฉันก็เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด การที่เธอได้นอนในห้องพิเศษวีไอพี
ในฐานะคนไข้พิเศษของอาจารย์หมอผ่าตัดมือดีจากญี่ปุ่น
ก็เป็นหนึ่งในการรับผิดชอบของลูกชายของฉัน…”

น้ำเสียงติดหมิ่นๆนั้นทำให้คนฟังที่พยายามอดทนฟังมานาน
ถึงกับข่มอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่

“คุก…”คำตอบนั้นทำให้คนฟังถึงกับยิ้มหยัน

“เธอคิดว่าลูกชายคนเดียวของฉันจะไปอยู่ในคุกน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ
เพราะฉันไม่มีวันให้เขาเข้าไปอยู่ในนั้นแน่นอน เธอก็น่าจะรู้ว่าคนธรรมดาอย่างเธอน่ะ
สู้ไม่ไหวหรอก แค่ลำพังฟ้องร้องและสู้กันในศาลเธอก็คงไม่มีเงินจะจ้างทนายฝีมือดี
มาต่อกรกับทนายฝ่ายฉันได้แล้ว ความถูกต้องในโลกนี้น่ะซื้อได้ด้วยเงินเสมอแหล่ะ
แค่มีเงินก็ทำอะไรได้มากมายกว่าที่เธอคิด…ความผิดของลูกชายฉันเท่าฝุ่นผง
เมื่อเทียบกับเงินที่ฉันมี…”

สองแม่ลูกมองคู่กรณีที่อยู่ในชุดสวยราคาแพงตรงหน้าด้วยแววตาเบื่อหน่าย
รูปกายเสื้อผ้ามิได้ช่วยให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งมีรัศมีสวยงามจากข้างในได้เลย
หากจิตใจของบุคคลนั้นยังคงใฝ่ต่ำ
และดูถูกเหยียบย่ำผู้ที่ด้อยกว่าเช่นนี้…

มนุษย์ถูกสร้างมาให้ต่างจากสัตว์ก็ตรงที่มนุษย์ถูกปลูกจิตสำนึกอยู่เสมอว่า
คนที่ดีนั้นจะไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า…เพราะธรรมชาติของสัตว์โลก
ตัวที่อยู่รอดคือตัวที่แข็งแรงกว่าเสมอ ตัวใดที่อ่อนแอก็จะถูกฆ่าเป็นอาหาร
นั่นคือห่วงโซ่ของสัตว์มิใช่ของมนุษย์…

เพราะมนุษย์ถูกสร้างจิตใจ
มาให้มีมโนธรรมและสำนึก ให้รู้ผิดชอบชั่วดี มีผิดมีบาป…

“อย่ามามองฉันด้วยสายตาแบบนั้นนะ…”เสียงนั้นทรงพลังและเกรี้ยวกราด

“คุณบอกว่าคุณร่ำรวยมีเงินทองซื้อความผิดของลูกชายของคุณได้
แต่ชื่อเสียงของคุณและการงานของลูกชายคุณล่ะ มันซื้อได้ด้วยเงินรึเปล่า
ฉันว่าคนที่บูชาเงินเหมือนกันกับคุณ เขาคงยอมรับหมอที่กลายเป็นฆาตกรฆ่าคน
ตามหน้าหนังสือพิมพ์ไม่ได้หรอก…แล้วคงจะไม่มีคนไข้ที่ไหน
เขาอยากจะมารับการรักษาจากลูกชายคุณอีกต่อไป
ถ้าเขารู้ว่าลูกชายคุณเป็นฆาตกรฆ่าคนตายแถมยังใช้เงินฟาดหัวคนอีก

และคุณไม่ต้องคิดที่จะปิดปากนักหนังสือพิมพ์ เพราะฉันมีญาติทำงานด้านนี้
ที่พร้อมจะแฉพฤติกรรมของพวกคุณ…

แค่สิ่งที่พวกคุณชดเชยมาทั้งหมด มันก็ไม่อาจชดใช้ชีวิตหนึ่งที่สูญสิ้นไปได้หรอก…
ชีวิตเขามีค่ากว่าเงินที่พวกคุณมี…รู้เอาไว้ด้วย”

คำพูดที่ไร้ความหวาดกลัวต่อสิ่งใดของมารดาทำให้คนเป็นลูกสาว
ถึงกับหันไปมองคนฟังที่ยืนสั่นงันงก แววตาแดงก่ำด้วยความโกรธนิ่ง…

“ถ้าฉันให้เงินคุณร้อยล้านเพื่อแลกกับชีวิตของลูกชายคนเดียวที่คุณมี คุณจะยอมมั้ยล่ะ…”
อีกฝ่ายได้แต่ยืนกัดฟันนิ่ง…

“ชีวิตใครก็มีค่าด้วยกันทั้งนั้น…อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะไร้ค่าเพียงเพราะไม่ใช่คนรวยหรือคนดัง…
หรือเป็นคนที่คุณไม่เคยรักหรือผูกพันธ์…”
คนที่นอนป่วยย้อนให้อีกฝ่ายได้คิดบ้าง…

“แล้ว…เธอจะเอายังไงกับฉัน…”เสียงที่เล็ดรอดผ่านไรฟันนั้นทำให้คนฟัง
ถึงกับอมยิ้มที่ได้มีโอกาสอยู่เหนือศัตรูผู้หยิ่งผยอง

“ไปบอกลูกชายที่แสนขี้ขลาดไม่กล้าสู้หน้ากับความผิดของตัวเอง
โดยส่งแม่มาเจรจาแทนว่า…ให้มาหาฉันสิ…”

คนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงยื่นคำขาดโดยไม่กลัวว่าจะถูกฉีดยาพิษเข้าเส้น
อย่างที่ลูกชายของตนเคยเตือนไว้…เพราะเธอเชื่ออยู่ลึกๆว่าหมอคนนั้นที่ชนเธอ
และสามีของเธอเป็นคนดีพอ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พาเธอและสามีมารับการรักษา
ได้ทันท่วงทีด้วยมือของเขาเอง…เพราะถ้าเป็นคนอื่น อาจจะชนแล้วหนี
และเธออาจจะไม่มีชีวิตอยู่ก็ได้ ถ้าหมอคนนั้นไม่มีมโนธรรม…

แต่เธอเกลียดคนที่บูชาเงินตรายิ่งกว่าชีวิตคนอื่นแบบนี้ที่สุด…
ศาสนาเดียวกันกับเธอแท้ๆ แต่บุคคลตรงหน้าเธอกลับไม่เคยสำเหนียกถึงความตาย
ที่อาจจะย่างกรายมาเยือนตัวเองได้ทุกเมื่อเลยสักนิด…
ราวกับคิดว่ามีเงินแล้วจะมีชีวิตอมตะอย่างนั้น…

ทุกวันนี้ เงินกลายเป็นพระเจ้า บันดาลชีวิตที่แสนสุขให้กับผู้ที่ได้ครอบครองมันอย่างมากมาย
ในความคิดของหลายๆคนก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะซื้อได้ด้วยเงิน…

อย่างน้อยศรัทธาที่เธอมีต่อพระเจ้าองค์เดียวก็มิอาจซื้อได้ด้วยเงิน
หากเธอไม่คิดถึงชีวิตในโลกหน้าอันเป็นชีวิตนิรันดร์…
หนทางสำหรับชีวิตในโลกนี้คงง่ายดายสำหรับเธอ…
ไม่ยากและไม่ทุกข์ทรมานเช่นดังที่ผ่านมาแน่ๆ…
เพราะหนทางสำหรับการก้าวไปเป็นคนเลวที่ยิ่งใหญ่นั้นมันง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก

โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว มนุษย์บูชาวัตถุมากกว่าความดี
บูชาคนชั่วที่ฉลาดแกมโกงและยกย่องเขาผู้นั้นให้เป็นผู้นำบ้านเมือง…

คนโง่กลับเป็นผู้มีอำนาจ…ฮีโร่คือผู้ที่ประสบความสำเร็จจนมั่งมีมั่งคั่งบนความทุกข์ของผู้อื่น…

คนเก่งและมีความสามารถที่พวกเขาต่างให้ความสนใจแท้จริงคือผู้ที่ทำนาบนหลังคนเป็นส่วนมาก…

คนสวยคือหญิงที่อวดโฉมและเนื้อหนังมังสาให้ใครต่อใครได้ยล

คุณค่าของผู้หญิงกลับถูกเหยียบย่ำทำลายด้วยคำว่าสิทธิสตรี
ที่มีนิยามว่าเท่าเทียมผู้ชายทุกอย่าง…

มาคิดดูดีๆ บางทีผู้หญิงเราอาจจะกำลังถูกผู้ชายหลอกให้แก้ผ้าทีละชิ้นให้พวกเขาดู
ด้วยคำว่าหุ่นดี มีความมั่นใจ เป็นสาวมั่น เป็นผู้หญิงแถวหน้า เป็นผู้หญิงใจกล้า…
เพื่อสนองตัณหาผู้ชายอยู่ก็ได้…

จนลูกน้อยๆขาดมารดาคอยดูแลใกล้ชิด
เพราะทั้งพ่อและแม่ต่างออกไปขวนขวายหาเงินมาบันดาลความสุขให้ลูกด้วยวัตถุ
แทนความรักความอบอุ่นจากอกแม่…

คนจนไร้ค่า คนรวยมีเกียรติ…วงจรของโลกใบนี้กำลังเปลี่ยนไปจากเดิม
ระบบนิเวศต่างๆกำลังผันแปรและส่งเสียงประท้วง…




“คุณน้าอยากให้ผมชดใช้ยังไงก็บอกมาเถอะครับ ถ้าผมมีความสามารถ ผมก็ยินดี…”

ถ้อยคำนั้นดังมาจากคุณหมอคู่กรณีที่วันนี้คนไข้และลูกสาวคนไข้มีโอกาสได้เห็นโฉมหน้า…
โดยเขาอ้างว่าติดงานและต้องไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยและสถานที่ต่างๆมากมาย
เลยไม่มีเวลาแวะมาเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง…จึงต้องส่งมารดามาเจรจาแทน

จะจริงหรือเท็จประการใด สองแม่ลูกมิได้สนใจมากมายนัก…
เพราะดูจากท่าทางของเขาแล้ว ถอดแบบมาจากผู้เป็นมารดาที่ยืนอยู่ข้างๆมาทุกระเบียดนิ้ว
จะเว้นก็แต่ แววตานิ่งสนิทของเขาเท่านั้นที่แตกต่างออกไป…

อาจเป็นเพราะหน้าที่ จึงทำให้แววตา น้ำเสียงและลักษณะการพูดของเขา
ค่อนข้างจะดูน่าฟังกว่าผู้เป็นมารดา

“สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่เรื่องที่เกินความสามารถของคุณหมอแน่นอน…
อยู่ที่คุณหมอและครอบครัวและรับได้หรือไม่ก็เท่านั้น…
แต่ก็มิใช่ประเด็นสำคัญ เพราะถ้าคุณหมอไม่ยอมรับ…ฉันก็ไม่ลังเล
ที่จะทำตามที่พูดเอาไว้กับแม่ของคุณ…”ชายหนุ่มหันมาทางมารดาของตน
ก่อนจะหันไปถามกับคู่กรณี...

“แล้วสิ่งนั้นมันคืออะไรล่ะครับ…”

“คุณหมอทำให้เสาหลักของบ้านฉันพังลง และลูกสาวของฉันต้องแบกรับภาระนั้น
ต่อจากพ่อของเขาทั้งๆที่เธออายุแค่สิบแปด
ลำพังคนพิการที่อาจจะกลับมาเดินไม่ได้อย่างฉันคงไม่อาจเลี้ยงดูลูกๆทั้งสี่ได้มากมายอะไร…
แล้วลูกสาวคนโตที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในตอนนี้ก็ดูยังอ่อนวัยเกินที่จะแบกรับภาระนั้น
เอาไว้คนเดียวได้…”

“สุดท้ายก็จบที่เงิน…”เสียงนั้นดังมาจากหญิงกลางวัย มารดาของคุณหมอหนุ่ม
ก่อนจะพูดแทนลูกชายที่ยืนนิ่งขัดตาทัพออกไปอีกว่า

“สรุปว่าต้องการเงินเท่าไหร่…บอกมา…ไม่ต้องชักแม่น้ำท้ังห้าให้เสียเวลา”
คนฟังส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มหยันนิดๆที่มุมปากเมื่อมองไปยังคนพูด
ก่อนจะพูดถึงข้อเสนอออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า

“ในเมื่อคุณหมอเป็นสาเหตุที่ทำให้เสาหลักบ้านของฉันพัง
สิ่งที่จะชดใช้ได้ก็คือ เสาหลักต้นใหม่ ซึ่งก็คือ ตัวของคุณหมอเอง…”
ชายหนุ่มถึงกับขมวดคิ้วนิดนึงด้วยความไม่เข้าใจ

“ยังไงครับ…”

“แม่ว่าเลิกพูดเถอะ ให้เงินสักก้อนไปก็จบ…”

“ฉันไม่ได้ต้องการตัวเงิน แต่ฉันต้องการให้คุณหมอมาเป็นเสาหลักให้กับครอบครัวฉัน
ด้วยการแต่งงานกับลูกสาวคนโตของฉันอย่างถูกต้องตามหลักศาสนา
แล้วก็จดทะเบียนสมรสด้วยกันตามกฎหมายบ้านเมือง
พร้อมกับจัดงานแต่งประกาศให้ผู้อื่นร่วมรับรู้อย่างเปิดเผยด้วย…”

ข้อเสนอนั้นทำเอาคนฟังทั้งสามคนถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกใจ
ฉับพลันคุณหมอหนุ่มก็หันไปมองหญิงสาวที่แต่งกายมิดชิด
คลุมศีรษะและปิดหน้าเหลือแค่ลูกกะตาซึ่งกำลังนั่งมองมาทางเขาเช่นกัน

ผู้หญิงที่เขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนอย่างนี้น่ะเหรอคือข้อเสนอ
ที่แม่ของเธอยื่นให้มา…ไม่รู้ว่าภายใต้ผ้าผืนเล็กๆผืนนั้นจะมีอะไรซ่อนอยู่

แม้แววตาคู่นั้นของเธอที่เขามีโอกาสได้เห็นสองครั้งจะดูสวยงามจับตา
หากองค์ประกอบอื่นๆที่หลอมรวมกันเป็นดวงหน้าของเธอเล่า
มันยากที่เขาจะคาดเดาได้ว่าจะมีส่วนใดบิดเบี้ยวและน่าเกลียดน่ากลัวบ้าง
แล้วอยู่ๆจะให้เขารับข้อเสนอนั้น…เขาไม่กล้าเสี่ยงเอาชีวิตไปเดิมพันขนาดนั้นได้หรอก

“แม่!”

เสียงใสๆดังจากคนเป็นลูกสาวที่คาดไม่ถึงว่ามารดาจะยื่นข้อเสนอเช่นนั้นให้กับพวกเขา…
จะมีใครที่ไหนเขายอม…เธอเองก็ไม่อาจยอมได้

“ว่าไงคุณหมอ…”เสียงนั้นถามย้ำ เรียกสายตาของชายหนุ่มให้หันไปทางคนป่วยอีกครั้ง…

“บ้าไปแล้ว…ยังไงๆก็ไม่มีทาง…แม่ไม่ยอมหรอกดานิส…
เราไม่จำเป็นต้องทำตามในสิ่งที่เขาพูดก็ได้ แม่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง”
ผู้เป็นมารดาร้อนรนจนแทบทนไม่ได้กับข้อเสนอนั้น

“แม่ก็รู้ว่าผมรักงานที่ทำมากแค่ไหน…”เท่านั้น มารดาของคุณหมอหนุ่ม
ถึงกับเก็บปากเก็บคำทันที

“และเราก็ไม่อาจควบคุมสิ่งที่หลุดออกไปได้…แม่ก็รู้…”

ชายหนุ่มเริ่มมีสีหน้าเครียด หญิงสาวอีกคนก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเครียดไม่น้อยไปกว่าเขาหรอก…

ถึงเธอจะอายุสิบแปด แต่เธอก็รู้ว่าการแต่งงานมันสำคัญและมีความหมายต่อชีวิตเธอแค่ไหน…

และก็รู้ด้วยว่าคนที่จะแต่งงานกันนั้น มีหน้าที่อะไรต่อกันบ้าง…
หากหน้าที่ต่อมารดาและน้องๆก็มิอาจปัดออกไปได้…ไม่เข้าใจว่าทำไมมารดาต้องทำเช่นนี้ด้วย…

“ผมจะยอมรับข้อเสนอของคุณน้าได้ก็ต่อเมื่อ คุณน้ายินยอมรับข้อเสนอของผม…”

ชายหนุ่มเริ่มต่อรองบ้าง คราวนี้คนที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้นมองคนพูดทันที
ก่อนจะหันไปทางมารดาของเธอ

“อะไรล่ะคะ ข้อเสนอของคุณ…”มารดาของเธอถามเขาด้วยสีหน้านิ่งๆ

“สัปดาห์หน้า ผมก็ต้องกลับไปทำงานที่ญี่ปุ่น เพราะการที่ผมมาอยู่ที่นี่ มันแค่ชั่วคราว…
บ้านและงานของผมจริงๆอยู่ที่โน่น คุณน้าจะว่าอย่างไร
ถ้าผมจะเอาลูกสาวของคุณน้ากลับไปอยู่ที่โน่นด้วย…”

“ไม่ได้นะแม่…”เสียงนั้นดังมาจากหญิงสาวที่นั่งนิ่งมาตลอดทันที…

ไอ้ที่ว่าแต่งงานเธอยังไม่อาจยอมรับได้ นี่แต่งงานแล้วต้องห่างอกแม่และบ้านเกิด
ไปอยู่กับคนแปลกหน้าและสถานที่แปลกตาอย่างญี่ปุ่นอีก
เธอรับไม่ไหวแน่ๆ…ที่สำคัญเขาเป็นใคร เธอยังไม่รู้ลึกรู้จริงเลย…

“น้ำค้างไปแล้วใครจะดูแลแม่ดูแลน้อง…”ถ้อยคำนั้นของหญิงสาว
ถึงกับทำให้มารดาของหมอหนุ่มถึงกับยิ้มที่ลูกชายกลับมาเป็นต่ออีกครั้ง

อย่างไรเสีย เรื่องนี้มันก็ไม่ง่ายนักหรอก…ลูกชายของเธอน่ะฉลาดจะตาย
คงไม่ยอมเสียโง่ให้ใครง่ายๆแน่

“ฉันยินยอม…”คำยินยอมรับข้อเสนอนั้นทำให้ผู้เป็นลูกสาวถึงกับน้ำตาร่วง

นี่แม่ของเธอถึงกับผลักใสเธอให้ไปอยู่ไกลถึงญี่ปุ่นกับคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อนได้ยังไง…

ผู้หญิงธรรมดาไร้ความรู้อย่างเธอจะเอาตัวรอดที่นั่นได้อย่างไร
ในเมื่อเขาเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับเธออยู่แล้ว
ที่เขายอมเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียงาน…

“งั้นผมก็ไม่ขัดข้องที่จะรับข้อเสนอของคุณน้า…ว่าแต่คุณน้าแน่ใจนะครับ
ว่าคุณน้าและลูกสาวรับได้จริงๆ…”ชายหนุ่มถามย้ำคนป่วยให้แน่ใจ
ก่อนจะหันไปทางว่าที่เจ้าสาวของเขาที่แม้จะมองไม่เห็นหยาดน้ำตาที่ไหลลงอาบสองแก้ม
แต่เขาก็รู้ดีว่าเธอกำลังร้องไห้ เพราะน้ำในตามันฟ้อง

“จะไม่ถามลูกสาวสักหน่อยเหรอครับ ว่าเขาพร้อมจะแต่งงานรึยัง…”
คนป่วยส่ายหน้า…ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า

“แค่คุณสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายร่างกายลูกสาวฉันและไม่ทอดทิ้งเธอ
พร้อมกับรักษาฉันจนหายเป็นปกติ…ฉันก็ไม่มีอะไรต้องถามลูกสาวของฉันอีกแล้ว
เพราะเขาเชื่อฟัง ไม่เคยขัดฉันเลยสักครั้ง…และเขาจะเป็นภรรยาที่เชื่อฟังคุณ…”

หมอหนุ่มพยักหน้าในขณะที่ผู้เป็นมารดาถึงกับส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจกับการตัดสินใจของลูกชาย
หากก็ไม่อาจทำอะไรได้ไปมากกว่านี้…เอาเถอะ…เกมนี้ยังไม่จบหรอก

...ดีสิ…ได้ลูกสาวของผู้หญิงคนนั้นมาใช้งาน…

ท่าทางดูไม่มีพิษสงอะไรแบบนั้นหรือที่จะมาต่อกรกับคนอย่างเธอได้…
เดี๋ยวก็ได้รู้กันว่าใครจะอยู่ใครจะไป…

“สรุปว่าทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อย…พรุ่งนี้ผมไม่ว่างทั้งวัน แต่วันมะรืนนี้
ช่วงค่ำผมว่าง เอาเป็นว่าผมจะพาผู้ใหญ่ไปสู่ขอลูกสาวของคุณน้าที่บ้าน
พร้อมกับทำพิธีทางศาสนา พอรุ่งเช้าก็ไปจดทะเบียนสมรสด้วยกัน
แล้ววันศุกร์ก่อนบินกลับญี่ปุ่น ผมจะจัดงานแต่ง เชิญแขกที่พอจะเชิญได้ทันในเช้าวันนั้น…
หลังละหมาดวันศุกร์เสร็จ ผมก็จะพาลูกสาวคุณน้ากลับไปญี่ปุ่นกับผม…
ส่วนแม่ของผมก็จะเป็นคนจัดการเรื่องต่างๆที่เมืองไทยจนกว่าคุณน้าจะหายเป็นปกติ…
คุณน้ากับลูกสาวคงไม่ขัดข้องอะไรนะครับ…”

พูดจบก็หันไปทางคนที่ไม่มีปากมีเสียงที่สุด คนที่กำลังจะมาเป็นเจ้าสาวของเขา…

คิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกแปลกๆในหัวใจ
พอจะแต่งงานไม่คิดเลยว่ามันจะรวดเร็วถึงปานนี้…
ก่อนหน้านี้ อย่าว่าแต่หาเวลาดูตัวเจ้าสาวเลย แค่เวลานอนของเขาก็แทบจะไม่มี…

แต่ดูสิ…ตอนนี้ทุกอย่างกลับง่ายดายลงตัว
ได้เจ้าสาวที่ยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแถมยังมีเวลาในการจัดการเรื่องงานแต่งเพียงนิดอีก…
เวลากระชั้นชิดแบบนี้ เขาไม่คิดว่าใครจะกล้ารับข้อเสนอของเขาได้

ทว่า แปลก สองแม่ลูกคู่นี้กลับไม่ขัดข้องอะไรเลย…

ตัวลูกสาวดูจะตกใจและร้องไห้ หากกลับไม่พูดขัด ไม่บ่นอะไรมารดาแม้สักคำ

…ดูเธอจะรักและเชื่อฟังพร้อมทำตามที่มารดาสั่งทุกอย่างจริงๆ…

ซึ่งน้อยคนนักในสังคมสมัยนี้ที่จะทำได้อย่างเธอ…

ไม่รู้ว่าเธอเป็นคนดี เป็นลูกที่ดี ประเสริฐ มีความกตัญญูรู้คุณหรือเป็นคนโง่ คิดเองไม่เป็น
จนยอมให้คนอื่นจูงจมูกไปไหนมาไหนได้โดยไม่ขัดแบบนี้กันแน่…

“ว่าแต่ผมยังไม่รู้จักชื่อของว่าที่เจ้าสาวเลย…”ถ้อยคำนั้นราวกับจะถามเจ้าของชื่อ
ทว่าคนตอบกลับเป็นมารดาของเธอแทน

“นาดาค่ะ…ลูกสาวคนโตของฉันชื่อว่านาดา แปลว่า น้ำค้าง ซึ่งเป็นชื่อเล่นของเขา…”

ชายหนุ่มมองไปทางเจ้าของชื่อที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่พูดจาอะไร
ก่อนจะยิ้มนิดๆที่มุมปากขณะแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการว่า

“ผม…นายแพทย์ดานีส โสภณพสุธ และมารดาของผม ท่านหญิงอะมานี…”

ชายหนุ่มหันไปทางมารดาของเขาที่ยืนคอแข็งไม่ยอมก้มหัวให้ใคร

“ส่วนพ่อของผมท่านเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว…ท่านเป็นคนไทยเชื้อสายอาหรับ
แต่คุณตาของท่านหรือคุณตาทวดของผมเป็นคนญี่ปุ่น

ส่วนแม่ของผมท่านเป็นลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น ผมเกิดที่ไทยแต่ไปโตที่ญี่ปุ่นและก็ทำงานอยู่ที่โน้น…
หวังว่าเราคงจะได้ทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้นะนาดา…”

พูดจบชายหนุ่มก็ยิ้มนิดนึง ก่อนจะกล่าวลาและขอตัวกลับทันทีพร้อมมารดาของเขา



....โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ....

มาดูกันค่ะว่า นางเอกเรื่องนี้จะเป็นคนยังไง...แต่ที่แน่ๆ...พระเอกเราเป็นหมอ
เป็นหมอผ่าตัดเสียด้วยค่ะ...ไม่รู้ว่าจะผ่าตัดหัวใจเก่งรึเปล่า...

มาลุ้นให้กับคู่รักที่...

"แต่งก่อนจีบ" กันค่ะ...







yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 ต.ค. 2555, 00:26:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2563, 00:40:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 13681





   ตอนที่ 10 ฤดูที่มีเธอ >>
หนอนฮับ 5 ต.ค. 2555, 00:55:22 น.
ไม่เอาดราม่าหนักๆ นะคะ (ขู่ไว้ก่อน) คริๆ


หมีสีชมพู 5 ต.ค. 2555, 01:16:13 น.
พระเอกร้ายกับนางเอกมั้ยคะ เพราะแม่พระเอกท่าทางจะเป็นแม่สามีใจร้ายน่าดู


sai 5 ต.ค. 2555, 13:09:31 น.
พระเอกนิ่งๆ นางเอกสู้ชีวิตป่าวหว่า?? เดามั่วๆ แต่ตามอ่านแน่ๆ


บัวขาว 5 ต.ค. 2555, 21:57:26 น.
ค่ะ .. ต้องตามอ่านแน่ๆ เพราะน่าติดตามมาก ... อย่างเคย

=^_^=


มะดัน 5 ต.ค. 2555, 22:58:55 น.
น่าติดตามมากกกกกก อิอิอิ


pookza 7 ต.ค. 2555, 16:47:45 น.
มาร่วมลุ้นไปด้วยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account