หทัยแห่งสุริยัน
...ดวงใจ เจ้ารู้บ้างไหม ว่ามีหนึ่งใครหวงห่วงหา...
...แม้นตราบสิ้นดินฟ้า รักของข้าจักคงอยู่เคียงข้างกาย...

เพราะความเจ้าชู้ ทำตัวเป็นเพลย์บอยของเทพอพอลโล่ สร้างความเดือดร้อนให้นางฟ้านางสวรรค์หลายองค์ เขาจึงถูกศรของเทพคิวปิดยิงใส่จนเป็นเหตุให้ต้องตกหลุมรักสาวน้อยชาวมนุษย์นางมนุษย์
ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเป็นเพราะฤทธิ์ศรรักปักอก แต่ทำไม๊ ทำไม เขาจึงละสายตาจากเธอไม่ได้
ทำไมหัวใจถึงไม่ยอมฟังคำสั่งเขา... เทพเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพอย่างเขาหรือ จะมาหลงรักมนุษย์สาวแสนธรรมดาได้...

Tags: แฟนตาซี รักซึ้งกินใจ นิรันดร์แห่งรัก อพอลโล เฮเดส พริมา ยมโลก เทพเจ้า

ตอน: บทนำ

สวัสดีค่ะ หลังจากห่างหายไปนาน ในที่สุดก็ได้กลับมายังบ้านหลังนี้สักที แฟนตาซีเรื่องนี้เป็นตัวละครต่อจากเรื่อง ดุจดั่งดวงใจ ค่ะ ใครที่เคยหลงรักเทพเฮเดสกับพริมา มาแล้ว ก็อย่าลืมมาติดตามอ่านความรักอันเป็นนิรันดร์ของเทพแห่งสุริยัน อย่างอพอลโลกันต่อนะคะ


บทนำ
เลยขึ้นไปเหนือตึกรามบ้านช่องน้อยใหญ่ ผ่านหมู่เมฆาขึ้นไปยังท้องฟ้าเบื้องบน คือที่ตั้งของสรวงสวรรค์อันเป็นวิมานประทับของเหล่าเทพและเทวีแห่งโอลิมปัส สรวงสวรรค์แห่งนี้ถือกำเนิดขึ้นมาเนิ่นนาน ก่อนการถือกำเนิดของโลกมนุษย์นับหมื่นนับแสนปี ณ สรวงสวรรค์แห่งนี้มีมหาเทพซุสทรงเป็นราชันเหนือเหล่าทวยเทพทั้งปวง เคียงคู่เทวีเฮราผู้ทรงเป็นราชินีแห่งเหล่าทวยเทพ สวรรค์โอลิมปัสเป็นดินแดนกว้างไกลสุดสายตา มีปราสาทสีขาวโพลนบริสุทธิ์ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆา ส่องแสงระยิบระยับจับสายตาทุกคู่ของผู้ได้มาเยือน เลยออกไปด้านหลังของตัวปราสาทคือบรรดาวิมานของเหล่าเทพและเทวีทั้งหลาย ตั้งลดหลั่นลงไปตามหมู่เมฆน้อยใหญ่ ในบรรดาวิมานเหล่านั้นยังมีวิมานแห่งหนึ่งทอประกายพร่างพราวด้วยแสงสีทอง โดดเด่นไม่แพ้ปราสาทของมหาเทพซุส...วิมานขององค์สุริยเทพ...

เสียงครวญครางดังลอดผ่านม่านหน้าต่างออกมา ทำเอาเหล่าเทพธิดาข้ารับใช้ซึ่งบังเอิญเดินไปมาบริเวณนั้นต่างหน้าแดงอายม้วนไปตามๆ กัน
“แถวนี้ไม่ใช่ที่ที่ พวกเจ้าจะมายืนเล่น มีหน้าที่อะไรก็รีบๆ ไปทำกันให้เรียบร้อย” ออโรราบอกกับบรรดาเหล่าเทพธิดาทั้งหลายซึ่งยังยืนค้างไม่ยอมขยับเคลื่อนกายไปไหน
“แต่ข้ายังไม่ได้เข้าไปทำความสะอาดห้องบรรทมของเทพอพอลโลเลยนะเจ้าคะ” หนึ่งในเทพธิดาแห่งศิลปวิทยาหรือเหล่ามิวส์ บอกเสียงอ่อย
“ไม่ต้องแล้ว” ออโรราโบกมือไล่ ดวงหน้าสวยสมบูรณ์แบบของเทวีผู้ครองแสงเงินแสงทองเหลือบมองบานประตูเบื้องหน้าด้วยท่าทางหนักใจ

เทพอพอลโลทรงคว้าเทพธิดานางใดมาหาความสำราญอีกแล้วกระมัง... นางนึกบ่นผู้เป็นองค์เหนือหัวอยู่ในใจอย่างไม่อาจทำสิ่งใดได้ เรื่องความเจ้าชู้ของเทพเจ้าองค์นี้ต่างร่ำลือไปทั่วทั้งโอลิมปัส ตลอดไปจนถึงโลกมนุษย์ เหล่าเทพธิดาและนางอัปสรทั้งหลาย ไม่มีผู้ใดไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ของเทพหนุ่มเจ้าสำราญองค์นี้ ทั้งความหล่อเหลาอันเป็นยิ่งกว่าสิ่งมหัศจรรย์ใดจะเสกสรรปรุงแต่งได้ เทพอพอลโลทรงเป็นเทพบุตรรูปงามเกินกว่าหญิงใดจะจินตนาการถึง พระเกศาสีทองบวกกับดวงพักตร์คมเข้ม และพระเนตรสีทองพราวระยับ ส่งให้เทพบุตรองค์นี้เป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีทุกนางแม้เพียงแค่ชายพระเนตรหา

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย นับตั้งแต่ออโรราได้มาเป็นเทพบริวารผู้ใกล้ชิดพระองค์ ทำหน้าที่เปิดประตูให้ราชรถทองคำของสุริยเทพออกโคจรสู่โลกมนุษย์ในยามรุ่งอรุณมาเยือน ออโรราได้เห็นเหล่าเทพธิดามากมายหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาเยือนวิมานของสุริยเทพ หากก็ยังไม่มีเทพธิดาองค์ใดสามารถคว้าพระทัยของเทพหนุ่มเจ้าสำราญไปครองได้สำเร็จ และนางเองก็คิดว่าคงจะอีกนานแสนนานกว่าจะได้มีโอกาสเห็นพระชายาขององค์เหนือหัว
หรือบางทีวันนั้นอาจมาไม่ถึงเลยก็เป็นได้ เมื่อเทพอพอลโลยังทรงหาความสำราญอยู่เช่นนี้เรื่อยไป

ภายในห้องบรรทมอันวิจิตรงดงามยามนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจดังผะแผ่วออกมาจากร่างที่ทอดกายนอนอยู่บนเตียงสีขาวสะอาด ร่างระหงเย้ายวนตาของหญิงสาวนางหนึ่งพลิกตัวลุกขึ้นหาวรกายสูงซึ่งยังคงบรรทมอยู่ไม่ห่าง
“ฝ่าบาท...” น้ำเสียงหวานเจื้อยแจ้วทูลออดอ้อน ปลุกเนตรสีทองสุกปลั่งดุจลูกแก้วปรือลืมขึ้น
“มีอะไร” สุรเสียงราบเรียบตรัสถาม ขณะวรกายสูงกำยำประทับนั่งบนแท่นบรรทม หากนั่นยังไม่สำคัญเท่ากับรับสั่งถัดมา “เจ้ายังไม่กลับไปอีกรึ”
เทพธิดาผู้ถือว่ามีความงามเป็นหนึ่งในโอลิมปัสอย่างเอเดรียรู้สึกขัดใจไม่น้อยกับถ้อยดำรัสไม่ยินดียินร้ายของการมีนางอยู่ข้างวรกาย

“หม่อมฉันจะกลับไปไหนได้ล่ะเพคะ หม่อมฉันเป็นของฝ่าบาทแล้ว” เทพธิดาสาวทูลออดอ้อน
“เป็นของข้าหรือ?” สุรเสียงสูงตรัสถาม “จำได้ว่าก่อนเจ้าจะตามข้ามายังวิมาน เจ้ารู้ตัวดีไม่ใช่หรือว่า ไม่เคยมีเทพธิดาองค์ใดเป็นของข้า เช่นเดียวกับข้าไม่เคยเป็นของผู้ใด เราก็แค่มีความสุขร่วมกันชั่วครั้งชั่วคราว เจ้าอย่าได้คิดหวังสิ่งใดมากไปกว่านี้เลย” ถ้อยรับสั่งกระด้างเย็นชา เสียดแทงหัวใจของผู้นั่งฟังอยู่จนเจ็บแปลบขึ้นมาในอก
“ตะ...แต่หม่อมฉันนึกว่า... ฝ่าบาทไม่รักหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ”
“รักหรือ? ข้าจำไม่ได้ว่าเคยพูดคำนั้นกับเจ้า หรือแม้แต่เทพธิดาองค์ใด”
“ไม่จริง เมื่อคืนนี้ฝ่าบาทตรัสว่ารักหม่อมฉันนี่เพคะ” เอเดรียทูลด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด

หากในยามย่ำรุ่งวันนี้ น้ำเสียงที่เคยคิดว่าสามารถมัดพระทัยเทพแห่งสุริยันได้กลับไม่มีผลอันใดเลย
“ข้าไม่เคยพูดคำนั้น” เทพอพอลโลมั่นพระทัยว่าไม่เคยตรัสคำว่า ‘รัก’ ออกจากพระโอษฐ์ เมื่อคืนพระองค์ก็แค่ต้องพระทัยในความงามของเทพธิดาเอเดรีย จึงมีรับสั่งเชิญชวนนางให้มายังวิมาน ก่อนทุกอย่างจะเป็นไปตามความปรารถนาของทั้งสองฝ่าย “เอเดรีย ข้าจะรักใครได้ ในเมื่อข้าไม่เคยเชื่อว่า ความรู้สึกที่เจ้าเรียกว่าความรักเป็นเช่นไร มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบที่เราต่างปรารถนากันก็เท่านั้น ความรักไม่มีอยู่จริงในสามโลกนี้หรอก” รับสั่งอย่างไม่ยี่หระ
“ไม่จริงเพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าความรักมีอยู่จริง เทพคิวปิดเป็นพยานได้”
“หึ เทพความรักงี่เง่าพรรค์นั้นน่ะหรือ” เทพอพอลโลรับสั่งด้วยสุรเสียงดูแคลน

แต่ไหนแต่ไรมาเทพอพอลโลไม่ทรงเชื่อถือในฤทธานุภาพของเทพเจ้าแห่งความรักเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังเคืองพระทัยเนื่องจากเทพคิวปิดมีอาวุธประจำกายเป็นคันธนูเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ ด้วยทรงเชื่อมั่นว่าอำนาจแห่งสุริยันที่ทรงครอบครองเหนือกว่าความรักซึ่งไม่อาจจับต้องได้
“หากเจ้าเชื่อเช่นนั้นก็ตามใจเจ้า” รับสั่งอย่างไม่ใส่พระทัยนัก ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะสนพระทัย
“เพคะ หม่อมฉันเชื่อว่าความรักมีอยู่จริง หม่อมฉันรักฝ่าบาทนะเพคะ”
“แต่ข้าไม่ได้รักเจ้า ข้าก็แค่อยากลิ้มรสความหวานที่ใครๆ ต่างล่ำลือ”

เทพอพอลโลไม่ได้รับสั่งถึงดำริในพระทัย ความหวานที่ทรงดื่มด่ำไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้หวานไปกว่าความหวานใดที่เคยลิ้มรสมา สุดท้ายสตรีก็เป็นแค่เครื่องมือให้พระองค์ทรงหาความสำราญชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
“แต่หม่อมฉันรักฝ่าบาทจริงๆ นะเพคะ ไม่งั้นคงไม่ตามพระองค์มาถึงวิมาน ไม่นึกเลยว่าฝ่าบาทจะทรงทำกับหม่อมฉันแบบนี้” เสียงคร่ำครวญของเทพธิดาองค์งามไม่ได้ช่วยให้วรกายสูงซึ่งกำลังจะผลักบานประตูหันมาสนพระทัยแต่อย่างใด
“ถ้าเจ้าอยากพร่ำเพ้อถึงความรักไร้ตัวตนอยู่อย่างนี้ก็ตามใจแล้วกัน ข้ามีงานต้องทำ แต่หวังว่าเมื่อข้ากลับมาถึงวิมาน ข้าจะไม่พบเจ้าอีก” เทพอพอลโลตรัสด้วยสุรเสียงราบเรียบ ก่อนทวารจะปิดลงพร้อมกับวรกายสูงเสด็จจากไป
วรกายสูงเสด็จตรงมายังราชรถสีทองสุกปลั่ง เหล่าเทพธิดาข้ารับใช้ต่างตระเตรียมราชพาหนะไว้พร้อมสำหรับการเสด็จออกไขแสงอรุณรุ่งของเช้าวันใหม่

“แล้วเทพธิดาองค์นั้นล่ะเพคะ” ออโรราทูลถามเมื่อเห็นองค์เหนือหัวเสด็จขึ้นประทับบนราชรถ
“จัดการเรื่องของนางให้ข้าหน่อยแล้วกัน นางอยากได้อะไรก็หาให้นาง” สุรเสียงราบเรียบตอบกลับ
เทพอพอลโลไม่ทรงเสียดายทรัพย์สมบัติชิ้นใดเลยเมื่อจำเป็นต้องประทานให้เหล่าเทพธิดาทั้งหลายที่เคยมีสัมพันธ์ด้วย เนื่องจากเทพธิดาแต่ละนางล้วนผ่านมาและจากไปอย่างที่พระองค์ไม่ทรงนึกอยากจดจำเลยสักนาง
“แล้วถ้านางอยากได้ตำแหน่งพระชายาล่ะเพคะ” เสียงหวานทูลถามอย่างยั่วเย้า

เทวีแห่งแสงเงินแสงทองรู้ดียิ่งกว่าผู้ใดว่าตำแหน่งนี้เลอค่าเพียงไร เพราะไม่ใช่แค่เพียงพระชายาของเทพบุตรรูปงามเท่านั้น ในเมื่อเทพอพอลโลทรงเป็นถึงราชโอรสของมหาเทพซุส วันหนึ่งในนิรันดร์กาลอันแสนไกล ใครจะล่วงรู้ว่าเทพบุตรองค์นี้อาจได้ขึ้นครองบัลลังก์แห่งมหาเทพของพระบิดา ดังนั้นตำแหน่งชายาของพระองค์จึงมีความสำคัญและเป็นที่ปรารถนาของบรรดาเหล่าเทวีและเทพธิดาทั้งหลาย
ดวงพระพักตร์หล่อเหลาหันมาแย้มสรวลกับนาง “เจ้าก็รู้ว่าไม่เคยมีตำแหน่งนี้อยู่ ข้าอาจมีหญิงมากมาย แต่ไม่เคยมีหญิงใดทำให้ข้าอยากยกนางให้เสมอเทียบเคียง” รับสั่งจบก็ทรงกระตุกบังเหียน

ราชรถสีทองถูกเทียมไว้ด้วยเหล่าเปกาซัสทั้งห้าทะยานออกสู่ท้องนภาอันกว้างใหญ่ไพศาล ส่งผลให้รัตติกาลอันมืดมิดอยู่ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปพร้อมกับแสงแรกของรุ่งอรุณสาดส่องลงเยือนพื้นพิภพเบื้องล่าง
ออโรรายืนมองราชรถแล่นหายเข้าไปในกลีบเมฆ ก่อนเดินกลับเข้าสู่วิมานด้วยท่าทีหนักใจ
เฮ้อ นี่เป็นอีกวันหนึ่งที่นางต้องคอยจัดการเรื่องไร้สาระขององค์เหนือหัว เมื่อไหร่กันหนอ เทพจอมเจ้าชู้อย่างอพอลโลจะเริ่มต้นรู้จักความรักเสียที...

“ว่าไงนะ ท่านแม่ทรงเรียกหาข้างั้นหรือ” สุรเสียงสูงตรัสถามอย่างไม่เชื่อพระทัยนัก
“เพคะ รับสั่งให้ฝ่าบาทเสด็จไปปราสาทขององค์มหาเทพ”
ออโรราเพิ่งมีโอกาสทูลเรื่องนี้กับเทพอพอลโลเมื่อตอบใกล้พลบค่ำ เนื่องจากตลอดเช้า หลังจากขับราชรถไขแสงรุ่งอรุณแก่ผืนโลกเสร็จแล้ว พระองค์ไม่ได้เสด็จกลับมายังวิมานอีกเลย แม้ไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าเทพบุตรรูปงามพระองค์นี้เสด็จไปยังที่แห่งใด แต่ข้ารับใช้ผู้ใกล้ชิดอย่างออโรราก็พอจะเดาพระทัยขององค์เหนือหัวได้ไม่ยากนัก
ถ้าไม่ได้เสด็จไปตามทุ่งดอกไม้ ก็คงเป็นห้วยลำธารบนโลกมนุษย์ นางอัปสรดอกไม้และอัปสรน้ำบนโลกล้วนงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเหล่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ ถูกพระทัยองค์เหนือหัวมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว...

“เฮ้อ ทรงมีเรื่องจะบ่นข้าอีกเป็นแน่” เทพอพอลโลรับสั่งด้วยท่าทีเหนื่อยพระทัย หากก็ไม่สามารถขัดพระบัญชาของพระมารดาได้
พระบาทที่กำลังจะก้าวกลับขึ้นราชรถชะงักไปเล็กน้อย เมื่อดำริถึงบางสิ่งได้ พระองค์ทรงยื่นบางสิ่งในพระหัตถ์ให้เทวีออโรรา
“ดอกไม้หรือเพคะ ประทานให้หม่อมฉันด้วยเหตุใด” ออโรราทูลถามด้วยความงุนงง ก้มลงมองดอกไม้สีม่วงดอกเล็กๆ ในมือนาง พยายามนึกถึงชื่อดอกไม้บนโลกมนุษย์ชนิดนี้อยู่เป็นนาน แต่ก็ไม่อาจนึกออก
“อัปสรนางหนึ่งเอามาให้ข้า เห็นมันสวยดี เจ้าเก็บไว้สิ เพราะอยู่กับข้าเดี๋ยวก็คงโยนทิ้ง” รับสั่งขององค์เหนือหัวทำให้เทวีองค์งามถึงกับถอนพระทัย

“อัปสรนางนั้นคงตั้งใจนำมาถวายฝ่าบาท น่าจะมีน้ำพระทัยเก็บดอกไม้นี้ไว้ในห้องบรรทมนะเพคะ”
“ไม่ล่ะ ถ้าเจ้าไม่ชอบก็ทิ้งมันไปเถอะ”
ออโรรานึกอยากจะทูลถามเหลือเกินว่าอัปสรนางใดนำดอกไม้มาถวายพระองค์ หากสุดท้ายนางก็ได้แต่ถอดถอนใจ เพราะรู้ดีว่าถึงทูลถามไป แม้แต่ชื่อของนางอัปสรผู้นั้น ก็ไม่รู้ว่าองค์เหนือหัวของนางจะทรงจดจำได้หรือไม่
ไม่นานนักเทพอพอลโลก็เสด็จมายังปราสาทสีขาวอันเป็นที่ประทับของมหาเทพซุสและองค์ราชินีเฮรา วรกายสูงกำยำเสด็จตรงไปยังห้องทรงงานด้านในของตัวปราสาท ซึ่งมีองค์ราชินีประทับนั่งอยู่พร้อมทั้งเทวีอะโฟรไดทิและเทพคิวปิด
“ท่านแม่ทรงเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใด” เทพอพอลโลรับสั่งถาม ไม่ได้เหลียวพระเนตรไปยังเทพทั้งสององค์ข้างพระมารดาเลย
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเอ่ยวาจาดูถูกเทพคิวปิดงั้นหรือ อพอลโล” องค์ราชินีทรงหันมารับสั่งถามกับโอรส
“พระเจ้าค่ะ” เทพอพอลโลทรงยอมรับความจริงอย่างไม่เต็มพระทัยนัก

ในฐานะผู้ทรงเป็นเทพเจ้าแห่งสัจจะ สิ่งใดที่เคยรับสั่งจากพระโอษฐ์ล้วนแต่เป็นเรื่องสัจจริงทุกประการ เช่นเดียวกับครั้งนี้ เทพอพอลโลทรงยอมรับอย่างไม่ปิดบังว่าพระองค์ทรงดูถูกเทพแห่งความรักจริง
“กระหม่อมกับฝ่าบาทไม่เคยมีเรื่องอันใดเคืองแค้นต่อกัน เหตุใดพระองค์ถึงทรงดูถูกกระหม่อม” เทพคิวปิดทูลถามด้วยน้ำเสียงพยายามข่มความโมโหไว้
“ข้าก็แค่พูดออกไปด้วยอารมณ์ชั่วแล่น ไม่คิดว่าจะมีนางฟ้าหน้าไหนเอาคำพูดข้ามาฟ้องเช่นนี้”
“จะพูดอะไรก็คิดให้ดีก่อนพูด เพราะสุดท้ายแล้วคำพูดนั่นแหละที่เป็นนายของเจ้าไม่ใช่ใครอื่น” องค์ราชินีตรัสเตือน ก่อนเอ่ยโอษฐ์ให้เทพอพอลโลทรงขอโทษต่อสิ่งที่เคยรับสั่งมา

ทว่า...
“ข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกท่านแม่ ในเมื่อสิ่งที่ข้าพูดไปล้วนเป็นเรื่องจริง” สุรเสียงหยิ่งผยองของเทพอพอลโลทำเอาดวงพักตร์เย้ายวนตาของเทวีอะโฟรไดทิถึงกับโมโหกรุ่น
“เป็นเพราะท่านพี่ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักมาก่อนต่างหาก ถึงได้เอ่ยวาจาดูถูกความรักเช่นนั้น”
“หึ ความรักงี่เง่าพรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสัมผัสเลยสักนิด” เทพอพอลโลตรัสด้วยสุรเสียงดูแคลน
“เช่นนั้นข้าจะทำให้ท่านเห็นเอง ว่าความรักที่ท่านไม่เคยได้สัมผัสรสชาติเป็นเช่นไร และไม่แน่ว่าสิ่งที่ท่านกำลังจะได้สัมผัส อาจทำให้ท่านทุรนทุราย หรือคลั่งเจียนตายก็เป็นได้”
“ก็ลองดูสิ ถ้าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรข้าได้” เทพอพอลโลทรงท้า ก่อนหันพักตร์มาตรัสกับพระมารดา “ท่านแม่ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขอตัวก่อน”

วรกายสูงเสด็จจากไปรวดเร็วไม่ต่างจากสายลมพัดเฉกเช่นเดียวกับขามา องค์ราชินีเฮราจึงหันมารับสั่งกับพระธิดาองค์งาม
“เจ้าแน่ใจเหรอว่า สิ่งนี้จะช่วยให้อพอลโลได้เรียนรู้มากขึ้น”
“เพคะ ท่านพี่ควรหยุดหัวใจตนเองไว้กับสตรีสักนางได้แล้ว โอลิมปัสจะได้สงบสุขเสียที” เทวีอะโฟรไดทิตรัสด้วยสุรเสียงมั่นพระทัย
“ลองทำตามวิธีของเจ้าดูสักครั้งแล้วกัน แต่ข้าเองก็ยังไม่มั่นใจนักว่าสิ่งนี้จะช่วยให้อพอลโลได้เรียนรู้มากเพียงใด” องค์ราชินีเฮรารับสั่งอย่างปลงพระทัย
“เพคะ ท่านแม่อย่าห่วงเลย ข้าเชื่อว่าท่านพี่ต้องได้เรียนรู้อะไรอีกมากจากศรเล็กจิ๋วคันนี้” เทวีอะโฟรไดทิทูลตอบ ดวงพักตร์หวานหันมารับสั่งกับกามเทพ “คิวปิด เจ้าจงใช้คันศรของเจ้าให้เป็นประโยชน์ ไปทำให้เทพอพอลโลเรียนรู้เสียทีว่าอานุภาพของความรักยิ่งใหญ่และรุนแรงเพียงใด” กามเทพจึงโค้งคำนับรับสั่งของพระมารดา แล้วจึงจากไปเพื่อทำตามพระบัญชา

ก่อนรุ่งสางคือเวลาตื่นบรรทมของเทพอพอลโล เพื่อเสด็จออกไปปฏิบัติภารกิจด้วยการทรงราชรถออกไปไขแสงอรุณรุ่งสู่โลกมนุษย์ เช้ามืดวันนี้ก็เช่นกัน พระองค์ตื่นบรรทมขึ้นมาตามเวลาปรกติ หากในวินาทีที่วรกายสูงลุกขึ้นมาประทับนั่งอยู่บนแท่นบรรทม ความเจ็บแปลบเล็กๆ บริเวณอุระด้านซ้ายทำให้ต้องก้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตร
สิ่งเล็กๆ ปักเด่นอยู่บนอุระเปลือยเปล่าด้านซ้ายของพระองค์คือคันศรทองคำขนาดไม่ใหญ่นัก ไม่ต้องมีผู้ใดกราบทูล เทพอพอลโลก็ทรงรับรู้ได้ในวินาทีต่อมาว่า คันศรทองคำนี้จะเป็นของผู้ใดไปไม่ได้นอกจากกามเทพ
พลัน น้ำเสียงเยาะเย้ยในพระสุบินก็ก้องกังวานขึ้น

‘แล้วฝ่าบาทจะทรงทราบว่าศรคันเล็ก ไร้พิษสงของกระหม่อมสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง ศรเล็กๆ คันนี้แหละจะทำให้พระองค์ตกหลุมรักสตรีนางแรกที่ทอดพระเนตร แล้วพระองค์จะทรงรู้ว่าฤทธานุภาพของศรรักรุนแรงเพียงใด’
“หึ ก็แค่คันศรธรรมดาคันหนึ่ง ของแค่นี้ไม่สามารถทำให้ข้าตกหลุมรักผู้ใดได้หรอก” เทพอพอลโลรับสั่งอย่างไม่เชื่อถือนัก
วรกายสูงเสด็จลงมาจากแท่นบรรทมเพื่อตรงดิ่งไปยังห้องสรงน้ำ หากยามชะโงกพระพักตร์ไปยังอ่างน้ำซึ่งมีน้ำปริ่มอยู่เต็มอ่าง เงาสะท้อนที่ควรเป็นดวงพักตร์หล่อเหลาคมเข้มกลับค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นดวงหน้าของผู้อื่น
ใบหน้าขาวนวลกระจ่างใสของหญิงสาวนางหนึ่งปรากฏขึ้นแทนที่เงาสะท้อนของพระองค์ เทพอพอลโลไม่เคยทอดพระเนตรหญิงสาวนางนี้มาก่อน แต่วินาทีแรกเมื่อโน้มพระพักตร์ลงทอดพระเนตร ความรู้สึกบางอย่างกลับเอ่อล้นขึ้นมาเต็มดวงหทัย
ความรู้สึกที่ไม่เคยประทานให้ผู้ใดมาก่อน มันเป็นความรู้สึกที่เคยดำริไว้ว่าไม่มีจริงอยู่ในสามโลก...
ยามนี้เทพอพอลโลทรงรู้สึกราวกับดวงหทัยไม่ใช่ของพระองค์อีกต่อไป เมื่อมันปลิวลอยไปไกลถึงหญิงสาวปริศนาพระองค์ไม่ทรงรู้ด้วยซ้ำว่านางคือผู้ใด ดวงหน้าเรียวรูปไข่ไม่ได้งดงามเย้ายวนเหมือนอย่างเหล่าเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ หากแต่พริ้มเพรา จิ้มลิ้มชวนมองจนไม่อาจละสายพระเนตรได้ เทพอพอลโลไม่มั่นพระทัยนักว่าพระองค์ยืนทอดพระเนตรใบหน้านวลผ่องเนิ่นนานเท่าใด จวบจนกระทั่งเสียงเคาะบานทวารดังขึ้น

“ฝ่าบาท สายแล้วนะเพคะ” เสียงของออโรราดังแทรกผ่านม่านหมอกควันเข้ามาปลุกพระสติซึ่งหลุดลอยตามดวงหน้าจิ้มลิ้มให้กลับคืนมา
หากเทพอพอลโลยังทรงต้องใช้เวลานานหลายนาที กว่าจะสามารถละสายพระเนตรจากภาพนิมิตในอ่าง พระองค์สะบัดเศียรอย่างแรงเพื่อขับไล่ความรู้สึกท่วมท้นอยู่ในดวงหทัยให้จางหายไป ทว่าไม่ว่าทำอย่างไร พระองค์ก็ไม่อาจขับไล่แรงปรารถนาที่เกาะกุมดวงหทัยของพระองค์ไว้ได้
นางคือผู้ใดกัน เหตุใดพระองค์ถึงปรารถนานางถึงเพียงนี้ นี่หรือคือฤทธานุภาพคันศรของกามเทพ...

กว่าเทพอพอลโลจะเสด็จออกมายังราชรถทองคำก็เป็นเวลาสายกว่าวันปรกติมากนัก พระองค์ทรงราชรถสีทองออกโคจรลงสู่โลกมนุษย์ด้วยหทัยไม่เป็นสุข เพราะมัวแต่คำนึงถึงหญิงสาวปริศนาในนิมิต และในทันทีที่เสด็จกลับจากการไขแสงอรุณรุ่ง เทพอพอลโลก็เร่งรุดเสด็จไปยังวิมานของเทวีอะโฟรไดทิ
“คิวปิด ออกมาเดี๋ยวนี้” สุรเสียงกึกก้อง เต็มไปด้วยพระอารมณ์เกรี้ยวกราดดังขึ้นทันที เมื่อสาวพระบาทมาถึงวิมานขององค์เทวี
“ใจร้อนเหมือนเคยนะท่านพี่ มาหาข้าถึงวิมานด้วยเหตุอันใดกัน” วรกายระหง งดงามของเทวีแห่งความรักเสด็จออกมาต้อนรับพระองค์
“คิวปิดไปไหน ข้ามีเรื่องจะคุยกับเขา”
“จะคุยกับลูกข้าทำไม ท่านเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าลูกของข้าเป็นพวกงี่เง่า ไม่ได้มีฤทธานุภาพใด”

“อะโฟรไดทิ เป็นเจ้าใช่หรือไม่ สั่งให้คิวปิดมาบุรุกวิมานของข้าในยามค่ำคืน” สุรเสียงห้วนจัดตรัสถาม เมื่อดำริได้ว่ากามเทพรักและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ใดมากที่สุด ถ้าไม่ใช่พระมารดาของเขา
“ใช่ ข้าเป็นคนออกคำสั่งเอง แต่เป็นเพราะท่านไม่เชื่อในความรัก หนำซ้ำยังดูถูกลูกข้า ข้าเลยอยากให้ท่านได้เรียนรู้ในสิ่งที่ท่านปฏิเสธว่าไม่มีตัวตนมาตลอด” เทวีอะโฟรไดทิตรัสด้วยสุรเสียงเยาะหยัน
“เจ้า! เรียกคิวปิดออกมาเดี๋ยวนี้ พวกเจ้าทำอะไรกับหัวใจข้า” สุรเสียงของเทพอพอลโลสะท้อนก้องไปทั่วทั้งวิมาน เป็นผลให้เหล่าเทพและเทพธิดาองค์อื่นๆ ซึ่งลอยอยู่ไม่ห่างจากวิมาน ต่างชะโงกหน้ามามองด้วยความสนใจ
“ทำอะไร? แค่ศรเล็กกระจิ๋วเพียงเท่านั้นมีหรือจะทำอะไรเทพผู้ยิ่งใหญ่อย่างท่านพี่ได้ ท่านดึงมันออกจากอกแล้วไม่ใช่หรือ ข้าไม่เห็นบาดแผลใดๆ แล้วด้วยซ้ำ”

รับสั่งของเทวีองค์งามเป็นจริงทุกประการ ยามนี้เบื้องอุระด้านซ้ายของเทพอพอลโลไม่ปรากฏรอยบาดแผลใดๆ หากเทพแห่งสุริยันกลับรู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งใดๆ มันเป็นความเจ็บปวดที่พระองค์ไม่ทรงพานพบมาก่อน
ร้อนรน ทุรนทุราย ปรารถนาเหลือเกิน อยากจะรับรู้ว่าหญิงสาวในนิมิตคือผู้ใด
ใบหน้านวลเกลี้ยงเกลาไม่ได้สะสวยไปกว่าสตรีนางไหน แต่เหตุใดจึงสะกดหทัยของพระองค์ให้นิ่งแนบสนิทอยู่กับภาพนิมิตได้
นางคือใคร แล้วเหตุใดหทัยของพระองค์ถึงโหยหานางเพียงนี้...
ยังไม่ทันที่เทพอพอลโลจะรับสั่งถึงสิ่งค้างคาอยู่ในพระทัย จู่ๆ เหล่าเทวทูตนับสิบองค์ก็ตรงดิ่งจากท้องฟ้าเบื้องบน ลงมายังวิมานของเทวีอะโฟรไดทิ
“มหาเทพซุสมีพระบัญชาให้ฝ่าบาทเสด็จไปเข้าเฝ้าพระองค์พระเจ้าค่ะ” หนึ่งในเหล่าเทวทูตกราบทูลต่อเทพอพอลโล
“ท่านพ่อเรียกข้างั้นเหรอ” รับสั่งพึมพำกับองค์เอง ก่อนจะดำริได้ถึงเรื่องราวเมื่อตอนรุ่งอรุณ พระองค์กริ้วองค์เองไม่น้อยกับผลกระทบต่อหน้าที่ที่ทรงทำผิดพลาด

เนิ่นนานกี่ร้อยกี่พันปีมา เทพอพอลโลไม่เคยทรงราชรถสุริยันโคจรลงสู่โลกมนุษย์ช้ากว่ากำหนดเลย หากเช้าวันนี้พระองค์กลับเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ช้ากว่าเวลาปรกติไปหลายสิบนาที เหตุเพราะภาพนิมิตของหญิงปริศนาตรึงพระทัยไว้อย่างไม่อาจละสายพระเนตรไปได้
“เจ้าต้องไปกับข้าด้วยอะโฟรไดทิ เหตุการณ์วันนี้เป็นเพราะลูกชายของเจ้าเป็นตัวต้นเหตุ” สุรเสียงดุดันหันมารับสั่งกับพระขนิษฐา

ไม่นานทั้งสองพระองค์ก็เสด็จมายังปราสาทของมหาเทพซุสพร้อมด้วยเหล่าเทวทูตนับสิบองค์ตามเสด็จมา ห้องทรงงานภายในตัวปราสาทเปิดกว้างต้อนรับเสด็จทั้งสองพระองค์
เทพอพอลโลประทับยืนนิ่งใกล้บานทวารที่ถูกปิดสนิทลง โดยมีเทวีอะโฟรไดทิเสด็จเลยไปประทับนั่งข้างองค์ราชินีเฮรา
“ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้ รู้ใช่ไหมว่ามีความผิดใด” สุรเสียงราบเรียบ ดุดันของมหาเทพซุสไม่ได้ทำให้ผู้ประทับยืนเพียงลำพังทรงหวั่นเกรงใดๆ
“ข้าทราบว่าเช้าวันนี้ ข้าออกไปทำหน้าที่สายกว่าปรกติ หากท่านพ่อจะลงโทษข้าก็เห็นสมควรแล้ว” สุรเสียงราบเรียบ ไม่หวั่นเกรงใดๆ คือลักษณะประจำองค์ของเทพแห่งสุริยัน “แต่สิ่งที่ทำให้ข้าออกไปทำหน้าที่สายเป็นเพราะคิวปิดบุกรุกเข้ามายิงคันศรใส่ข้าถึงภายในวิมาน”

“เป็นความจริงหรืออะโฟรไดทิ ลูกชายของเจ้าทำเช่นนั้นจริงหรือไม่” มหาเทพซุสหันมารับสั่งถามพระธิดา
“จริงเพคะ แต่นั่นเป็นเพราะอพอลโลเอ่ยวาจาดูถูกลูกชายของข้าก่อน แล้วข้าก็ไม่เห็นว่าคันศรเล็กกระจ่อยร่อยจะเป็นอันตรายต่อเขาเลยสักนิด ท่านพ่อก็ทรงเห็นว่าไม่ได้มีบาดแผลใดๆ เกิดขึ้นกับท่านพี่เลยนะเพคะ” เทวีอะโฟรไดทิตรัสอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญใดๆ
“ถึงไม่มีบาดแผล แต่ศรของคิวปิดก็มีบางอย่างแฝงอยู่ ข้าต้องการให้เขาถอนมันคืนกลับไป” เทพอพอลโลรับสั่งด้วยสุรเสียงที่เกือบจะข่มความเกรี้ยวกราดไว้ไม่มิด
บางสิ่งในหทัยกำลังกัดกร่อนพระอารมณ์ให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอีกต่อไป
นี่มันอะไรกัน ความรู้สึกโหยหาถึงดวงหน้าแฉล้มในภาพนิมิต มันคือสิ่งใดกันแน่...
“นั่นคือความรัก หากท่านยอมรับการมีอยู่ของความรักได้เมื่อไหร่ และยอมขอโทษที่เอ่ยวาจาดูถูกข้าและคิวปิด ข้าจะให้คิวปิดถอนพิษศรออกจากอกท่าน” เทวีแห่งความรักรับสั่งกับพระเชษฐา

“ไม่! ข้าไม่เชื่อว่าความรู้สึกหลอกลวงนั้นมีจริง” เทพอพอลโลปฏิเสธสุรเสียงแข็งกร้าว
แต่ไหนแต่ไรมาพระองค์ไม่ทรงเชื่อในฤทธานุภาพของความรักเลย นับตั้งแต่อะโฟรไดทิประสูติขึ้นมาจากฟองคลื่น ตลอดจนการถือกำเนิดของกามเทพผู้เป็นบุตรชายของพระนาง เทพอพอลโลก็ไม่ทรงศรัทธาในฤทธานุภาพที่พระขนิษฐาทรงครอบครอง
ความรัก...สิ่งที่ไม่อาจจับต้องหรือประมวลถึงแสนยานุภาพได้เช่นนั้นหรือจะทรงพลังถึงขั้นบ่อนทำลายผู้ใดได้...
“งั้นข้าจะไม่ถอนพิษให้ท่าน” เทวีองค์งามรับสั่งด้วยสุรเสียงหยิ่งผยอง
“ก็ได้ ถึงเจ้าจะไม่ถอนพิษออก ข้าจะทำให้เจ้ารู้เองว่าพิษสงของความรักไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ต่อข้าเลย” เทพอพอลโลรตรัสด้วยสุรเสียงดื้อดึงไม่แพ้กัน
“แล้วข้าจะคอยดู...ท่านพี่” เทวีอะโฟรไดทิแย้มสรวลให้กับพระเชษฐาผู้บังอาจท้าทายอำนาจของพระนาง
ส่วนมหาเทพซุสดำริว่าการทะเลาะเบาะแว้งของทั้งสองเป็นแค่เรื่องขัดแย้งเพียงเล็กน้อย พระองค์จึงทรงปล่อยเรื่องราวของศรกามเทพไป ทรงลงทัณฑ์เพียงพระโอรสองค์เดียวในข้อหาละเลยต่อหน้าที่
“ข้าจะยึดตำแหน่งเทพแห่งสุริยันของเจ้าคืนเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วเจ้าจะถูกเนรเทศจากสวรรค์ไปเป็นเพียงมนุษย์เดินดินธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ข้าหวังว่าระยะเวลาหนึ่งปีนับจากนี้เจ้าจะได้เรียนรู้วิถีชีวิตของเหล่ามนุษย์มากมายพอจะได้รู้ว่า สุริยันนั้นมีความสำคัญเพียงไรต่อพวกเขาทั้งหลาย”

เทพอพอลโลน้อมรับพระอาญาอย่างจำยอม ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีบนโลกมนุษย์หาใช่สิ่งที่ทรงนึกหวั่นเลยแม้แต่น้อย แต่บางสิ่งของพิษร้ายที่ยังคงฝังแน่นอยู่ในหทัยนี่สิ ทำให้ทรงเป็นกังวล
โลกมนุษย์งั้นเหรอ หญิงสาวปริศนาในนิมิตเมื่อเช้าวันนี้จะใช่มนุษย์ ผู้อาศัยอยู่ในดินแดนที่พระองค์จะลงไปประทับรึเปล่าหนอ...

นี่เป็นอีกหนึ่งครั้งที่พระองค์ไม่อาจหักห้ามพระทัยให้คิดถึงหญิงสาวปริศนาได้ เทพอพอลโลแทบไม่รู้สึกองค์เลยสักนิดว่ายามนี้ ทุกอย่างในห้วงหทัยล้วนมีแต่เรื่องราวของหญิงสาวปริศนา
ความรักที่ไม่เคยยอมรับว่ามีตัวตนอยู่กำลังเริ่มเล่นงานเทพบุตรหนุ่มอย่างแสนสาหัส



ริญจน์ธร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2554, 01:04:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2555, 12:31:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 2680





   บทที่1 >>
Gingfara 18 พ.ค. 2554, 07:44:50 น.
อ๊ะๆๆๆ
มาแล้วๆๆๆเทพอพอลโล่
รอนานมาก
ในที่สุดๆๆ


Pat 18 พ.ค. 2554, 09:00:33 น.
มาซะที หลังจากที่ได้อ่านบทนำไปหน่อยนึงตอนทดลองเวป 2 ^^


mix 18 พ.ค. 2554, 10:50:03 น.
กลับมาแล้ว รออ่านต่อจ้า เป็นกำลังใจให้นะจ๊ะ


ริญจน์ธร 18 พ.ค. 2554, 11:39:03 น.
ขอบคุณทุกคนค่ะ ขอโทษที่มาช้านะคะ พอดีมีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับการลงทะเบียน เลยเข้ามาไม่ได้สักที


หมูอ้วน 18 พ.ค. 2554, 13:42:27 น.
ดีใจมากมายค่ะ เห็นชื่อ คุณริญจน์ธร หายไปนานเลยนะค่ะ
รออ่านตอนต่อไปค่ะ ชอบมากมายยยยเร้ยย


ปูสีน้ำเงิน 18 พ.ค. 2554, 23:22:41 น.
รออ่านต่อไปอยู่นะคะ


ริญจน์ธร 19 พ.ค. 2554, 00:28:30 น.
แหะๆ หายไปนานจริงจังค่ะ ดีใจที่ได้กลับมาบ้านหลังนี้ซะที ^^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account