พรหมลิขิตสีดำ(สนพ.อินเลิฟ)
ภาพความใกล้ชิดระหว่างบ่าวสาว คนอื่นมองคงเห็นว่าทั้งสองกำลังกระซิบกระซาบบอกรัก หยอกเย้ากันเหมือนคู่รักคนอื่น แต่ความจริงแล้ว...กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทนำ + บทที่ ๑

บทนำ



สายฝนเทกระหน่ำลงมาไม่ขาดสายราวกับฟ้ารั่ว ยังผลให้พื้นดินเฉอะแฉะจนคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดินโดยมีร่มคันเล็กกางอยู่ในมือต้องคอยระวังไม่ให้ดินโคลนกระเด็นขึ้นมาเปื้อนขาวเกงขาสามส่วนตัวเก่ง ตรงด้านหน้าห่างออกไปสามสี่วาเป็นป้ายรถเมล์ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าไปยืนแออัดยัดเยียดหลบสายฝน บ้างก็รอคอยเวลาให้ฝนหยุดจึงออกเดินต่อ บ้างก็คอยรถเมล์อย่างใจจดใจจ่อ บ้างก็รอให้ใครสักคนมารับ

หากมีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้รอทั้งสามอย่างนั้นเลย แต่รอ...สิ่งที่มีค่าที่สุดในหัวใจ

รอ...อย่างไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดการรอคอยนั้นจะเป็นดั่งใจหวังหรือไม่

รอ...ด้วยหัวใจอดทนอย่างไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต

...ขอเพียงได้หัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักกลับคืนมา หากทว่า...สิ่งที่เขาหวังช่างยากจะเอื้อมมือคว้า

หัวใจของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เธอกลายเป็น...ใครอีกคนที่เขาไม่รู้จัก

...ไม่ใช่พรนภัส...เด็กสาวตัวน้อยที่เทิดทูนบูชาเขาตลอดมา

...ไม่ใช่พรนภัส...ที่ยอมเป็นลูกไล่เขา ให้เขาบังคับขู่เข็ญได้ตามใจชอบ

...ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว...

ร่างสูงสาวเท้าออกมาเบื้องหน้า ยอมให้สายฝนโหมกระหน่ำเข้าใส่เรือนร่างกำยำ อย่างไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอนสักเพียงใด

“ฟ้า...” เสียงแหบห้าวเอื้อนเอ่ยชื่อนั้นอย่างอ่อนหวาน หากคนถูกเรียกกลับเงยหน้าจากพื้นแล้วมองสบดวงตาเรียวสีน้ำตาลของคนตรงหน้าอย่างเฉยเมย

...ไร้ความรู้สึก

...ไร้ความทรงจำ

...และไร้เยื่อใย

“ได้โปรด...” เขากระซิบเสียงแหบพร่า รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบโคลงเคลง และหัวใจเจ็บปวดราวกับมีใครเอามีดมากรัดลงบนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“กลับไปเถอะค่ะ ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ...อีกต่อไป”

สุ้มเสียงหวานห่างเหิน แข็งกระด้าง มิใช่เสียงของพรนภัสที่แสนอ่อนแออีกต่อไป

พรหมลิขิตชักนำให้เขาและเธอได้รู้จักกัน ทว่า...เขากลับไม่เห็นคุณค่าของมันแม้แต่น้อยนิด

...จากพรหมลิขิตสีหวาน เขากลับจับพู่กันละเลงสีดำทับลงไปแทน

...และกว่าจะรู้ตัวว่าได้ปล่อยให้ของมีค่าที่สุดในชีวิตหลุดลอยไป ก็สายเสียแล้ว

...สายเกินกว่าจะคว้าความรักในวันวานกลับคืน

...วันวานผันผ่านเนิ่นนานนัก

ความทรงจำสูญสิ้นมลายหาย

ความผูกพันกลบฝังลึกสุดใจ

แม้ชีพวายอย่าได้หมาย

คว้าหัวใจ...กลับคืน ...



บทที่ ๑



สามปีก่อนหน้านี้...

ตรีทศก้าวเท้าลงจากรถปอร์เช่เปิดประทุนสีขาวรุ่นล่าสุด ก่อนจะกระแทกประตูปิดอย่างแรงโดยไม่กลัวว่ารถราคาแพงลิ่วของตนจะกระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อย ใบหน้ารูปไข่ถูกขับให้คมเข้มด้วยไรหนวดเขียวตามแนวกราม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางแทบจะเป็นเส้นตรง คิ้วเข้มพาดเฉียงขมวดเข้าหากันและขับเน้นให้ดวงตาเรียวแต่ไม่เล็กดูเกรี้ยวกราดมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มขยับจัดการถอดเสื้อสูทของตัวเองแล้วถือตรงคอเสื้อจับพาดบ่าไว้ จากนั้นจึงกระชากเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวที่มีกางเกงแสล็คสีดำสวมทับออกมา แล้วดุ่มเดินเข้าไปในบ้านสีขาวสไตล์โคโลเนียลขนาดใหญ่

ทางด้านหน้าเป็นบันไดเตี้ยๆทอดขึ้นสู่ประตูบานใหญ่สีขาวที่มีลวดลายแกะสลักตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ชายหนุ่มออกแรงผลักประตูโดยแรง จนเกิดเสียงดังปังเมื่อประตูบานนั้นกระเด็นไปกระทบผนังด้านใน เสียงดังก้องเรียกให้คนรับใช้คนหนึ่งกระวีกระวาดออกมาดู เมื่อพบว่าคนที่ทำเสียงเอะอะตึงตังนั้นเป็นใคร ก็ถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียว ร่างของสาวใหญ่วัยสี่สิบค่อนข้างท้วมรีบหันหลังกลับแล้วผลุบหายเข้าไปในห้องรับแขก แว่วเสียงพูดคุยกันเบาๆลอยมากระทบโสตประสาทของชายหนุ่มผู้มีหน้าตาบึ้งตึงราวกับกำลังโกรธคนทั้งโลก ตรีทศเม้มริมฝีปากแน่น สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนสาวเท้ายาวๆตรงไปยังห้องรับแขกที่ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนเพิ่งเดินผ่านไป

พอก้าวเข้ามาในห้อง สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือร่างบอบบางของหญิงสาวในวัยยี่สิบสามปีคนหนึ่ง กำลังนั่งหลังไหล่ตรง เชิดหน้า ชูคอราวกับตัวเองสูงส่งมาจากไหน

ทั้งๆที่ก็แค่เด็กกำพร้าที่บิดามารดาของเขาเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น...

บิดาของเขาเพิ่งเสียชีวิตเพราะเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน ส่วนมารดานั้นจากโลกนี้ไปแล้วเกือบสิบห้าปีแล้วด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว บัดนี้ตรีทศต้องเหลืออยู่ตัวคนเดียว ทว่า...กลับต้องมีภาระดูแลผู้หญิงคนหนึ่งพ่วงมาด้วย

เพียงแค่เห็นใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนคนขี้โรคเช่นนั้นแล้ว โทสะในใจเขาก็ระเบิดโพลง จากกองไฟเล็กๆกลายเป็นกองใหญ่มากพอที่จะเผาผืนป่าทั่วทั้งประเทศไทยมอดไหม้วอดวายเลยทีเดียว

“เธอทำอะไรกับพ่อของฉัน ฮึ! ...ประจบอะไรท่านไว้ ท่านถึงได้ระบุในพินัยกรรมว่าให้ฉันแต่งงานกับเธอถึงจะได้รับมรดกทั้งหมด เฮอะ! บ้าสิ้นดี!” ตะโกนต่อว่าอย่างโกรธเกรี้ยวโดยไม่เกรงอกเกรงใจมารดาซึ่งนั่งส่ายหน้าอยู่ไม่ห่างเลยแม้แต่น้อย

“ตาตรี...อย่าเอาแต่ใช้อารมณ์ได้ไหม”

“แล้วจะให้ผมทำยังไงครับ คุณน้า ให้กระโดดโลดเต้นยินดีที่จะได้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักงั้นหรือครับ”

คุณวิมาลาทอดถอนใจ เหลือบสายตามองร่างเล็กที่เม้มริมฝีปากแน่นอย่างอดทนอดกลั้นแล้วก็นึกสงสาร อันที่จริงก่อนที่อธิป...พี่เขยของเธอจะเขียนพินัยกรรม เขาได้ปรึกษากับเธอแล้วว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้ลูกชายเพียงคนเดียวและเป็นผู้สืบทอดตระกูลปัจจภาคย์แต่งงานกับพรนภัส เธอเองถึงกับหนักใจด้วยรู้ดีว่านิสัยของหลานชายนั้นไม่ค่อยให้ชอบถูกบังคับ ดื้อรั้นจนเรียกว่าดื้อด้านก็ยังได้ ทิฐิแรง ชอบเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่ฟังความคิดเห็นของใคร คิดว่าตัวเองเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ เพราะเหตุนี้เขาจึงมักกดใครต่อใครให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่เป็นประจำ

...ไม่ว่าใครคนนั้นจะมีตระกูลสูงสงแค่ไหน ตรีทศ ปัจจภาคย์ต้องสูงกว่า

เขาไม่ยอมให้ใครมองเขาต่ำต้อยด้อยกว่าแม้สักคน!

นิสัยเช่นนี้แหละที่ทำให้ผู้เป็นบิดากลุ้มอกกลุ้มใจมานานแสนนาน จนอยากหาใครสักคนมาคอยปราม คอยดูแลเขาให้เพลาๆนิสัยแย่ๆนั้นลงเสียหน่อย และคนที่ทนนิสัยแย่ๆของตรีทศได้เท่าที่คุณอธิปและวิมาลาเห็นมีเพียงคนเดียวเท่านั้น...หญิงสูงวัยเบือนสายตาไปมองรูปหน้าไข่ ประกอบด้วยเครื่องหน้าจิ้มลิ้ม ไม่ว่าจะเป็นดวงตากลมโตล้อมรอบด้วยแพขนตางอนยาว คิ้วบางโค้งได้รูป จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอิ่มเต็ม ทั้งหมดทั้งมวลรวมกันได้อย่างลงตัวและงดงาม แต่ถึงกระนั้นหลานชายของเธอก็ยังไม่พอใจ

ตรีทศนั้นทำท่ารังเกียจเดียดฉันท์พรนภัสมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า แต่กลับเข้ามาแย่งชิงความรัก รวมถึงทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งไปจากเขา

เพียงแค่นี้เขาก็ไม่ชอบหน้าเธอมากแล้ว หากเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ความเกลียดชังก็ยิ่งเพิ่มพูนมหาศาล....ในวันนั้นคนรักเก่าที่เขารักมากต้องจากโลกใบนี้ไป...เธอเสียใจคิดว่าเขาผู้หญิงคนใหม่ ดื่มหนักเมามายจนขับรถชนเสาไฟฟ้า และเสียชีวิตในทันที ตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือพรนภัสนั่นเอง

วิมาลาคิดว่านั้นคือสาเหตุที่ทำให้ตรีทศไม่เคยมองหญิงสาวด้วยสายตาที่เป็นมิตรเลยแม้แต่ครั้งเดียว

และตอนนี้โทสะของตรีทศคงแทบจะระเบิดเมื่อต้องถูกบังคับกลายๆให้แต่งงานกับคนที่เกลียด...ความรู้สึกในใจเขาจึงเหมือนคนจมน้ำไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งได้ และกำลังจะตายอย่างน่าสมเพท

“พ่อแม่ของฉันเอาตัวเธอมาชุบเลี้ยง ให้อยู่อย่างสบาย มีบ้านหลังใหญ่อยู่ มีคนคอยรับใช้ ส่งเสียให้เรียนจนจบ ให้เงินไปเปิดร้านเบเกอรี่ เท่านี้ยังไม่พอใช่ไหม เธอยังต้องการเป็นเมียของฉัน และครอบครองทุกอย่างที่เป็นปัจจภาคย์หรือไง ฮะ!”

“ตาตรี...แกก็รู้ว่ามันเป็นการตัดสินใจของพ่อแกเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับหนูฟ้าเลยแม้แต่นิดเดียว”

“ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าจะไม่เกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ ยัยฟ้าของคุณน้าต้องประจบ ออดอ้อน งัดมารยาร้อยเล่มเกวียนมาใช้กับพ่อของผมแน่” ตรีทศไม่ได้ลดราความกราดเกรี้ยวลงไปเลยแม้แต่น้อย “คงเห็นว่าถ้าได้แต่งงานกับผม คงสบายไปร้อยชาติล่ะมัง”

“ตาตรี! หยาบคายจริง!” วิมาลาต่อว่า แล้วส่ายหน้าอย่างไม่ชอบใจ ขณะที่คนถูกดูหมิ่นยังคงนั่งหน้าตรง ไหล่ตรง มิได้เอื้อนเอ่ยอะไรซึ่งเป็นการตอบโต้แม้แต่คำเดียว คงมีเพียงแววตาเท่านั้นที่วูบไหวราวพายุโหมกระหน่ำ มีทั้งความกรุ่นโกรธ ผิดหวัง เศร้าสลดและเสียใจอัดแน่นอยู่อย่างน่าเวทนา

พรนภัสเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ตรีทศทำอะไรให้เจ็บช้ำสักเท่าไหร่ก็ไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยโวยวาย ไม่เคยพร่ำพูดว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มเลยสักครั้ง เธอมีความเข้มแข็งภายใต้ท่าทางนุ่มนวลอ่อนโยนอย่างเต็มเปี่ยม ถึงกระนั้นตรีทศก็ไม่เคยมองเห็น เขามัวแต่สนใจดอกกุหลาบประดิษฐ์ที่ถูกเสริมแต่งให้งดงาม แต่กลับละเลยกุหลาบดอกสวยซึ่งงดงามตามธรรมชาติดอกนี้

พรนภัสสวย...โดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย

และวิมาลาก็เห็นว่าความสวยงามตามธรรมชาติเช่นนี้เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและหลงใหลมากนัก

ทว่าตรีทศคงคิดตรงกันข้าม ดูเขาในตอนนี้ซิ ยืนเอามือล้วงกระเป๋าทำหน้าถมึงทึงราวกับโกรธใครมาสักร้อยชาติ

“ตาตรี...หยุดโวยวายด่าทอหนูฟ้าเสียที ถึงอย่างไรพินัยกรรมก็ไม่มีทางแก้ไขได้ และมันจะต้องเป็นไปตามนั้น ซึ่ง...ถ้าแกไม่ยอมแต่งงาน แกก็จะต้องอดตายแน่ เข้าใจที่ฉันพูดไหม ตรีทศ”

ร่างสูงยกมือเสยผมแล้วทอดถอนใจเฮือก ดวงตาสีดำสนิทตวัดมองผู้ที่นั่งนิ่งเฉยเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่ว่าเขาจะด่าเธอมากมายถึงขนาดไหนพรนภัสยังคงสงบนิ่งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

ไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้แม่สาวเยือกเย็นคนนี้สติแตกได้เลยสักครั้ง ไม่เคยทำให้เธอโต้ตอบเขาด้วยวาจาเผ็ดร้อน ไม่เคยทำให้เธอกระทืบเท้าเต้นเร่าๆด้วยความโมโห ...มีแต่เขาเอง ...เขาเองทั้งนั้นที่ระเบิดอารมณ์อย่างน่าขัน

“ก็ได้ครับ” สุดท้ายชายหนุ่มก็ยักไหล่ “แต่งก็ได้...แต่งแค่หนึ่งปีตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมว่าต้องอยู่ด้วยกันไม่ต่ำกว่าหนึ่งปีจึงจะหย่าได้ ครบหนึ่งปีเมื่อไหร่ ผมจะหย่าทันที!”

ถ้อยคำนั้นตรีทศหวังเหลือเกินว่าจะได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของพรนภัส แต่เปล่าเลย เธอไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆทั้งสิ้น แต่กลับลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวานใสดังเคย

“ถ้าคุณตรีตัดสินใจได้เรียบร้อยแล้ว ก็เชิญรับประทานอาหารเถอะค่ะ ฟ้าสั่งให้เด็กตั้งโต๊ะไว้รอแล้ว” จากนั้นก็หันไปถามหญิงสูงวัยที่กำลังจะลุกขึ้นยืน

“เชิญคุณน้าวิด้วยนะคะ”

“ขอบใจจ้ะหนูฟ้า แต่น้าขอกลับไปกินที่บ้านน้าดีกว่า” เธอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ป่านนี้ยัยหนูกับตาแก่ที่บ้านคงรอฉันแย่ละ เพราะฉันมัวแต่มานั่งรอแกเพราะเป็นห่วงนี่ล่ะ”

หลังจากให้ทนายมาเปิดพินัยกรรมที่บ้านในบ่ายวันนี้นั้น ตรีทศถึงกับต้องผลุนผลันออกไปสงบสติอารมณ์ข้างนอก คงกลัวว่าตัวเองจะกระโจนเข้าไปทำร้ายหญิงสาวผู้เป็นสาเหตุให้เขาต้องลำบากเช่นนี้กระมัง คุณวิมาลาจึงมานั่งรอด้วยความเป็นห่วง...กริ่งเกรงว่าหลานของตนจะหุนหันพลันแล่นจนทำให้เกิดอุบัติเหตุระหว่างทางได้ หากสุดท้ายเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มปลอดภัย เธอจึงเบาใจและขอตัวกลับบ้านไปดูแลสามีและลูกของตนเองในทันที

พอคล้อยหลังผู้เป็นน้า ตรีทศก็หันมาเล่นงานพรนภัสต่อ ไม่มีทีท่าว่าเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงภายในวันนี้ ร่างสูงปราดเข้าไปหาคนตัวเล็ก กระชากต้นแขนของเธอดึงเข้ามาใกล้ตัว แล้วกระซิบลอดไรฟันพอให้ได้ยินกันสองคน

“อย่าคิดนะว่าที่ฉันแต่งงานด้วยเพราะความพิศวาส ถ้าจะมีความรู้สึกอะไรในหัวใจของฉันที่มีต่อเธอแล้วล่ะก็ มันมีแต่ความชิงชังเพียงเท่านั้น จำไว้นะพรนภัส” จากนั้นเขาก็ออกแรงผลักเธอ จนร่างบางเซซวนล้มลงบนโซฟาอย่างไร้ความปรานี ก่อนจะเดินดุ่มออกจากห้องรับแขก ก้าวเท้ายาวๆขึ้นบันไดกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง

ไม่ได้เหลือบแลมามองเลยว่ายามนี้คนที่ทำสีหน้าเมินเฉยกำลังปล่อยให้น้ำตารินไหลด้วยความเจ็บช้ำ

นานหลายปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่เธอเหยียบย่างเข้ามาที่นี่ พรนภัสในวัยแปดขวบ ทั้งสดใส ร่าเริง หากสิ่งเหล่านั้นถูกพรากหายไปตามกาลเวลา เพียงเพราะผู้ชายเพียงคนเดียว...ตรีทศ ปัจจภาคย์

ไม่มีใครรู้ว่าในใจของพรนภัสนั้นมีผู้ชายที่ชื่อตรีทศยึดครองพื้นที่ในหัวใจมานานแล้ว หากตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น เจ้าตัวยังไม่แน่ใจนัก รู้แต่เพียงว่าความประทับใจเมื่อครั้งเยาว์วัยยังตราตรึงในหัวใจเธอไม่สร่างซา

ในวันที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ใหม่ๆ พรนภัสปีนขึ้นไปเก็บลูกชมพู่บนต้นไม้ แต่เพราะกิ่งไม้เปียกลื่นหรือไม่ก็ก้าวพลาดทำให้เธอเสียหลักพลัดตกลงมา จากที่คิดว่าตนเองต้องขาหัก แขนหัก หรือศีรษะแตกต้องเย็บหลายเข็ม เด็กหญิงฟ้ากลับไม่เป็นอะไรเลยเพราะมีใครคนหนึ่งปราดเข้ามาใช้ตัวทั้งตัวรับเธอไว้

ยามที่เธอลืมตาขึ้นในตอนนั้น สิ่งแรกที่เห็นคือใบหน้าขาวๆของตรีทศนั่นเอง

‘ยัยซื้อบื้อ! รู้ว่าซุ่มซ่ามแล้วยังริอาจปีนขึ้นไปอีก’

ตอนนั้นตรีทศยังพอใจดีกับเธอบ้าง ไม่ได้ร้ายกาจเท่าทุกวันนี้

‘จะกินชมพู่รึไง มา...เดี๋ยวเก็บให้เอง’

เด็กหนุ่มในวัยสิบสองปีลุกขึ้นยืน แล้วปีนขึ้นไปเก็บชมพู่ผลสีแดงลงมาให้ นับจากวันนั้นพรนภัสก็ไม่เคยเห็นชมพู่ลูกไหนอร่อยเท่าลูกนั้นเลยแม้แต่น้อย

หากความใจดีของเขามีอยู่ไม่นานนักหรอก เมื่อมันแปรเปลี่ยนไปเป็นความโกรธขึ้งเมื่อเขาถูกตีเพราะพาเธอไปเล่นใกล้ๆแม่น้ำที่ไหลผ่านด้านหลังตัวบ้าน คุณเกศรินนั้นกลัวพรนภัสจะเป็นอะไรไป จึงได้ก่นด่าและทุบตีลูกชายให้รู้จักระมัดระวังมากกว่านี้

นับจากวันนั้น ตรีทศก็ถูกดุด่าว่ากล่าวตักเตือน และถูกตีนับสิบครั้ง เหตุผลทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะไม่ดูแลเด็กหญิงพรนภัสผู้เป็นน้องสาวให้ดีๆ

และด้วยเหตุนั้นเอง พรนภัสจึงไม่ได้เห็นเด็กชายผู้ใจดีคนนั้นอีกเลย เขาไม่ชอบขี้หน้าเธออย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเมื่อผู้เป็นมารดาจากไป ตรีทศก็แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขากลายเป็นคนก้าวร้าว ดื้อด้านไม่ฟังใคร ทิฐิแรงและชอบกดคนอื่นให้ต่ำกว่าตัวเองอยู่เสมอ

คุณอธิปเคยเปรยๆกับเธอว่า ตนเองเลี้ยงลูกไม่ดี ทำให้ลูกมีนิสัยย่ำแย่จนเกินทน

และอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญกว่านั้น...ในวันที่คนรักของเขาจากไปด้วยอุบัติเหตุ ชายหนุ่มกล่าวหาว่าเธอเป็นต้นเหตุ พรนภัสไม่ได้เถียงว่าตัวเองมีส่วนในเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย แต่ตรีทศเองก็ผิดไม่แพ้กัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาดึงตัวเธอเข้าไปกอดรัด และกระทำการอุกอาจล่วงเกินแบบนั้น คนรักของเขาก็คงไม่บังเอิญมาเห็นและกลายเป็นเรื่องราวเข้าใจผิดใหญ่โตถึงขั้นนั้น

พรนภัสเสียใจเหมือนกัน เธอไม่ได้เป็นคนไร้หัวใจถึงขนาดมองใครๆจบชีวิตไปได้อย่างหน้าตาเฉย แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อเธอคนนั้นจากโลกนี้ไปแล้ว ส่วนเธอยังต้องทนทุกข์ก้มหน้าชดใช้กรรมต่อไป

จากวันนั้นทั้งเธอและตรีทศก็เหมือนเส้นขนาน เข้าหน้ากันแทบไม่ติด บ่อยครั้งที่เขามักจะกลั่นแกล้งเธอให้วาแก่ใจเล่นๆ...

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ตรีทศก็ไปเรียนต่อโทบริหารที่สหรัฐอเมริกา เธอไม่เห็นหน้าเขาเกือบห้าปี กลับมาคิดว่าเขาจะลืมเลือนความชิงชังและอคติต่อเธอแล้ว แต่ไม่ใช่เลย ความชิงชังเหล่านั้นยังฝังแน่นอยู่ในหัวใจผู้ชายคนนั้นอย่างที่คงไม่มีอะไรลบเลือนได้

พรนภัสสูดลมหายใจเข้าปอดลึกยาว ยกหลังมือค่อยๆป้ายน้ำตาของตัวเองออกพลางบอกตัวเองว่า

...เธอจะต้องไมร้องไห้ จะต้องไม่อ่อนแอ อย่างที่ได้รับปากกับคุณอธิปไว้

‘ช่วยดูแลเจ้าตรีด้วยนะฟ้า พ่อเป็นห่วงมันเหลือเกิน’ ท่านเอ่ยกับเธอหนึ่งวันก่อนที่ท่านจะล้มป่วย ‘ถ้าทำได้ล่ะก็ ช่วยดูแลให้มันเป็นผู้เป็นคนกว่านี้หน่อยนะ’ วันนั้นเธอรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะ เพราะฉะนั้นแม้ว่าจะต้องเจ็บปวดกับถ้อยคำรุนแรงของอีกฝ่ายแค่ไหน เธอก็ต้องอดทนไว้ เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ

“คุณฟ้าขา เป็นยังไงบ้างคะ”

หญิงกลางคนซึ่งนั่งพับเพียบเฝ้ามองเธอมาสักพักใหญ่ๆเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ตอนนั้นเองที่คนถูกถามลดมือลงวางบนตักแล้วระบายยิ้มออกมา

“ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ป้าแสง ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ...เอ...ไม่รู้ว่าจัดโต๊ะกันเสร็จรึยัง” ว่าพลางลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าห้องครัวไป โดยมีสายตาเวทนาสงสารของป้าแสงมองตามมาไม่วางตา



พรนภัสพาร่างอันบอบางของตนเองเข้ามาในห้องรับประทานอาหาร โต๊ะไม้ตัวยาวฉลุลวดลายงดงามวางตั้งอยู่กลางห้อง เด็กรับใช้สามสี่คนกำลังลำเลียงอาหารฝีมือเธอออกมาจากห้องครัวที่อยู่ติดกัน ทั้งหมูมะนาว ต้มข่าไก่ ฉู่ฉี่ไข่เจียว และอาหารที่ชายหนุ่มชอบซึ่งก็คือมัสมั่นไก่นั่นเอง

พรนภัสนั้นเป็นคนเพิ่มเมนูมัสมั่นไก่ขึ้นมา ด้วยเห็นว่าตรีทศนั้นไม่ได้รับประทานมาเป็นเดือนแล้ว ที่สำคัญฝีมือเธอเขามักชื่นชอบยิ่งนักแม้เจ้าตัวจะไม่เคยรู้ก็ตามว่าเธอเป็นคนเข้าครัว และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง หญิงสาวคอยออกคำสั่งให้จัดนู่นจัดนี้ให้เรียบร้อย ไม่ให้ขาดตกบกพร่องเพื่อที่ว่า ‘คุณตรี’ ของทุกคนจะได้ไม่โมโหกราดเกรี้ยวขึ้นมาอีก แค่ที่เมื่อกี้เด็กรับใช้ก็คงพากันกลัวหัวหดเสียแล้ว

เมื่อตรวจตราทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พรนภัสจึงใช้ให้เด็กรับใช้คนหนึ่งขึ้นไปตามตรีทศลงมารับประทานอาหาร รออยู่เกือบสิบนาทีเธอจึงเห็นร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีขาวเดินลงส้นเท้าหนักๆ ทำหน้าตาบอกบุญไม่รับเข้ามา กลิ่นสบู่ที่ลอยโชยมาแตะจมูกบอกชัดว่าเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ท่าทางคง ‘เย็น’ ขึ้นเยอะแล้วกระมัง

“เชิญค่ะคุณตรี”

พรนภัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนส่งสายตาบอกให้เด็กรับใช้ที่ถือข้าวในมือก้าวเข้ามายืนใกล้ๆ รอจนชายหนุ่มทรุดกายลงนั่งตรงหัวโต๊ะ จึงตักข้าวลงในจานสองทัพพีตามที่เธอได้สั่งไว้

จากนั้นตรีทศก็ลงมือรับประทานอาหารโดยไม่เอ่ยอะไรแม้สักคำ พรนภัสลอบระบายลมหายใจบางเบา แม้จะรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจะไม่เหลียวมอง ไม่เหลือบแลหรือชวนให้เธอร่วมโต๊ะอาหารด้วย หญิงสาวก็อดน้อยใจไม่ได้ หัวใจของเธอรวดร้าวและโหยหาความเมตตาจากเขาอยู่เสมอ แต่ดูเหมือนตรีทศจะไม่รับรู้ เขารังแต่จะคิดแค้นเคือง หมั่นไส้ ไม่พอใจ และอยากไล่เธอออกไปจากบ้านนี้อยู่เป็นประจำ มิหนำซ้ำยังมองเธอในแง่ร้ายเสียด้วย

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ประมาณสามปีที่แล้ว ตรีทศตะโกนใส่หน้าเธอว่าเป็นผู้หญิงไร้ยางอาย...

‘เธออยากครอบครองทุกอย่างที่เป็นของพ่อฉันจนถึงกับต้องเอาตัวเข้าแลกใช่ไหม น่ารังเกียจและน่าสมเพทที่สุด!’

เขามองเธออย่างหยามเหยียด เต็มไปด้วยความเกลียดชังรุนแรง ดวงตาของเขาอัดแน่นด้วยกองเพลิงเมื่อยามบีบต้นแขนของเธอจนปรากฏรอยแดงเป็นปื้น แต่มีหรือที่เธอจะร้องโอดครวญ คนอย่างเธอนั้นทนแดดทนฝนมานาน ตั้งแต่เกิดบิดามารดาของเธอก็ไม่ไยดี นำเธอไปทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์จนคุณอธิปกับคุณเกศรินมาเห็น อาจเป็นเพราะโชคชะตาท่านทั้งสองจึงเอ็นดูเธอถึงขั้นรับไปเลี้ยง

ตอนนั้นพรนภัสคิดว่าจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ได้มีพ่อแม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ได้เรียนโรงเรียนดีๆ และ...ได้มีพี่ชายแสนดีเหมือนเพื่อนคนหนึ่งในชั้นเรียนที่พี่ชายคอยดูแลไม่ห่าง

จริงอยู่ที่เธอได้เข้าเรียนโรงเรียนดีๆ ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยตามที่ใจต้องการ ได้อยู่บ้านหลังใหญ่ ไม่ลำบากเหมือนก่อน ทว่า...มันก็แค่ความสุขทางกาย ส่วนความสุขทางใจหาได้ยากยิ่ง

...พี่ชายที่เธอหวังว่าจะได้เป็นที่พึ่งพิง กลับแสดงออกชัดเจนว่าชิงชังเธอเป็นนักหนา แถมยังชอบพูดจาถากถางดูถูกให้เธอต้องเจ็บช้ำเสียด้วย

พรนภัสดึงตัวเองกลับสู่ปัจจุบันเมื่อพบว่าตรีทศตวัดสายตามองมาทางเบื้องหลัง ดวงตาคมกริบคู่นั้นทำให้หัวใจของเธอเต้นโครมครามได้ทุกครั้งไป

“บอกคนที่ทำด้วยว่าอาหารอร่อย”

ในความเลวร้ายในตัวเขา ก็ยังพอมีความน่ารักอยู่บ้าง อย่างน้อยๆเขาก็ยังรู้จักพูดชมคนอื่น

ทว่า...ถ้าหากรู้ว่าอาหารทั้งหมดบนโต๊ะเป็นฝีมือของเธอแล้ว รับรองเลยว่าชามบนโต๊ะคงถูกขว้างลงบนพื้นอย่างไม่ไยดีเป็นแน่แท้

“ค่ะ” พรนภัสรับคำ ใจหนึ่งก็ดีใจหากใจหนึ่งนั้นปวดแปลบที่ไม่สามารถบอกเขาได้ว่า...

‘ฟ้าเป็นคนทำเองค่ะ...’

เธออยากเอ่ยแทนตัวเองว่าฟ้า และเรียกเขาว่า พี่ตรี เหมือนตอนเข้ามาในบ้านหลังนี้ใหม่ๆเสียเหลือเกิน แต่ก็นั่นแหละ เวลานั้นล่วงเลยมาแล้ว มันกลายเป็นอดีตที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกต่อไปไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนก็ตาม

ตรีทศอิ่มแล้ว เขารวบช้อนอย่างเรียบร้อย ลักษณะท่าทางการนั่ง การรับประทานอาหาร หลังไหล่ของเขาจะตั้งตรงเสมอ มือเรียวที่เอื้อมไปหยิบแก้วน้ำเนิบช้า พรนภัสอดคิดไม่ได้ว่าคงมีแต่ตอนรับประทานอาหารนี่แหละที่ทำให้เขาดูเป็นคนใจเย็น ไม่ใช่ใจร้อนดั่งกองเพลิงยามอยู่ต่อหน้าเธอ หรือยามขับรถ

หญิงสาวเคยนั่งเคียงข้างเขาบนรถครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณเกศรินสั่งให้เขารับเธอกลับจากมหาวิทยาลัยด้วย เพราะคนขับรถของบ้านเกิดไม่สบาย ตรีทศรับคำอย่างเสียไม่ได้ เขานำรถเข้ามาจอด ณ จุดนัดหมาย รอจนเธอขึ้นนั่ง ปิดประตูเรียบร้อยจึงเหยียบคันเร่งอย่างแรง จนร่างบางกระแทกเข้ากับเบาะรถ ดูเหมือนจะทำให้เขาสะใจอย่างไรไม่ทราบได้ มุมปากของเขาจึงยกขึ้นเล็กน้อย พอออกมาถนนใหญ่ได้ เขาก็ยิ่งเร่งความเร็ว ขับแซงซ้าย แซงขวา ฉวัดเฉวียนไปมาจนเธอเวียนศีรษะ เกือบจะอาเจียนอยู่แล้ว

‘อย่าคิดมาอ้วกบนรถฉันเชียวนะ พรนภัส ไม่อย่างนั้นฉันลงโทษเธอแน่’

ตอนนั้นเธอไม่รู้หรอกว่าบทลงโทษของเขานั้นจะเป็นเช่นไร รู้แค่ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวเธอเป็นแน่แท้ จึงพยายามสะกดกลั้นความคลื่นไส้ไว้อย่างสุดความสามารถ รอจนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ปัจจภาคย์จึงรีบเปิดประตูแล้ววิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่ริมบ้าน ท้าวมือกับลำต้น แล้วโก่งคออาเจียนออกมาอย่างทนไม่ไหว

พรนภัสจำได้ว่าแว่วเสียงหัวเราะตามหลังมาอย่างสาแก่ใจ ไม่มีแม้แต่คำถามห่วงใย คำพูดปลอบโยน หรืออะไรก็ตามที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นจากตัวเขา แต่ไม่มีเลย ตรีทศไม่เคยแสดงอะไรแบบนั้นต่อเธอเลยแม้แต่น้อย

พรนภัสรู้ดี ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เขาก็ไม่มีวันมอบสิ่งที่เธอต้องการได้แม้เพียงเศษเสี้ยว...

เมื่อกลับมาถามตัวเองว่าต้องการอะไรจากผู้ชายคนนั้น หญิงสาวก็ตอบได้ไม่เต็มปาก เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าต้องการอะไรกันแน่...

“เสื้อเชิ้ตฉันกระดุมหลุด”

เขาเอ่ยเสียงห้วนสั้น และมันไม่ใช่คำบอกเล่า แต่เป็นคำสั่งที่เธอต้องนำเสื้อของเขาไปซ่อม

“ค่ะ เดี๋ยวฉันเอาไปซ่อมให้ค่ะ”

เธอตอบด้วยเสียงเรียบเฉย ไร้ความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ทำเหมือนการทำอะไรให้เขาเป็นเพียงสิ่งที่ ‘ต้อง’ ทำ ไม่ใช่สิ่งที่ ‘อยาก’ ทำแม้แต่น้อย หากความเป็นจริงแล้ว พรนภัสเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง เธอมีความสุขที่ได้ทำอะไรให้เขา แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆน้อยๆก็ตาม

ตรีทศเดินออกจากห้องอาหารไปแล้ว พรนภัสสั่งความให้เด็กรับใช้เก็บโต๊ะ แล้วเดินตามไปอย่างไม่รีรอ ด้วยรู้ดีว่าถ้าให้ชายหนุ่มรอ มิพักต้องโมโหโกรธาขึ้นมาอีก และเธอไม่ชอบเลย...ไม่ชอบท่าทางกราดเกรี้ยวและอารมณ์รุนแรงของเขาเลยแม้แต่น้อย

หญิงสาวเร่งฝีเท้ามาหยุดยืนหน้าห้องเขา สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดราวกับตนเองต้องเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างที่สามารถพรากเอาลมหายใจของตนเองไปอย่างไรอย่างนั้น

พรนภัสยกมือขึ้นแล้วเคาะประตูสามครั้ง แล้วยืนรอเงียบๆจนแว่วเสียงอนุญาตให้เขาไปข้างในได้นั่นละ เธอจึงหมุนลูกบิดแล้วสาวเท้าเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นคือเจ้าของห้องถอดเสื้อคลุมออกแล้วสวมเพียงบ็อกเซอร์ตัวเดียว ยืนหาอะไรบางอย่างในตู้เสื้อผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

แผ่นหลังของเขาดูกว้างและแข็งแกร่ง ไหล่ของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงาม พรนภัสรีบเบือนสายตาเมินมองไปทางอื่นทันทีด้วยรู้สึกว่าตัวเองใจสั่นไหวจนเกินไปเสียแล้ว

“เสื้ออยู่บนเตียงน่ะ” เขาเอ่ยโดยไม่หันมามอง

“มีอีกตัวที่กระดุมหลุด เป็นเสื้อตัวโปรดของฉันด้วย แต่ฉันจำไม่ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหน”

ได้ยินดังนั้นพรนภัสก็รีบเสนอตัวช่วยเหลือทันที ตรีทศก็ไม่ขัด เขาถอยห่างออกมาแล้วปล่อยให้เธอเข้าไปยืนหน้าตู้เสื้อผ้าแทนที่

“เสื้อตัวไหนหรือคะ”

“เสื้อเชิ้ตสีฟ้าสลับขาว”

พรนภัสจำได้แม่น เสื้อเชิ้ตตัวนั้นเขาสวมบ่อยมากในระยะหลัง ดูเหมือนจะชอบเป็นนักหนาจริงดังที่บอก

“แพรวาซื้อให้”

ได้ยินชื่อนั้นจากปากเขา มือที่ขยับเคลื่อนเสื้อแต่ละตัวให้ไปเรียงรวมกันเพียงด้านหนึ่งในตู้ก็ชะงักไป หากก็แค่ชั่ววินาที มันก็ทำหน้าที่ของมันต่อไป หากในใจของคนฟังกำลังปวดแปลบ

...เพราะเหตุนี้เอง เพราะคนรักของเขาเป็นคนซื้อให้ เขาถึงชอบนักชอบหนาและหวงแสนหวงเสียด้วย

พรนภัสรู้สึกดวงตาของตัวเองพร่ามัว ม่านน้ำตาที่รื้นขึ้นมาทำให้เธอมองเสื้อเชิ้ตในตู้ไม่ชัด สุดท้ายก็ต้องละมือจากมา แล้วยกหลังมือเช็ดดวงตาของตนเอง ท่าทางเช่นนั้นเรียกรอยเหยียดหยันจากเขาจนได้

“เป็นอะไรไปอีกล่ะ จะมารยาอะไรอีก” เขาสาวเท้าเข้ามายืนซ้อนทางด้านหลัง โน้มหน้าลงมากระซิบริมหูเธอด้วยน้ำเสียงดุดัน

“บอกไว้ก่อนนะ มารยาร้อยเล่มเกวียนของเธอใช้ได้แต่กับพ่อของฉัน ไม่ใช่กับฉัน ไม่มีวันหรอก พรนภัส”

ร่างเล็กหันไปเผชิญหน้าเขาโดยเร็ว ไม่ทันได้ระวังว่าตอนนี้ตรีทศอยู่ใกล้เธอมากขนาดไหน...ใกล้จนได้ยินกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของคนตรงหน้าจนใจสั่น เมื่อเธอเงยหน้าสบดวงตาสีดำสนิท ก็พบเขาจ้องมองมาก่อนแล้ว ร่องรอยอารมณ์ในดวงตาเขายังรุนแรงและหลากหลายเช่นเคย

...เป็นอารมณ์ที่เธอไม่เคยคุ้น และคาดเดาไม่ได้

ถึงกระนั้นพรนภัสก็ไม่เถียงว่าชอบมองมันเหลือเกิน ...ชอบจนอาจถึงขั้นหลงใหล อาจเป็นเพราะดวงตาของเขาแตกต่างกับดวงตาของเธอราวฟ้ากับเหว ยามใดที่เธอมองตัวเองในกระจกนั้นสิ่งที่เธอเห็นมีแต่ความชืดชาเยือกเย็น มิใช่ร้อนแรงเต็มไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนของเขา

...ไม่แปลกใจเลยที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเรียกเธอว่า...’ยัยน้ำแข็ง’

“อะไร มองฉันทำไม ยัยซื่อบื้อ”

นั่นก็เป็นฉายาของเธออีกฉายา ตรีทศนั้นดูจะเก่งในเรื่องนี้นักเชียว

“ก็...คุณยืนอยู่ใกล้”

“ใกล้แล้วทำไม...อ๋อ...” จู่ๆคนตัวโตก็ลากเสียงยาวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เธอมองฉันอย่างคาดหวังว่าฉันจะทำ ‘อะไรๆ’ เธองั้นหรือ”

...อะไรๆที่ว่านั้นพรนภัสไม่รู้ และเดาไม่ออกแม้แต่น้อย แต่รู้ว่ามันต้องเป็นสิ่งไม่ดีแน่ๆ เพราะตอนนี้เขากำลังมองเธออย่างหยามหยันดูถูก

“พอพ่อฉันตาย เธอก็มายั่วฉันแทนรึไง”

เขาแค่นยิ้ม ดวงตาวาววับเจิดจ้า ก่อนจะกวาดมองเธอตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างเย้ยหยัน

“อยากรู้นัก พ่อของฉันติดใจอะไรในตัวเธอนักหนา ...เธอ ‘เก่ง’ เรื่องบนเตียงมากรึไง พรนภัส”

ถ้อยคำนั้นทำให้คนถูกกล่าวหาเบิกตาโพลง ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ ตามมาด้วยความโมโหจนถึงขีดสุด

...เขาจะด่าว่าเธออย่างไร พรนภัสไม่เคยสน แม้จะเก็บเอามาคิดบ้าง แต่ก็ไม่ถือสา แต่กับผู้มีพระคุณของเธอ และแถมยังเป็นบิดาของเขานั้น เธอยอมไม่ได้

...คนอะไรดูถูกพ่อของตัวเอง! แถมในหัวยังคิดแต่เรื่องต่ำๆเสียอีก!....น่าเกลียดที่สุด!....

เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่พรนภัสโกรธจนตัวสั่น เธอกำมือที่สั่นระริกเข้าหากันแน่น และก่อนที่เขาจะพูดอะไรที่มันน่ารังเกียจออกมาอีก หญิงสาวก็สะบัดฝ่ามือใส่หน้าเขาเต็มแรง

เผียะ!

ตรีทศหน้าหัน พร้อมกับปรากฏรอยแดงเป็นปื้นบนใบหน้าซีกซ้ายของเขา ตามมาด้วยการกัดกรามแน่น พรนภัสรู้ดีว่าเขาโกรธ ...โกรธจนอยากจะฆ่าเธอเลยกระมัง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทำตัวของเขาเอง หากเขาไม่พูดอะไรบ้าๆแบบนั้นออกมาเธอก็คงไม่ถูกกดดันให้ต้องทำแบบนี้

“เดี๋ยวนี้เก่งกล้าเหลือเกินนะ” เขาหันหน้ากลับมา มองจ้องเธอด้วยดวงตาวาวโรจน์ “เธอกล้าตบฉันแล้วหรือ พรนภัส”

“คุณพูดไม่ดีนี่คะ คุณดูถูกคุณท่าน”

เขาไม่เอ่ยอะไร ทำเพียงเสียง ‘หึ’ ในลำคอ จากนั้นก็ยกมือมาบีบแก้มทั้งสองของเธอ แรงของเขามาก...มากเสียจนพรนภัสแทบหลั่งน้ำตา

“อย่าริอาจมาทำร้ายฉันแบบนี้อีก คราวนี้ฉันถือว่าจะปล่อยเธอเอาบุญ แต่ครั้งหน้า...เธอโดนหนักแน่”

พรนภัสไม่รู้ว่าเขาจะลงโทษอะไรเธอ แต่เธอก็จดจำและบอกตัวเองว่าคราวหน้าจะพยายามไม่ประทุษร้ายเขาอีก จากนั้นเขาก็ละมือจากแก้มของเธอแล้วเอ่ย

“อย่าคิดว่ามองฉันจะพิศวาสอยากทำอะไรเธอ ฉันไม่ใช่ประเภทบ้ากามจนมีอะไรกับผู้หญิงไม่เลือกหน้า...โดยเฉพาะผู้หญิงเย็นชืดอย่างเธอ ฉันไม่คิดจะแตะให้เสียเกียรติหรอก”

คนถูกดูถูกหน้าร้อนผะผ่าว ทั้งโกรธ ทั้งเจ็บปวดหัวใจ ทั้งอับอาย พรนภัสกัดริมฝีปากของตนเองจนแทบห้อเลือด ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ได้โต้ตอบอะไรที่รุนแรงออกไป กลับตอบด้วยสุ้มเสียงเรียบเฉย

“ดีค่ะ”

“อะไรที่ว่าดี” เขาถามห้วยสั้นและกระโชกโฮกฮาก

“ที่คุณไม่พิศวาสฉัน ฉันเองก็ไม่ได้พิศวาสคุณหรอกค่ะ”

...ไม่ได้ต้องการ เพราะไม่อยากเป็นเพียงเครื่องระบายอารมณ์ของเขา

...ไม่อยากเป็นเพียงตัวสำรองที่เขาต้องการเพียงปลดเปลื้องอารมณ์กำหนัดเท่านั้น

“หึ...จริงหรือ เธอจะไม่พิศวาสอยากได้ฉันจนเนื้อตัวสั่นจริงหรือ พรนภัส ...ไม่อยากแล้วทำไมถึงต้องบังคับให้พ่อของฉันระบุในพินัยกรรมว่าฉันต้องแต่งงานกับเธอด้วย ฮะ!”

“ฉันไม่ได้บังคับค่ะ” เธอยังคงตอบอย่างใจเย็น

“ฉันไม่เชื่อ!”

“ไม่เชื่อก็แล้วแต่คุณ ฉันบังคับให้คุณเชื่อไม่ได้หรอกค่ะ”

คนที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงหงุดหงิดขึ้นมาเมื่อคนตรงหน้ายังคงตอบเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ไม่สะทกสะท้านกับถ้อยคำร้อนแรงที่เขาโพล่งออกไปเลยแม้แต่น้อย ตรีทศรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทะเลาะกับกำแพงอย่างไรอย่างนั้น ชายหนุ่มกัดฟันกรอด มองจ้องใบหน้าหวานเขม็ง ดวงตาของเธอกลมโต หากจะพูดว่าสวยจับใจคงไม่ถูกนักเพราะมันชืดชาเกินไป จมูกของเธอดูน่ารัก และริมฝีปากอิ่มเต็มก็สวยตรึงใจ หากจะมีส่วนไหนที่ดึงดูดใจชายได้คงจะเป็นริมฝีปากน่าสัมผัสของเธอกระมัง

...แต่ ไม่ใช่เขาหรอก! จะสวยเลิศเลอ หรือหอมหวานขนาดไหน แค่เป็นเธอ เขาก็ไม่มีวันจูบลง!

ตรีทศกระชากเธอโดยแรงก่อนตะโกนไล่

“ออกไปเลย! ไม่ต้องหาแล้ว เดี๋ยวฉันจัดการเอง” จากนั้นจึงชี้มือไปที่เตียงแล้วออกคำสั่ง

“เอาแค่เสื้อตัวนั้นไปซ่อม เสร็จแล้วก็เอามาคืนเร็วๆล่ะ”

พรนภัสทำตามแต่โดยดี หญิงสาวหยิบเสื้อตัวนั้นขึ้นมาถือไว้ หันกลับไปมองเขาอีกครั้ง ดูเหมือนตรีทศจะมีตาหลังหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เขาจึงตะโกนห้วนสั้นกลับมาว่า

“มีอะไรอีกล่ะ”

“จริงๆคุณตรีให้ฉันหาให้ก็ได้นะคะ คุณหาลวกๆแบบนี้จะเจอได้ยังไงคะ”

คนตัวโตเดินถอยห่างออกมาจากตู้เสื้อผ้าทันที ก่อนโบกมือให้เธอเข้าไปหาอีกครั้ง แล้วตัวเองก็ไปทรุดนั่งบนเตียง สองตายังจับจ้องร่างเล็กไม่วางตา ในห้องมีแต่ความเงียบ ...เงียบเสียจนพรนภัสยินเสียงหัวใจที่เต้นรัวแรงของตนเอง และเมื่อพบสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ เธอถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ชุดนี้ใช่ไหมคะ”

หญิงสาวโชว์ให้เขาดู ทันทีที่เขาพยักหน้าเธอจึงถือเสื้อทั้งสองตัวเดินไปยังประตู

“เดี๋ยว”

พรนภัสชะงักฝีเท้า เหลียวมองคนที่นั่งบนเตียงพร้อมกับเลิกคิ้ว

“ฉันต้องการจะตกลงเรื่องการแต่งงานกับเธอ”







ศศิภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 ต.ค. 2555, 17:05:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 เม.ย. 2556, 13:53:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 2469





   บทที่ ๒ >>
ameerahTaec 10 ต.ค. 2555, 15:47:16 น.
พระดูใจร้ายจัง T^T


เทียนจันทร์ 10 ต.ค. 2555, 18:36:45 น.
มุขเดิม ๆ แต่ชอบค่ะ


คิมหันตุ์ 11 ต.ค. 2555, 02:37:43 น.
ลงชื่อให้กำลังจายยยจ่ะ


Zephyr 9 มี.ค. 2556, 19:40:44 น.
พระเอก แบบ เหนือคำบรรยายยยยย


แสนรัก 10 ก.ย. 2556, 02:39:25 น.
น่าสงสารน้องฟ้าจัง T^T


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account