ขอเพียงใจเธอ
ในชีวิต วนาลีมีเพียงแม่ที่เลี้ยงเธอมาด้วยความรัก หากแต่วันหนึ่งกลับมีผู้ชายสองคนขอเดินเข้ามาในชีวิตในสถานะที่ต่างกัน หัวใจดวงน้อยจะเปิดรับหรือไม่ ไปติดตามกันได้เลยค่ะ
Tags: ขอเพียงใจเธอ
ตอน: ออกงาน
“ร้องเพลงเสียงใสอย่างนี้ มีอะไรดีๆหรือเปล่าลูก” วนิดาถามลูกสาวที่กำลังล้างถ้วยชามไปด้วยร้องเพลงไปด้วยแล้วก็ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยดักคอลูกสาวอย่างล้อๆว่า “เอ๊…หรือจะเกี่ยวกับหนุ่มที่ตามเรามาที่ร้านวันนี้หรือเปล่าเอ่ย”
“ไม่ใช่เสียหน่อย แม่ก็ พี่ป้องเป็นพี่รหัสค่ะ” วนาลียิ้มอย่างเห็นขันกับข้อสันนิษฐานของแม่ ก่อนจะบอกเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เธออารมณ์ดีกับผู้เป็นแม่ว่า “หนูฝึกร้องเพลงต่างหากละคะแม่ หนูจะได้ออกงานแล้วนะคะ งานแรกของหนูจะต้องซ้อมให้ดีๆ หนูไม่ยอมไปปล่อยไก่บนเวทีหรอก” หญิงสาวเล่าอย่างตื่นเต้น
วนาลีสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมวงดนตรีของมหาวิทยาลัยซึ่งหญิงสาวก็ได้ตำแหน่งนักร้องน้องใหม่ของวงลูกทุ่งไทยซึ่งเป็นแนวเพลงที่หญิงสาวถนัดที่สุด ทุกกลางวันหญิงสาวจะต้องไปซ้อมร้องเพลงร่วมกับเพื่อนๆที่เล่นดนตรีและแดนเซอร์ซึ่งมาจากหลายคณะ ทำให้หญิงสาวได้เพื่อนใหม่ต่างคณะเพิ่มขึ้นอีกหลายคน
“จริงหรือลูก แล้วจะไปร้องที่ไหน กลับดึกไหมลูก” วนิดาถามลูกสาวอย่างห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พี่อิ๋วบอกว่าเป็นงานเลี้ยงของบริษัทอะไรสักอย่างนี่แหละ หนูจำชื่อไม่ได้” วนาลีเอ่ยถึงหัวหน้าวงผู้คล่องแคล่วก่อนจะพูดให้แม่สบายใจว่า “แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เพราะดึกแค่ไหนพี่อิ๋วบอกว่าจะมาส่งทุกคนให้ถึงบ้านแน่นอนค่ะ”
“แม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี” วนาลีละมือจากตู้เก็บของหันมามองลูกสาวอย่างไม่สบายใจ
ผู้เป็นลูกสาวรีบล้างมือให้สะอาดก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวมารดาคลอเคลียเหมือนลูกแมวพร้อมกับยิ้มประจบ “โธ่! แม่จ๋า ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกจ้ะ มีคนไปกับหนูเยอะแยะ แค่นักดนตรีกับแดนเซอร์ก็ยี่สิบกว่าคนแล้ว และที่สำคัญได้เงินด้วยนะแม่ หนูจะได้มีรายได้เสริมมาช่วยแม่อีกแรงไงละจ้ะ”
วนาลีพูดเกลี่ยกล่อมมารดาให้หายกังวลใจ เหตุผลที่เธอเข้าร่วมชมรมลูกทุ่งไทยของมหาวิทยาลัยเพราะนอกจากเธอจะชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ที่สำคัญการออกงานแต่ละครั้งยังจะได้ค่าตอบแทนกลับมาอีกด้วยซึ่งเงินที่ได้มาก็มาจากค่าจ้างและทิปที่ลูกค้าให้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายและกันเงินส่วนหนึ่งเข้ากองกลางแล้ว เงินที่เหลือก็จะถูกหารเพื่อแบ่งเท่าๆกันให้กับนักดนตรี นักร้องและแดนเซอร์ทุกคนเป็นค่าตอบแทนความเสียสละเวลาของทุกคนซึ่งได้ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่ง
“หนูจะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าลูก เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแบบนี้นะ”
“ไม่เลยค่ะแม่ หนูมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่หนูรัก แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ หนูโตแล้ว รับรองว่าหนูจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี กลับมากอดแม่ครบสามสิบสองแน่ๆค่ะ และที่สำคัญมีเงินมาให้แม่ด้วย”
“งกเหมือนกันนะเราน่ะ เรื่องเงินแม่ไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่เรานั้นแหละ” วนิดาบีบจมูกโด่งรั้นของลูกสาวเบาๆก่อนจะไล่ให้ไปทำงานต่อ วนาลียิ้มแก้มปริก่อนจะรีบกลับไปล้างจานต่อให้เสร็จจะได้รีบกลับบ้านเสียที
ผู้เป็นมารดาแอบมองลูกสาวที่ร้องเพลงต่ออย่างมีความสุขพร้อมกับทำงานไปด้วยอย่างนึกห่วงลูกอยู่ในใจ ความกังวลยังมีอยู่เต็มหัวใจ คงไม่มีแม่ที่ไหนหลับตาลงได้หากลูกยังไม่กลับถึงบ้าน แต่ที่หล่อนไม่ค้านอย่างถึงที่สุดก็เพราะไม่อยากขัดการตัดสินใจของลูก ตั้งแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย วนาลีก็ดูเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ลูกสาวของหล่อนโตแล้ว และไม่เคยทำตัวเหลวไหล หล่อนไม่ควรกังวลมากเกินไป วนิดาบอกตัวเองพร้อมกับถอนหายใจยาว
รถตู้สองคันและรถหกล้อที่มีเครื่องดนตรีและผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถค่อยๆเลี้ยวเข้าไปที่หน้าโรงงานขนาดใหญ่ที่ตอนนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่วิ่งไปวิ่งมาเพื่อเตรียมงานใหญ่ที่จะมาถึงในเย็นวันนี้
“โห! โรงงานใหญ่จัง มีตั้งหลายหลังด้วย เจ้าของที่นี้คงจะรวยน่าดูเลยเนอะ” พรรณิภา แดนเซอร์สาวออกปากอุทานตาโตเมื่อเห็นอาณาจักรกว้างขวางของโรงงานที่พวกเธอนั่งรถผ่านเข้ามา หลายคนพยักหน้าเอออออย่างเห็นด้วยรวมถึงวนาลีที่มองดูบริเวณรอบๆงานที่มีโต๊ะจีนถูกจัดเรียงกันเป็นแถวๆอย่างเป็นระเบียบเต็มลานกว้าง งานนี้คงมีคนเข้าร่วมงานเป็นพันแน่นอน หญิงสาวชักจะตื่นเต้นจนเหงื่อซึมเต็มฝ่ามือ งานแรกเธอก็ได้ขึ้นเวทีใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ
รถที่เหล่านิสิตนั่งเคลื่อนเข้าไปจอดที่หลังเวทีใหญ่ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าสีสวยพันจีบเป็นช่อสวยงามพร้อมกับแสงสีแสงพร้อม ดูอลังการยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของทุกคน บนเวทีมีตัวหนังสือที่แกะจากจากโฟมด้วยแบบตัวอักษรที่สวยงามว่า
ก้าวสู่อนาคตที่สดใส ไปกับ Star kid
ฉลองครบรอบ 55 ปี บริษัท star kid จำกัด
“Star kid นี่ ที่ผลิตขนมขบเคี้ยวใช่ไหมอ่ะ” มีคนตั้งคำถามนำขึ้นมา ก่อนจะมีหลายคนนึกได้
“ใช่ นอกจากขนมแล้ว เขายังผลิตลูกอม หมากฝรั่ง น้ำผลไม้ และอีกตั้งแยะแยะที่กินได้นะ จำได้ไม่หมดอ่ะ”
ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น บางคนก็เพ้อฝันถึงเจ้าของโรงงานสุดหล่อ เผื่อว่าตัวเองจะได้โชคดีมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาขอเป็นแฟนบ้าง ชีวิตนี้คงสบายไปทั้งชาติ
“นี่ๆๆ เลิกเพ้อผันกันได้แล้วจ๊ะพวกเธอ เจ้าของบริษัทนะหล่อจริงแต่แต่งงานแล้วแถมมีลูกที่อายุไล่ๆกับพวกเธอด้วย ยังคิดจะสนใจกันอยู่ไหมจ๊ะ” พี่อิ๋วหัวหน้าวงรีบเบรกก่อนที่น้องๆจะพากันลอยไปมากกว่านี้ หมู่สาวๆในรถต่างก็บ่นเสียดายกันเป็นแถวแต่ก็ไม่มีใครจริงจังแต่อย่างใด
เมื่อรถหยุดลงที่หลังเวทีใหญ่หัวหน้าวงสาวก็เริ่มออกคำสั่งให้น้องๆทุกคนลงจากรถ เพื่อที่จะได้แต่งหน้าแต่งตัว เตรียมแสดงในเวลาสองทุ่มตรงหลังจากพิธีการของทางบริษัทเสร็จสิ้นลง ส่วนบรรดาเหล่านักดนตรีทั้งหลายต่างก็เร่งมือขนเครื่องคนตรีขึ้นไปติดตั้งบนเวทีพร้อมกับลองเครื่องเสียงไปด้วยโดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทคอยประสานงานและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
หลังจากทานอาหารเย็นที่ทีมงานจัดเตรียมให้แล้ว เหล่านักร้องและแดนเซอร์ต่างก็ลงมือช่วยกันแต่งหน้าแต่งตัวด้วยความเร่งรีบ เพราะพิธีการข้างหน้าเวทีได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเธอจะต้องขึ้นแสดงต่อจากพิธีการเสร็จสิ้นลง วนาลีในชุดเกาะอกสีแดงเลือดนกประดับเลื่อมวิบวับสวยงาม กระโปรงยาวลากพื้นทำให้หญิงสาวเดินค่อนข้างลำบากเพราะนอกจากกลัวจะเหยียบชายกระโปรงของตัวเองแล้วหญิงสาวยังต้องพยายามทรงตัวอยู่บนร้องเท้าส้นสูงเกือบสามนิ้วอีกด้วย
ใบหน้าที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเบ้เล็กน้อยเมื่อรู้สึกเจ็บหนังศีรษะเพราะผมของเธอกำลังถูกดึงขึ้นไปเกล้าเป็นช่อดอกกุหลาบอยู่หลังท้ายทอย อวดใบหน้ารูปไข่และลำคอระหงที่มีสร้อยคอระย้าประดับอยู่
“นี่ๆ เมื่อกี๊ แอนแอบไปดูที่หน้าเวทีมาด้วยแหละ พวกไฮโซแล้วก็ผู้ชายหล่อๆเต็มเลย แต่ละคนใส่สูทผูกไทด์ดูเป็นผู้ดีเหมือนในละครเลยอ่ะ” เอมมิกาสาวสังคมปีสอง วิ่งเข้ามาบอกด้วยสีหน้าระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ หลังจากแต่งตัวเสร็จเป็นคนแรกหญิงสาวก็ไปแอบซุ่มดูข้างหน้าเวทีซึ่งได้ยินทีมงานบอกว่าเป็นที่นั่งของเหล่าบรรดาผู้บริหารและแขกกิตติมศักดิ์ที่ถูกเชิญมาร่วมงาน และเธอก็ได้เห็นบรรดาไฮโซทั้งหลายที่เคยเห็นในหนังสือพิมพ์หน้าสังคม แต่ละคนมาในชุดสวยหรูดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย แถมหน้าตาแต่ละคนยังสวยหล่อระดับดารากันทั้งนั้น คนรวยๆนี่ช่างมีชีวิตที่น่าอิจฉาเสียจริง
“จริงหรอ ไปแอบดูบ้างซิ” บรรดาสาวๆทั้งแดนเซอร์และนักร้องที่แต่งตัวเสร็จแล้วต่างพากันเฮโลตามเอมมิกาไปทันทีอย่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นบรรดาไฮโซไฮซ้อของเมืองไทยตัวเป็นๆ ด้วยตาตัวเอง
“ไม่ไปกับเขาหรือน้องลี” ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองรุ่นพี่ในคณะเดียวกันถามขึ้นมาอย่างสนใจเหมือนกันแต่หล่อนยังมีหน้าที่ต้องทำอยู่ก็เลยไปดูด้วยไม่ได้
“ไม่เอาละคะ ลีรอฟังพี่ๆกลับมาเล่าดีกว่า แต่ตอนนี้ลีปวดฉี่ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นเวทีได้ไหมคะ” หญิงสาวหันไปถามพี่อิ๋วที่กำลังช่วยแต่งตัวให้แดนเซอร์มือเป็นระวิงเป็นเชิงบอกกึ่งๆขออนุญาต
“ไปซิจ๊ะ ให้ใครไปส่งดี ดูซิ ไปแอบดูหน้าเวทีกันหมดยายพวกนี้นี่” พี่อิ๋วบ่นอย่างเหนื่อยใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ลีไปเองก็ได้ อยู่ใกล้แค่นี้เอง เมื่อกี้ลีก็ไปส่งพี่แก้วมา ลีรู้ทางแล้วค่ะ”
“จ้ะ เดินระวังๆนะน้องลี แต่รีบหน่อยก็ดีจ้ะ ใกล้จะถึงคิวพวกเราขึ้นแสดงแล้ว” พี่อิ๋วบอกอย่างเป็นห่วงแต่ก็ละมือไปส่งไม่ได้
วนาลีพยักหน้ารับก่อนจะหอบชายกระโปรงตัวเองเดินออกจากฉากกั้นเป็นห้องแต่งตัวชั่วคราวออกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ตอนนี้บนเวทีกำลังเป็นการกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการอยู่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครมาใช้ห้องน้ำ หญิงสาวค่อยๆเดินไปช้าๆเพราะกลัวจะสะดุดชายกระโปรงตัวเองหัวคะมำเข้าให้ มันคงจะดูไม่จืด
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆเดินออกมาจากห้องน้ำมาล้างมือบริเวณก๊อกน้ำที่อยู่ข้างนอกพลางส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาดำๆพาดผ่านเข้ามาในกระจก หญิงสาวรีบหันกลับไปมองข้างหลังตัวเองทันทีอย่างตระหนก
ไม่มีอะไร เราตาฝาดไปเอง มันอาจจะเป็นแสงสะท้อนจากแสงไฟก็ได้ อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่าวนาลี หญิงสาวปลอบใจตัวเองทั้งที่หัวใจเต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ก่อนจะรีบรวบชายกระโปรงยาวๆของตัวเองออกวิ่งหน้าตั้งกลับไปที่หลังเวที แต่การวิ่งบนรองเท้าสูงสามนิ้วนี่มันช่างช้าไม่ทันใจเธอเลยจริงๆ
ไปได้ไม่ถึงครึ่งทางหญิงสาวก็ต้องหยุดวิ่งเพราะเหนื่อยอีกทั้งยังเจ็บเท้ามากๆอีกด้วย ก่อนจะหันหลังกลับไปดูข้างหลังก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เธอคงคิดมากจนหลอนตัวเอง หญิงสาวยกมือลูบอกก่อนจะหันกลับมาทางเดิม
“กรี๊ดดด ผี ช่วยด้วย” หญิงสาวหลุดเสียงร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับหลับตาปี๋เมื่อเห็นเงาทะมึนยืนขวางทางอยู่ประจันหน้ากันอย่างจัง มือบางยกขึ้นมาพนมมือไหว้ปะหลกๆ โดยอัตโนมัติ “แม่จ๋าช่วยหนูด้วย ไปที่ชอบๆเถอะนะ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย วันพรุ่งนี้ฉันจะทำบุญกรวดน้ำไปให้นะๆ”
อัศวินยืนมองผู้หญิงชุดแดงที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอย่างงงงวย ก่อนจะหันไปมองรอบตัวเพื่อหาสิ่งที่หญิงสาวพูดอย่างไม่กลัว แต่ก็ไม่เห็นมีใครนอกจากเขากับผู้หญิงที่ยืนก้มหน้าหลับตาปี๋แถมยังยกมือไหว้ราวกับเขาเป็นศาลพระภูมิ เออ…ไม่ใช่ซิ เธอบอกว่าเขาเป็นผีนี่นะ ชายหนุ่มฉุนกึก หน้าตาอย่างเขานี่นะผี เธอใช้ตาตุ่มดูหรือไง เอ๊ะ! หรือจะเป็นมารยาหญิงเสียก็ไม่รู้
ชายหนุ่มนึกก่อนจะเหยียดยิ้มหมิ่นๆ เพราะที่ผ่านมาเขาเจอกับสารพัดรูปแบบของผู้หญิงที่พยายามเสนอตัวเข้ามาทำความรู้จักเขา และทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาเกิดความสนใจในตัวพวกหล่อน แต่มาหาว่าเขาเป็นผีนี่ยังไม่เคยเห็น เล่นเอากับเธอหน่อยเป็นไง ดูซิว่าหญิงสาวจะทำอย่างไงต่อไป อัศวินยิ้มขี้เล่นออกมา ส่งผลให้ใบหน้าคมน่าดูขึ้นอีกมากโข เสียดายที่บรรดาสาวๆไม่มีโอกาสได้เห็นมุมนี้ของเขา
“มายอาว ข้าไม่ต้องการ” ชายหนุ่มแกล้งลากเสียงยานคาง เขากลั้นยิ้มจนปวดกรามไปหมด
“ละ..แล้วคุณจะอะ…เอาอะไร ฉะ…ฉันจะทำบุญไปให้นะ” หญิงสาวถามเสียงสั่น นี่ถ้าไม่ได้เข้าห้องน้ำมาก่อนเธอคงกลัวแทบฉี่ราด ไม่น่าเดินออกมาคนเดียวเลย แม่จ๋าช่วยคุ้มครองหนูด้วย หญิงสาวนึกถึงมารดาในใจแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ไปกันใหญ่แล้ว ท่าจะไม่ได้การ ชายหนุ่มคิดแล้วก็แตะไหล่บางเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมามองชัดๆว่าเขาไม่ใช่ผี แล้วก็เลิกเล่นละครเสียที
“นี่! คุณ…”
แต่ทันทีที่มือของเขาแตะถูกผิวเนื้ออุ่นของเธอ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมาแล้วกระโดดกอดเขาทันที เท่านั้นยังไม่พอหญิงสาวยังขึ้นมาเหยียบบนเท้าของเขาเสียเต็มรัก เล่นเอาชายหนุ่มเจ็บแทบน้ำตาเล็ด แม้เขาจะสวมรองเท้าหนังอย่างดีก็ตามเถอะแต่ตัวหล่อนก็ใช่ว่าจะเบาๆ
“ช่วยด้วย ผีหลอกฉัน ไล่มันไปที” หญิงสาวโหนตัวกอดคอร่างสูงใหญ่แน่นเมื่อแน่ใจว่าเขาเป็นคน ใครก็ไม่รู้ล่ะ ขอเกาะไว้ก่อน เธอกลัวจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้วนะ
“โอ๊ย! ปล่อยคอผมก่อนคุณ ผมจะหายใจไม่ออกแล้วนะ แล้วก็กรุณาลืมตาขึ้นมาดูด้วย ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้นแหละ เลิกแกล้งทำเป็นกลัวได้แล้ว ผมรู้ทันคุณหรอกน่า” ชายหนุ่มจับเอวบางดึงรั้นหญิงสาวออกห่างตัวอย่างเคืองๆ ผู้หญิงคนนี้มาแปลกกว่าผู้หญิงคนอื่นๆเพราะนอกจากจะไม่ทำให้เขาประทับใจแล้ว หล่อนยังทำให้เขาเจ็บตัวอีกด้วย
วนาลียอมลืมตาขึ้นมาแล้วเหลียวไปมองรอบๆตัวอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่พอไม่เห็นมีอะไรอย่างที่เขาบอก หญิงสาวก็แทบจะกระเด้งตัวออกห่างจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอย่างเขินอาย นี่เธอกลัวผีถึงขนาดกล้ากระโดดกอดคอผู้ชายเลยหรือนี่ น่าขายหน้าชะมัดเลยยายลี
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวยกมือพนมไหว้เขาพลางยิ้มแหยๆส่งให้เป็นทัพหน้า
“เป็นซิ คุณเล่นรัดคอผมแน่นขนาดนี้ แถมยังกระโดดขึ้นมาเหยียบเท้าผมอีก ผมไม่สลัดคุณตกไปกลิ้งอยู่กับพื้นก็ดีเท่าไรแล้ว” ชายหนุ่มกัดฟันพูดเสียงเรียบ เขาเจ็บเท้าจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่จะร้องโอยโอดไปก็เสียฟอร์มผู้ชายอย่างเขาหมด
“ฉันขอโทษจริงๆนะคะ คุณเจ็บมากหรือเปล่า ให้ฉันดูให้ไหมค่ะ” หญิงสาวทำท่าจะทรุดตัวลงไปดูที่เท้าของเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ขอโทษเถอะ เขาไม่เสี่ยงให้หล่อนมาโดนตัวเขาอีกหรอก เขาไม่อยากเจ็บตัวเพราะหล่อนอีกแล้ว
“ไม่ต้อง ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ” บอกก่อนจะถอยหลังห่างจากร่างของหญิงสาวอย่างหวาดๆเล็กน้อย
หญิงสาวยิ้มแห้งๆส่งให้อีกครั้งอย่างขอโทษ ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงามซีดจนเหลือสองนิ้ว ซุ่มซ่ามอะไรอย่างนี้นะ ทำให้คนอื่นต้องพลอยมาเจ็บตัวจนได้ วนาลีรู้สึกว่าตัวเองแย่มาก ใบหน้างามสลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนชายหนุ่มที่มองอย่างเฝ้าระวังอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ เขามองร่างบางที่ก้มตัวผ่านเขาไปด้วยความรู้สึกแปลกๆก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง
“ไม่ใช่เสียหน่อย แม่ก็ พี่ป้องเป็นพี่รหัสค่ะ” วนาลียิ้มอย่างเห็นขันกับข้อสันนิษฐานของแม่ ก่อนจะบอกเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เธออารมณ์ดีกับผู้เป็นแม่ว่า “หนูฝึกร้องเพลงต่างหากละคะแม่ หนูจะได้ออกงานแล้วนะคะ งานแรกของหนูจะต้องซ้อมให้ดีๆ หนูไม่ยอมไปปล่อยไก่บนเวทีหรอก” หญิงสาวเล่าอย่างตื่นเต้น
วนาลีสมัครเข้าเป็นสมาชิกของชมรมวงดนตรีของมหาวิทยาลัยซึ่งหญิงสาวก็ได้ตำแหน่งนักร้องน้องใหม่ของวงลูกทุ่งไทยซึ่งเป็นแนวเพลงที่หญิงสาวถนัดที่สุด ทุกกลางวันหญิงสาวจะต้องไปซ้อมร้องเพลงร่วมกับเพื่อนๆที่เล่นดนตรีและแดนเซอร์ซึ่งมาจากหลายคณะ ทำให้หญิงสาวได้เพื่อนใหม่ต่างคณะเพิ่มขึ้นอีกหลายคน
“จริงหรือลูก แล้วจะไปร้องที่ไหน กลับดึกไหมลูก” วนิดาถามลูกสาวอย่างห่วงใยตามประสาคนเป็นแม่
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พี่อิ๋วบอกว่าเป็นงานเลี้ยงของบริษัทอะไรสักอย่างนี่แหละ หนูจำชื่อไม่ได้” วนาลีเอ่ยถึงหัวหน้าวงผู้คล่องแคล่วก่อนจะพูดให้แม่สบายใจว่า “แต่แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เพราะดึกแค่ไหนพี่อิ๋วบอกว่าจะมาส่งทุกคนให้ถึงบ้านแน่นอนค่ะ”
“แม่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี” วนาลีละมือจากตู้เก็บของหันมามองลูกสาวอย่างไม่สบายใจ
ผู้เป็นลูกสาวรีบล้างมือให้สะอาดก่อนจะเดินเข้าไปกอดเอวมารดาคลอเคลียเหมือนลูกแมวพร้อมกับยิ้มประจบ “โธ่! แม่จ๋า ไม่มีอะไรน่ากลัวหรอกจ้ะ มีคนไปกับหนูเยอะแยะ แค่นักดนตรีกับแดนเซอร์ก็ยี่สิบกว่าคนแล้ว และที่สำคัญได้เงินด้วยนะแม่ หนูจะได้มีรายได้เสริมมาช่วยแม่อีกแรงไงละจ้ะ”
วนาลีพูดเกลี่ยกล่อมมารดาให้หายกังวลใจ เหตุผลที่เธอเข้าร่วมชมรมลูกทุ่งไทยของมหาวิทยาลัยเพราะนอกจากเธอจะชอบร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ที่สำคัญการออกงานแต่ละครั้งยังจะได้ค่าตอบแทนกลับมาอีกด้วยซึ่งเงินที่ได้มาก็มาจากค่าจ้างและทิปที่ลูกค้าให้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายและกันเงินส่วนหนึ่งเข้ากองกลางแล้ว เงินที่เหลือก็จะถูกหารเพื่อแบ่งเท่าๆกันให้กับนักดนตรี นักร้องและแดนเซอร์ทุกคนเป็นค่าตอบแทนความเสียสละเวลาของทุกคนซึ่งได้ช่วยกันสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยอีกทางหนึ่ง
“หนูจะเหนื่อยเกินไปหรือเปล่าลูก เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยแบบนี้นะ”
“ไม่เลยค่ะแม่ หนูมีความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่หนูรัก แม่ไม่ต้องห่วงหนูนะคะ หนูโตแล้ว รับรองว่าหนูจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี กลับมากอดแม่ครบสามสิบสองแน่ๆค่ะ และที่สำคัญมีเงินมาให้แม่ด้วย”
“งกเหมือนกันนะเราน่ะ เรื่องเงินแม่ไม่ห่วงหรอก ห่วงแต่เรานั้นแหละ” วนิดาบีบจมูกโด่งรั้นของลูกสาวเบาๆก่อนจะไล่ให้ไปทำงานต่อ วนาลียิ้มแก้มปริก่อนจะรีบกลับไปล้างจานต่อให้เสร็จจะได้รีบกลับบ้านเสียที
ผู้เป็นมารดาแอบมองลูกสาวที่ร้องเพลงต่ออย่างมีความสุขพร้อมกับทำงานไปด้วยอย่างนึกห่วงลูกอยู่ในใจ ความกังวลยังมีอยู่เต็มหัวใจ คงไม่มีแม่ที่ไหนหลับตาลงได้หากลูกยังไม่กลับถึงบ้าน แต่ที่หล่อนไม่ค้านอย่างถึงที่สุดก็เพราะไม่อยากขัดการตัดสินใจของลูก ตั้งแต่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย วนาลีก็ดูเหมือนจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ลูกสาวของหล่อนโตแล้ว และไม่เคยทำตัวเหลวไหล หล่อนไม่ควรกังวลมากเกินไป วนิดาบอกตัวเองพร้อมกับถอนหายใจยาว
รถตู้สองคันและรถหกล้อที่มีเครื่องดนตรีและผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถค่อยๆเลี้ยวเข้าไปที่หน้าโรงงานขนาดใหญ่ที่ตอนนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่วิ่งไปวิ่งมาเพื่อเตรียมงานใหญ่ที่จะมาถึงในเย็นวันนี้
“โห! โรงงานใหญ่จัง มีตั้งหลายหลังด้วย เจ้าของที่นี้คงจะรวยน่าดูเลยเนอะ” พรรณิภา แดนเซอร์สาวออกปากอุทานตาโตเมื่อเห็นอาณาจักรกว้างขวางของโรงงานที่พวกเธอนั่งรถผ่านเข้ามา หลายคนพยักหน้าเอออออย่างเห็นด้วยรวมถึงวนาลีที่มองดูบริเวณรอบๆงานที่มีโต๊ะจีนถูกจัดเรียงกันเป็นแถวๆอย่างเป็นระเบียบเต็มลานกว้าง งานนี้คงมีคนเข้าร่วมงานเป็นพันแน่นอน หญิงสาวชักจะตื่นเต้นจนเหงื่อซึมเต็มฝ่ามือ งานแรกเธอก็ได้ขึ้นเวทีใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ
รถที่เหล่านิสิตนั่งเคลื่อนเข้าไปจอดที่หลังเวทีใหญ่ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยผ้าสีสวยพันจีบเป็นช่อสวยงามพร้อมกับแสงสีแสงพร้อม ดูอลังการยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของทุกคน บนเวทีมีตัวหนังสือที่แกะจากจากโฟมด้วยแบบตัวอักษรที่สวยงามว่า
ก้าวสู่อนาคตที่สดใส ไปกับ Star kid
ฉลองครบรอบ 55 ปี บริษัท star kid จำกัด
“Star kid นี่ ที่ผลิตขนมขบเคี้ยวใช่ไหมอ่ะ” มีคนตั้งคำถามนำขึ้นมา ก่อนจะมีหลายคนนึกได้
“ใช่ นอกจากขนมแล้ว เขายังผลิตลูกอม หมากฝรั่ง น้ำผลไม้ และอีกตั้งแยะแยะที่กินได้นะ จำได้ไม่หมดอ่ะ”
ทุกคนอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น บางคนก็เพ้อฝันถึงเจ้าของโรงงานสุดหล่อ เผื่อว่าตัวเองจะได้โชคดีมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาขอเป็นแฟนบ้าง ชีวิตนี้คงสบายไปทั้งชาติ
“นี่ๆๆ เลิกเพ้อผันกันได้แล้วจ๊ะพวกเธอ เจ้าของบริษัทนะหล่อจริงแต่แต่งงานแล้วแถมมีลูกที่อายุไล่ๆกับพวกเธอด้วย ยังคิดจะสนใจกันอยู่ไหมจ๊ะ” พี่อิ๋วหัวหน้าวงรีบเบรกก่อนที่น้องๆจะพากันลอยไปมากกว่านี้ หมู่สาวๆในรถต่างก็บ่นเสียดายกันเป็นแถวแต่ก็ไม่มีใครจริงจังแต่อย่างใด
เมื่อรถหยุดลงที่หลังเวทีใหญ่หัวหน้าวงสาวก็เริ่มออกคำสั่งให้น้องๆทุกคนลงจากรถ เพื่อที่จะได้แต่งหน้าแต่งตัว เตรียมแสดงในเวลาสองทุ่มตรงหลังจากพิธีการของทางบริษัทเสร็จสิ้นลง ส่วนบรรดาเหล่านักดนตรีทั้งหลายต่างก็เร่งมือขนเครื่องคนตรีขึ้นไปติดตั้งบนเวทีพร้อมกับลองเครื่องเสียงไปด้วยโดยมีเจ้าหน้าที่ของบริษัทคอยประสานงานและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
หลังจากทานอาหารเย็นที่ทีมงานจัดเตรียมให้แล้ว เหล่านักร้องและแดนเซอร์ต่างก็ลงมือช่วยกันแต่งหน้าแต่งตัวด้วยความเร่งรีบ เพราะพิธีการข้างหน้าเวทีได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเธอจะต้องขึ้นแสดงต่อจากพิธีการเสร็จสิ้นลง วนาลีในชุดเกาะอกสีแดงเลือดนกประดับเลื่อมวิบวับสวยงาม กระโปรงยาวลากพื้นทำให้หญิงสาวเดินค่อนข้างลำบากเพราะนอกจากกลัวจะเหยียบชายกระโปรงของตัวเองแล้วหญิงสาวยังต้องพยายามทรงตัวอยู่บนร้องเท้าส้นสูงเกือบสามนิ้วอีกด้วย
ใบหน้าที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามเบ้เล็กน้อยเมื่อรู้สึกเจ็บหนังศีรษะเพราะผมของเธอกำลังถูกดึงขึ้นไปเกล้าเป็นช่อดอกกุหลาบอยู่หลังท้ายทอย อวดใบหน้ารูปไข่และลำคอระหงที่มีสร้อยคอระย้าประดับอยู่
“นี่ๆ เมื่อกี๊ แอนแอบไปดูที่หน้าเวทีมาด้วยแหละ พวกไฮโซแล้วก็ผู้ชายหล่อๆเต็มเลย แต่ละคนใส่สูทผูกไทด์ดูเป็นผู้ดีเหมือนในละครเลยอ่ะ” เอมมิกาสาวสังคมปีสอง วิ่งเข้ามาบอกด้วยสีหน้าระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ หลังจากแต่งตัวเสร็จเป็นคนแรกหญิงสาวก็ไปแอบซุ่มดูข้างหน้าเวทีซึ่งได้ยินทีมงานบอกว่าเป็นที่นั่งของเหล่าบรรดาผู้บริหารและแขกกิตติมศักดิ์ที่ถูกเชิญมาร่วมงาน และเธอก็ได้เห็นบรรดาไฮโซทั้งหลายที่เคยเห็นในหนังสือพิมพ์หน้าสังคม แต่ละคนมาในชุดสวยหรูดูดีตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย แถมหน้าตาแต่ละคนยังสวยหล่อระดับดารากันทั้งนั้น คนรวยๆนี่ช่างมีชีวิตที่น่าอิจฉาเสียจริง
“จริงหรอ ไปแอบดูบ้างซิ” บรรดาสาวๆทั้งแดนเซอร์และนักร้องที่แต่งตัวเสร็จแล้วต่างพากันเฮโลตามเอมมิกาไปทันทีอย่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นบรรดาไฮโซไฮซ้อของเมืองไทยตัวเป็นๆ ด้วยตาตัวเอง
“ไม่ไปกับเขาหรือน้องลี” ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองรุ่นพี่ในคณะเดียวกันถามขึ้นมาอย่างสนใจเหมือนกันแต่หล่อนยังมีหน้าที่ต้องทำอยู่ก็เลยไปดูด้วยไม่ได้
“ไม่เอาละคะ ลีรอฟังพี่ๆกลับมาเล่าดีกว่า แต่ตอนนี้ลีปวดฉี่ ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นเวทีได้ไหมคะ” หญิงสาวหันไปถามพี่อิ๋วที่กำลังช่วยแต่งตัวให้แดนเซอร์มือเป็นระวิงเป็นเชิงบอกกึ่งๆขออนุญาต
“ไปซิจ๊ะ ให้ใครไปส่งดี ดูซิ ไปแอบดูหน้าเวทีกันหมดยายพวกนี้นี่” พี่อิ๋วบ่นอย่างเหนื่อยใจ
“ไม่เป็นไรค่ะ ลีไปเองก็ได้ อยู่ใกล้แค่นี้เอง เมื่อกี้ลีก็ไปส่งพี่แก้วมา ลีรู้ทางแล้วค่ะ”
“จ้ะ เดินระวังๆนะน้องลี แต่รีบหน่อยก็ดีจ้ะ ใกล้จะถึงคิวพวกเราขึ้นแสดงแล้ว” พี่อิ๋วบอกอย่างเป็นห่วงแต่ก็ละมือไปส่งไม่ได้
วนาลีพยักหน้ารับก่อนจะหอบชายกระโปรงตัวเองเดินออกจากฉากกั้นเป็นห้องแต่งตัวชั่วคราวออกไปเข้าห้องน้ำคนเดียว ตอนนี้บนเวทีกำลังเป็นการกล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการอยู่ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครมาใช้ห้องน้ำ หญิงสาวค่อยๆเดินไปช้าๆเพราะกลัวจะสะดุดชายกระโปรงตัวเองหัวคะมำเข้าให้ มันคงจะดูไม่จืด
เมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆเดินออกมาจากห้องน้ำมาล้างมือบริเวณก๊อกน้ำที่อยู่ข้างนอกพลางส่องกระจกดูความเรียบร้อยของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเงาดำๆพาดผ่านเข้ามาในกระจก หญิงสาวรีบหันกลับไปมองข้างหลังตัวเองทันทีอย่างตระหนก
ไม่มีอะไร เราตาฝาดไปเอง มันอาจจะเป็นแสงสะท้อนจากแสงไฟก็ได้ อย่าปอดแหกไปหน่อยเลยน่าวนาลี หญิงสาวปลอบใจตัวเองทั้งที่หัวใจเต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมานอกอก ก่อนจะรีบรวบชายกระโปรงยาวๆของตัวเองออกวิ่งหน้าตั้งกลับไปที่หลังเวที แต่การวิ่งบนรองเท้าสูงสามนิ้วนี่มันช่างช้าไม่ทันใจเธอเลยจริงๆ
ไปได้ไม่ถึงครึ่งทางหญิงสาวก็ต้องหยุดวิ่งเพราะเหนื่อยอีกทั้งยังเจ็บเท้ามากๆอีกด้วย ก่อนจะหันหลังกลับไปดูข้างหลังก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ เธอคงคิดมากจนหลอนตัวเอง หญิงสาวยกมือลูบอกก่อนจะหันกลับมาทางเดิม
“กรี๊ดดด ผี ช่วยด้วย” หญิงสาวหลุดเสียงร้องออกมาอย่างตกใจพร้อมกับหลับตาปี๋เมื่อเห็นเงาทะมึนยืนขวางทางอยู่ประจันหน้ากันอย่างจัง มือบางยกขึ้นมาพนมมือไหว้ปะหลกๆ โดยอัตโนมัติ “แม่จ๋าช่วยหนูด้วย ไปที่ชอบๆเถอะนะ อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย วันพรุ่งนี้ฉันจะทำบุญกรวดน้ำไปให้นะๆ”
อัศวินยืนมองผู้หญิงชุดแดงที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าอย่างงงงวย ก่อนจะหันไปมองรอบตัวเพื่อหาสิ่งที่หญิงสาวพูดอย่างไม่กลัว แต่ก็ไม่เห็นมีใครนอกจากเขากับผู้หญิงที่ยืนก้มหน้าหลับตาปี๋แถมยังยกมือไหว้ราวกับเขาเป็นศาลพระภูมิ เออ…ไม่ใช่ซิ เธอบอกว่าเขาเป็นผีนี่นะ ชายหนุ่มฉุนกึก หน้าตาอย่างเขานี่นะผี เธอใช้ตาตุ่มดูหรือไง เอ๊ะ! หรือจะเป็นมารยาหญิงเสียก็ไม่รู้
ชายหนุ่มนึกก่อนจะเหยียดยิ้มหมิ่นๆ เพราะที่ผ่านมาเขาเจอกับสารพัดรูปแบบของผู้หญิงที่พยายามเสนอตัวเข้ามาทำความรู้จักเขา และทำทุกวิถีทางที่จะทำให้เขาเกิดความสนใจในตัวพวกหล่อน แต่มาหาว่าเขาเป็นผีนี่ยังไม่เคยเห็น เล่นเอากับเธอหน่อยเป็นไง ดูซิว่าหญิงสาวจะทำอย่างไงต่อไป อัศวินยิ้มขี้เล่นออกมา ส่งผลให้ใบหน้าคมน่าดูขึ้นอีกมากโข เสียดายที่บรรดาสาวๆไม่มีโอกาสได้เห็นมุมนี้ของเขา
“มายอาว ข้าไม่ต้องการ” ชายหนุ่มแกล้งลากเสียงยานคาง เขากลั้นยิ้มจนปวดกรามไปหมด
“ละ..แล้วคุณจะอะ…เอาอะไร ฉะ…ฉันจะทำบุญไปให้นะ” หญิงสาวถามเสียงสั่น นี่ถ้าไม่ได้เข้าห้องน้ำมาก่อนเธอคงกลัวแทบฉี่ราด ไม่น่าเดินออกมาคนเดียวเลย แม่จ๋าช่วยคุ้มครองหนูด้วย หญิงสาวนึกถึงมารดาในใจแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
ไปกันใหญ่แล้ว ท่าจะไม่ได้การ ชายหนุ่มคิดแล้วก็แตะไหล่บางเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมามองชัดๆว่าเขาไม่ใช่ผี แล้วก็เลิกเล่นละครเสียที
“นี่! คุณ…”
แต่ทันทีที่มือของเขาแตะถูกผิวเนื้ออุ่นของเธอ หญิงสาวก็ลืมตาขึ้นมาแล้วกระโดดกอดเขาทันที เท่านั้นยังไม่พอหญิงสาวยังขึ้นมาเหยียบบนเท้าของเขาเสียเต็มรัก เล่นเอาชายหนุ่มเจ็บแทบน้ำตาเล็ด แม้เขาจะสวมรองเท้าหนังอย่างดีก็ตามเถอะแต่ตัวหล่อนก็ใช่ว่าจะเบาๆ
“ช่วยด้วย ผีหลอกฉัน ไล่มันไปที” หญิงสาวโหนตัวกอดคอร่างสูงใหญ่แน่นเมื่อแน่ใจว่าเขาเป็นคน ใครก็ไม่รู้ล่ะ ขอเกาะไว้ก่อน เธอกลัวจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้วนะ
“โอ๊ย! ปล่อยคอผมก่อนคุณ ผมจะหายใจไม่ออกแล้วนะ แล้วก็กรุณาลืมตาขึ้นมาดูด้วย ไม่มีผีที่ไหนทั้งนั้นแหละ เลิกแกล้งทำเป็นกลัวได้แล้ว ผมรู้ทันคุณหรอกน่า” ชายหนุ่มจับเอวบางดึงรั้นหญิงสาวออกห่างตัวอย่างเคืองๆ ผู้หญิงคนนี้มาแปลกกว่าผู้หญิงคนอื่นๆเพราะนอกจากจะไม่ทำให้เขาประทับใจแล้ว หล่อนยังทำให้เขาเจ็บตัวอีกด้วย
วนาลียอมลืมตาขึ้นมาแล้วเหลียวไปมองรอบๆตัวอย่างกล้าๆกลัวๆ แต่พอไม่เห็นมีอะไรอย่างที่เขาบอก หญิงสาวก็แทบจะกระเด้งตัวออกห่างจากร่างสูงใหญ่ที่ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอย่างเขินอาย นี่เธอกลัวผีถึงขนาดกล้ากระโดดกอดคอผู้ชายเลยหรือนี่ น่าขายหน้าชะมัดเลยยายลี
“ขอโทษค่ะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” หญิงสาวยกมือพนมไหว้เขาพลางยิ้มแหยๆส่งให้เป็นทัพหน้า
“เป็นซิ คุณเล่นรัดคอผมแน่นขนาดนี้ แถมยังกระโดดขึ้นมาเหยียบเท้าผมอีก ผมไม่สลัดคุณตกไปกลิ้งอยู่กับพื้นก็ดีเท่าไรแล้ว” ชายหนุ่มกัดฟันพูดเสียงเรียบ เขาเจ็บเท้าจนแทบขยับตัวไม่ได้ แต่จะร้องโอยโอดไปก็เสียฟอร์มผู้ชายอย่างเขาหมด
“ฉันขอโทษจริงๆนะคะ คุณเจ็บมากหรือเปล่า ให้ฉันดูให้ไหมค่ะ” หญิงสาวทำท่าจะทรุดตัวลงไปดูที่เท้าของเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล แต่ขอโทษเถอะ เขาไม่เสี่ยงให้หล่อนมาโดนตัวเขาอีกหรอก เขาไม่อยากเจ็บตัวเพราะหล่อนอีกแล้ว
“ไม่ต้อง ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว คุณจะไปไหนก็ไปเถอะ” บอกก่อนจะถอยหลังห่างจากร่างของหญิงสาวอย่างหวาดๆเล็กน้อย
หญิงสาวยิ้มแห้งๆส่งให้อีกครั้งอย่างขอโทษ ใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงามซีดจนเหลือสองนิ้ว ซุ่มซ่ามอะไรอย่างนี้นะ ทำให้คนอื่นต้องพลอยมาเจ็บตัวจนได้ วนาลีรู้สึกว่าตัวเองแย่มาก ใบหน้างามสลดลงอย่างเห็นได้ชัดจนชายหนุ่มที่มองอย่างเฝ้าระวังอดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ เขามองร่างบางที่ก้มตัวผ่านเขาไปด้วยความรู้สึกแปลกๆก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง
อินทุอร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ต.ค. 2555, 16:06:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ต.ค. 2555, 21:03:48 น.
จำนวนการเข้าชม : 1312
<< เพื่อนใหม่ |