นิยามรักหัวใจร็อค ภาค 2 (นิยามรักของเจ้าชายเย็นชา)
เรื่องราวของอีริค หนุ่มลูกครึ่งฮ่องกงอังกฤษ ที่แสนจะเงียบขรึม คนที่เป็นหัวใจหลักของการทำงานดนตรีของ Evasion ผู้มีความหลังอันลึกลับ และขมขื่น ....
Tags: สิรินดา, นิยามรัก, หัวใจร็อค, แจ่มใส, ภาค 2,นิยาย, sirinda, jamsai, novels, love story, อีริค
ตอน: 26: อีริค...กับเลขาคนใหม่
บ่ายแล้วแต่คนป่วยยังไม่ได้แตะอาหารกลางวันที่สั่งมาพิเศษสำหรับเขาโดยเฉพาะ ไม่ใส่ใจพยาบาลที่พยายมเข้ามาจัดการเรื่องอาหาร เสียงประตูเปิด เสียงกระซิบกระซาบเบาๆ ที่บริเวณประตูห้องดึงความสนใจของคนป่วยให้กลับมาสู่โลกปัจจุบัน เพียงครู่เดียวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินอย่างแผ่วเบาจากหน้าประตูห้อง หนึ่งก้าว … สองก้าว สามก้าว เจ้าตัวรู้ได้ด้วยความรู้สึกว่าเจ้าของเสียงรอยเท้านั้นเป็นผู้หญิง
ไม่น่าเชื่อว่าการที่ประสาทตาของอีริคมีปัญหา กลับทำให้ประสาทหูของเขาดีขึ้นมาก เขาแทบจะเห็นภาพการเดินอย่างแผ่วเบาของคนที่หยุดลงข้างตัวเสียด้วยซ้ำ
“สงสัยจะหลับค่ะ ปกติเขาหลับเวลานี้หรือคะ” เสียงของผู้หญิงเหมือนจะเอ่ยกับการ์ดที่เดินตามมา
ปลายนิ้วอุ่นๆ แตะเข้าที่หลังมือข้างขวา
“ผมตื่นอยู่” เขาเอ่ยสวนกลับไปทันที
“อุ๊ย....เอ่อ สะ...สวัสดีค่ะคุณอีริค ฉันเป็นคนที่คุณอีวานส่งมาให้คอยช่วยเหลือดูแลคุณ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเสียงที่ตนเองได้ยินนั้นคุ้นเคยเสียเหลือเกิน…
“เอ่อ...คุณอีวานคงโทรมาบอกคุณแล้วใช่ไหมคะ”
เขาพยักหน้า เลือกที่จะเงียบ ใช้ความคิดทบทวนว่าคนตรงหน้าเป็นใครกัน…หรือจะเป็นนีรชา แฟนเจ้าเตโช ก็ไม่น่าจะใช่ ผู้หญิงคนนั้นเสียงนุ่มกว่านี้
“กำลังรออยู่พอดี เจ้าอีวานบอกหรือเปล่า ว่าคุณต้องทำอะไรให้ผมบ้าง” เขาทำท่าจะลุกขึ้น นั่นทำให้การ์ดรีบประชิดเตียงและพยุงเขาลงจากเตียงมาที่เก้าอี้สำหรับคนป่วยทันที
“ฉัน มีหน้าที่ดูแลให้ความสะดวกทุกอย่างที่คุณต้องการค่ะ จนกว่าคุณจะผ่าตัดตาเรียบร้อย ก็คงราวๆ สองสามอาทิตย์”
“ฉันอยากไปที่ระเบียง” คนป่วยบอก “อ้อ คุณเลขาฯ ช่วยเข็นไปให้หน่อย ตรัย นายไปเฝ้าหน้าห้องตามเดิมเถอะ”
การ์ดถอยกลับไปประจำที่เดิม อีกหนึ่งอึดใจเขารู้สึกว่าเก้าอี้ที่นั่งอยู่ถูกเข็นออกไป เสียงเปิดประตูระเบียง เก้าอี้ขยับอีกครั้ง
“มาถึงระเบียงแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า รับรู้ได้ถึงสายลมอ่อนๆ ปะทะหน้า นับแต่เข้ามาพักที่นี่ เขาเคยออกมาที่ระเบียงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น “ที่คุณบอกว่ามีหน้าที่อำนวยความสะดวกสบายนี่มันกินความแค่ไหนนะ” เขาถามขึ้นมาเสียเฉยๆ หลังจากเก้าอี้เข็นหยุดนิ่งแล้ว
กลิ่นน้ำหอมจางๆ เลื่อนเข้ามาใกล้คนถามอีกนิด “ก็ ทุกอย่างที่คุณต้องการ แล้วก็ไม่ลำบากเกินไปสำหรับฉันหรือค่ายที่จะทำให้ค่ะ”
คนบนเตียงปล่อยเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“เริ่มต้นด้วยอาหารกลางวันเลยดีไหมคะ พยาบาลหน้าห้องบอกว่าคุณยังไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
“ผมยังไม่หิว อยากทำงานมากกว่า ไหนเจ้าอีวานบอกว่าจะส่งผู้ช่วยเรื่องแต่งเพลงมาให้ผมล่ะ ทำไมเขาถึงยังไม่มา”
“เจ้าหน้าที่มาแล้วค่ะ เขารออยู่หน้าห้อง ฉันสั่งให้เขารออยู่ที่นั่น”
“เอ๊ะ”
“คุณต้องกินกลางวันก่อน”
“บอกว่ายังไม่หิว ผมคิดว่าอีวานจ้างคุณมาเอาใจผม ไม่ใช่มาสั่งผมตามใจแบบนี้นะ…ฮึ”
คนฟังท้าวเอวทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น “คุณอีวานจ้างให้ฉันมาดูแลคุณ แต่ไม่ใช่มาตามใจค่ะ ถ้ากินอาหารไม่หมด ก็อย่าหวังว่าคุณจะได้คุยเรื่องงาน”
“เอ๊ะ ผมไม่ใช่เด็กๆ…” คนเจ็บขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะจับพนักเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะต้องทิ้งตัวกลับลงไปตามเดิมเพราะปวดแปลบที่แขนด้านขวาซึ่งถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลจนถึงปลายนิ้ว
“เจ็บแล้วยังไม่เจียม” อีกฝ่ายพึมพำกับตัวเอง
“อะไรนะ”
“เปล๊า ไม่มีอะไร” น้ำเสียงคนตอบเหมือนจะเจือด้วยรอยยิ้ม “ตกลง จะกินข้าวหรือไม่กิน วันนี้มีสปาเก็ตตี้หอยลาย ได้ข่าวจากคนแถวนี้ว่ามันเป็นของโปรดของคุณด้วย หรือว่าจะให้ฉันไปสั่งให้ผู้ช่วยของคุณกลับบ้านไปดี”
“….”
เลขาคนใหม่อมยิ้ม และยิ้มเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องซึ่งเปิดตอนไหนเธอไม่ได้สังเกต การ์ดหน้าห้องคงได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งคู่ จึงได้เยี่ยมหน้าเข้ามาดู เธอทำสัญญานบอกเขาว่าไม่มีอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วง
“รอแป๊บนะคะ ฉันจะอุ่นอาหารมาให้คุณใหม่” หญิงสาวกลับเข้าห้อง เอาอาหารใส่ไมโครเวฟ เปิดตู้เย็น รินน้ำส้มใส่แก้ว พักใหญ่สปาเก็ตตี้ซอสครีมหอยลายก็ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ตรงหน้าคนเจ็บ
หญิงสาวขยับรถเข็นไปที่โต๊ะเล็กที่วางอาหารไว้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อมือซ้ายถูกสิ่งหนึ่งยัดใส่มือ เขาคลำมันจนรู้ว่าเป็นช้อนส้อม
“คุณจะให้ผมกินอาหารเอง!” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ตลอดอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา จะมีพยาบาลมาป้อนอาหารให้เขาเสมอ เพราะสายตาที่มองไม่เห็นของเขานั่นแหละ
“คุณแค่สายตามองไม่เห็น แต่มือไม่ได้พิการ แค่กินอาหารแค่นี้คงไม่ลำบากนักหรอกค่ะ นี่ ตรงนี้จานนะคะ ตรงนี้แก้วน้ำ ฉันรินน้ำส้มไว้ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกฉันได้ ฉันจะเข้าไปดูทีวีข้างใน”
“แต่….”
“เสร็จแล้วเรียกนะคะ ใช้เวลาตามสบาย” เธอตัดบท ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับเข้าไปในห้อง และเสียงเปิดโทรทัศน์
นี่เจ้าอีวานจ้างใครมาเนี่ย…ทำไมหล่อนไม่กลัวเขาเลย (วะ)
อีริคกำด้ามช้อนส้อม คิดจะปัดจานทิ้งให้สาสมกับความไม่พอใจที่คุกรุ่นอยู่รอบตัว แต่ประโยคสุดท้ายของเธอคนนั้นทำให้เขาสะดุดใจ…คุณแค่สายตามองไม่เห็น ไม่ได้มือพิการ…แค่กินอาหารแค่นี้คงไม่ลำบาก…ก็จริงนะ ถึงแม้จะไม่พอใจที่มีพยาบาลมาป้อนอาหารให้เหมือนเด็กๆ แต่เขาก็มัวแต่สงสารตัวเองว่าสายตามองไม่เห็นอะไร จนไม่คิดจะพยายามทำอะไรด้วยตัวเองเลยสักอย่างตลอดหลายวันที่ผ่านมา
เขาไม่อยากให้คนอื่นสงสารเขา แต่ตัวเองนี่แหละที่มองว่าไร้ความสามารถ มันน่าทุเรศหนักกว่าอีก…
ในที่สุด เจ้าตัวก็ลองเอาช้อนส้อมจิ้มลงไปตรงบริเวณที่เลขาของเขาบอกว่าเป็นจานอาหาร รอบแรก ไม่มีสปาเก็ตตี้ติดมาสักเส้น ปลายลิ้นของเขาลิ้มรสเพียงซอสครีมอุ่นๆ รอบสอง เขาต้องพยายามพันช้อนกับเส้นโดยใช้ความรู้สึกและจินตนาการ ดีขึ้นเล็กน้อย เส้นสปาเก็ตตี้ติดมานิดหน่อย มันค่อยๆ ดีขึ้นในรอบที่สองและสาม ในคำท้ายๆ เขาสามารถใช้ซ่อมสัมผัสกับหอยลายและจิ้มมันเข้าปากเองได้ด้วย
ชายหนุ่มวางช้อน “ผมอิ่มแล้ว กินได้แค่นี้แหละ” คนพูดกำลังจะเอาปลายนิ้วเช็ดที่มุมปากเพราะรู้สึกว่าซอสครีมติดอยู่ แต่ปรากฎว่าผ้าเช็ดปากจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะเข้าเสียก่อน
“น้ำค่ะ” เธอส่งแก้วใส่มือให้ “ในแก้วมีหลอดค่อย ๆ ดื่มนะคะ”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่ดื่มน้ำจากหลอดจนหมดแก้ว “เอาอีกไหมคะ”
คนเจ็บส่ายหน้า “ไม่ไหวแล้ว อิ่มจริงๆ”
“คุณทานไปแค่ครึ่งจานเอง”
“แค่นี้ก็เยอะแล้ว ผมไม่ค่อยหิว”
“ไม่ถูกปากหรือคะ” คนที่ดูเหมือนจะใจร้ายในตอนแรกชักใจอ่อน ตอนเห็นเขาพยายามตักอาหารด้วยความลำบาก เจ้าตัวขยับจะมาช่วยเสียหลายหน แต่ก็ต้องตัดใจ ยอมเชื่อฟังคุณหมอด้านจิตวิทยาที่ตนไปปรึกษามา ซึ่งบอกว่าหากไม่ทำแบบนี้ ชายหนุ่มผู้นี้จะไม่มีวันดีขึ้นเด็ดขาด
อีริคส่ายหน้าเพียงนิดเดียว “ผมอยากคุยเรื่องงานมากกว่า”
“ก็ได้ค่ะ มื้อนี้ฉันยอมให้ แต่มื้อต่อไปคุณต้องทานให้หมดนะ ว่าไง”
“ก็ได้…สัญญา”
หญิงสาวอมยิ้ม “ดีค่ะ ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยคุยกันได้นานหน่อย รอแป๊บนะคะ ฉันเก็บถาดอาหารก่อน เดี๋ยวจะไปตามคนที่รอทำงานกับคุณอยู่ให้"
ตรัยเดินเข้ามาในห้อง รับถาดอาหารไปจากผู้ดูแลคนใหม่ หญิงสาวเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เธอเลิกคิ้ว “มีอะไรคะ”
“คุณเก่งนะ ทำเอาผมผิดคาดไปเลย ไม่มีใครเอาเขาอยู่สักคน” เขากระซิบ
คนฟังยักไหล่ “ฉันมีที่ปรึกษาดีมากกว่าค่ะ”
ตรัยขี้เกียจจะค้าน “แล้วจะให้นุกูลเข้ามาได้หรือยังครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า
นุกูลเป็นหนึ่งในทีมที่เคยช่วยงาน Evasion ในการทำเพลงชุดล่าสุด ถึงแม้จะมีประสบการณ์ในการทำงาเพลงไม่มากนัก แต่ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่หัวไว และมีไอเดียใหม่ๆ เสมอ เขาทำความคุ้นเคยกับการทำงานร่วมกับอีริคคนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว นั่นทำให้การทำงานร่วมกันในขณะที่คนหนึ่งมองอะไรไม่เห็นไม่ยากลำบากนัก ทั้งคู่คุยกันอย่างเอาจริงเอาจังที่ระเบียงกว้างติดห้องคนป่วย กีตาร์ และคอมพิวเตอร์ที่นุกูลเอาติดมาด้วย เป็นอุปรกรณ์หลักในการทำงานของทั้งคู่ จากเพลงที่ไม่ค่อยเป็นเพลงในตอนแรก เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง
เลขาส่วนตัวของอีริค พาตัวเองไปนอนเอนตัวยกขาไขว้กันอ่านนิตยสารเกี่ยวกับแฟชั่นที่มีบริการอยู่ที่โซฟามุมหนึ่งในห้องพัก เธอเงยหน้าขึ้นมาดูผู้ชายสองคนที่คร่ำเคร่งกับการทำงานเป็นระยะๆ
ราวห้าโมงเย็น นายแพทย์เข้ามาขัดจังหวะชายหนุ่มทั้งสองเพื่อตรวจอาการตามปรกติ เป็นจังหวะที่นุกูลได้พักนิดหนึ่ง เขานั่งลงข้างๆ เลขาส่วนตัวของอีวานซึ่งอ่านหนังสือจนหลับไป เธอยันตัวขึ้นนั่งอมยิ้มเขินๆ
“งานเป็นไงบ้างคะ”
“ไม่เลวครับ ผมคิดว่าพรุ่งนี้อาจจะได้เพลงคร่าวๆ”
“เร็วขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ครับ อีริคเครื่องติดแล้ว คอนเส็ปต์เพลงที่เราคุยกันดีมาก เขาไม่สบายแล้วเปลี่ยนไปนะ ผมว่าเขาคมขึ้น”
หญิงสาวอมยิ้ม “ดีค่ะ ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น”
หมอหน้าเครียด หลังจากเอาคนป่วยขึ้นเตียงได้ เขาตรวจร่างกายคนเจ็บอย่างละเอียด กลับมาบอกคนดีๆ ที่อยู่ในห้องทั้งคู่ว่าคนป่วยควรจะนอนพักผ่อน ไม่ใช่มานั่งทำงานแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าวันนี้เราพอแค่นี้ก่อนดีกว่า” นุกูลเอ่ยกับนายแพทย์เจ้าของไข้
อีริคอ้าปากจะเถียง แต่เลขาส่วนตัวของเขาจับต้นแขนของเขาไว้เป็นเชิงเตือน “ดีค่ะ”
“ผมคิดว่าคืนนี้จะลองใส่ซาวด์ที่ละเอียดกว่านี้ พรุ่งนี้จะได้มาเติมส่วนที่ขาดให้สมบูรณ์ดีไหมครับคุณอีริค”
“ผมไม่เป็นไร ยังทำงานไหว”
“พักดีกว่าค่ะ”
“แต่”
“คุณไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้ภายในชั่ววันเดียวหรอกค่ะ ใจเย็นๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวก็ต้องนอนให้น้ำเกลือทำงานไม่ได้หรอก” หญิงสาวทำเสียงเข้ม “ให้คุณนุกูลกลับเถอะค่ะ คุณอีวานคงไม่อยากให้คุณทำงานจนเจ็บหนักไปกว่าเดิมนะคะ”
นายแพทย์พยักหน้าเห็นด้วย ส่วนคนเจ็บได้แต่นอนเม้มปากนิ่งอยู่
…ตกลง หล่อนถูกจ้างมาเป็นเลขาส่วนตัวของเขา หรือผู้จุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวทุกเรื่องกันแน่นะ…อีริคคิดในใจ
ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็จำยอมขึ้นเตียงพักผ่อน ปล่อยให้หมอสั่งยาบำรุงให้อีกสองสามขนาน คนเฝ้าไข้ของเขาเดินออกจากห้องไปพร้อมหมอ หายไปพักใหญ่ กว่าจะกลับเข้ามาในห้อง เธอเดินมาหยุดอยู่ที่เตียงเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร…เขาได้ยินแต่เสียงถอนหายใจเบาๆ ของเธอ
หล่อนคงไปถามอาการของเขาจากนายแพทย์เจ้าของไข้สินะ ผลเป็นอย่างไรก็เดาได้จากน้ำเสียงถอนหายใจของเธอ
หมออาจจะบอกว่าหมดหวัง…ไม่มีทางหาย หรืออาจจะร้ายกว่านั้น อนาคตข้างหน้าดูมืดมนมากมายสำหรับชายหนุ่มที่กำลังเสพกับความสุขกับความสำเร็จของความฝันของตัวเองได้ไม่กี่ปีอย่างเขา
นับแต่มีเรื่องครอบครัวแตกร้าว อีริคใช้เรื่องดนตรีเป็นสิ่งที่บรรเทาความรู้สึกเศร้าหมองจากเรื่องเหล่านั้น ดนตรีให้ชีวิตใหม่ ให้เพื่อน ให้สังคม และอนาคต
หากสายตาของเขาใช้ไม่ได้ โลกของเขาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนะ…กลับไปเหงา อ้างว้าง ไร้ทิศทางเหมือนเดิมหรือเปล่า
“ห้าโมงแล้ว หิวหรือยังคะ วันนี้อยากกินอะไร ฉันจะโทรไปสั่งให้”
“ผม…”
“ยังไม่หิว” เธอตอบ แทนให้ “แต่คุณต้องกินยานะคะ ไม่หิวก็คงต้องทาน”
“ผมเข้าใจ” คนที่นอนอยู่บนเตียงถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณเลือกอะไรก็ได้มาสักอย่าง…”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงหญิงสาวยกหูโทรศัพท์ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องอาหาร คราวนี้เธอเป็นฝ่ายป้อนอาหารให้เขาด้วยตัวเอง
“เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยหัดทำอะไรด้วยตัวเองใหม่นะคะ วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว” เธอให้เหตุผลในการที่เปลี่ยนมาดูแลเขาเหมือนเด็กเล็กๆ ซึ่งเขาก็ปล่อยให้เธอทำแต่โดยดี
หลังจากมื้อเย็น พยาบาลก็เตรียมเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับคนป่วย และหญิงสาวคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะกลับ
“วันนี้ฉันกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ คุณอยากได้อะไรหรือเปล่า เผื่อฉันจะแวะซื้อให้เย็นนี้”
เธอได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พบกันค่ะ”
“เดี๋ยว”
คนที่กำลังจะก้าวออกไป ต้องชะงักเพราะถูกรั้งข้อมือไว้ ด้วยมือข้างที่ยังปกติของคนป่วย
“คะ…มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรารู้จักกันมาก่อนใช่ไหม”
“…เอ่อ คือว่า…ฉัน…”
น้ำเสียงแบบนั้นทำให้เขามั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิด “ผม…อยากจะบอกว่า ถ้าคุณไม่อยากจะบอกว่าเป็นใคร ก็ไม่ต้องลำบากใจบอกกันหรอก บางทีการที่เราทำเหมือนไม่รู้จักกันแบบนี้อาจจดีกว่า”
“คุณอีริค…”
“บอกสาด้วยว่าขอบใจนะที่เป็นห่วง…แต่…พรุ่งนี้คุณไม่ต้องมาหรอก ผมดูแลตัวเองได้…จริงๆ นะ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของคุณอีก ในทุกๆ ทาง”
“….”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยอะไร พยาบาลสองคนก็เปิดประตูเข้าห้องมา เธอจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องออกไปเงียบๆ
สรุปว่า สิ่งที่ทำมาทั้งหมดในวันนี้ มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลยใช่ไหม….
- - 20 ตค มาอับเดทตอนท้ายตอนนิดหน่อย
ไม่น่าเชื่อว่าการที่ประสาทตาของอีริคมีปัญหา กลับทำให้ประสาทหูของเขาดีขึ้นมาก เขาแทบจะเห็นภาพการเดินอย่างแผ่วเบาของคนที่หยุดลงข้างตัวเสียด้วยซ้ำ
“สงสัยจะหลับค่ะ ปกติเขาหลับเวลานี้หรือคะ” เสียงของผู้หญิงเหมือนจะเอ่ยกับการ์ดที่เดินตามมา
ปลายนิ้วอุ่นๆ แตะเข้าที่หลังมือข้างขวา
“ผมตื่นอยู่” เขาเอ่ยสวนกลับไปทันที
“อุ๊ย....เอ่อ สะ...สวัสดีค่ะคุณอีริค ฉันเป็นคนที่คุณอีวานส่งมาให้คอยช่วยเหลือดูแลคุณ”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเสียงที่ตนเองได้ยินนั้นคุ้นเคยเสียเหลือเกิน…
“เอ่อ...คุณอีวานคงโทรมาบอกคุณแล้วใช่ไหมคะ”
เขาพยักหน้า เลือกที่จะเงียบ ใช้ความคิดทบทวนว่าคนตรงหน้าเป็นใครกัน…หรือจะเป็นนีรชา แฟนเจ้าเตโช ก็ไม่น่าจะใช่ ผู้หญิงคนนั้นเสียงนุ่มกว่านี้
“กำลังรออยู่พอดี เจ้าอีวานบอกหรือเปล่า ว่าคุณต้องทำอะไรให้ผมบ้าง” เขาทำท่าจะลุกขึ้น นั่นทำให้การ์ดรีบประชิดเตียงและพยุงเขาลงจากเตียงมาที่เก้าอี้สำหรับคนป่วยทันที
“ฉัน มีหน้าที่ดูแลให้ความสะดวกทุกอย่างที่คุณต้องการค่ะ จนกว่าคุณจะผ่าตัดตาเรียบร้อย ก็คงราวๆ สองสามอาทิตย์”
“ฉันอยากไปที่ระเบียง” คนป่วยบอก “อ้อ คุณเลขาฯ ช่วยเข็นไปให้หน่อย ตรัย นายไปเฝ้าหน้าห้องตามเดิมเถอะ”
การ์ดถอยกลับไปประจำที่เดิม อีกหนึ่งอึดใจเขารู้สึกว่าเก้าอี้ที่นั่งอยู่ถูกเข็นออกไป เสียงเปิดประตูระเบียง เก้าอี้ขยับอีกครั้ง
“มาถึงระเบียงแล้วค่ะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า รับรู้ได้ถึงสายลมอ่อนๆ ปะทะหน้า นับแต่เข้ามาพักที่นี่ เขาเคยออกมาที่ระเบียงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น “ที่คุณบอกว่ามีหน้าที่อำนวยความสะดวกสบายนี่มันกินความแค่ไหนนะ” เขาถามขึ้นมาเสียเฉยๆ หลังจากเก้าอี้เข็นหยุดนิ่งแล้ว
กลิ่นน้ำหอมจางๆ เลื่อนเข้ามาใกล้คนถามอีกนิด “ก็ ทุกอย่างที่คุณต้องการ แล้วก็ไม่ลำบากเกินไปสำหรับฉันหรือค่ายที่จะทำให้ค่ะ”
คนบนเตียงปล่อยเสียงหัวเราะหึๆ ในลำคอ
“เริ่มต้นด้วยอาหารกลางวันเลยดีไหมคะ พยาบาลหน้าห้องบอกว่าคุณยังไม่ยอมกินอะไรเลยตั้งแต่เช้า”
“ผมยังไม่หิว อยากทำงานมากกว่า ไหนเจ้าอีวานบอกว่าจะส่งผู้ช่วยเรื่องแต่งเพลงมาให้ผมล่ะ ทำไมเขาถึงยังไม่มา”
“เจ้าหน้าที่มาแล้วค่ะ เขารออยู่หน้าห้อง ฉันสั่งให้เขารออยู่ที่นั่น”
“เอ๊ะ”
“คุณต้องกินกลางวันก่อน”
“บอกว่ายังไม่หิว ผมคิดว่าอีวานจ้างคุณมาเอาใจผม ไม่ใช่มาสั่งผมตามใจแบบนี้นะ…ฮึ”
คนฟังท้าวเอวทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็น “คุณอีวานจ้างให้ฉันมาดูแลคุณ แต่ไม่ใช่มาตามใจค่ะ ถ้ากินอาหารไม่หมด ก็อย่าหวังว่าคุณจะได้คุยเรื่องงาน”
“เอ๊ะ ผมไม่ใช่เด็กๆ…” คนเจ็บขมวดคิ้ว ทำท่าเหมือนจะจับพนักเก้าอี้ลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ ก่อนจะต้องทิ้งตัวกลับลงไปตามเดิมเพราะปวดแปลบที่แขนด้านขวาซึ่งถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผลจนถึงปลายนิ้ว
“เจ็บแล้วยังไม่เจียม” อีกฝ่ายพึมพำกับตัวเอง
“อะไรนะ”
“เปล๊า ไม่มีอะไร” น้ำเสียงคนตอบเหมือนจะเจือด้วยรอยยิ้ม “ตกลง จะกินข้าวหรือไม่กิน วันนี้มีสปาเก็ตตี้หอยลาย ได้ข่าวจากคนแถวนี้ว่ามันเป็นของโปรดของคุณด้วย หรือว่าจะให้ฉันไปสั่งให้ผู้ช่วยของคุณกลับบ้านไปดี”
“….”
เลขาคนใหม่อมยิ้ม และยิ้มเลยไปยังคนที่ยืนอยู่ที่ประตูห้องซึ่งเปิดตอนไหนเธอไม่ได้สังเกต การ์ดหน้าห้องคงได้ยินเสียงทะเลาะกันของทั้งคู่ จึงได้เยี่ยมหน้าเข้ามาดู เธอทำสัญญานบอกเขาว่าไม่มีอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วง
“รอแป๊บนะคะ ฉันจะอุ่นอาหารมาให้คุณใหม่” หญิงสาวกลับเข้าห้อง เอาอาหารใส่ไมโครเวฟ เปิดตู้เย็น รินน้ำส้มใส่แก้ว พักใหญ่สปาเก็ตตี้ซอสครีมหอยลายก็ส่งกลิ่นหอมฉุยอยู่ตรงหน้าคนเจ็บ
หญิงสาวขยับรถเข็นไปที่โต๊ะเล็กที่วางอาหารไว้ ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อมือซ้ายถูกสิ่งหนึ่งยัดใส่มือ เขาคลำมันจนรู้ว่าเป็นช้อนส้อม
“คุณจะให้ผมกินอาหารเอง!” ชายหนุ่มถามด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ตลอดอาทิตย์กว่าที่ผ่านมา จะมีพยาบาลมาป้อนอาหารให้เขาเสมอ เพราะสายตาที่มองไม่เห็นของเขานั่นแหละ
“คุณแค่สายตามองไม่เห็น แต่มือไม่ได้พิการ แค่กินอาหารแค่นี้คงไม่ลำบากนักหรอกค่ะ นี่ ตรงนี้จานนะคะ ตรงนี้แก้วน้ำ ฉันรินน้ำส้มไว้ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็เรียกฉันได้ ฉันจะเข้าไปดูทีวีข้างใน”
“แต่….”
“เสร็จแล้วเรียกนะคะ ใช้เวลาตามสบาย” เธอตัดบท ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินกลับเข้าไปในห้อง และเสียงเปิดโทรทัศน์
นี่เจ้าอีวานจ้างใครมาเนี่ย…ทำไมหล่อนไม่กลัวเขาเลย (วะ)
อีริคกำด้ามช้อนส้อม คิดจะปัดจานทิ้งให้สาสมกับความไม่พอใจที่คุกรุ่นอยู่รอบตัว แต่ประโยคสุดท้ายของเธอคนนั้นทำให้เขาสะดุดใจ…คุณแค่สายตามองไม่เห็น ไม่ได้มือพิการ…แค่กินอาหารแค่นี้คงไม่ลำบาก…ก็จริงนะ ถึงแม้จะไม่พอใจที่มีพยาบาลมาป้อนอาหารให้เหมือนเด็กๆ แต่เขาก็มัวแต่สงสารตัวเองว่าสายตามองไม่เห็นอะไร จนไม่คิดจะพยายามทำอะไรด้วยตัวเองเลยสักอย่างตลอดหลายวันที่ผ่านมา
เขาไม่อยากให้คนอื่นสงสารเขา แต่ตัวเองนี่แหละที่มองว่าไร้ความสามารถ มันน่าทุเรศหนักกว่าอีก…
ในที่สุด เจ้าตัวก็ลองเอาช้อนส้อมจิ้มลงไปตรงบริเวณที่เลขาของเขาบอกว่าเป็นจานอาหาร รอบแรก ไม่มีสปาเก็ตตี้ติดมาสักเส้น ปลายลิ้นของเขาลิ้มรสเพียงซอสครีมอุ่นๆ รอบสอง เขาต้องพยายามพันช้อนกับเส้นโดยใช้ความรู้สึกและจินตนาการ ดีขึ้นเล็กน้อย เส้นสปาเก็ตตี้ติดมานิดหน่อย มันค่อยๆ ดีขึ้นในรอบที่สองและสาม ในคำท้ายๆ เขาสามารถใช้ซ่อมสัมผัสกับหอยลายและจิ้มมันเข้าปากเองได้ด้วย
ชายหนุ่มวางช้อน “ผมอิ่มแล้ว กินได้แค่นี้แหละ” คนพูดกำลังจะเอาปลายนิ้วเช็ดที่มุมปากเพราะรู้สึกว่าซอสครีมติดอยู่ แต่ปรากฎว่าผ้าเช็ดปากจากปลายนิ้วของอีกฝ่ายแตะเข้าเสียก่อน
“น้ำค่ะ” เธอส่งแก้วใส่มือให้ “ในแก้วมีหลอดค่อย ๆ ดื่มนะคะ”
หญิงสาวมองชายหนุ่มที่ดื่มน้ำจากหลอดจนหมดแก้ว “เอาอีกไหมคะ”
คนเจ็บส่ายหน้า “ไม่ไหวแล้ว อิ่มจริงๆ”
“คุณทานไปแค่ครึ่งจานเอง”
“แค่นี้ก็เยอะแล้ว ผมไม่ค่อยหิว”
“ไม่ถูกปากหรือคะ” คนที่ดูเหมือนจะใจร้ายในตอนแรกชักใจอ่อน ตอนเห็นเขาพยายามตักอาหารด้วยความลำบาก เจ้าตัวขยับจะมาช่วยเสียหลายหน แต่ก็ต้องตัดใจ ยอมเชื่อฟังคุณหมอด้านจิตวิทยาที่ตนไปปรึกษามา ซึ่งบอกว่าหากไม่ทำแบบนี้ ชายหนุ่มผู้นี้จะไม่มีวันดีขึ้นเด็ดขาด
อีริคส่ายหน้าเพียงนิดเดียว “ผมอยากคุยเรื่องงานมากกว่า”
“ก็ได้ค่ะ มื้อนี้ฉันยอมให้ แต่มื้อต่อไปคุณต้องทานให้หมดนะ ว่าไง”
“ก็ได้…สัญญา”
หญิงสาวอมยิ้ม “ดีค่ะ ว่าง่ายๆ แบบนี้ค่อยคุยกันได้นานหน่อย รอแป๊บนะคะ ฉันเก็บถาดอาหารก่อน เดี๋ยวจะไปตามคนที่รอทำงานกับคุณอยู่ให้"
ตรัยเดินเข้ามาในห้อง รับถาดอาหารไปจากผู้ดูแลคนใหม่ หญิงสาวเห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เธอเลิกคิ้ว “มีอะไรคะ”
“คุณเก่งนะ ทำเอาผมผิดคาดไปเลย ไม่มีใครเอาเขาอยู่สักคน” เขากระซิบ
คนฟังยักไหล่ “ฉันมีที่ปรึกษาดีมากกว่าค่ะ”
ตรัยขี้เกียจจะค้าน “แล้วจะให้นุกูลเข้ามาได้หรือยังครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า
นุกูลเป็นหนึ่งในทีมที่เคยช่วยงาน Evasion ในการทำเพลงชุดล่าสุด ถึงแม้จะมีประสบการณ์ในการทำงาเพลงไม่มากนัก แต่ก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่หัวไว และมีไอเดียใหม่ๆ เสมอ เขาทำความคุ้นเคยกับการทำงานร่วมกับอีริคคนใหม่ได้อย่างรวดเร็ว นั่นทำให้การทำงานร่วมกันในขณะที่คนหนึ่งมองอะไรไม่เห็นไม่ยากลำบากนัก ทั้งคู่คุยกันอย่างเอาจริงเอาจังที่ระเบียงกว้างติดห้องคนป่วย กีตาร์ และคอมพิวเตอร์ที่นุกูลเอาติดมาด้วย เป็นอุปรกรณ์หลักในการทำงานของทั้งคู่ จากเพลงที่ไม่ค่อยเป็นเพลงในตอนแรก เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปร่วมชั่วโมง
เลขาส่วนตัวของอีริค พาตัวเองไปนอนเอนตัวยกขาไขว้กันอ่านนิตยสารเกี่ยวกับแฟชั่นที่มีบริการอยู่ที่โซฟามุมหนึ่งในห้องพัก เธอเงยหน้าขึ้นมาดูผู้ชายสองคนที่คร่ำเคร่งกับการทำงานเป็นระยะๆ
ราวห้าโมงเย็น นายแพทย์เข้ามาขัดจังหวะชายหนุ่มทั้งสองเพื่อตรวจอาการตามปรกติ เป็นจังหวะที่นุกูลได้พักนิดหนึ่ง เขานั่งลงข้างๆ เลขาส่วนตัวของอีวานซึ่งอ่านหนังสือจนหลับไป เธอยันตัวขึ้นนั่งอมยิ้มเขินๆ
“งานเป็นไงบ้างคะ”
“ไม่เลวครับ ผมคิดว่าพรุ่งนี้อาจจะได้เพลงคร่าวๆ”
“เร็วขนาดนั้นเลยหรือคะ”
“ครับ อีริคเครื่องติดแล้ว คอนเส็ปต์เพลงที่เราคุยกันดีมาก เขาไม่สบายแล้วเปลี่ยนไปนะ ผมว่าเขาคมขึ้น”
หญิงสาวอมยิ้ม “ดีค่ะ ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น”
หมอหน้าเครียด หลังจากเอาคนป่วยขึ้นเตียงได้ เขาตรวจร่างกายคนเจ็บอย่างละเอียด กลับมาบอกคนดีๆ ที่อยู่ในห้องทั้งคู่ว่าคนป่วยควรจะนอนพักผ่อน ไม่ใช่มานั่งทำงานแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นผมคิดว่าวันนี้เราพอแค่นี้ก่อนดีกว่า” นุกูลเอ่ยกับนายแพทย์เจ้าของไข้
อีริคอ้าปากจะเถียง แต่เลขาส่วนตัวของเขาจับต้นแขนของเขาไว้เป็นเชิงเตือน “ดีค่ะ”
“ผมคิดว่าคืนนี้จะลองใส่ซาวด์ที่ละเอียดกว่านี้ พรุ่งนี้จะได้มาเติมส่วนที่ขาดให้สมบูรณ์ดีไหมครับคุณอีริค”
“ผมไม่เป็นไร ยังทำงานไหว”
“พักดีกว่าค่ะ”
“แต่”
“คุณไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้ภายในชั่ววันเดียวหรอกค่ะ ใจเย็นๆ หน่อยสิคะ เดี๋ยวก็ต้องนอนให้น้ำเกลือทำงานไม่ได้หรอก” หญิงสาวทำเสียงเข้ม “ให้คุณนุกูลกลับเถอะค่ะ คุณอีวานคงไม่อยากให้คุณทำงานจนเจ็บหนักไปกว่าเดิมนะคะ”
นายแพทย์พยักหน้าเห็นด้วย ส่วนคนเจ็บได้แต่นอนเม้มปากนิ่งอยู่
…ตกลง หล่อนถูกจ้างมาเป็นเลขาส่วนตัวของเขา หรือผู้จุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวทุกเรื่องกันแน่นะ…อีริคคิดในใจ
ถึงแม้จะไม่พอใจ แต่ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็จำยอมขึ้นเตียงพักผ่อน ปล่อยให้หมอสั่งยาบำรุงให้อีกสองสามขนาน คนเฝ้าไข้ของเขาเดินออกจากห้องไปพร้อมหมอ หายไปพักใหญ่ กว่าจะกลับเข้ามาในห้อง เธอเดินมาหยุดอยู่ที่เตียงเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร…เขาได้ยินแต่เสียงถอนหายใจเบาๆ ของเธอ
หล่อนคงไปถามอาการของเขาจากนายแพทย์เจ้าของไข้สินะ ผลเป็นอย่างไรก็เดาได้จากน้ำเสียงถอนหายใจของเธอ
หมออาจจะบอกว่าหมดหวัง…ไม่มีทางหาย หรืออาจจะร้ายกว่านั้น อนาคตข้างหน้าดูมืดมนมากมายสำหรับชายหนุ่มที่กำลังเสพกับความสุขกับความสำเร็จของความฝันของตัวเองได้ไม่กี่ปีอย่างเขา
นับแต่มีเรื่องครอบครัวแตกร้าว อีริคใช้เรื่องดนตรีเป็นสิ่งที่บรรเทาความรู้สึกเศร้าหมองจากเรื่องเหล่านั้น ดนตรีให้ชีวิตใหม่ ให้เพื่อน ให้สังคม และอนาคต
หากสายตาของเขาใช้ไม่ได้ โลกของเขาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรนะ…กลับไปเหงา อ้างว้าง ไร้ทิศทางเหมือนเดิมหรือเปล่า
“ห้าโมงแล้ว หิวหรือยังคะ วันนี้อยากกินอะไร ฉันจะโทรไปสั่งให้”
“ผม…”
“ยังไม่หิว” เธอตอบ แทนให้ “แต่คุณต้องกินยานะคะ ไม่หิวก็คงต้องทาน”
“ผมเข้าใจ” คนที่นอนอยู่บนเตียงถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณเลือกอะไรก็ได้มาสักอย่าง…”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงหญิงสาวยกหูโทรศัพท์ พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องอาหาร คราวนี้เธอเป็นฝ่ายป้อนอาหารให้เขาด้วยตัวเอง
“เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยหัดทำอะไรด้วยตัวเองใหม่นะคะ วันนี้คุณเหนื่อยมากแล้ว” เธอให้เหตุผลในการที่เปลี่ยนมาดูแลเขาเหมือนเด็กเล็กๆ ซึ่งเขาก็ปล่อยให้เธอทำแต่โดยดี
หลังจากมื้อเย็น พยาบาลก็เตรียมเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับคนป่วย และหญิงสาวคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะกลับ
“วันนี้ฉันกลับก่อนนะคะ พรุ่งนี้เจอกันใหม่ คุณอยากได้อะไรหรือเปล่า เผื่อฉันจะแวะซื้อให้เย็นนี้”
เธอได้รับคำตอบเป็นการส่ายหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พบกันค่ะ”
“เดี๋ยว”
คนที่กำลังจะก้าวออกไป ต้องชะงักเพราะถูกรั้งข้อมือไว้ ด้วยมือข้างที่ยังปกติของคนป่วย
“คะ…มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เรารู้จักกันมาก่อนใช่ไหม”
“…เอ่อ คือว่า…ฉัน…”
น้ำเสียงแบบนั้นทำให้เขามั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิด “ผม…อยากจะบอกว่า ถ้าคุณไม่อยากจะบอกว่าเป็นใคร ก็ไม่ต้องลำบากใจบอกกันหรอก บางทีการที่เราทำเหมือนไม่รู้จักกันแบบนี้อาจจดีกว่า”
“คุณอีริค…”
“บอกสาด้วยว่าขอบใจนะที่เป็นห่วง…แต่…พรุ่งนี้คุณไม่ต้องมาหรอก ผมดูแลตัวเองได้…จริงๆ นะ ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวของคุณอีก ในทุกๆ ทาง”
“….”
ไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยอะไร พยาบาลสองคนก็เปิดประตูเข้าห้องมา เธอจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะก้าวออกจากประตูห้องออกไปเงียบๆ
สรุปว่า สิ่งที่ทำมาทั้งหมดในวันนี้ มันไม่มีอะไรดีขึ้นเลยใช่ไหม….
- - 20 ตค มาอับเดทตอนท้ายตอนนิดหน่อย
สิรินดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ต.ค. 2555, 21:35:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ต.ค. 2555, 23:08:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 6305
27: ไม่ใช่เรื่องที่จะล้มเลิกกันง่ายๆ >> |
สิรินดา 14 ต.ค. 2555, 21:36:52 น.
มาแล้วค่ะตอนที่ 26 แต่คาดว่าจะต้องมีอะไรหลุด หรือผิด (เหมือนเดิม) ใครจับผิดได้แจ้งด้วยนะคะ :)
มาแล้วค่ะตอนที่ 26 แต่คาดว่าจะต้องมีอะไรหลุด หรือผิด (เหมือนเดิม) ใครจับผิดได้แจ้งด้วยนะคะ :)
ใบบัวน่ารัก 14 ต.ค. 2555, 21:48:39 น.
มีคนมาให้กำลังใจ ต้องหายเร็วนะ
ห้ามเอาแต่ใจ หมอ พยาบาล คนดูและ
เค้าเหนื่อยใจนะ
มีคนมาให้กำลังใจ ต้องหายเร็วนะ
ห้ามเอาแต่ใจ หมอ พยาบาล คนดูและ
เค้าเหนื่อยใจนะ
kaelek 14 ต.ค. 2555, 22:09:16 น.
ใครหนอ คือเลขา
ใครหนอ คือเลขา
ของขวัญ 14 ต.ค. 2555, 23:20:17 น.
ท่าทางพยาบาลคนนี้ จะสามารถทำให้อีริคหายดีได้โดยไวแน่ๆ ค่ะ
ท่าทางพยาบาลคนนี้ จะสามารถทำให้อีริคหายดีได้โดยไวแน่ๆ ค่ะ
รัชต์ 15 ต.ค. 2555, 07:23:04 น.
ไหงหงอไปได้ล่ะอีริค...
ไหงหงอไปได้ล่ะอีริค...
คิมหันตุ์ 15 ต.ค. 2555, 09:27:53 น.
สู้ๆนะคุณเลขา
สู้ๆนะคุณเลขา
ตุ๊งแช่ 15 ต.ค. 2555, 09:57:23 น.
นึกว่าตาฝาด โดนคุมซะแล้ว
นึกว่าตาฝาด โดนคุมซะแล้ว
glory 15 ต.ค. 2555, 15:26:19 น.
ช้อนซ่อม => ช้อนส้อมค่ะ เห็นที่ผิด4ที่ค่ะ
ช้อนซ่อม => ช้อนส้อมค่ะ เห็นที่ผิด4ที่ค่ะ
Hibara 15 ต.ค. 2555, 23:42:01 น.
:)) รอตอนที่ 27 (กดดันกันไป อิอิ)
:)) รอตอนที่ 27 (กดดันกันไป อิอิ)
konhin 16 ต.ค. 2555, 07:04:25 น.
อยากให้เป็นคนนั้น แต่เอ จะถึงขั้นจำเสียงไม่ได้เหรอ แหะๆ แอบสงสัยเพราะนักดนตรีส่วนใหญ่หูดี
อยากให้เป็นคนนั้น แต่เอ จะถึงขั้นจำเสียงไม่ได้เหรอ แหะๆ แอบสงสัยเพราะนักดนตรีส่วนใหญ่หูดี
สิรินดา 16 ต.ค. 2555, 23:59:33 น.
อ๊ะ ต้องอ่านกันต่อไป
อ๊ะ ต้องอ่านกันต่อไป
เพียงพลอย 18 ต.ค. 2555, 22:17:15 น.
เอาใจช่วยเลขาคนใหม่ อิอิ
เอาใจช่วยเลขาคนใหม่ อิอิ
dedy 19 ต.ค. 2555, 21:20:17 น.
ช้อนซ่อม ต้องใช้เป็นช้อนส้อม หรือป่าวคะ
ช้อนซ่อม ต้องใช้เป็นช้อนส้อม หรือป่าวคะ