แผนร้ายหมายรัก
ทาริกาคิดว่าชีวิตของตัวเองเหมือนละครน้ำเน่าที่ พ่อต้องมาตายตั้งแต่อายุ 15 เลยต้องมาอาศัยอยู่กับแม่เลี้ยงและพี่สาวใจร้ายแถม เคราะห์ซ้ำกรรมซัด แม่เลี้ยงที่เคยใจดียื่นคำขาดว่าต้องเรียนสายอาชีพ เพื่อมาช่วยทำงานร้านอาหาร ทาริกา ไม่เคยขัด แม้จะไม่ใช่คนที่ยอมคนเหมือนนางเอกละครน้ำเน่าแต่ก็ต้องอดทนกัดฟัน เธออดทนมาถึงสามปีจนเรียนจบคหกรรมมาอยู่ช่วยงานที่ร้านไม่ได้เรียนปริญญาเหมือนคนอื่น แต่มารดาของเธอคนนี้ก็ยังใจร้าย ขายเธอให้กับผู้ชายคนหนึ่งด้วยเงินสามแสนบาท !!!
อะไรนะ ?? เข้าใจผิด !!
แล้วเรื่องจริงมันคืออะไรกันแน่
ตกลง นี่จากนิยายเรื่อง "บำเรอรักซาตาน" กลายเป็น " ทายาทคืนเหย้า " ไปแล้วเหรอ ??
ทำไมล่ะ ????
อะไรนะ ?? เข้าใจผิด !!
แล้วเรื่องจริงมันคืออะไรกันแน่
ตกลง นี่จากนิยายเรื่อง "บำเรอรักซาตาน" กลายเป็น " ทายาทคืนเหย้า " ไปแล้วเหรอ ??
ทำไมล่ะ ????
Tags: สมบัติ,น่ารัก,วางแผน,แกล้ง
ตอน: ตอนที่ 1 ความจริง [เข้ามากันเร๊ววว ^^]
ข่าวใหญ่ที่ลง หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ในเช้าวันนี้ทำให้พงศกรไม่สามารถที่จะนิ่งเฉยอยู่ได้อีกต่อไป เจ้าของรถยนต์สปอร์ตหรูสัญชาติอังกฤษที่กำลังติดแหง่กอยู่บนถนนสายหลัก ของกรุงเทพมหานครกำพวงมาลัยแน่น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียด ริมฝีปากหนาเม้มสนิทจนเกือบเป็นเส้นตรง ในยามนี้หัวใจของเขามันเต้นรัวเร็วกว่าที่เคยเป็น ในสมองมึนงงสับสนไปหมดกับเรื่องที่ตนเพิ่งได้รับรู้
เมื่อเช้านี้ภายในคอนโดส่วนสุดหรูใกล้สำนักงานใหญ่ของบริษัท หลังจากที่เขารับหนังสือพิมพ์มาอ่านเหมือนเช่นทุกวัน ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจกับพาดหัวข่าวตัวใหญ่ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันทั้ง สองฉบับ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ซึ่งลงข่าวสัมภาษณ์เกี่ยวกับการจะสละบัลลังก์ผู้บริหารเครือ ‘พงษ์พิชญะกรุ๊ป’ ของบิดาด้วยวัยเจ็ดสิบปี นอกจากนั้นมีการถามถึงตัวของเขาซึ่งเป็นทายาทที่เกิดจากภรรยานอกสมรสถึง สิทธิในการรับมรดกพันล้านครั้งนี้ ก็เหมือนกับบิดาของเขาจะไม่ได้ตอบอะไรที่ชัดเจน จึงมีคอลัมภ์แซววงการธุรกิจเล็กๆ แยกออกจากเนื้อหาข่าวว่า เขาคงจะชวดจากการเป็นผู้รับมรดกเป็นแน่ จากนั้นเพียงไม่กี่นาที เสียงเครื่องมือสื่อสารของเขาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบีบี โทรศัทพ์พื้นฐานในห้อง หรือแม้แต่โทรศัพท์จอสัมผัสเครื่องหรูซึ่งมีแต่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะทราบ เบอร์นี้ ต่างก็แข่งกันกรีดร้องอย่างไม่มีใครยอมใคร ชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าอีกไม่นานนักข่าวคงจะต้องแห่กันมายังคอนโดของเขาเป็น แน่ พงศกรตัดสินใจที่จะไม่รับสายใครเลยสักคนเดียว ไม่ว่าคนที่โทรมานั้นจะเป็นคนสำคัญขนาดไหนก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาจะทำในวินาทีนี้ คือการกลับไปยังคฤหาสน์ที่บิดาและมารดาทั้งสามคนของเขาอาศัยอยู่ให้เร็วที่ สุดเท่าที่จะทำได้
พงศกรนิ่ว หน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นกองทัพนักข่าวเกือบยี่สิบชีวิตออกันอยู่เห็น หน้าประตูคฤหาสน์ จำได้ว่า บางคนก็เป็นคนที่เพิ่งจะกลับมาจากการตามไปเฝ้าเขาที่คอนโด ทำให้ชายหนุ่มอดจะทึ่งในความสามารถไม่ได้ว่าการจราจรที่ติดขัดอย่างสาหัสใน เช้าวันจันทร์ ไม่สามารถขัดขวางความเร็วของคนพวกนี้ได้เลย สมแล้วกับการที่ได้รับสมยานามว่า เหยี่ยวข่าว
แต่นี่ไม่ใช่เวลามานึกชื่นชมในความสามารถของใคร เขาตัดสินใจบีบแตรรถ เพื่อที่จะขอทางให้ตนเองนั้นเข้าไปในคฤหาสน์ได้ เป็นเหตุให้เกิดความโกลาหลเล็กๆ ขึ้น เมื่อนักข่าวกรูกันเข้ามารุมรถคันเล็กของเขาแน่นหนึบยากที่จะสะบัดหลุด พงศกรเองก็ไม่กล้าเหยียบคันเร่งหนีนักข่าวพวกนั้น
“ ให้ ตายสิ ! เกาะหนึบยัง กับตุ๊กแก ” เขาสบถเบา ๆ
ความจริง ถ้าเขาเหยียบคันเร่งกระชากรถหนีไปอย่างรวดเร็วนั้นอาจทำได้ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว มันคงจะเสียภาพพจน์และอาจจะทำให้ใครได้รับบาดเจ็บเสียเปล่า เขาจึงเคลื่อนรถไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งพ้นนักข่าวจนสำเร็จ
เหมือนทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาที่นี่ ทำให้ทันทีที่ร่างสูงของพงศกรก้าวเข้ามาในบ้าน ก็เห็นสมาชิกในครอบครัวใหญ่ของเขารอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็น แม่รอง ภรรยาคนที่สองของบิดา ที่ตวัดหางตามองเขาอย่างเหยียดๆ ทันทีที่พบหน้า แม่สาม ภรรยาคนที่สามของเจ้าสัว ที่ถึงแม้จะอายุ 55 แต่ก็ยังดูดี สวย และเต่งตึงอยู่เสมอ อาจจะเพราะโบท็อกซ์ที่ชอบไปฉีดมาก็เป็นได้ และที่ขาดไม่ได้เลย คือมารดาของเขา หญิงสาวใหญ่วัยห้าสิบปีที่ยังดูสวยและสาวกว่าใครๆในบ้านนี้ ที่หันมาโปรยยิ้มหวานให้กับเขา
“ อยู่ กันพร้อมหน้าเลยนะครับ ” พงศกรทักทายอย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งเหยียดยิ้มให้กับคุณแม่รองและคุณแม่สาม ที่พอจะมองออกว่าเสแสร้งยิ้มไปตามารยาท
“ ก็ เพราะเขารู้กันน่ะสิว่าเธอต้องกลับมาเฝ้าสมบัติ เขาก็เลยมากันหมดนี่แหละ ” ภรรยาคนรองของเจ้าสัวเปรยขึ้นลอย ๆ เหมือนรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะหันขวับมามองผู้มาใหม่ จีบปากจีบคอพูดต่อ “ อยากจะดูน้ำหน้านัก ว่าไอ้ลูกชายคนเดียวของตระกูลจะทำยังไงเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้สมบัติแม้สัก สตางค์แดงเดียว ”
พงศกรฟังคำของคุณแม่รองนิ่ง เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับดีกว่าที่จะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนแบบนั้น
เพราะเขาเชื่อว่า ลูกชายคนเดียวอย่างเขาไม่มีทางที่จะไม่ได้อะไรเลย !!
เพียงครู่เดียว วิลแชร์คันหรูก็เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ออกมาจากห้องทำงานซึ่งทุกคนรู้กันดีว่าเป็นห้องของใคร หญิงสูงวัยในห้องทั้งสามคนจึงเตรียมฉีกยิ้มร่าต้อนรับทักทาย เว้นเสียก็แต่พงศกร ที่มองตรงไปยังผู้มาใหม่ที่ทุกคนรอคอยอย่างเงียบ ๆ
สำหรับพงศกร ร่างบนวิลแชร์นั้น ครั้งหนึ่งเคยหยัดยืนแข็งแรงและต่อสู้เพื่อครอบครัวมากว่าสี่สิบปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเสมือนร่มไทรของครอบครัวก็ต้องอ่อน แรง หากแต่ต้นไม้ใหญ่อย่างไรเสียก็ยังคงเป็นต้นไม้ใหญ่ แม้ยามนี้ เจ้าสัวสมพงษ์จะอายุมากถึงเจ็ดสิบปี และไม่สามารถเดินได้แล้ว แต่ยังคงดูทรงอำนาจอยู่ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะดวงตาสีเทาเข้มอ่อนแสงนั่น ยามที่มองไปยังผู้ใด ก็ทำให้คนผู้นั้นต้องเกรงกลัวได้เสมอมา
“ คุยอะไรกันอยู่ ” ประมุขของตระ กูงพงษ์พิชญโชติเอ่ยทักทาย ใบหน้าเหี่ยวย่นประดับรอยยิ้ม “ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ออกมาช้า ”
วิลแชร์คัน เล็ก หยุดสนิทหน้าโซฟาตัวใหญ่ก่อนที่พยาบาลส่วนตัวจะรู้หน้าที่ประครองท่านให้ นั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ แล้วเดินหลบไปอีกทาง
“ มา เร็วเหมือนกันนี่เจ้าฟง ” เจ้าสัวสมพงษ์เอ่ยทักทายบุตรชายคนเดียวที่ไม่ได้พบกันนานนับเดือนด้วยน้ำ เสียงราบเรียบ แววตาว่างเปล่า แม้มันจะทำให้พงศกรอดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อย หากแต่เขาก็ไม่แสดงออกมาให้ใครได้รับรู้ กลับซ่อนมันไว้ภายใต้หน้ากากอันเดิม
“ ผมทราบข่าวจากทางหนังสือพิมพ์ ” ชายหนุ่มเอ่ย เข้าเรื่อง ก่อนจะจ้องตรงไปยังประมุขของบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย “ ผมไม่เข้าใจว่าเตียต้องการอะไร ถึงพูดเรื่องสละตำแหน่งอะไรนั่น ”
เจ้าสัวสมพงษ์หัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ ใช่..ฉันจะสละตำแหน่งประทานบริษัท ”
“ ดี แล้วล่ะค่ะคุณ ” วิยะดา มารดาของพงศกรเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงหวานใส “ คุณพี่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอย่าหักโหมเลยจะดีซะกว่านะคะ เรื่องบริษัทปล่อยให้ตาฟงเขาเป็นคนจัดการดีกว่า คุณพี่ก็รู้ ว่าลูกของเราไว้ใจได้ ”
คำพูดของคุณวิยะดา สร้างความหมั่นไส้เล็กๆให้กับคุณนายสองและคุณนายสาม แม้แต่เจ้าสัวสมพงษ์ เองก็อดจะหัวเราะเบาๆให้กับเรื่องราวที่ได้ยิน จากภรรยาคนสุดท้ายของเขาไม่ได้
“ เตียหัวเราะทำไมครับ ” พงศกรถามเสียงเครียด เพราะรู้ว่าเสียงหัวเราะของบิดาเขาในตอนนี้ไม่ใช่เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอ ใจในคำพูดของมารดาเป็นแน่ หากแต่มันเหมือนเย้ยหยัน หัวเราะเยาะมากกว่า
“ ฉัน ก็หัวเราะม๊าของแกน่ะสิ ” ท่านตอบ ก่อนจะยกมือเหี่ยวย่นขึ้นปาดน้ำตาเม็ดเล็กที่ปลายหางตาเหี่ยวย่นนั้นเบา ๆ “ พูดเหมือนกับว่าฉันจะยกบริษัทให้กับแก อย่างนั้นแหละ ตลกสิ้นดี ”
ได้ฟังคำนั้นของสามี ทำให้คุณวิยะดาถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองเบา ๆ
“ หมาย ความว่าอย่างไรคะท่าน ” คุณนายรองถามขึ้น ก่อนจะปรายตามองพงศกรที่นั่งกระสับกระส่ายด้วยหางตาอย่างสะใจเล็ก ๆ “ หมายความว่าท่านจะไม่แต่งตั้งให้ตา ฟงเป็นประธานบริษัทคนต่อไปใช่ไหมคะ ”
เจ้าสัวสมพงษ์พยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ทำให้คุณวิยะดาถึงกับเป็นลมล้มพับลงไป พงศกรจึงลุกขึ้นถลาไปประคองมารดาที่นอนพังพาบบนโซฟาตัวใหญ่ทันที
“ แล้วเตียจะแต่งตั้งใครครับ ” พงศกรที่มือหนึ่งโบกลมให้มารดาเอ่ยถาม เสียงเครียด
“ ฉันจะยกสมบัติทั้งหมดให้กับทายาทของอา ไค ”
คำตอบของเจ้าสัวนั้นทำให้คนทั้งห้องตกอยู่ในภาวะเดียวกันคือตกใจจนจิตหลุด คุณวิยะดาที่นอนหมดสภาพอยู่นั้นถึงกับสปริงตัวขึ้นมาจ้องสามีตาโต ในขณะที่คุณนายสามถึงกับโผล่งออกมาอย่างตกใจ
“ ตาย โหง ! ไม่เฉพาะ บริษัท แต่หมายถึงสมบัติทั้งหมดงั้นเหรอ คุณพี่เสียสติไปแล้วเหรอค๊า !! ”
“ ผมไม่เข้าใจ เตียกำลังคิดอะไรอยู่ ”
พงศกรถามมารดาของเขา หลังจากที่ตัดสินใจพามารดาออกมาจากวงสนทนาเมื่อสักครู่โดยอ้างว่าจะพาคุณวิ ยะดามาทานยาลมและพักผ่อนเหมือนไม่ได้สนใจในสิ่งที่เพิ่งรับรู้ หากแต่เมื่อแยกตัวมาอยู่กันเพียงลำพังในห้องพักส่วนตัวของมารดาที่ไม่น่าจะ มีใครเข้ามารบกวน ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นเสียงเครียด
“ ม๊า ก็อยากถามเตียแกเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ ” มารดาเขาเปรย ก่อนจะยกยาหอมที่บุตรชายชงให้ขึ้นซดจนหมดแก้ว “ เตียแกคงจะต้องเลอะเลือนแล้วแน่ ๆ วันก่อนเตียแกเล่าให้ม๊าฟังว่า วิญญาณของอาไคแกมาเข้าฝัน แถมด่าต่างๆนานา ”
คุณวิยะดาเล่า ก่อนจะส่ายศีรษะเบา ๆ
“ ไป๋ ซื่อ ! ปัญญาอ่อนจริง ๆ อาไคนั่นตายไปตั้งแต่อาม๊ายังไม่ได้มาเป็นเมียอาเตียของลูกซะอีก ป่านนี้วิญญาณอีคงไปเกิดนานแล้ว ยังจะมาวนเวียนทวงสมบัติอะไรอีกได้ ”
พงศกรฟังมารดาแล้วอดจะคล้อยตามไม่ได้ บางทีบิดาของเขาอาจจะเลอะเลือนจริงๆ
“ ว่า แต่....ใครหรือครับ อาไค ” เขาย้อนถามอย่างสงสัย เนื่องจากไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน
“ ม๊าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ...แต่อาเตีย เคยเล่าให้ฟังว่าอีเป็นเพื่อนของอาเตีย ย้ายมาจากซัวเถาด้วยกันตั้งแต่อายุแค่สิบสอง รักกันมากเชียวล่ะ นับถือเป็นพี่เป็นน้อง มาลงทุนทำธุรกิจด้วยกัน แต่อาเตียของลูกตอนนั้นเกิดหลงมัวเมาในเงินทองเลยโกงอาไค และไล่อาไคออกจากการเป็นหุ้นส่วน ตอนนั้นอาไคอีก็มีลูกอ่อนเสียด้วย ”
พงศกรนึกถึงใบหน้าของบิดาแล้วคิดภาพตาม แม้เขาจะคิดอยู่เสมอว่ากว่าบิดาจะมีวันนี้ได้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ท่านอาจจะต้องใช้กลอุบายบางอย่าง หรืออาจจะต้องเหยียบย่ำใครบางคนเพื่อเป็นบันไดมาจนเติบโตจนเป็นผู้นำทางด้าน ธุรกิจเบเกอรี่อย่างทุกวันนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า บิดาที่เขาแอบเคารพและชื่นชมอยู่นั้น เป็นคนที่ทรยศได้แม่กระทั่งเพื่อนรัก
“ อา เตียคงจะรู้สึกผิดมาตลอด ” พงศกรพึมพำเหมือนกับเข้าใจหัวใจของบิดา ซึ่งทำให้คุณวิยะดาถึงกับนั่งไม่ติด ขยับตัวเข้ามาใกล้บุตรชาย ก่อนจะแตะหลังมือของชายหนุ่มแผ่วเบา
“ อาเตียรู้สึก ผิดหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง ” นางจ้องมอง ลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของบุตรชาย ที่กำลังฉายแววอ่อนไหว “ แต่ฟง...ลูกจะยอมยกทุกสิ่งทุกอย่างให้ คนอื่นง่ายๆอย่างนั้นเหรอ จริงอยู่ที่อาเตียมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ พื้นฐานก็ได้อาไคเป็นตัวเสริม แต่ตอนนั้น ธุรกิจมันแค่เหลาเล็กๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น นอกจากอาเตียของลูกจะไม่ได้จับธุรกิจร้านอาหารเป็นหลักแล้ว อาเตียกลับมาเป็นเจ้าของกิจการเบเกอรรี่รายใหญ่ของประเทศแทน ไหนจะส่งออกนอกอีก มูลค่านับร้อยล้านพันล้าน อาเตียเหนื่อยมาแค่ไหน ลูกเหนื่อยมาแค่ไหน อยู่ๆจะให้ทายาทของอาไคมาชุบมือเปิบไปงั้นหรือ ลูกอยากจะให้ม๊าต้องลำบากอย่างนั้นหรือฟง”
พงศกรเริ่มเอนเอียงไปตามที่มารดาบอก แม้ว่าตลอดยี่สิบเก้าปีที่เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ เขาอาจจะไม่เคยเห็นบิดาต้องลำบากยากเข็นถึงขนาดต้องลงทุนลงแรงทำงานหนักด้วย ตัวเอง เพราะตอนที่เขาเกิดมา ครอบครัวก็เริ่มมีฐานะร่ำรวยจากการขายเบเกอรรี่และขนมอบต่างๆแล้ว แต่เขาก็เคยเห็นบิดาไม่ได้หลับได้นอนเพื่อคิดสูตรขนมต่างๆเพื่อดึงดูดใจ กลุ่มลูกค้า ซึ่งในยามนั้นขนมปังยังถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับคนไทยอยู่มาก จนกระทั่งขนมปังของบิดา และร้านเบเกอรี่ในเครือบริษัทเติบโตและได้รับการยอมรับทุกวันนี้ ตัวเขาเองก็ทุ่มเทและผูกพันกับธุรกิจนี้มาตลอดชีวิตของเขาเช่นกัน
“ ผม เอง..ก็คงยอมไม่ได้หรอกครับม๊า ”
เขาบอกกับมารดาเสียงมั่นคง นั่นทำให้คุณวิยะดาอดจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ นางรู้จักนิสัยของบุตรชายตัวเองดี แม้ว่าพงศกรจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มหัวนอก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มีจุดยืนเป็นของตัวเอง มั่นคงหนักแน่น เป็นที่ชื่นชมของใครหลายๆคนเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของเขาก็คือ เขามักจะมีความอ่อนไหวและเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาเสมอ ตั้งแต่เด็กๆ พงศกรมักจะพยายามทำทุกอย่างที่สามารถทำให้ได้รับคำชมจากบิดาของเขาให้ได้ พยายามเอาอกเอาใจทุกอย่าง เขาเป็นคนที่เข้าใจบิดามากที่สุด หากแต่น่าแปลกใจ เจ้าสัวสมพงษ์ไม่เคยเอ็นดูพงศกรอย่างที่ควรจะเป็น และทุกครั้งที่เขาผิดหวัง คุณวิยะดาก็จะคอยปลอบและให้กำลังใจเสมอมา คุณวิยะดาคอยอบรมสั่งสอนทุกอย่างกับพงศกร เขาจึงไม่มีทางยอมให้มารดาของเขาคนนี้ต้องลำบากเป็นแน่
“ แล้ว เราจะทำยังไงดีครับ ” เขาหันมาถามมารดาหน้าเครียด “ เตียประกาศ ต่อหน้าทุกคนแบบนั้น เขาจะต้องหาทายาทของอาเจ๊กไคแน่ๆ ”
คุณวิยะดากัดริมฝีปากเคลือบสีบานเย็นเข้มของตน พลางใช้ความคิด
“ รู้ แล้ว !! ” นางดีดนิ้ว ก่อนจะเขย่ามือบุตรชายเบา ๆ “ อาฟง เราจะต้องหาตัวญาติของอาไคให้ได้ก่อนอาเตียของลูก จากนั้นก็กล่อมเขาให้เขามาเป็นพวกเราเสีย หรือไม่ก็ให้เงินพวกนั้นสักก้อนหนึ่งแล้วให้หนีไปที่อื่นเสีย ทำยังไงก็ได้ที่จะไม่ต้องได้เจอกับอาเตียของลูก ”
ชายหนุ่มฟัง ความคิดของมารดานิ่ง ไม่ได้ขัดอะไรออกไป หากแต่ภายในใจของเขากลับตั้งคำถามว่า คนพวกนั้นจะยอมหรือ จะยอมทิ้งสมบัติเป็นพันล้านตามที่เขาเสนอง่ายๆหรือ
แม้ว่าพงศกรจะบอกกับตัวเองว่าภายในสองสามวันนี้อย่า ออกจากคอนโดไปไหนให้เป็นข่าว คนรักงานชนิดที่ขาดงานคงขาดใจอย่างเขาถึงขนาดยอมให้แม่เลขาสาวที่จ้องจะจับ เขาตาเป็นมันเอางานมาให้ทำถึงคอนโด พร้อมทั้งทีมวิจัยในแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาทั้งทีมยกกันมาทำงาน ทั้งที่ไม่เคยเปิดให้เพื่อนคนไหนนอกจาก ‘คนที่สำคัญจริงๆ’ เข้ามา ย่างกรายใกล้ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องออกมาจากคอนโดหลังจากเก็บตัวได้เพียงแค่สามวัน เพราะ ‘คนสำคัญจริง ๆ ’ ของเขาโทรมาย้ำเรื่องนัดทานอาหารมื้อคำเพื่ออำลาเพื่อนชาวต่างชาติ
“ อย่าบอกนะคะว่าฟงลืม ” มณีมาลาถามเหมือนรู้ทัน “ ฟงสัญญากับโรสไว้แล้วนะคะ ”
พอได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่เหมือนจะแข็งขึ้นเล็กน้อย เขาก็ต้องหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ ไม่ได้ลืมครับ ” ตอบไม่เต็มเสียง “ ผมไม่ลืมแน่นอนเลย ยังไงค่ำนี้เจอกันนะครับ ”
พงศกรถอนหายใจ อย่างเหนื่อยอ่อน แม้รู้ว่ามณีมาลา ไม่ใช่ผู้หญิงไร้เหตุผล หากบอกไปว่าช่วงนี้เขาไม่อยากออกไปเจอคนภายนอกเพราะกลัวโดนถามเรื่องข่าวการ ลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทพงษ์พิชญะกรุ๊ป ของเจ้าสัวสมพงษ์ เชื่อว่ามณีมาลาคงจะเข้าใจและยอมให้เขาเบี้ยวนัด แต่ที่เขาไม่ทำเช่นนั้น เพราะรู้สึกผิดต่อเธอเป็นอย่างมากที่ช่วงหลายวันมานี้แทบจะไม่ได้โทรหาเธอ เลยสักครั้ง มัวแต่ง่วนอยู่กับการติดต่อนักสืบตามหาญาติของอา เจ๊กไคบ้าง เรื่องงานวิจัยขนมปังตัวใหม่บ้าง ไหนจะผลสำรวจอะไรอีกมากมายที่เขาไม่ได้จัดการ ที่หนักที่สุดก็คงจะเป็นข่าวของบิดา เรื่องนี้คงทำให้มณีมาลาน้อยใจไม่น้อย สิ่งที่พอจะชดเชยได้ก็คงเป็นอาหารค่ำมื้อนี้เท่านั้น
พงศกรเลือกที่จะนั่งรถแท็กซี่ส่วนบุคคลไปยังโรงแรมหรูกลางเมือง แทนที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวไปเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต โดยทันทีที่รถจอดเทียบหน้าโรงแรม เขาก็รีบก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อให้ไปถึงลิฟต์โดยสารให้เร็วที่สุด หากแต่เขาก็ยังคงรักษาภาพพจน์ภายนอกที่เขาห่วงนักห่วงหนา ยังคงเดินหลังตรงสง่างาม จนเมื่อลิฟต์โดยสารที่เขาเรียกมาถึง ร่างสูงก็รีบพรุ่งพรวดเขาไปโดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น นิ้วเรียวกดปุ่มปิดประตูลิฟท์ถี่ยิบเพื่อให้มันปิดลงได้ทันใจเขา
“ รอ ก่อนค่า ” เสียงแหลมใสของใครคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท แวบแรกเขาก็นึกไว้ก่อนแล้วว่าคนที่เรียกให้เขาหยุดรอ มีโอกาสเป็นนักข่าวได้ถึง 80 %
“ บอก ให้หยุดไง !! ” เสียงนั้นบอก ซ้ำ แต่กลัวห้วนและกระชากกว่าเดิม
ก่อนที่ประตู ลิฟต์จะอ้าออกอีกครั้ง ด้วยฤทธิ์ของรองเท้าผ้าใบเปื่อยยุ่ย ที่เจ้าของยัดเข้ามาขวางประตูไว้ราวนักยิมนาสติกทีมชาติ
“ รีบไปไหนกันนักนะ ” หญิงสาวเด้งตัวขึ้นมาจากท่าฉีกขา ก่อนจะกลับมายืนทรงตัวอย่างทะมัดทะแมง แล้วเดินเข้ามาในลิฟต์เหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น โดยไม่ลืมที่จะเหลือบมองพงศกรด้วยสายตาเหยียดหยาม ผู้ที่เข้ามาใหม่ ซึ่งกำลังมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดปรายเท้าอย่างไร้มารยาทนี้ หากคะเนด้วยสายตาคงจะเป็นเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบปี และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เลย ก็คงจะเป็นผมบ๊อบหน้าม้าสั่นประมาณคางของเธอ ที่ทำสีประมาณบอร์นทองส้มหรืออะไรสักอย่าง ล้อมกรอบหน้าขาวอมชมพูธรรมชาติของเธอให้โดดเด่น
“ นี่ ! คุณอาคะ หนูถามว่า คุณอาจะไปชั้นไหนคะ ! ”
คำถามเสียงดัง ฟังชัดจนแทบจะฟังเหมือนตะคอกมากกว่าของคนที่ยืนอยู่หน้าแผงควบคุม ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย ชายหนุ่มกระแอมในลำคอเบาๆอย่างพยายามรักษาฟอร์ม
“ นอกจากจะไม่มีน้ำใจแล้วยังหัวงูอีกด้วยแฮะ ” เธอบ่นอย่าง ไม่เกรงใจ เหมือนกับจะรู้ว่าเขาจ้องมองเธออยู่อย่างนั้นแหละ พงศกรรู้สึกตากระตุกอย่างบอกไม่ถูก แถมเสียหน้าอย่างที่สุดที่ถูกเข้าใจผิดว่าหัวงู เขาจึงแก้เก้อด้วยการทำหน้าเหรอหรา ชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่แผงควบคุมลิฟต์และระบุชั้นที่ต้องการไปเป็น
ภาษาอังกฤษ
“ อ้าว...ต่างชาติหรอกเหรอ ถึงว่า...” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นข้างหนึ่งเหมือนทักทาย “ หล่อเชียว ”
พูดจบหญิงสาว ก็หันกลับไปทิศเดิม โดยหารู้ไม่ว่าคนที่เธอเพิ่งชมว่าหล่อนั้นแทบจะหลุดขำออกมาเสียแล้ว
และเหมือนว่าสาวหัวแดงก๋ากั่นคนนั้นจะเชื่อเสียสนิทใจว่าผู้ที่โดยสารมากับเธอนั้น เป็นชาวต่างชาติจริงๆ จึงได้เริ่มพูดต่อ
“ คนสมัยนี้นี่ ชาติไหนๆก็หน้าตาคล้ายกันหมดเลยนะ ” เธอ พูดรำพึงลำพังเบา ๆ โดยการแสร้งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหูไว้ “ ตอนแรกก็คิดอยู่แล้ว ว่าทำไมหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนไทย แต่ไม่นึกว่าจะเป็นต่างชาติจริง ๆ ดีนะเนี่ยที่เป็นคนต่างชาติ ไม่งั้นแม่จะด่าให้ ว่าเป็นคนไทย แถมเกิดมาหน้าตาดี ฟังภาษาไทยก็รู้เรื่อง
มีตังค์มาเข้าโรงแรมหรูๆแสดงว่าคงเกิดมารวย แต่ทำตัวไร้มารยาทสิ้นดี คนอาไร้....เสียชาติเกิดจริงๆ ”
พูดจบหญิงสาว ก็หันมาหาพงศกรอีกครั้ง ก่อนจะฉีกยิ้มหวานให้
นี่คงไม่รู้ สินะ ว่าเขาได้ยินและเข้าใจทั้งหมดที่เธอพูด !!
เมื่อถึงชั้น ที่ตัวเองต้องการซึ่งพอดีกับที่เป็นจุดหมายเดียวกันกับผู้ชายหน้าเข้มที่เธอ เดินทางมาด้วย ทาริกาก็รีบเดินตัวปลิวยิ้มแฉ่งออกมาจากลิฟต์ก่อน โดยไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือลาผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดใส่ว่า
‘ ขอให้กินข้าวติดคอนะคะ ’
นึกแล้วก็ยัง ขำไม่หาย
ทำไมเธอจะไม่ รู้…
คนอย่าง ทาริกาคนนี้เจอคนมาก็มาก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาของเขาจะมองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เธอก็มั่นใจว่าอย่างน้อยในตัวเขาก็มีความเป็นไทยอยู่ไม่น้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี อาจจะเป็นเพราะตาชั้นเดียวที่ไม่ได้ตี่เล็กเหมือนพวกเชื้อสายจีนที่มีให้ เห็นทั่วไป แต่กลับกลมโตชวนมองคล้ายตาของพระเอกหนังไทยสมัยก่อนมากกว่า โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ใต้คิ้วหนาซึ่งพอมองดี ๆ คิ้วนั้นก็พาลให้นึกถึงตัวการ์ตูนญี่ปุ่นจอมทะเล้นไม่ได้ แต่ที่ดูดีจนน่าอิจฉาก็คงจะเป็นรูปหน้าได้รูป ที่แม้จะไม่ได้เป็นรูปไข่เรียวยาวเหมือนสมัยนี้นิยม แต่กลับมีกรามนิด ๆ ทีเจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่าเป็นจุดเด่นของตัวเอง จึงได้ตัดผมทรงรากไทรสั้นเป็นหู โชว์โครงหน้าเต็มที่เช่นนั้น...หรือไม่ก็คงเพราะเป็นคนที่มีเชื้อสายจีน จึงได้เปิดผมโชว์ใบหูที่มีลักษณะดีตรงตามตำราจีนที่เคยอ่านผ่านๆตาจาก หนังสือของอาป๊า.....แต่แหม.....รูปร่างสูงใหญ่อกผายใหญ่ผึ่งของเขาก็......
เอ๊ะ...!! นี่มันกลายเป็นบทชมโฉมเขาไปแล้วหรือนี่ นับวันเธอก็จะยิ่งหื่นขึ้นไปทุกทีสิน่า ทาริกาตีหัว ตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข
“ ถือสะว่า ให้ฉันชมโฉมคุณเป็นค่าปลอบใจที่คุณทำฉันเซ็งก็แล้วกันนะคะ ”
หลังจาก เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดสีขาวสะอาดเสร็จ หญิงสาวก็จัดการเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งกับกระจกล็อคเกอร์บาน ขุ่น ทุกวันนี้เธอต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำตลอด ช่วงเช้าถึงเย็นก็ต้องทำงานที่ร้านอาหารของครอบครัว พอตกค่ำก็ต้องมาทำงานที่ร้านอาหารหรูๆบนโรงแรมนี้อีก แต่เธอก็ไม่เคยคิดท้อ ไม่คิดเหนื่อย เพราะเธอเองก็สามารถอดทนได้ เพื่อให้ไปถึงความฝัน หญิงสาวยิ้มก่อนจะหยิบปอยผมที่สั้นเกินกว่าจะมัดรวบข้างหลังไว้ได้ขึ้น ก่อนจะเสียบมันด้วยกิ๊บสีทองประดับเพชรและทับทิมเม็ดเล็ก ๆ ดีไซด์โบราณอย่างเคยชิน ก่อนจะยิ้มสู้ และก้าวเดินโดยไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการแตะเบาๆที่กิ๊บติดผม
“ เป็นกำลังใจให้หมี่อีกวันนะคะป๊า ”
ทาริกา มักจะให้กำลังใจตัวเองอย่างนี้ทุกครั้ง นับตั้งแต่วันที่บิดาจากไปเมื่อสามปีก่อน ชีวิตของเธอก็พลิกผันราวหน้ามือเป็นหลังมือ ปานใจมารดาเลี้ยงของเธอที่เคยดีกับเธอมาตลอดก็กลับทำตัวร้ายกาจใส่เหมือนใน ละครน้ำเน่า ผู้หญิงคนนั้นบอกกับเธอว่าให้เธอเลือกเรียนต่ออาชีวะสายคหกรรม เพื่อจบมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และส่งเสียพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าเธอเพียงปีเดียวเรียนต่อปริญญาตรีแฟชั่นดี ไซน์ ในตอนแรกเธอไม่ยอม แต่แม่เลี้ยงและพี่สาวของเธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน อ้างบุญคุณที่เลี้ยงดูและอบรมเธอมาเป็นอย่างดีโดยไม่เคยถามตัวเองสักนิดว่า บิดาของเธอนั้น ได้ให้อะไรกับหล่อนไปบ้าง
หญิงสาวจึง ต้องกัดฟันทน บอกกับตัวเองว่าเมื่ออายุได้ 20 ปีเมื่อไหร่ เธอก็จะก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้นและยืนหยัดด้วยตัวเองเพียงลำพัง โดยตัดสินใจว่าจะยกร้านอาหารตามสั่งให้เป็นทาน !
วันนี้ในครัว ของร้านอาหารบนโรงแรมหรูแห่งนี้คนเยอะเช่นเคย เชฟทุกคนขะมักเขม้นหน้ามัน เพื่อที่จะทำอาหารเสิร์ฟได้ทันเวลา ส่วนผู้ช่วยเชฟอย่างทาริกาเองก็หัวปั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งวิ่งหยิบจาน ล้างกระทะ หรือดีหน่อยก็ได้จัดจานจนมือเป็นระวิง
“ หมี่ ! จัดซุปเห็ดถ้วยนี้ที ” เสียงของเชฟเรียก ก่อนจะส่งถ้วยซุปเห็ดหน้าตาน่ากินมาให้
ทาริกาปาดถ้วย อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหยิบพาสลีย์มาตกแต่ง อย่างสวยงาม โรยพริกไทยนิดหน่อย แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะพร้อมให้บริกรมารับไปเสริฟอย่างรวดเร็ว
กลิ่นซุปครีมเห็ดถ้วยเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าพงศกรโชย เข้าจมูกเรียกน้ำย่อยในท้องของชายหนุ่มให้ทำงานในหน้าที่ของมันอย่างเต็ม ความสามารถ หากแต่กลิ่นของส่วนประกอบบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์แทรกเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มต้องก้มลงมองอย่างละเอียด หากแต่เขาพลาดที่วันนี้ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์มาด้วย จึงมองไม่ชัดว่ามันมี ‘สิ่งนั้น’ อยู่หรือเปล่า จึงได้แต่สะกิดคนข้างกาย ให้ก้มลงมองแทน
“ มี จริง ๆ ด้วยค่ะฟง ” หญิงสาวบอก ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ แต่โรสแน่ใจ แล้วนะคะ ว่าย้ำกับเขาไปแล้วว่าไม่ให้ใส่ ”
พงศกรถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณเรียกบริการที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“ ผม อยากทราบว่า ใครเป็นคนทำอาหารจานนี้ ” เขายกช้อนคันงามเงาวับขึ้น ก่อนจิ้มมันลงไปในถ้วยและคนมันอย่างเบามือ “ ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าไม่ต้องโรยพริกไทย พวกคุณไม่ใส่ใจกันเลยหรือไง ”
เมื่อเช้านี้ภายในคอนโดส่วนสุดหรูใกล้สำนักงานใหญ่ของบริษัท หลังจากที่เขารับหนังสือพิมพ์มาอ่านเหมือนเช่นทุกวัน ชายหนุ่มก็ต้องประหลาดใจกับพาดหัวข่าวตัวใหญ่ที่มีเนื้อหาคล้ายคลึงกันทั้ง สองฉบับ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ซึ่งลงข่าวสัมภาษณ์เกี่ยวกับการจะสละบัลลังก์ผู้บริหารเครือ ‘พงษ์พิชญะกรุ๊ป’ ของบิดาด้วยวัยเจ็ดสิบปี นอกจากนั้นมีการถามถึงตัวของเขาซึ่งเป็นทายาทที่เกิดจากภรรยานอกสมรสถึง สิทธิในการรับมรดกพันล้านครั้งนี้ ก็เหมือนกับบิดาของเขาจะไม่ได้ตอบอะไรที่ชัดเจน จึงมีคอลัมภ์แซววงการธุรกิจเล็กๆ แยกออกจากเนื้อหาข่าวว่า เขาคงจะชวดจากการเป็นผู้รับมรดกเป็นแน่ จากนั้นเพียงไม่กี่นาที เสียงเครื่องมือสื่อสารของเขาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นบีบี โทรศัทพ์พื้นฐานในห้อง หรือแม้แต่โทรศัพท์จอสัมผัสเครื่องหรูซึ่งมีแต่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่จะทราบ เบอร์นี้ ต่างก็แข่งกันกรีดร้องอย่างไม่มีใครยอมใคร ชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าอีกไม่นานนักข่าวคงจะต้องแห่กันมายังคอนโดของเขาเป็น แน่ พงศกรตัดสินใจที่จะไม่รับสายใครเลยสักคนเดียว ไม่ว่าคนที่โทรมานั้นจะเป็นคนสำคัญขนาดไหนก็ตาม สิ่งเดียวที่เขาจะทำในวินาทีนี้ คือการกลับไปยังคฤหาสน์ที่บิดาและมารดาทั้งสามคนของเขาอาศัยอยู่ให้เร็วที่ สุดเท่าที่จะทำได้
พงศกรนิ่ว หน้าอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นกองทัพนักข่าวเกือบยี่สิบชีวิตออกันอยู่เห็น หน้าประตูคฤหาสน์ จำได้ว่า บางคนก็เป็นคนที่เพิ่งจะกลับมาจากการตามไปเฝ้าเขาที่คอนโด ทำให้ชายหนุ่มอดจะทึ่งในความสามารถไม่ได้ว่าการจราจรที่ติดขัดอย่างสาหัสใน เช้าวันจันทร์ ไม่สามารถขัดขวางความเร็วของคนพวกนี้ได้เลย สมแล้วกับการที่ได้รับสมยานามว่า เหยี่ยวข่าว
แต่นี่ไม่ใช่เวลามานึกชื่นชมในความสามารถของใคร เขาตัดสินใจบีบแตรรถ เพื่อที่จะขอทางให้ตนเองนั้นเข้าไปในคฤหาสน์ได้ เป็นเหตุให้เกิดความโกลาหลเล็กๆ ขึ้น เมื่อนักข่าวกรูกันเข้ามารุมรถคันเล็กของเขาแน่นหนึบยากที่จะสะบัดหลุด พงศกรเองก็ไม่กล้าเหยียบคันเร่งหนีนักข่าวพวกนั้น
“ ให้ ตายสิ ! เกาะหนึบยัง กับตุ๊กแก ” เขาสบถเบา ๆ
ความจริง ถ้าเขาเหยียบคันเร่งกระชากรถหนีไปอย่างรวดเร็วนั้นอาจทำได้ แต่เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว มันคงจะเสียภาพพจน์และอาจจะทำให้ใครได้รับบาดเจ็บเสียเปล่า เขาจึงเคลื่อนรถไปอย่างช้าๆ จนกระทั่งพ้นนักข่าวจนสำเร็จ
เหมือนทุกคนจะรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องมาที่นี่ ทำให้ทันทีที่ร่างสูงของพงศกรก้าวเข้ามาในบ้าน ก็เห็นสมาชิกในครอบครัวใหญ่ของเขารอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็น แม่รอง ภรรยาคนที่สองของบิดา ที่ตวัดหางตามองเขาอย่างเหยียดๆ ทันทีที่พบหน้า แม่สาม ภรรยาคนที่สามของเจ้าสัว ที่ถึงแม้จะอายุ 55 แต่ก็ยังดูดี สวย และเต่งตึงอยู่เสมอ อาจจะเพราะโบท็อกซ์ที่ชอบไปฉีดมาก็เป็นได้ และที่ขาดไม่ได้เลย คือมารดาของเขา หญิงสาวใหญ่วัยห้าสิบปีที่ยังดูสวยและสาวกว่าใครๆในบ้านนี้ ที่หันมาโปรยยิ้มหวานให้กับเขา
“ อยู่ กันพร้อมหน้าเลยนะครับ ” พงศกรทักทายอย่างเป็นกันเอง พร้อมทั้งเหยียดยิ้มให้กับคุณแม่รองและคุณแม่สาม ที่พอจะมองออกว่าเสแสร้งยิ้มไปตามารยาท
“ ก็ เพราะเขารู้กันน่ะสิว่าเธอต้องกลับมาเฝ้าสมบัติ เขาก็เลยมากันหมดนี่แหละ ” ภรรยาคนรองของเจ้าสัวเปรยขึ้นลอย ๆ เหมือนรำพึงกับตัวเอง ก่อนจะหันขวับมามองผู้มาใหม่ จีบปากจีบคอพูดต่อ “ อยากจะดูน้ำหน้านัก ว่าไอ้ลูกชายคนเดียวของตระกูลจะทำยังไงเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้สมบัติแม้สัก สตางค์แดงเดียว ”
พงศกรฟังคำของคุณแม่รองนิ่ง เลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับดีกว่าที่จะไปต่อล้อต่อเถียงกับคนแบบนั้น
เพราะเขาเชื่อว่า ลูกชายคนเดียวอย่างเขาไม่มีทางที่จะไม่ได้อะไรเลย !!
เพียงครู่เดียว วิลแชร์คันหรูก็เคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ออกมาจากห้องทำงานซึ่งทุกคนรู้กันดีว่าเป็นห้องของใคร หญิงสูงวัยในห้องทั้งสามคนจึงเตรียมฉีกยิ้มร่าต้อนรับทักทาย เว้นเสียก็แต่พงศกร ที่มองตรงไปยังผู้มาใหม่ที่ทุกคนรอคอยอย่างเงียบ ๆ
สำหรับพงศกร ร่างบนวิลแชร์นั้น ครั้งหนึ่งเคยหยัดยืนแข็งแรงและต่อสู้เพื่อครอบครัวมากว่าสี่สิบปี แต่เมื่อเวลาผ่านไปต้นไม้ใหญ่ที่เปรียบเสมือนร่มไทรของครอบครัวก็ต้องอ่อน แรง หากแต่ต้นไม้ใหญ่อย่างไรเสียก็ยังคงเป็นต้นไม้ใหญ่ แม้ยามนี้ เจ้าสัวสมพงษ์จะอายุมากถึงเจ็ดสิบปี และไม่สามารถเดินได้แล้ว แต่ยังคงดูทรงอำนาจอยู่ไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะดวงตาสีเทาเข้มอ่อนแสงนั่น ยามที่มองไปยังผู้ใด ก็ทำให้คนผู้นั้นต้องเกรงกลัวได้เสมอมา
“ คุยอะไรกันอยู่ ” ประมุขของตระ กูงพงษ์พิชญโชติเอ่ยทักทาย ใบหน้าเหี่ยวย่นประดับรอยยิ้ม “ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ออกมาช้า ”
วิลแชร์คัน เล็ก หยุดสนิทหน้าโซฟาตัวใหญ่ก่อนที่พยาบาลส่วนตัวจะรู้หน้าที่ประครองท่านให้ นั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ แล้วเดินหลบไปอีกทาง
“ มา เร็วเหมือนกันนี่เจ้าฟง ” เจ้าสัวสมพงษ์เอ่ยทักทายบุตรชายคนเดียวที่ไม่ได้พบกันนานนับเดือนด้วยน้ำ เสียงราบเรียบ แววตาว่างเปล่า แม้มันจะทำให้พงศกรอดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อย หากแต่เขาก็ไม่แสดงออกมาให้ใครได้รับรู้ กลับซ่อนมันไว้ภายใต้หน้ากากอันเดิม
“ ผมทราบข่าวจากทางหนังสือพิมพ์ ” ชายหนุ่มเอ่ย เข้าเรื่อง ก่อนจะจ้องตรงไปยังประมุขของบ้านด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย “ ผมไม่เข้าใจว่าเตียต้องการอะไร ถึงพูดเรื่องสละตำแหน่งอะไรนั่น ”
เจ้าสัวสมพงษ์หัวเราะในลำคอเบา ๆ
“ ใช่..ฉันจะสละตำแหน่งประทานบริษัท ”
“ ดี แล้วล่ะค่ะคุณ ” วิยะดา มารดาของพงศกรเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงหวานใส “ คุณพี่ก็ไม่ค่อยแข็งแรงอย่าหักโหมเลยจะดีซะกว่านะคะ เรื่องบริษัทปล่อยให้ตาฟงเขาเป็นคนจัดการดีกว่า คุณพี่ก็รู้ ว่าลูกของเราไว้ใจได้ ”
คำพูดของคุณวิยะดา สร้างความหมั่นไส้เล็กๆให้กับคุณนายสองและคุณนายสาม แม้แต่เจ้าสัวสมพงษ์ เองก็อดจะหัวเราะเบาๆให้กับเรื่องราวที่ได้ยิน จากภรรยาคนสุดท้ายของเขาไม่ได้
“ เตียหัวเราะทำไมครับ ” พงศกรถามเสียงเครียด เพราะรู้ว่าเสียงหัวเราะของบิดาเขาในตอนนี้ไม่ใช่เสียงหัวเราะด้วยความพึงพอ ใจในคำพูดของมารดาเป็นแน่ หากแต่มันเหมือนเย้ยหยัน หัวเราะเยาะมากกว่า
“ ฉัน ก็หัวเราะม๊าของแกน่ะสิ ” ท่านตอบ ก่อนจะยกมือเหี่ยวย่นขึ้นปาดน้ำตาเม็ดเล็กที่ปลายหางตาเหี่ยวย่นนั้นเบา ๆ “ พูดเหมือนกับว่าฉันจะยกบริษัทให้กับแก อย่างนั้นแหละ ตลกสิ้นดี ”
ได้ฟังคำนั้นของสามี ทำให้คุณวิยะดาถึงกับสำลักน้ำลายตัวเองเบา ๆ
“ หมาย ความว่าอย่างไรคะท่าน ” คุณนายรองถามขึ้น ก่อนจะปรายตามองพงศกรที่นั่งกระสับกระส่ายด้วยหางตาอย่างสะใจเล็ก ๆ “ หมายความว่าท่านจะไม่แต่งตั้งให้ตา ฟงเป็นประธานบริษัทคนต่อไปใช่ไหมคะ ”
เจ้าสัวสมพงษ์พยักหน้าช้า ๆ แทนคำตอบ ทำให้คุณวิยะดาถึงกับเป็นลมล้มพับลงไป พงศกรจึงลุกขึ้นถลาไปประคองมารดาที่นอนพังพาบบนโซฟาตัวใหญ่ทันที
“ แล้วเตียจะแต่งตั้งใครครับ ” พงศกรที่มือหนึ่งโบกลมให้มารดาเอ่ยถาม เสียงเครียด
“ ฉันจะยกสมบัติทั้งหมดให้กับทายาทของอา ไค ”
คำตอบของเจ้าสัวนั้นทำให้คนทั้งห้องตกอยู่ในภาวะเดียวกันคือตกใจจนจิตหลุด คุณวิยะดาที่นอนหมดสภาพอยู่นั้นถึงกับสปริงตัวขึ้นมาจ้องสามีตาโต ในขณะที่คุณนายสามถึงกับโผล่งออกมาอย่างตกใจ
“ ตาย โหง ! ไม่เฉพาะ บริษัท แต่หมายถึงสมบัติทั้งหมดงั้นเหรอ คุณพี่เสียสติไปแล้วเหรอค๊า !! ”
“ ผมไม่เข้าใจ เตียกำลังคิดอะไรอยู่ ”
พงศกรถามมารดาของเขา หลังจากที่ตัดสินใจพามารดาออกมาจากวงสนทนาเมื่อสักครู่โดยอ้างว่าจะพาคุณวิ ยะดามาทานยาลมและพักผ่อนเหมือนไม่ได้สนใจในสิ่งที่เพิ่งรับรู้ หากแต่เมื่อแยกตัวมาอยู่กันเพียงลำพังในห้องพักส่วนตัวของมารดาที่ไม่น่าจะ มีใครเข้ามารบกวน ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นเสียงเครียด
“ ม๊า ก็อยากถามเตียแกเหมือนกันว่าคิดอะไรอยู่ ” มารดาเขาเปรย ก่อนจะยกยาหอมที่บุตรชายชงให้ขึ้นซดจนหมดแก้ว “ เตียแกคงจะต้องเลอะเลือนแล้วแน่ ๆ วันก่อนเตียแกเล่าให้ม๊าฟังว่า วิญญาณของอาไคแกมาเข้าฝัน แถมด่าต่างๆนานา ”
คุณวิยะดาเล่า ก่อนจะส่ายศีรษะเบา ๆ
“ ไป๋ ซื่อ ! ปัญญาอ่อนจริง ๆ อาไคนั่นตายไปตั้งแต่อาม๊ายังไม่ได้มาเป็นเมียอาเตียของลูกซะอีก ป่านนี้วิญญาณอีคงไปเกิดนานแล้ว ยังจะมาวนเวียนทวงสมบัติอะไรอีกได้ ”
พงศกรฟังมารดาแล้วอดจะคล้อยตามไม่ได้ บางทีบิดาของเขาอาจจะเลอะเลือนจริงๆ
“ ว่า แต่....ใครหรือครับ อาไค ” เขาย้อนถามอย่างสงสัย เนื่องจากไม่เคยรู้จัก หรือได้ยินชื่อคนคนนี้มาก่อน
“ ม๊าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ...แต่อาเตีย เคยเล่าให้ฟังว่าอีเป็นเพื่อนของอาเตีย ย้ายมาจากซัวเถาด้วยกันตั้งแต่อายุแค่สิบสอง รักกันมากเชียวล่ะ นับถือเป็นพี่เป็นน้อง มาลงทุนทำธุรกิจด้วยกัน แต่อาเตียของลูกตอนนั้นเกิดหลงมัวเมาในเงินทองเลยโกงอาไค และไล่อาไคออกจากการเป็นหุ้นส่วน ตอนนั้นอาไคอีก็มีลูกอ่อนเสียด้วย ”
พงศกรนึกถึงใบหน้าของบิดาแล้วคิดภาพตาม แม้เขาจะคิดอยู่เสมอว่ากว่าบิดาจะมีวันนี้ได้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ท่านอาจจะต้องใช้กลอุบายบางอย่าง หรืออาจจะต้องเหยียบย่ำใครบางคนเพื่อเป็นบันไดมาจนเติบโตจนเป็นผู้นำทางด้าน ธุรกิจเบเกอรี่อย่างทุกวันนี้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่า บิดาที่เขาแอบเคารพและชื่นชมอยู่นั้น เป็นคนที่ทรยศได้แม่กระทั่งเพื่อนรัก
“ อา เตียคงจะรู้สึกผิดมาตลอด ” พงศกรพึมพำเหมือนกับเข้าใจหัวใจของบิดา ซึ่งทำให้คุณวิยะดาถึงกับนั่งไม่ติด ขยับตัวเข้ามาใกล้บุตรชาย ก่อนจะแตะหลังมือของชายหนุ่มแผ่วเบา
“ อาเตียรู้สึก ผิดหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง ” นางจ้องมอง ลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลเข้มของบุตรชาย ที่กำลังฉายแววอ่อนไหว “ แต่ฟง...ลูกจะยอมยกทุกสิ่งทุกอย่างให้ คนอื่นง่ายๆอย่างนั้นเหรอ จริงอยู่ที่อาเตียมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ พื้นฐานก็ได้อาไคเป็นตัวเสริม แต่ตอนนั้น ธุรกิจมันแค่เหลาเล็กๆ แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้น นอกจากอาเตียของลูกจะไม่ได้จับธุรกิจร้านอาหารเป็นหลักแล้ว อาเตียกลับมาเป็นเจ้าของกิจการเบเกอรรี่รายใหญ่ของประเทศแทน ไหนจะส่งออกนอกอีก มูลค่านับร้อยล้านพันล้าน อาเตียเหนื่อยมาแค่ไหน ลูกเหนื่อยมาแค่ไหน อยู่ๆจะให้ทายาทของอาไคมาชุบมือเปิบไปงั้นหรือ ลูกอยากจะให้ม๊าต้องลำบากอย่างนั้นหรือฟง”
พงศกรเริ่มเอนเอียงไปตามที่มารดาบอก แม้ว่าตลอดยี่สิบเก้าปีที่เขาเกิดมาบนโลกใบนี้ เขาอาจจะไม่เคยเห็นบิดาต้องลำบากยากเข็นถึงขนาดต้องลงทุนลงแรงทำงานหนักด้วย ตัวเอง เพราะตอนที่เขาเกิดมา ครอบครัวก็เริ่มมีฐานะร่ำรวยจากการขายเบเกอรรี่และขนมอบต่างๆแล้ว แต่เขาก็เคยเห็นบิดาไม่ได้หลับได้นอนเพื่อคิดสูตรขนมต่างๆเพื่อดึงดูดใจ กลุ่มลูกค้า ซึ่งในยามนั้นขนมปังยังถือเป็นของแปลกใหม่สำหรับคนไทยอยู่มาก จนกระทั่งขนมปังของบิดา และร้านเบเกอรี่ในเครือบริษัทเติบโตและได้รับการยอมรับทุกวันนี้ ตัวเขาเองก็ทุ่มเทและผูกพันกับธุรกิจนี้มาตลอดชีวิตของเขาเช่นกัน
“ ผม เอง..ก็คงยอมไม่ได้หรอกครับม๊า ”
เขาบอกกับมารดาเสียงมั่นคง นั่นทำให้คุณวิยะดาอดจะยิ้มอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ นางรู้จักนิสัยของบุตรชายตัวเองดี แม้ว่าพงศกรจะเป็นนักธุรกิจหนุ่มหัวนอก มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ มีจุดยืนเป็นของตัวเอง มั่นคงหนักแน่น เป็นที่ชื่นชมของใครหลายๆคนเพียงไร แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดอ่อนของเขาก็คือ เขามักจะมีความอ่อนไหวและเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดาเสมอ ตั้งแต่เด็กๆ พงศกรมักจะพยายามทำทุกอย่างที่สามารถทำให้ได้รับคำชมจากบิดาของเขาให้ได้ พยายามเอาอกเอาใจทุกอย่าง เขาเป็นคนที่เข้าใจบิดามากที่สุด หากแต่น่าแปลกใจ เจ้าสัวสมพงษ์ไม่เคยเอ็นดูพงศกรอย่างที่ควรจะเป็น และทุกครั้งที่เขาผิดหวัง คุณวิยะดาก็จะคอยปลอบและให้กำลังใจเสมอมา คุณวิยะดาคอยอบรมสั่งสอนทุกอย่างกับพงศกร เขาจึงไม่มีทางยอมให้มารดาของเขาคนนี้ต้องลำบากเป็นแน่
“ แล้ว เราจะทำยังไงดีครับ ” เขาหันมาถามมารดาหน้าเครียด “ เตียประกาศ ต่อหน้าทุกคนแบบนั้น เขาจะต้องหาทายาทของอาเจ๊กไคแน่ๆ ”
คุณวิยะดากัดริมฝีปากเคลือบสีบานเย็นเข้มของตน พลางใช้ความคิด
“ รู้ แล้ว !! ” นางดีดนิ้ว ก่อนจะเขย่ามือบุตรชายเบา ๆ “ อาฟง เราจะต้องหาตัวญาติของอาไคให้ได้ก่อนอาเตียของลูก จากนั้นก็กล่อมเขาให้เขามาเป็นพวกเราเสีย หรือไม่ก็ให้เงินพวกนั้นสักก้อนหนึ่งแล้วให้หนีไปที่อื่นเสีย ทำยังไงก็ได้ที่จะไม่ต้องได้เจอกับอาเตียของลูก ”
ชายหนุ่มฟัง ความคิดของมารดานิ่ง ไม่ได้ขัดอะไรออกไป หากแต่ภายในใจของเขากลับตั้งคำถามว่า คนพวกนั้นจะยอมหรือ จะยอมทิ้งสมบัติเป็นพันล้านตามที่เขาเสนอง่ายๆหรือ
แม้ว่าพงศกรจะบอกกับตัวเองว่าภายในสองสามวันนี้อย่า ออกจากคอนโดไปไหนให้เป็นข่าว คนรักงานชนิดที่ขาดงานคงขาดใจอย่างเขาถึงขนาดยอมให้แม่เลขาสาวที่จ้องจะจับ เขาตาเป็นมันเอางานมาให้ทำถึงคอนโด พร้อมทั้งทีมวิจัยในแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาทั้งทีมยกกันมาทำงาน ทั้งที่ไม่เคยเปิดให้เพื่อนคนไหนนอกจาก ‘คนที่สำคัญจริงๆ’ เข้ามา ย่างกรายใกล้ แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ต้องออกมาจากคอนโดหลังจากเก็บตัวได้เพียงแค่สามวัน เพราะ ‘คนสำคัญจริง ๆ ’ ของเขาโทรมาย้ำเรื่องนัดทานอาหารมื้อคำเพื่ออำลาเพื่อนชาวต่างชาติ
“ อย่าบอกนะคะว่าฟงลืม ” มณีมาลาถามเหมือนรู้ทัน “ ฟงสัญญากับโรสไว้แล้วนะคะ ”
พอได้ยินน้ำเสียงของอีกฝ่ายที่เหมือนจะแข็งขึ้นเล็กน้อย เขาก็ต้องหัวเราะเบาๆในลำคอ
“ ไม่ได้ลืมครับ ” ตอบไม่เต็มเสียง “ ผมไม่ลืมแน่นอนเลย ยังไงค่ำนี้เจอกันนะครับ ”
พงศกรถอนหายใจ อย่างเหนื่อยอ่อน แม้รู้ว่ามณีมาลา ไม่ใช่ผู้หญิงไร้เหตุผล หากบอกไปว่าช่วงนี้เขาไม่อยากออกไปเจอคนภายนอกเพราะกลัวโดนถามเรื่องข่าวการ ลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัทพงษ์พิชญะกรุ๊ป ของเจ้าสัวสมพงษ์ เชื่อว่ามณีมาลาคงจะเข้าใจและยอมให้เขาเบี้ยวนัด แต่ที่เขาไม่ทำเช่นนั้น เพราะรู้สึกผิดต่อเธอเป็นอย่างมากที่ช่วงหลายวันมานี้แทบจะไม่ได้โทรหาเธอ เลยสักครั้ง มัวแต่ง่วนอยู่กับการติดต่อนักสืบตามหาญาติของอา เจ๊กไคบ้าง เรื่องงานวิจัยขนมปังตัวใหม่บ้าง ไหนจะผลสำรวจอะไรอีกมากมายที่เขาไม่ได้จัดการ ที่หนักที่สุดก็คงจะเป็นข่าวของบิดา เรื่องนี้คงทำให้มณีมาลาน้อยใจไม่น้อย สิ่งที่พอจะชดเชยได้ก็คงเป็นอาหารค่ำมื้อนี้เท่านั้น
พงศกรเลือกที่จะนั่งรถแท็กซี่ส่วนบุคคลไปยังโรงแรมหรูกลางเมือง แทนที่จะขับรถยนต์ส่วนตัวไปเพื่อไม่ให้เป็นจุดสังเกต โดยทันทีที่รถจอดเทียบหน้าโรงแรม เขาก็รีบก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อให้ไปถึงลิฟต์โดยสารให้เร็วที่สุด หากแต่เขาก็ยังคงรักษาภาพพจน์ภายนอกที่เขาห่วงนักห่วงหนา ยังคงเดินหลังตรงสง่างาม จนเมื่อลิฟต์โดยสารที่เขาเรียกมาถึง ร่างสูงก็รีบพรุ่งพรวดเขาไปโดยไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น นิ้วเรียวกดปุ่มปิดประตูลิฟท์ถี่ยิบเพื่อให้มันปิดลงได้ทันใจเขา
“ รอ ก่อนค่า ” เสียงแหลมใสของใครคนหนึ่งดังแว่วเข้ามาในโสตประสาท แวบแรกเขาก็นึกไว้ก่อนแล้วว่าคนที่เรียกให้เขาหยุดรอ มีโอกาสเป็นนักข่าวได้ถึง 80 %
“ บอก ให้หยุดไง !! ” เสียงนั้นบอก ซ้ำ แต่กลัวห้วนและกระชากกว่าเดิม
ก่อนที่ประตู ลิฟต์จะอ้าออกอีกครั้ง ด้วยฤทธิ์ของรองเท้าผ้าใบเปื่อยยุ่ย ที่เจ้าของยัดเข้ามาขวางประตูไว้ราวนักยิมนาสติกทีมชาติ
“ รีบไปไหนกันนักนะ ” หญิงสาวเด้งตัวขึ้นมาจากท่าฉีกขา ก่อนจะกลับมายืนทรงตัวอย่างทะมัดทะแมง แล้วเดินเข้ามาในลิฟต์เหมือนไม่มีอะไรเกินขึ้น โดยไม่ลืมที่จะเหลือบมองพงศกรด้วยสายตาเหยียดหยาม ผู้ที่เข้ามาใหม่ ซึ่งกำลังมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดปรายเท้าอย่างไร้มารยาทนี้ หากคะเนด้วยสายตาคงจะเป็นเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบปี และที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เลย ก็คงจะเป็นผมบ๊อบหน้าม้าสั่นประมาณคางของเธอ ที่ทำสีประมาณบอร์นทองส้มหรืออะไรสักอย่าง ล้อมกรอบหน้าขาวอมชมพูธรรมชาติของเธอให้โดดเด่น
“ นี่ ! คุณอาคะ หนูถามว่า คุณอาจะไปชั้นไหนคะ ! ”
คำถามเสียงดัง ฟังชัดจนแทบจะฟังเหมือนตะคอกมากกว่าของคนที่ยืนอยู่หน้าแผงควบคุม ทำให้เขาสะดุ้งเล็กน้อย ชายหนุ่มกระแอมในลำคอเบาๆอย่างพยายามรักษาฟอร์ม
“ นอกจากจะไม่มีน้ำใจแล้วยังหัวงูอีกด้วยแฮะ ” เธอบ่นอย่าง ไม่เกรงใจ เหมือนกับจะรู้ว่าเขาจ้องมองเธออยู่อย่างนั้นแหละ พงศกรรู้สึกตากระตุกอย่างบอกไม่ถูก แถมเสียหน้าอย่างที่สุดที่ถูกเข้าใจผิดว่าหัวงู เขาจึงแก้เก้อด้วยการทำหน้าเหรอหรา ชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่แผงควบคุมลิฟต์และระบุชั้นที่ต้องการไปเป็น
ภาษาอังกฤษ
“ อ้าว...ต่างชาติหรอกเหรอ ถึงว่า...” หญิงสาวยิ้ม ก่อนจะยกมือขึ้นข้างหนึ่งเหมือนทักทาย “ หล่อเชียว ”
พูดจบหญิงสาว ก็หันกลับไปทิศเดิม โดยหารู้ไม่ว่าคนที่เธอเพิ่งชมว่าหล่อนั้นแทบจะหลุดขำออกมาเสียแล้ว
และเหมือนว่าสาวหัวแดงก๋ากั่นคนนั้นจะเชื่อเสียสนิทใจว่าผู้ที่โดยสารมากับเธอนั้น เป็นชาวต่างชาติจริงๆ จึงได้เริ่มพูดต่อ
“ คนสมัยนี้นี่ ชาติไหนๆก็หน้าตาคล้ายกันหมดเลยนะ ” เธอ พูดรำพึงลำพังเบา ๆ โดยการแสร้งยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบหูไว้ “ ตอนแรกก็คิดอยู่แล้ว ว่าทำไมหน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนไทย แต่ไม่นึกว่าจะเป็นต่างชาติจริง ๆ ดีนะเนี่ยที่เป็นคนต่างชาติ ไม่งั้นแม่จะด่าให้ ว่าเป็นคนไทย แถมเกิดมาหน้าตาดี ฟังภาษาไทยก็รู้เรื่อง
มีตังค์มาเข้าโรงแรมหรูๆแสดงว่าคงเกิดมารวย แต่ทำตัวไร้มารยาทสิ้นดี คนอาไร้....เสียชาติเกิดจริงๆ ”
พูดจบหญิงสาว ก็หันมาหาพงศกรอีกครั้ง ก่อนจะฉีกยิ้มหวานให้
นี่คงไม่รู้ สินะ ว่าเขาได้ยินและเข้าใจทั้งหมดที่เธอพูด !!
เมื่อถึงชั้น ที่ตัวเองต้องการซึ่งพอดีกับที่เป็นจุดหมายเดียวกันกับผู้ชายหน้าเข้มที่เธอ เดินทางมาด้วย ทาริกาก็รีบเดินตัวปลิวยิ้มแฉ่งออกมาจากลิฟต์ก่อน โดยไม่ลืมที่จะหันไปโบกมือลาผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดใส่ว่า
‘ ขอให้กินข้าวติดคอนะคะ ’
นึกแล้วก็ยัง ขำไม่หาย
ทำไมเธอจะไม่ รู้…
คนอย่าง ทาริกาคนนี้เจอคนมาก็มาก ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนไทย แม้ว่าหน้าตาของเขาจะมองปราดเดียวก็รู้ว่าต้องไม่ใช่คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เธอก็มั่นใจว่าอย่างน้อยในตัวเขาก็มีความเป็นไทยอยู่ไม่น้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ดี อาจจะเป็นเพราะตาชั้นเดียวที่ไม่ได้ตี่เล็กเหมือนพวกเชื้อสายจีนที่มีให้ เห็นทั่วไป แต่กลับกลมโตชวนมองคล้ายตาของพระเอกหนังไทยสมัยก่อนมากกว่า โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่อยู่ใต้คิ้วหนาซึ่งพอมองดี ๆ คิ้วนั้นก็พาลให้นึกถึงตัวการ์ตูนญี่ปุ่นจอมทะเล้นไม่ได้ แต่ที่ดูดีจนน่าอิจฉาก็คงจะเป็นรูปหน้าได้รูป ที่แม้จะไม่ได้เป็นรูปไข่เรียวยาวเหมือนสมัยนี้นิยม แต่กลับมีกรามนิด ๆ ทีเจ้าตัวเหมือนจะรู้ว่าเป็นจุดเด่นของตัวเอง จึงได้ตัดผมทรงรากไทรสั้นเป็นหู โชว์โครงหน้าเต็มที่เช่นนั้น...หรือไม่ก็คงเพราะเป็นคนที่มีเชื้อสายจีน จึงได้เปิดผมโชว์ใบหูที่มีลักษณะดีตรงตามตำราจีนที่เคยอ่านผ่านๆตาจาก หนังสือของอาป๊า.....แต่แหม.....รูปร่างสูงใหญ่อกผายใหญ่ผึ่งของเขาก็......
เอ๊ะ...!! นี่มันกลายเป็นบทชมโฉมเขาไปแล้วหรือนี่ นับวันเธอก็จะยิ่งหื่นขึ้นไปทุกทีสิน่า ทาริกาตีหัว ตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินฮัมเพลงไปอย่างมีความสุข
“ ถือสะว่า ให้ฉันชมโฉมคุณเป็นค่าปลอบใจที่คุณทำฉันเซ็งก็แล้วกันนะคะ ”
หลังจาก เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดสีขาวสะอาดเสร็จ หญิงสาวก็จัดการเช็คความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งกับกระจกล็อคเกอร์บาน ขุ่น ทุกวันนี้เธอต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำตลอด ช่วงเช้าถึงเย็นก็ต้องทำงานที่ร้านอาหารของครอบครัว พอตกค่ำก็ต้องมาทำงานที่ร้านอาหารหรูๆบนโรงแรมนี้อีก แต่เธอก็ไม่เคยคิดท้อ ไม่คิดเหนื่อย เพราะเธอเองก็สามารถอดทนได้ เพื่อให้ไปถึงความฝัน หญิงสาวยิ้มก่อนจะหยิบปอยผมที่สั้นเกินกว่าจะมัดรวบข้างหลังไว้ได้ขึ้น ก่อนจะเสียบมันด้วยกิ๊บสีทองประดับเพชรและทับทิมเม็ดเล็ก ๆ ดีไซด์โบราณอย่างเคยชิน ก่อนจะยิ้มสู้ และก้าวเดินโดยไม่ลืมที่จะให้กำลังใจตัวเอง ด้วยการแตะเบาๆที่กิ๊บติดผม
“ เป็นกำลังใจให้หมี่อีกวันนะคะป๊า ”
ทาริกา มักจะให้กำลังใจตัวเองอย่างนี้ทุกครั้ง นับตั้งแต่วันที่บิดาจากไปเมื่อสามปีก่อน ชีวิตของเธอก็พลิกผันราวหน้ามือเป็นหลังมือ ปานใจมารดาเลี้ยงของเธอที่เคยดีกับเธอมาตลอดก็กลับทำตัวร้ายกาจใส่เหมือนใน ละครน้ำเน่า ผู้หญิงคนนั้นบอกกับเธอว่าให้เธอเลือกเรียนต่ออาชีวะสายคหกรรม เพื่อจบมาทำงานหาเลี้ยงครอบครัว และส่งเสียพี่สาวซึ่งอายุมากกว่าเธอเพียงปีเดียวเรียนต่อปริญญาตรีแฟชั่นดี ไซน์ ในตอนแรกเธอไม่ยอม แต่แม่เลี้ยงและพี่สาวของเธอก็ไม่ยอมเหมือนกัน อ้างบุญคุณที่เลี้ยงดูและอบรมเธอมาเป็นอย่างดีโดยไม่เคยถามตัวเองสักนิดว่า บิดาของเธอนั้น ได้ให้อะไรกับหล่อนไปบ้าง
หญิงสาวจึง ต้องกัดฟันทน บอกกับตัวเองว่าเมื่ออายุได้ 20 ปีเมื่อไหร่ เธอก็จะก้าวออกมาจากบ้านหลังนั้นและยืนหยัดด้วยตัวเองเพียงลำพัง โดยตัดสินใจว่าจะยกร้านอาหารตามสั่งให้เป็นทาน !
วันนี้ในครัว ของร้านอาหารบนโรงแรมหรูแห่งนี้คนเยอะเช่นเคย เชฟทุกคนขะมักเขม้นหน้ามัน เพื่อที่จะทำอาหารเสิร์ฟได้ทันเวลา ส่วนผู้ช่วยเชฟอย่างทาริกาเองก็หัวปั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ทั้งวิ่งหยิบจาน ล้างกระทะ หรือดีหน่อยก็ได้จัดจานจนมือเป็นระวิง
“ หมี่ ! จัดซุปเห็ดถ้วยนี้ที ” เสียงของเชฟเรียก ก่อนจะส่งถ้วยซุปเห็ดหน้าตาน่ากินมาให้
ทาริกาปาดถ้วย อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะหยิบพาสลีย์มาตกแต่ง อย่างสวยงาม โรยพริกไทยนิดหน่อย แล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะพร้อมให้บริกรมารับไปเสริฟอย่างรวดเร็ว
กลิ่นซุปครีมเห็ดถ้วยเล็กที่วางอยู่ตรงหน้าพงศกรโชย เข้าจมูกเรียกน้ำย่อยในท้องของชายหนุ่มให้ทำงานในหน้าที่ของมันอย่างเต็ม ความสามารถ หากแต่กลิ่นของส่วนประกอบบางอย่างที่ไม่พึงประสงค์แทรกเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มต้องก้มลงมองอย่างละเอียด หากแต่เขาพลาดที่วันนี้ไม่ได้ใส่คอนแทคเลนส์มาด้วย จึงมองไม่ชัดว่ามันมี ‘สิ่งนั้น’ อยู่หรือเปล่า จึงได้แต่สะกิดคนข้างกาย ให้ก้มลงมองแทน
“ มี จริง ๆ ด้วยค่ะฟง ” หญิงสาวบอก ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างสงสัย “ แต่โรสแน่ใจ แล้วนะคะ ว่าย้ำกับเขาไปแล้วว่าไม่ให้ใส่ ”
พงศกรถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อส่งสัญญาณเรียกบริการที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“ ผม อยากทราบว่า ใครเป็นคนทำอาหารจานนี้ ” เขายกช้อนคันงามเงาวับขึ้น ก่อนจิ้มมันลงไปในถ้วยและคนมันอย่างเบามือ “ ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือครับ ว่าไม่ต้องโรยพริกไทย พวกคุณไม่ใส่ใจกันเลยหรือไง ”
อิษฎา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 พ.ค. 2554, 17:38:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2554, 15:32:56 น.
จำนวนการเข้าชม : 2104
ตอนที่ 2 สายฝน [ฉบับแก้คำผิดค่ะ] >> |